เซียวชูตกตะลึงและกอดดาบไว้ในอ้อมแขนทันใด “ท่านอ๋อง! มิได้หนาพ่ะย่ะค่ะ!"น้ำเสียงของฟู่เฉินหวนเย็นชาเล็กน้อย “หากมิได้ เช่นนั้นก็รีบหาทางเสียสิ? เรื่องแค่นี้ยังต้องถาม เช่นนั้นเจ้าจะมีประโยชน์อันใด”เซียวชูเกาหัว นี่มิใช่หน้าที่ของเขา รู้อย่างนี้เขาพาซูโหยวมาที่นี่ด้วยดีกว่าฟ่านซานเหอรีบพูด “ท่านอ๋อง กระหม่อมมี กระหม่อมจะจ่ายให้พ่ะย่ะค่ะ”ฟ่านซานเหอพูดแล้วหยิบถุงเงินของเขาออกมาทันทีแต่ฟู่เฉินหวนยกมือขึ้นเพื่อปรามและพูดด้วยน้ำเสียงมิแยแส "พระชายาของข้าต้องการซื้อของเพียงมิกี่อย่าง มิต้องให้คนอื่นจ่ายให้หรอก""ข้าจ่ายเองได้"ฟ่านซานเหอพยักหน้าด้วยรอยยิ้มและเก็บถุงเงินกลับอย่างเชื่องช้าลั่วชิงยวนยังคงจับจ่ายกับลั่วหลางหลางต่อไป ออกจากร้านหนึ่งก็เข้าอีกร้านและยังได้ไปที่ร้านของตระกูลฟ่านอีกด้วยนางซื้ออาภรณ์และเครื่องประดับให้ลั่วหลางหลางหลังจากเลือกสร้อยข้อมือมูลค่าสามร้อยตำลึง ลั่วหลางหลางเกิดปฏิเสธ “หากเจ้าต้องการซื้อก็เก็บไว้เองเถิด ข้ามิต้องการสิ่งเหล่านี้"“ดูสิว่าเจ้าแต่งตัวเรียบง่ายขนาดไหน เจ้ามิสวมอะไรเลย ดูสิว่าใส่แล้วเจ้างามเพียงใด” ลั่วชิงยวนบังคับให้ลั่วหลางหลา
ลั่วชิงยวนขึ้นไปชั้นบนแล้วเห็นว่าฟู่เฉินหวนมิได้พูดอะไรเขากำลังชงชานั่งอยู่ตรงข้ามนาง ท่าทางของเขาสงบและสง่างามลั่วชิงยวนใช้มือช้อนคางแล้วมองเขา “หม่อมฉันใช้เงินท่านไปมากมายขนาดนั้น ท่านมิเสียดายหรือ?”ฟู่เฉินหวนจิบชาช้า ๆ และมิตอบคำถามลั่วชิงยวนกล่าวเสริม “วันนี้หม่อมฉันได้คุยกับลั่วหลางหลางและพบว่าตระกูลเสวี่ยอาจเป็นคนกุข่าวลือ และกิจการของตระกูลฟ่านก็ถูกตระกูลเสวี่ยวางหมาก จุดประสงค์ของตระกูลเสวี่ยคือเพื่อรีดไถทรัพย์สินของตระกูลฟ่านและยังหมายปองสินเดิมของลั่วหลางหลางด้วย!”“วันนี้หม่อมฉันจึงใช้เงินอย่างฟุ่มเฟือย มิเพียงแต่เพื่อสนับสนุนลั่วหลางหลางเท่านั้น แต่ยังเพื่อให้ตระกูลเสวี่ยที่ซ่อนอยู่ในเงามืด เห็นว่าหม่อมฉันสุรุ่ยสุร่ายและโง่เขลา”“ตระกูลเสวี่ยก็มาจากสมาคมการค้าเฟิงตูเช่นกัน หากพวกเขาติดกับเรา เช่นนั้นเราจะได้หาโอกาสสืบสวน”ลั่วชิงยวนอธิบายเหตุผลแน่นอนว่ายังเหตุผลเล็ก ๆ เพราะอยากแก้แค้นฟู่เฉินหวนด้วยนางมิอาจเป็นฝ่ายเสียเปรียบได้ทุกครั้งยิ่งไปกว่านั้น การสืบสวนคดีใหญ่ขนาดนี้ จะมีการเสียสละทางการเงินบ้างก็หาใช่เรื่องใหญ่อันใดไม่หลังจากได้ยินสิ่งนี้ ฟู่เฉินหวน
ฟู่เฉินหวนครุ่นคิดและพูดว่า “ตอนที่เจ้าอยู่กับลั่วหลางหลางเมื่อกลางวัน ฟ่านซานเหอดูจะกังวลมากทีเดียว”“ดูเหมือนเขาจะกลัวว่าลั่วหลางหลางจะบอกอะไรเจ้า”“ตอนที่เจ้าและลั่วหลางหลางไปที่ทะเลสาบ ฟ่านซานเหอหาข้ออ้างออกไปข้างนอก แล้วแอบฟังการสนทนาของเจ้าจากด้านหลังกำแพง”เมื่อได้ยินสิ่งนี้ การแสดงออกของลั่วชิงยวนก็เปลี่ยนไป “กระไรนะ? เขาได้ยินบทสนทนาทั้งหมดที่หม่อมฉันคุยกับลั่วหลางหลางงั้นหรือ”ฟู่เฉินหวนพยักหน้า “อาจจะ”“ลั่วหลางหลางมิได้บอกอะไรสำคัญแก่เจ้าใช่หรือไม่?” ฟู่เฉินหวนเดาว่าคงไม่มีเรื่องแบบนั้น เพราะในภายหลังฟ่านซานเหอมิได้มีปฏิกิริยาอะไรมาก“ไม่มีหรอก ข้าแค่พูดถึงเรื่องแย่ ๆ ของฟ่านซานเหอก็เท่านั้น” ลั่วชิงยวนเลิกคิ้ว“เขาจะมิโกรธและทำให้หลางหลางต้องลำบากใช่หรือไม่?” ลั่วชิงยวนรู้สึกกังวลทันทีฟู่เฉินหวนครุ่นคิดและพูดว่า “หลังจากดูสถานการณ์ที่บ้านหลังสุดท้ายเสร็จแล้ว ข้าจะพาเจ้าไปดูลั่วหลางหลางที่บ้านของฟ่านแล้วกัน”“หากเจ้ากังวล เจ้าก็พานางไปที่โรงเตี๊ยมเพื่อพักชั่วคราวได้ บอกว่าเป็นการพบปะกันของพี่น้อง”ลั่วชิงยวนพยักหน้า “เพคะ”แล้วทั้งสองก็รีบไปบ้านหลังสุดท้ายในคว
มันว่างเปล่า!ไม่มีใครเลยสักคน!ลั่วชิงยวนรีบหันไปค้นหาภายในห้อง แต่ไม่มีใครอยู่!ฟู่เฉินหวนก้าวไปข้างหน้ายกภาพวาดขึ้นมา พบว่ามีรูขนาดใหญ่อยู่ที่ผนังด้านหลังเมื่อออกไปก็ได้เห็นสวนหลังบ้านใกล้กับกำแพง ต้นไม้เล็ก ๆ ข้างกำแพงถูกเหยียบย่ำจนหักหมดแล้วทั้งสองไล่ตามไป แต่มิพบร่องรอยของคนผู้นั้นเลย“มีรูอยู่ด้านหลังเตียง ดูเหมือนครั้งก่อนที่เขารอดจากการถูกฆ่าปิดปากก็ใช้ทางนี้หนีออกมาเหมือนกัน!”ฟู่เฉินหวนก็มองไปรอบ ๆ แต่ก็มิพบที่ใดเลย “บุคคลนี้คงต้องรู้อะไรบางอย่าง และตระหนักว่าเขากำลังจะถูกปิดปาก ดังนั้นเขาจึงหลบหนีออกมา”“ผู้ที่เสียชีวิตคือพี่น้องของเขา”“วันนี้เขาวิ่งกลับมาเอาเงิน และอาจจะหนีออกจากซีหยางไปก็เป็นได้”นี่เป็นผู้รอดชีวิตเพียงคนเดียว จะปล่อยให้เขาหนีออกจากซีหยางมิได้!ลั่วชิงยวนคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “เช่นนั้นเรากลับกันก่อนเถิด”ฟู่เฉินหวนพยักหน้า และทั้งสองคนก็กลับไปทันทีฟู่เฉินหวนต้องการกลับไปที่โรงเตี๊ยม เพื่อส่งเซียวชูและคนอื่น ๆ ไปแอบค้นหาบุคคลนั้นและเฝ้าประตูเมือง ขณะที่ลั่วชิงยวนต้องการไปที่บ้านตระกูลฟ่าน เพื่อดูสถานการณ์ของลั่วหลางหลาง พวกเขามีจุดมุ่
นางเตะฟ่านซานเหออย่างแรงมิหยุด การทุบตีทำให้เขาต้องก้มหัวและขอความเมตตาหนีออกจากห้องไปทันทีลั่วชิงยวนไล่ตามเขาไปอย่างไม่ลดละ ทั้งต่อยและเตะเขาอย่างดุเดือดนางมิพูดอะไรเพราะนางสวมชุดดำและปิดหน้าปิดตาตนไว้แล้ว“มีคนอยู่ไหม! มีใครอยู่บ้าง!” ฟ่านซานเหอร้องขอความช่วยเหลือด้วยความตื่นตระหนกลั่วชิงยวนเตะฟ่านซานเหออย่างแรง ศีรษะกระแทกพื้นจนสลบไปไอ้สารเลว!ลั่วชิงยวนโกรธอย่างกับตัวเองถูกรังแกเสียเองนางเตะฟ่านซานเหออีกหลายครั้ง ก่อนลากเขาออกจากลานบ้านแล้วโยนเขาเข้าไปในทางเดินด้านในจากนั้นนางก็รีบกลับไปที่เรือนของลั่วหลางหลางลั่วหลางหลางยืนอยู่ที่ประตู มองดูนางอย่างประหม่าและสับสน “เจ้า…”ลั่วชิงยวนถอดผ้าคลุมหน้าออกแล้วพูดว่า “ข้าเอง”ลั่วหลางหลางสะดุ้ง และทันใดนั้นดวงตาของนางก็เปลี่ยนเป็นสีแดง นางเดินเข้ามากอด ซบลงบนไหล่ของลั่วชิงยวน รู้สึกเสียใจเล็กน้อย แต่นางกลั้นน้ำตาไว้และมิปล่อยให้น้ำตาไหลออกมาลั่วชิงยวนลูบหลังลั่วหลางหลาง มิรู้ว่าจะปลอบนางอย่างไรดีหลังจากนั้นไม่นาน อารมณ์ของลั่วหลางหลางก็ค่อย ๆ สงบลง จากนั้นนางก็ดึงลั่วชิงยวนเข้าไปในห้องแล้วปิดประตู“ไฉนเจ้าจึงแ
ทันทีที่คำพูดเหล่านี้หลุดออกมา ลั่วชิงยวนก็ตกใจ “เหตุใดเจ้าจึงพูดเช่นนั้น?”ลั่วหลางหลางส่ายหัวด้วยความสับสน “ข้าเองก็มิรู้”“ข้าแค่รู้สึกว่า ตั้งแต่มาถึงซีหยาง หลาย ๆ อย่างก็เริ่มแปลกไป”“ร่างกายของข้าเองก็เหมือนจะมีการเปลี่ยนแปลง แต่ข้าก็มิเข้าใจว่ามันเกิดอะไรขึ้น”“ตอนที่เราอยู่ที่เมืองหลวง เจ้าก็เห็นว่าเขาใจดีกับข้ามาก เขาเป็นคนจิตใจดี นี่คือสิ่งที่เขาถูกสอนมาตั้งแต่เด็ก ถึงเขาจะเมา แต่เขามิเคยไร้สติขนาดนี้เลย”“ข้ารู้สึกว่าเขาเปลี่ยนไป”“ชิงยวน ดูบ้านตระกูลฟ่านทีสิ มีอะไรผิดปกติหรือไม่?”เดิมทีลั่วหลางหลางมิต้องการพูดคำเหล่านี้เพราะลั่วชิงยวนกับท่านอ๋องเพิ่งจะรักใคร่กันอย่างมีความสุข นางมิอยากทำให้ลั่วชิงยวนลำบากแต่คืนนี้เกิดเรื่องขึ้นจนลั่วชิงยวนมาพบเข้า ดังนั้นนางจึงตัดสินใจพูดออกมาลั่วชิงยวนขมวดคิ้วและคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นพูดว่า “ข้าจะลองหาจังหวะดู”“แต่ตระกูลฟ่านอันตรายเกินไปสำหรับเจ้า ไปพักกับข้าที่โรงเตี๊ยมเถิด”ลั่วหลางหลางปฏิเสธอย่างรวดเร็ว “แบบนั้นมิได้หรอก เจ้ากับท่านอ๋อง..."ลั่วชิงยวนเพียงแค่โน้มตัวเข้าไปในหูของนางแล้วกระซิบ “คราวนี้เรามีสิ่งอื่นที่ต
ลั่วชิงยวนมาที่ห้องของลั่วหลางหลางและถามถึงคนคนหนึ่ง “เจ้ารู้จักหลิ่วซิ่งเอ๋อร์จากหออี้ชุนหรือไม่?”ในวันแรกที่ตนไปบ้านตระกูลฟ่าน ครั้นได้พบกับเฉินซวนอี๋ นางได้กล่าวถึงบุคคลนี้การแสดงออกของลั่วหลางหลางเปลี่ยนไปเล็กน้อย “ไฉนเจ้าจึงรู้เกี่ยวกับนางด้วย?”ลั่วชิงยวนขมวดคิ้ว “ฟ่านซานเหอเคยไปหอนางโลมมาหรือไม่?”ลั่วหลางหลางดูเศร้าและอธิบายช้า ๆ“หลิ่วซิ่งเอ๋อร์และฟ่านซานเหอพบกันก่อนเฉินซวนอี๋เสียอีก ข้ามิอยากนอนกับเขาก็เพราะเหตุนี้”ลั่วหลางหลางพูดพร้อมกับจับชายกระโปรงของนางโดยมิรู้ตัวมันน่าอายเหลือเกินที่ต้องพูดคำเหล่านี้จากปากของนางเมื่อได้ยินสิ่งนี้ ความโกรธในใจของลั่วชิงยวนก็ปะทุขึ้นมาอีกครั้ง “ตอนที่เขามาที่ซีหยางครั้งแรก เขาไปที่หอนางโลมหรือ?”ลั่วหลางหลางตอบว่า “หออี้ชุนเป็นหอนางโลมที่ใหญ่ที่สุดในซีหยาง นักร้องและนักเต้นล้วนน่าทึ่ง เขาถูกคนตระกูลเสวี่ยพาไปที่นั่น บอกเพียงว่าที่นั่นเป็นเพียงภัตตาคารเท่านั้น”“หลังจากนั้น เขาก็บอกข้าว่าเขามิได้ทำอะไรเลย”“ข้าก็เชื่อเขา”“จนกระทั่งต่อมาหลิ่วซิ่งเอ๋อร์มาที่ประตูบ้าน และขอให้ข้าไถ่ตัวนาง และพานางเข้าจวนเพราะนางตั้งครรภ์”เม
เมื่อได้ยินคำตอบนี้ ลั่วชิงยวนก็ตกตะลึงฟู่เฉินหวนกำลังหมายความว่าอย่างไร?นางเหมาะที่จะเป็นพระชายามากกว่าลั่วเยวี่ยอิง ขณะที่ลั่วเยวี่ยอิงเป็นคนที่อยู่ในใจเขา นี่ฟังดูสอดคล้องกันอย่างไรลั่วชิงยวนขมวดคิ้วครุ่นคิดเมื่อเห็นท่าทางครุ่นคิดของนาง ฟู่เฉินหวนก็ได้แต่คิดกับตัวเองว่า คำพูดของเขาชัดเจนพอแล้วหรือไม่?ลั่วชิงยวนคงจะเข้าใจในความหมายนั้นเมื่อนึกถึงสิ่งนี้ เขาก็มองออกไป รู้สึกประหม่าอย่างอธิบายไม่ถูก ฝ่ามือของเขาก็เหงื่อซึมเล็กน้อยบรรยากาศในรถม้าเริ่มแปลกไปลั่วชิงยวนคิดฟุ้งซ่านอยู่ในใจ กระทั่งมาถึงหออี๋ชุน นางก็ยังคิดไม่ตกว่าจะทำเช่นไรต่อไปทั้งสองลงจากรถม้าและมุ่งหน้าไปยังประตูหออี๋ชุนเนื่องจากลั่วชิงยวนแต่งตัวเป็นสตรี นางจึงถูกคนจากหออี๋ชุนขวางเอาไว้“แม่นางผู้นี้ ที่นี่คือหอนางโลม มิใช่สถานที่ดื่มกิน แม่นางควรไปที่อื่นจะดีกว่า ไม่อย่างนั้นแม่นางจะหวาดกลัวเอาได้”สตรีหลายคนหัวเราะเย้าแหย่“ข้ารู้ว่านี่คือหอนางโลม ในเมื่อร้านเปิดทำการ มีเหตุผลใดที่จะมิต้อนรับลูกค้าที่เป็นสตรีเล่า?” ลั่วชิงยวนกล่าวด้วยรอยยิ้มจาง ๆสาว ๆ ตกใจเล็กน้อยและมองไปที่ลั่วชิงยวนเขาพูดติด
“เจ้ารีบอะไรนักหนา รอมาตั้งนานแล้ว รออีกสักหน่อยจะเป็นกระไร”เมื่อได้ยินดังนั้น อวี๋ตันเฟิ่งก็หยุดมือลั่วชิงยวนเดินเข้าไปคว้าตัวโหยวเซียงไว้ให้โฉวสือชีมัดนางไว้แน่นหนา จากนั้นจึงปลุกโหยวเซียงให้ฟื้นขึ้นมาเมื่อฟื้นคืนสติ โหยวเซียงก็จ้องหน้าลั่วชิงยวนเขม็งอย่างโกรธแค้น “เจ้ากล้าจับข้า เจ้าคอยดูเถอะว่าจะตายอย่างไร!”ลั่วชิงยวนย่อตัวลงนั่งตรงหน้านาง แล้วหัวเราะเบา ๆ “ใช่แล้ว ใครจะกล้าแตะต้องคุณหนูใหญ่เมืองแห่งภูตผีเล่า”“น่าเสียดาย เมืองแห่งภูตผีแห่งนี้ บิดามารดาของเจ้าไปปล้นเขามา มิใช่ของพวกเขามาแต่เดิม ย่อมมิใช่ของเจ้าเช่นกัน”“ถึงเวลาคืนเจ้าของตัวจริงแล้ว”โหยวเซียงจ้องเขม็งนางอย่างโกรธแค้น “เจ้าพูดจาเหลวไหลอะไร! เมืองแห่งภูตผีแห่งนี้เป็นของบิดามารดาข้ามาแต่เดิม!”เมื่อได้ยินดังนั้น ลั่วชิงยวนก็ประหลาดใจ “หรือว่าต่งอวิ๋นซิ่วมิได้บอกความจริงแก่เจ้า”“ก็ถูกแล้ว เรื่องน่าอับอายเช่นนี้ นางจะบอกลูกสาวได้อย่างไร”“เมืองแห่งภูตผีแห่งนี้มิใช่เพียงถูกบิดามารดาเจ้ายึดมาเท่านั้น แต่ยังใช้วิธีการที่น่ารังเกียจในการยึดครองด้วย!”“เดาว่าจนถึงตอนนี้เจ้าก็คงยังมิรู้เลยว่าศัตรูของเจ้าคือผ
โหยวเซียงกัดฟันพูดด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบลั่วชิงยวนมองไปที่อวี๋โหรว หลายวันมานี้อวี๋โหรวผอมซูบไปมาก“เจ้าจับตัวอวี๋โหรวมาเพื่อล่อข้ามาที่นี่รึ?”ลั่วชิงยวนหรี่ตามองโหยวเซียง“แต่เจ้ามิน่าจะมีความสามารถพอที่จะพาอวี๋โหรวออกจากวังหลวงไปได้”“เวินซินถงเป็นคนทำใช่หรือไม่?”“เจ้าทำข้อตกลงอะไรกับนางไว้?”โหยวเซียงหัวเราะเยาะ “อยากรู้รึ?”“คุกเข่าอ้อนวอนข้าสิ”“เจ้าอ้อนวอนข้า ข้าถึงจะบอกเจ้าว่าผู้ใดจับตัวอวี๋โหรวมา และผู้ใดร่วมมือกับข้าวางแผนให้เจ้ามาที่เมืองแห่งภูตผี”ลั่วชิงยวนมองท่าทีหยิ่งยโสของโหยวเซียงแล้วก็อดมิได้ที่จะหัวเราะเบา ๆ นางกวาดสายตามองไปรอบ ๆ แล้วถามว่า “ต่งอวิ๋นซิ่วมิมาด้วยรึ?”“เมื่อครู่นี้คนที่ต่อสู้กับข้าก็คือนางใช่หรือไม่?”เมื่อได้ยินน้ำเสียงเยาะเย้ยของลั่วชิงยวน โหยวเซียงก็โกรธจัด ในใจนางตกใจ ลั่วชิงยวนรู้แล้วหรือว่ามารดาของนางเป็นใคร“สารเลว!”นางบีบคออวี๋โหรวอย่างแรงเพื่อข่มขู่ลั่วชิงยวน “จะคุกเข่าหรือไม่?!”“ลั่วชิงยวน เจ้ามีโอกาสแค่ครั้งเดียว!”“หากเจ้ามิยอมคุกเข่ายอมจำนนแต่โดยดี ข้าจะหักคอนางเดี๋ยวนี้!”กล่าวจบ โหยวเซียงก็ออกแรงบีบบีบจนอวี๋โหรวหาย
ทันทีที่คนใบ้หันมาเห็นจึงรีบเข้ามาย่อตัวลงข้างนางแล้วช่วยประคองนางไว้ลั่วชิงยวนเช็ดเลือดที่มุมปาก ใบหน้าซีดเผือดกว่าเดิม“ข้ามิเป็นอะไร”นางเงยหน้าขึ้นมองอวี๋ตันเฟิ่งที่อยู่กลางอากาศ ในที่สุดจิตวิญญาณของนางก็สมบูรณ์แล้วบนใบหน้าซีดขาวนั้นปรากฏรอยยิ้ม รอยยิ้มนั้นทั้งพึงพอใจและเย่อหยิ่ง“ในที่สุดข้าก็ได้… เป็นอิสระแล้ว! ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า...”อวี๋ตันเฟิ่งหัวเราะลั่น ทำเอาป่าทั้งผืนเกิดพายุโหมกระหน่ำคนใบ้รีบยกมือขึ้นช่วยลั่วชิงยวนปัดป้องฝุ่นและใบไม้ที่ปลิวว่อน......จู่ ๆ ต่งอวิ๋นซิ่วก็กระอักเลือดออกมาเต็มปาก จากนั้นหมดสติล้มลงบนพื้น“ท่านแม่!”โหยวเซียงตกใจ รีบเข้าไปประคองนาง “ท่านแม่! ท่านแม่! ท่านเป็นอะไรไป!”หลังจากตะโกนเรียกอยู่นาน มารดาของนางก็มิฟื้นโหยวเซียงโกรธจนกัดฟันพูด “ลั่วชิงยวน สารเลว!”“เจ้าคอยดูเถอะ!”......ผ่านไปครู่ใหญ่ อวี๋ตันเฟิ่งถึงจะสงบสติอารมณ์ลงได้ลมพายุในป่าก็สงบลงเช่นกันถูหมิงที่อยู่ข้าง ๆ จึงค่อย ๆ ขยับเข้ามาใกล้ฉีเสวี่ยเวยที่ยังคงตกตะลึงมองภาพเหตุการณ์เมื่อครู่ด้วยความมิอยากเชื่อ “เมื่อกี้เกิดอะไรขึ้น?”“ต่อไปพวกเราต้องทำอะไร?”ลั่วชิงยวน
คนของถูหมิงตายไปหมดแล้ว เหลือเพียงฉีเสวี่ยเวยเท่านั้นในขณะที่พวกเขาเดินทางไปยังถ้ำแห่งที่หกในคืนนั้นผลลัพธ์ที่ได้กลับน่าผิดหวังเพราะในถ้ำว่างเปล่า“ดูเหมือนว่าพวกเราจะมาช้าไปก้าวหนึ่ง”ถูหมิงขมวดคิ้ว “เหลืออีกหนึ่งชิ้น ทำอย่างไรดี? หรือว่าความพยายามทั้งหมดของเราจะสูญเปล่า?”พวกเขาวุ่นวายมาหลายวัน เดินทางไปเกือบทั่วทั้งภูเขาแล้วหากสมบัติหายไปเช่นนี้ เขาคงต้องฆ่าสตรีผู้นี้เป็นแน่!ลั่วชิงยวนขมวดคิ้วครุ่นคิด แล้วกล่าวว่า “เหลืออีกหนึ่งชิ้นก็เหลืออีกหนึ่งชิ้น”“หาที่ปลอดภัยก่อน”จากนั้นพวกเขาก็มายังป่าที่ค่อนข้างสะอาด ไม่มีพุ่มไม้หรือวัชพืชหนาแน่นบนพื้นมากนัก ค่อนข้างโปร่งโล่งหีบทั้งห้าใบวางอยู่บนพื้นลั่วชิงยวนกล่าวว่า “เปิดหีบกันเถิด”ทันใดนั้นดวงตาของถูหมิงก็เป็นประกาย “เปิดได้หรือ?”เขาเห็นว่าบนหีบมีแต่อักขระสีเลือดปกคลุมอยู่ จึงยั้งมือไว้หลายครั้งแม้จะอยากเปิดก็ตามเมื่อได้ยินเช่นนี้จึงรีบเปิดหีบทันทีแต่เมื่อเปิดออกแล้ว ร่างกายของเขาก็แข็งทื่อไปศพ?!ทั้งยังเป็นศพที่ถูกชำแหละอีกด้วย?ฉีเสวี่ยเวยก็ตกใจกลัวลั่วชิงยวนกลับสงบสติอารมณ์ สั่งให้โฉวสือชีและคนใบ้ช่วย
“ใครกัน?!”ลั่วชิงยวนหรี่ตาลงเล็กน้อย แล้วตอบเสียงแผ่ว “ซูเซียง”“แต่ตอนนี้ควรเรียกนางว่าโหยวเซียง”“ภารกิจที่พวกเจ้าได้รับก็เป็นเพียงการละเล่นของนางเท่านั้น”“นางต้องการให้พวกเจ้าฆ่ากันเอง”และภารกิจหนังหน้าของหญิงงามที่ฉีเสวี่ยเวยได้รับ ก็คงเป็นการล่อลวงให้ฉีเสวี่ยเวยมาฆ่านางหากสามารถยืมมือคนอื่นฆ่าคนได้ โหยวเซียงก็มิจำเป็นต้องเปิดเผยตัวตนเพียงแต่โหยวเซียงคาดมิถึงว่าฉีเสวี่ยเวยจะฆ่านางมิได้ กระทั่งโหยวเซียงเองก็ฆ่านางมิได้“โหยวเซียงหรือ? นางเป็นคนของเมืองแห่งภูตผีแห่งนี้หรือ?” ฉีเสวี่ยเวยมองนางอย่างมิเชื่อสายตา“มิแปลกใจเลย… นางท้องแก่ถึงเพียงนั้นยังกล้ามาที่นี่ได้”ลั่วชิงยวนเห็นว่าใกล้รุ่งสางแล้ว จึงให้โฉวสือชีแก้เชือกที่มัดฉีเสวี่ยเวยไว้“ข้าจะยังมิฆ่าเจ้าตอนนี้”“มิว่าเรื่องที่เจ้ากล่าวมาจะเป็นจริงหรือไม่ก็มิสำคัญ ข้าก็มิกลัวว่าเจ้าจะไปบอกเรื่องนี้กับถูหมิง”“หากเจ้าไปบอก เรื่องเดียวที่จะเป็นผลเสียต่อพวกข้าก็คือต้องแบกหีบเพิ่มอีกมิกี่ใบ”“เพียงเท่านั้น”มิใช่เรื่องคอขาดบาดตายที่นางทำเป็นร่วมมือกับถูหมิง ก็เพียงต้องการใช้คนของเขาไปขวางทางศพชายที่ถูกผนึกไว้ในถ้ำ
“แม้จะต้องยอมตายไปพร้อมกับถูหมิง ข้าก็ยินดี!”เมื่อได้ยินดังนั้น ลั่วชิงยวนก็ตกตะลึง แต่ก็ยังคงสงสัยอยู่บ้าง“แต่เจ้าสนิทสนมกับถูหมิงถึงเพียงนั้น น่าจะมีโอกาสฆ่าเขาได้นับครั้งมิถ้วน”ฉีเสวี่ยเวยขมวดคิ้วแน่น ดวงตาแดงก่ำ “แท้จริงแล้วคนผู้นั้นระแวดระวังตัวมาก หากมิใช่เพราะต้องการลดความระแวดระวังของเขา ข้ากับชายมากหน้าหลายตาก็คงมิ...”เมื่อกล่าวถึงตรงนี้ ฉีเสวี่ยเวยก็เม้มริมฝีปากแน่นหลังจากกล้ำกลืนความรู้สึกแล้ว จึงกล่าวต่อ “ในป่าครั้งนั้นเป็นครั้งแรกที่เขาใกล้ชิดข้า เดิมทีตอนนั้นข้ามีโอกาสที่จะฆ่าเขาได้!”“แต่เจ้าปีศาจฝูเหมิ่งนั่นบังเอิญมาขวาง!”“หากมิใช่เพราะเขา ข้าคงทำสำเร็จไปแล้ว!”ฉีเสวี่ยเวยกัดฟันพูด เต็มไปด้วยความเคียดแค้นลั่วชิงยวนรู้สึกประหลาดใจ เมื่อเห็นสีหน้าของฉีเสวี่ยเวย ในดวงตาของนางเต็มไปด้วยความแค้น ดูมิเหมือนคนโกหกทำให้นางเปลี่ยนทัศนคติที่มีต่อฉีเสวี่ยเวยไปบ้างขณะที่ลั่วชิงยวนยังคงครุ่นคิด ฉีเสวี่ยเวยก็มองมาที่นาง “เจ้ายังมิเชื่อข้าหรือ?”“ขอเพียงเจ้าฆ่าถูหมิงได้ ข้าจะทำทุกอย่างเพื่อเจ้า! ข้าจะบอกสิ่งที่เจ้าอยากรู้ทุกอย่าง!”ลั่วชิงยวนครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง
ลั่วชิงยวนนอนนิ่งอยู่บนเตียง มิกล้าขยับกายทว่างูตัวนั้นกลับกัดข้อเท้านางอย่างแรงหนึ่งครั้ง จากนั้นก็รีบเลื้อยหนีไปรออยู่ครู่หนึ่ง ฉีเสวี่ยเวยเห็นว่าคนที่นอนอยู่บนเตียงไม่มีความเคลื่อนไหวใด ๆ จึงเปิดประตูเข้ามานางมิอาจมั่นใจได้ว่าพวกคนใบ้จะกลับมาเมื่อใด จึงมิกล้าเสียเวลานานหลังจากปิดประตูอย่างระแวดระวังแล้ว นางก็มายังปลายเตียง จ้องมองข้อเท้าของลั่วชิงยวนอย่างละเอียด ปรากฏว่าถูกงูกัดจริง ๆ นางต้องตายเพราะพิษนี้แน่นอน!ทันใดนั้นเอง ฉีเสวี่ยเวยก็ชักกริชออกมาแล้วเดินไปยังหัวเตียง ค่อย ๆ จรดใบมีดลงบนใบหน้าของลั่วชิงยวนแต่ในพริบตานั้นเอง ลั่วชิงยวนก็ลืมตาขึ้นมาจ้องมองนางด้วยสายตาอาฆาตแค้นฉีเสวี่ยเวยพลันตกใจ แต่ก็มิได้หนีในทันที เพราะนางคิดว่าลั่วชิงยวนโดนพิษงูเข้าไปแล้ว อย่างไรก็ต้องตายอยู่ดีลั่วชิงยวนรีบคว้าข้อมือของฉีเสวี่ยเวยไว้เพื่อแย่งชิงกริชมาจากนางฉีเสวี่ยเวยก็ลงมือโจมตีเช่นกัน เพียงแต่นางคาดมิถึงว่าสตรีผู้นี้ที่ถูกพิษแล้วจะยังมีพละกำลังมากมายถึงเพียงนี้หลังจากทั้งสองต่อสู้กันครู่หนึ่งในห้อง ฉีเสวี่ยเวยก็พ่ายแพ้ ถูกลั่วชิงยวนจับกดไว้บนโต๊ะฉีเสวี่ยเวยตกใจมาก “เจ้า
“แน่นอน”“อีกอย่าง เมื่อหาของเหล่านี้ครบแล้วเมืองแห่งภูตผีทั้งเมืองก็จะเป็นของพวกเรา แล้วยังต้องขึ้นเขาไปเอาของเล็ก ๆ น้อย ๆ นั่นหาปะไร”คำพูดนี้กระตุ้นความโลภในใจของทุกคนที่อยู่ตรงนั้นอย่างมิต้องสงสัยพวกเขาจึงมิลังเลอีกต่อไป รีบติดตามลั่วชิงยวนไปยังเส้นทางเดิมตลอดทางยังมีงูมากมาย ลั่วชิงยวนก็หาสมุนไพรบางชนิดตลอดทางแล้วมอบให้ทุกคนผูกติดไว้บนตัวและทาตามเท้า เพื่อให้กลิ่นของสมุนไพรนั้นช่วยไล่งูดังนั้นการเดินทางของพวกเขาจึงราบรื่นดี เมื่อยามค่ำคืนมาเยือนพวกเขาก็ออกมาจากบ่อน้ำพุร้อนนั้นอีกครั้งพวกเขากลับมายังหมู่บ้านเดิมในช่วงกลางดึกสงัดในหมู่บ้านยังมีอาหารหลงเหลืออยู่ ดังนั้นทุกคนจึงหยุดพักกินอาหารกันก่อนเมื่อฟื้นฟูพละกำลังได้แล้วคนทั้งหมดก็ออกเดินทางต่อมาถึงสุสานเดิม ยามนี้วิญญาณอาฆาตเต็มไปทั่วทั้งภูเขา พลังหยินแผ่ซ่านไปทั่วเมื่อลั่วชิงยวนมาถึงที่แห่งนั้นก็พบว่าปากถ้ำเปิดออกแล้วมีคนกล่าวขึ้นว่า “วันนั้นฝูเหมิ่งก็มาที่นี่!”ลั่วชิงยวนตกใจเล็กน้อยเมื่อเข้าไปในถ้ำแล้ว ภาพที่ปรากฏด้านในนั้นมิเปลี่ยนแปลงมากนัก สิ่งที่เปลี่ยนไปเพียงอย่างเดียวคือโลงศพที่ถูกล่ามโซ่นั้นระเบ
เมื่อได้ยินดังนั้น ความโลภก็ปรากฏในดวงตาของถูหมิง ใครเล่าจะมิปรารถนาสมบัติของเมืองแห่งภูตผี เขาตอบตกลงในทันที “ได้”ลั่วชิงยวนกล่าวต่อว่า “แต่การนำของสิ่งนี้มาจะต้องเผชิญกับอันตรายบ้าง ดังนั้นอาจจะต้องมีคนของเจ้าสละชีวิต”“แต่คนมากก็แบ่งกันได้น้อย คนตายไปบ้างก็มิจำเป็นต้องสนใจความเป็นความตายของพวกเขา”“ความลับนี้ข้าบอกเพียงเจ้าเท่านั้น เจ้าอย่าได้แพร่งพรายให้ผู้ใดรู้เชียว”“โดยเฉพาะฉีเสวี่ยเวย”เมื่อได้ยินดังนั้นถูหมิงก็หันกลับไปมอง แต่ไหนแต่ไรมาเขาก็มิเคยสนใจความเป็นความตายของคนเหล่านั้นอยู่แล้ว“หาได้มีปัญหาไม่!”ถูหมิงรับปากอย่างง่ายดาย แต่ลั่วชิงยวนกลับยังคงระแวดระวัง “ยังมีเรื่องที่ต้องบอกเจ้าอีกอย่าง กองทัพของเมืองแห่งภูตผีถูกพวกข้าปลุกปั่นแล้ว คาดว่าอีกมินานคงไล่ตามมา”“ก่อนที่จะหาของทั้งหกชิ้นพบ อย่าได้คิดที่จะทำสิ่งใดนอกเหนือจากนี้ ท้ายที่สุดแล้ว พวกเราต้องร่วมมือกันต่อสู้กับศัตรู หากถูกพวกมันจับได้คงไม่มีใครมีจุดจบที่ดี”สีหน้าของถูหมิงเปลี่ยนไปเล็กน้อย มิคาดคิดว่าสตรีผู้นี้จะเก่งกาจมากถึงเพียงนี้ กระทั่งปลุกกองทัพของเมืองแห่งภูตผีขึ้นมาได้ดูเหมือนว่าสิ่งที่นางต้