ฝ่ามือที่เย็นเล็กน้อยของเขาสัมผัสลงบนผิวหนังของลั่วชิงยวน ทำให้หูของลั่วชิงยวนเปลี่ยนเป็นสีแดงทันที ก่อนที่นางจะตะโกนขึ้นด้วยความโกรธว่า “ไปให้พ้น!”“อย่าขยับ!” ฟู่เฉินหวนรู้สึกราวกับว่าหัวใจของเขามีเลือดออกรอยแส้ทั่วร่างเช่นนี้เกิดขึ้นเมื่อไร?ผิวหนังแตก เนื้อฉีก มีกลิ่นเค็มชัดเจน นี่คงเป็นน้ำเกลือ!ฟู่เฉินหวนหนักมือขึ้นโดยไม่รู้ตัว ทำให้ลั่วชิงยวนรู้สึกเจ็บปวดมากยิ่งขึ้น“ฟู่เฉินหวน นี่ท่านคิดจะทำอะไร!” ลั่วชิงยวนคว้าอาภรณ์ขึ้นมาปกปิดร่างกายของตน นางจ้องมองบุรุษตรงหน้าด้วยดวงตาแดงก่ำฟู่เฉินหวนตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นเขาก็สังเกตเห็นความลำบากใจและการต่อต้านของนางเมื่อดูการกระทำของนาง ฟู่เฉินหวนก็เกิดกังวล"ข้าขอโทษ"การที่จู่ ๆ เขาก็เอ่ยปากขอโทษ นั่นทำให้ลั่วชิงยวนตกใจครู่ต่อมา มือใหญ่โตก็วางลงบนลำคอของนางมีเสียงดัง ‘แคว่ก’ เกิดขึ้นเสื้อผ้าของนางขาดวิ่นความเยือกเย็นที่พัดเข้ามาทำให้ลั่วชิงยวนรู้สึกละอายใจเล็กน้อยนางขัดขืนอยู่ครู่หนึ่ง แต่ฝ่ามือของฟู่เฉินหวนกลับกดไหล่ของนางไว้ได้อย่างแน่นหนาเขายังขู่ซ้ำ “หากเจ้าขยับอีกครั้ง ข้าจะฆ่าฟู่อวิ๋นโจวเสีย!”ลั่วชิงย
ฟู่เฉินหวนตกตะลึง หัวใจเกิดเสียงดังก้องขึ้น“ข้ามิอยากถูกท่านใช้เป็นเครื่องมือซ้ำแล้วซ้ำอีก”“ตอนนี้เหยียนหน่ายซินคงไม่มีสิทธิ์ได้เป็นฮองเฮาอย่างแน่นอน ครั้งนี้ท่านบรรลุเป้าหมายอีกครั้งแล้ว เช่นนั้นก็ปล่อยข้าไปเถอะ”ฟู่เฉินหวนตกใจ นางได้ยินอย่างนั้นหรือ?ฟู่เฉินหวนขมวดคิ้วอยู่นาน ก่อนที่เขาจะเอ่ยขึ้นว่า “ไว้คุยกันทีหลัง”เขามิเห็นด้วยและไม่ปฏิเสธ ลั่วชิงยวนจึงมิรู้ว่าเขาหมายความเช่นไรพวกเขาเดินมาถึงจัตุรัสหน้าพระตำหนักขององค์จักรพรรดิในขณะนี้ หมอหลวงทั้งหมดมารวมตัวกันที่นี่พวกเขากำลังคุยกันเรื่องยาและเรื่องอื่น ๆ อยู่ภายในและยุ่งจนหัวหมุน อย่างไรก็ตามเหยียนหน่ายซินกลับยังคงมีสติอยู่นางยังมิหลับและกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดองค์จักรพรรดิกำลังนั่งดื่มชาอยู่ในห้องโถงเมื่อเห็นคนทั้งคู่เข้ามาเขาก็สั่งการทันที “พระชายาอ๋องได้รับบาดเจ็บ โปรดดูอาการให้นางด้วย”ขันทีนำเก้าอี้มา ส่วนฟู่เฉินหวนและลั่วชิงยวนก็นั่งลงด้วยกัน“ลั่วชิงยวน เจ้าคือลั่วชิงยวนใช่หรือไม่?” องค์จักรพรรดิถามด้วยความสนใจ“เพคะ” ลั่วชิงยวนดูซีดเซียวและตอบด้วยเสียงต่ำองค์จักรพรรดิค่อย ๆ วางถ้วยชาลงแล้วถามอีกครั้
“ด้วยวิธีนี้นางถึงจะสามารถได้โบยบินไปกับคนที่นางรักได้”“เจ้าซึ่งเป็นสหาย กล้าหลอกลวงเบื้องสูง พยายามช่วยให้เหยียนหน่ายซินพ้นจากโทษประหาร อะไรทำให้เจ้ามิกลัวตายได้ถึงขนาดนี้กัน?”“หรือว่าเจ้าคือคนรักของเหยียนหน่ายซินผู้นั้นเล่า?”ลั่วชิงยวนมั่นใจอย่างชัดแจ้งว่า บุคคลนี้น่าจะเป็นคนรักของเหยียนหน่ายซิน แต่เหยียนหน่ายซินอาจมิชอบเขาที่นางพูดเช่นนี้เพียงเพราะนางต้องการเอ่ยถึงความผิดของเหยียนหน่ายซินเรื่องการหลอกลวงองค์จักรพรรดิด้วยวิธีนี้ ตระกูลเหยียนจะได้รู้ว่าเหยียนหน่ายซินจงใจก่อให้เกิดหายนะดังกล่าวเพื่อมิให้ตัวเองต้องกลายเป็นฮองเฮา และต้องการให้องค์จักรพรรดิและฟู่เฉินหวนใช้ประโยชน์จากเรื่องนี้ พวกเขาจะต้องโกรธมากและไม่อยากจะช่วยเหยียนหน่ายซินติดต่อไปหากตระกูลเหยียนมิปกป้องเหยียนหน่ายซิน เช่นนั้นเหยียนหน่ายซินจะต้องตายอย่างมิต้องสงสัย!ทันทีที่คำพูดของนางหลุดออกมา ทุกคนก็ตกตะลึงองค์จักรพรรดิรีบถามขึ้น "จริงหรือ?"ลั่วชิงยวนพยักหน้า “หม่อมฉันได้ยินกับหูของตัวเองเลยเพคะ”โม่เชียนซึ่งนอนอยู่บนพื้น จู่ ๆ ก็เริ่มตัวสั่นอย่างประหม่า และละล่ำละลักพูด "ฝ่าบาท! นั่นมิจริงพ่ะย่ะค่ะ!
“นี่ก็เย็นย่ำแล้ว! วันพรุ่งหม่อมฉันจะเข้าวังแต่เช้า แล้วค่อยทูลขอฝ่าบาทก็คงยังมิสายเกินไปเพคะ!”หัวใจของฟู่เฉินหวนเด้งมาอยู่ในลำคอ และเขาขัดจังหวะคำพูดของลั่วชิงยวนทันทีองค์จักรพรรดิพยักหน้า “มิเป็นไร! มิต้องรีบ!”ลั่วชิงยวนตกตะลึงนางขมวดคิ้วมุ่นและหันไปมองฟู่เฉินหวนฟู่เฉินหวนเสมองไปทางอื่น มิกล้ามองนาง และเอ่ยปากสั่ง “ทุกท่าน เตรียมตัวให้พร้อมแล้วออกเดินทางลงเขาในวันพรุ่ง”หลังจากพูดเช่นนั้น เขาก็มองไปที่ลั่วชิงยวนอีกครั้ง “ข้าจะส่งเจ้ากลับไปพักผ่อนก่อน”ลั่วชิงยวนมองไปทางอื่นอย่างใจเย็น และเอ่ยอย่างเย็นชา “หม่อมฉันยังอยากเดินเล่นอยู่”“เช่นนั้นเจ้าก็ควรระวัง” หากมีเซียวชูคอยติดตามนางอยู่เช่นนี้ ย่อมไม่มีอะไรเกิดขึ้นกับนางในเวลานี้ฉินเชียนหลี่และฉินไป๋หลี่มา ฟู่เฉินหวนไปทำงาน“พระชายา คราวนี้เกิดอะไรขึ้น…?” ฉินเชียนหลี่พูดด้วยน้ำเสียงที่ค่อนข้างตำหนิตัวเองลั่วชิงยวนตอบทันที “เรื่องนี้เป็นเรื่องระหว่างข้ากับเหยียนหน่ายซิน และไม่เกี่ยวข้องกับท่าน”“ดวงตาของคุณชายรองรู้สึกอย่างไรบ้าง?” ลั่วชิงยวนถามด้วยความกังวลฉินไป๋หลี่พูดอย่างรวดเร็ว “ดวงตาของข้าดีขึ้นมากแล้ว พระชาย
นางก้าวไปข้างหน้าเมื่อฟู่จิ่งหลีเห็นนาง เขาก็ตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นดวงตาของเขาก็สว่างขึ้นแล้วพูดด้วยรอยยิ้ม “ในตอนที่ข้ามาที่นี่ ก็ถูกกลิ่นหอมของสวนดึงดูดเข้า ข้ามักจะรู้สึกว่ามีบางอย่างกำลังนำทางให้ข้ามาที่นี่”“ครั้งนี้ข้าเห็นเด็กสาวที่งดงามราวกับเทพธิดา และข้าก็รู้ว่าสวรรค์เป็นผู้นำทางข้าให้ได้เห็นใบหน้าที่แท้จริงของเทพธิดานางนั้น!”“แม่นางมาจากที่ใด เป็นลูกเต้าเหล่าใคร เหตุใดข้าจึงมิเคยเห็นแม่นางมาก่อน”หากมิใช่เพราะว่าฟู่จิ่งหลีทำท่าราวกับพวกเจ้าชู้ประตูดิน ในตอนนี้ลั่วชิงยวนเกือบจะเชื่อว่าฟู่จิ่งหลีเป็นคนจริงจังแล้วเขาดูเป็นแบบนี้เมื่อเห็นสาวงาม แต่เขาแสร้งทำตัวดีต่อหน้านางและฟู่เฉินหวนฉินไป๋หลี่อดมิได้ที่จะหัวเราะในตอนที่เขาได้ยินฟู่จิ่งหลีและสงสัย พลางครุ่นคิดกับตัวเอง ‘สาวงามผู้นี้อยู่กับฉินไป่หลี่ ตระกูลฉินไม่มีบุตรี หรือว่านางจะเป็นสะใภ้ตระกูลฉิน?’ขณะที่เขากำลังคิดอยู่ จู่ ๆ เสียงที่คุ้นเคยก็เอ่ยขึ้นจากปากของใบหน้าที่ไม่คุ้นเคย“ในเมื่อหม่อมฉันเป็นเทพธิดา ข้าย่อมมาจากสรวงสวรรค์แน่ เช่นนั้นท่านจึงมิเคยเห็นหม่อมฉันมาก่อน”เสียงนี้นับว่าคุ้นเคยมาก!ฟู่จิ่ง
ลั่วชิงยวนและฟู่จิ่งหลีรีบวิ่งไปทันทีในแปลงวัชพืชมีกระดานไม้วางอยู่บนพื้นเมื่อแงะเปิดกระดานไม้ออก จึงปรากฏว่ามีห้องใต้ดินอยู่ข้างใต้ฟู่จิ่งหลีเป็นผู้นำ “ข้าจะลงไปดูก่อน!”“ระวังตัวด้วย”ฟู่จิ่งหลีลงไปที่ห้องใต้ดินทันทีลั่วชิงยวนได้ยินว่าไม่มีเสียงแปลก ๆ ที่นั่น และเขาก็รู้สึกปลอดภัย“ท่านพบสิ่งใดหรือไม่” ลั่วชิงยวนถามไม่ตอบสนองจากนั้นเสียงอุทานของฟู่จิ่งหลีก็ดังขึ้น “มาเร็วเข้า!”ลั่วชิงยวนสะดุ้งและกระโดดลงไปทันทีบาดแผลบนร่างกายของนางเจ็บอยู่พักหนึ่ง และนางก็บังคับตัวเองให้วิ่งไปหาฟู่จิ่งหลีอย่างรวดเร็วแต่ฟู่จิ่งหลีก็ปลอดภัยดีเขาอยู่ที่มุมห้องใต้ดิน กำลังแงะเปิดประตูลั่วชิงยวนประหลาดใจ “ที่นี่มีทางลับหรือ?”ฟู่จิ่งหลีหันไปมองนาง “ท่านได้กลิ่นเลือดในนี้หรือไม่?”ลั่วชิงยวนพยักหน้าจากนั้นเขาก็พบเครื่องมือในห้องใต้ดินและก้าวไปข้างหน้าเพื่อช่วยแงะเปิดมันหลังจากงัดเปิดมุมแล้ว ฟู่จิ่งหลีก็เตะเปิดประตูทั้งหมดฉินไป๋หลี่ก็ตามมาด้วย และทั้งสามก็เข้าสู่เส้นทางลับด้วยกันแต่ไม่มีเลือดอยู่บนพื้น มีเพียงรอยเท้าเท่านั้นพื้นของทางเดินลับไม่เรียบและไม่สูงเท่าใดนัก ดัง
ในเวลานี้ วังตกอยู่ในความสับสนวุ่นวายอีกครั้งองครักษ์จำนวนมากค้นหาไปทั่วทุกที่ ตามหาที่อยู่ของลั่วชิงยวนและคนอื่น ๆขณะเดินออกจากสวน จึงได้ยินเจ้าหน้าที่อุทานว่า "ข้าพบแล้ว ข้าพบแล้ว!"ก่อนที่ลั่วชิงยวนจะทันได้โต้ตอบ เขาก็เห็นร่างอันงดงามร่างหนึ่งวิ่งเข้ามาท่ามกลางแสงคบเพลิงและกอดนางไว้ในอ้อมแขนของเขาน้ำเสียงตระหนกขิงฟู่เฉินหวนลอยเข้าในหูนาง “เจ้าไปอยู่ที่ใดมา ข้าคิดว่าเจ้า…”ก่อนที่เขาจะพูดจบ ลั่วชิงยวนก็ผลักเขาออกไป“หม่อมฉันสบายดี”“หม่อมฉันเหนื่อย จะกลับไปพักผ่อนแล้ว”ลั่วชิงยวนดูสงบและเดินจากไปโดยไม่แม้แต่จะมองฟู่เฉินหวนฟู่เฉินหวนตัวแข็งทันที คิ้วของเขาขมวดมุ่น แต่ก็สงบลงอย่างรวดเร็ว พลางกำมือแน่น“ใครก็ได้ พาพระชายากลับไปพักผ่อน”หลังจากที่ลั่วชิงยวนจากไป ฟู่จิ่งหลีก็สับสนและก้าวไปข้างหน้า "พี่สาม ข้ามิเคยเห็นท่านกังวลถึงเพียงนี้มาก่อนเลย”“เกิดอะไรขึ้น? ท่านกลัวว่าพี่สะใภ้สามจะถูกลักพาตัวไป หลังจากที่นางเปิดเผยตัวตนที่แท้จริงกระนั้นหรือ?”“ท่านคงมิคิดว่าข้าเป็นน้องชายท่าน ถึงได้เก็บงำเรื่องนี้ไว้และทำให้ข้าเผลอปล่อยไก่ตัวเบ้อเริ่ม”เมื่อคิดถึงเรื่องอับอายในวันนี
เสียงนั้นดังสนั่นลั่วชิงยวนหันกลับมามองเว่ยอวิ๋นเซี๋ยลั่วชิงยวนหรี่ตาลงเล็กน้อย กัดฟันหนักขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อเห็นท่าทางเหน็บแนมของเว่ยอวิ๋นเซี๋ย“เจ้ามองข้าหาปะไร ข้าพูดอะไรผิดรึ? เจ้าอยู่ในห้องขององค์ชายห้าทั้งคืนจริง ๆ นี่ ไฉนข้าจะพูดเรื่องพฤติกรรมของเจ้ามิได้”เว่ยอวิ๋นเซี๋ยยังจงใจทำเสียงของนางให้ดังขึ้นเพื่อให้ทุกคนรอบข้างได้ยินอีกต่างหากขณะนี้ทุกคนกำลังเตรียมตัวขึ้นรถม้าลงจากภูเขาเพื่อกลับไปยังเมืองหลวง มีคนมารวมตัวกันค่อนข้างน้อยหลังจากได้ยินดังนั้น พวกเขาทั้งหมดก็เริ่มซุบซิบกัน“พระชายาอ๋องค้างคืนในห้องขององค์ชายห้าจริง ๆ หรือ?”“ข้าได้ยินมาก่อนหน้านี้ว่าพวกเขาทั้งสองดูเหมือนจะมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกัน เป็นไปได้ไหมที่พวกเขา...”“ชู่ว!”ในอดีต ในตอนที่ลั่วชิงยวนยังอัปลักษณ์ ไม่มีใครพูดถึงนางมากนัก เพราะอย่างไรเสียลั่วชิงยวนก็น่าเกลียดมาก ผู้ใดจะนึกพิศวาสนาง?แต่ตอนนี้เมื่อทุกคนได้เห็นความงามที่แท้จริงของนางแล้ว ความสงสัยและการคาดเดาอันน่าเกลียดเหล่านี้ก็หลั่งไหลเข้ามาเว่ยอวิ๋นเซี๋ยและลั่วเยวี่ยอิงที่ยกยิ้มอย่างได้ใจอยู่ที่มุมหนึ่ง“เว่ยอวิ๋นเซี๋ย เจ้าทำให้ตระกูล
ลั่วชิงยวนมิแปลกใจ นี่คือวิถีของเฉินชีต่อให้เวินซินถงมิให้นางไป เฉินชีก็จะบังคับพานางไปให้ได้ในเมื่อประสบปัญหาที่ต้องเชิญนักบวชระดับสูงมาแก้ไข หากทำเรื่องนี้สำเร็จก็จะเป็นการสร้างชื่อเสียงให้แก่ลั่วชิงยวน ซึ่งเอื้อประโยชน์ต่อการทวงคืนตำแหน่งนักบวชระดับสูงในภายภาคหน้านี่เป็นสิ่งที่เฉินชีกำลังคิดอยู่......เช้าวันรุ่งขึ้นเวินซินถงมาถึงหน้าเรือนของลั่วชิงยวนนางกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ตามข้าไปตระกูลมู่”“นำสิ่งที่จำเป็นต้องใช้ไปด้วย”กล่าวจบ เวินซินถงก็หันหลังเดินจากไปลั่วชิงยวนยังมิทันได้ถามว่านางควรนำสิ่งใดไป?เพราะสถานการณ์ของตระกูลมู่เป็นเช่นไรนางก็ยังมิรู้อีกทั้งเมื่อก่อนตอนที่นางเป็นนักบวชระดับสูงก็ไม่มีธรรมเนียมเช่นนี้ด้วย จึงมิรู้ว่าควรนำสิ่งใดไปเซี่ยหลิงที่ติดตามอยู่ข้าง ๆ เตือนลั่วชิงยวน “เจ้ามิเคยออกไปกับนักบวชระดับสูง ต้องเตรียมสิ่งใดก็ไปถามจั๋วฉ่างตงเถิด”ลั่วชิงยวนตกตะลึงไปครู่หนึ่งนางหรี่ตาลง นี่จงใจให้นางไปหาจั๋วฉ่างตงให้จั๋วฉ่างตงกลั่นแกล้งนางเพื่อระบายความแค้นให้จั๋วฉ่างตงหรือำร?ลั่วชิงยวนครุ่นคิด แล้วก็ไปหาจั๋วฉ่างตงที่เรือนเมื่อไปถึง จั๋ว
ฝ่ามือที่ตบลงบนใบหน้าทำให้หลานจีล้มลงกับพื้น โลหิตไหลออกจากมุมปาก“ท่านแม่ทัพ!” หลานจีเงยหน้ามองเขาด้วยความตกใจมิรู้เลยว่าเหตุใดจึงเป็นเช่นนี้เฉินชีจิกผมของนางอย่างรุนแรง กระชากนางให้ลุกขึ้นจากพื้น แล้วบีบใบหน้าของนางด้วยพละกำลังมหาศาลพลางเค้นถามด้วยเสียงดุดัน “เจ้าทำกระไรลงไป?!”“ผู้ใดใช้ให้เจ้าให้ยาแก่นางแล้วปล่อยนางไป?!”หลานจีสับสน หยาดน้ำตาไหลรินด้วยความรู้สึกเสียใจมาก “ท่านแม่ทัพ ข้ามิรู้ว่าท่านกำลังพูดถึงเรื่องใด”“มิใช่ข้าจงใจปล่อยนางไป นางไปเองต่างหากเจ้าค่ะ”“ข้ามิได้ทำอะไรเลย”เฉินชียังคงเต็มไปด้วยโทสะ “เจ้าคิดว่าข้ามิรู้ความคิดเล็ก ๆ น้อย ๆ ของเจ้ารึ!”“ข้าขอเตือนเจ้า หากเจ้ากล้าทำอะไรลับหลังอีกก็ไสหัวไป!”กล่าวจบ เฉินชีก็ปล่อยนางเขาไว้ชีวิตนางอีกครั้งเดิมทีเขาตั้งใจจะมาสังหารหลานจี แต่เมื่อเห็นน้ำตาของนางแล้วกลับรู้สึกราวกับได้เห็นลั่วเหลา จึงยอมไว้ชีวิตนางหลานจีทรุดลงนั่งกับพื้นอย่างหมดเรี่ยวแรง มองแผ่นหลังของเฉินชีที่จากไปด้วยความโกรธพลางร่ำไห้สะอึกสะอื้นนางมิรู้ว่าตนทำสิ่งใดผิดและมิรู้ว่าเหตุใดท่านแม่ทัพจึงมีท่าทีต่อนางเปลี่ยนไปถึงเพียงนี้ทั้งท
เมื่อคำพูดนั้นหลุดออกมา สีหน้าของฟู่เฉินหวนก็เปลี่ยนไปในทันที“กระหม่อมเป็นองครักษ์ข้างกายองค์ชายใหญ่ โปรดอภัยให้กระหม่อมที่มิสามารถทำตามพระบัญชาได้ด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ!”องค์หญิงผู้นี้ชอบเฉินชี หากเขาติดตามองค์หญิงไปก็คงจะได้พบกับเฉินชีเป็นแน่ มิหนำซ้ำ เกาเหมียวเหมี่ยวก็ช่วยเขาฆ่าเฉินชีมิได้เมื่อถูกเขาปฏิเสธอีกครั้ง สีหน้าของเกาเหมียวเหมี่ยวจึงดูมิดีนักฉินอี้จึงต้องก้าวออกมา “เหมียวเหมี่ยว คนที่คอยคุ้มครองเจ้ายังมิพออีกหรือ?”“ข้างกายพี่ใหญ่มีองครักษ์คนนี้อยู่เพียงคนเดียว เจ้าอย่าแย่งเขาไปเลย”สีหน้าของฉินอี้ดูเหมือนคนจนใจน้ำเสียงของเขาฟังดูน่าสงสารเมื่อเห็นเขาเป็นแบบนี้ เกาเหมียวเหมี่ยวก็มิกล้าที่จะบังคับอีก นางตอบอย่างมิพอใจว่า “ก็ได้”“รอจนกว่าท่านจะมิต้องการเขาแล้ว ค่อยให้หม่อมฉันก็แล้วกัน”“หม่อมฉันค่อนข้างชอบเขา”เกาเหมียวเหมี่ยวพูดพลางมองฟู่เฉินหวน บนใบหน้าของนางมีรอยยิ้มยิ่งมองก็ยิ่งรู้สึกว่าเขาคล้ายกับเฉินชีมิใช่หน้าตาที่เหมือน แต่เป็นอารมณ์เย็นชาหยิ่งผยองและความกล้าหาญที่จะปฏิเสธนางโดยมิแม้แต่จะเสียงสั่นในเมื่อยังมิสามารถทำให้เฉินชีสยบต่อนางได้ในเร็ววัน การ
“ไปเถอะ ข้าจะพาเจ้าไปทำความเข้าใจสถานการณ์”กล่าวจบ เขาก็พาฟู่เฉินหวนเดินไปทว่าระหว่างทางกลับพบเกาเหมียวเหมี่ยวเดินสวนมาพอดีฉินอี้เข้าไปหาด้วยความเป็นห่วง แล้วเอ่ยถาม “เหมียวเหมี่ยว อาการบาดเจ็บของเจ้าหายดีแล้วหรือ?”เกาเหมียวเหมี่ยวตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “บาดแผลเพียงเท่านี้คร่าชีวิตหม่อมฉันมิได้หรอก อีกอย่าง เสด็จพ่อกับเสด็จแม่ประทานยาให้หม่อมฉันมากมาย มิเจ็บปวดแผลแล้ว”ฉินอี้พยักหน้า “บาดแผลของเจ้าหายเร็วได้เช่นนี้ก็เพราะกินน้ำแกงโสมมังกรมาตลอด เจ้าต้องกินทุกวันตามเวลา ร่างกายจะได้แข็งแรงขึ้น!”“เข้าใจแล้ว”เมื่อได้ยินเช่นนี้ ฟู่เฉินหวนก็ดวงตาเป็นประกายน้ำแกงโสมมังกรหรือ?เป็นโสมมังกรชนิดเดียวกับที่หมอหลวงมู่ให้เขากินหรือไม่?สิ่งนี้แม้แต่หมอหลวงมู่ก็มีเพียงชิ้นเดียว มิเคยพบเห็นชิ้นที่สองแต่องค์หญิงแห่งแคว้นหลีกลับได้กินทุกวันเลยหรือ?เขาอดสงสัยมิได้ว่าสองสิ่งนี้เป็นสิ่งเดียวกันจริงหรือไม่หากเป็นเช่นนั้น เขาก็มีโอกาสที่จะมีชีวิตอยู่ต่ออีกหลายเดือน หรือกระทั่งหลายปีเลยมิใช่หรือ?เปลวไฟแห่งความหวังลุกโชนขึ้นในใจของฟู่เฉินหวนฉินอี้เดินจากไปแล้ว แต่ฟู่เฉินหวนยังคงยื
ลั่วชิงยวนยกยิ้มอย่างใจเย็น “องค์ชายใหญ่ใส่ใจเรื่องนี้ถึงเพียงนี้เชียวหรือเพคะ?”ฉินอี้ขมวดคิ้วมุ่น มองนางด้วยสีหน้าจริงจัง “แน่นอน! แท้จริงแล้วเจ้ารู้อะไรกันแน่!”วันนั้นในคุกใต้ดิน เกือบจะได้ฟังคำพูดต่อจากนั้นของลั่วชิงยวนแล้วแต่กลับถูกเฉินชีขัดจังหวะเสียก่อนหลังจากกลับไป เขาก็ครุ่นคิดถึงเรื่องนี้มาโดยตลอดเขาอาจมิใส่ใจเรื่องราวในอดีตได้ แต่นี่เกี่ยวข้องกับอนาคตของเขา! เขาจะมิใส่ใจคงมิได้!ลั่วชิงยวนกลับยกยิ้ม “องค์ชายใหญ่เชื่อจริงจังเลยหรือ?”“วันนั้นหม่อมฉันเพียงต้องการเอาชีวิตรอด จึงพูดจาเหลวไหลไปเท่านั้น”เมื่อคำพูดนี้หลุดออกมา ฉินอี้ก็ตกตะลึงไปทั้งร่างมองนางด้วยความตกใจและโกรธเกรี้ยว “เจ้าว่ากระไรนะ?!”ลั่วชิงยวนเลิกคิ้วขึ้น “หม่อมฉันมิอยากพูดซ้ำสอง”ฉินอี้โกรธจนอยากจะลงมือ แต่ก็อดกลั้นไว้ เขาไม่มีทางต่อกรกับลั่วชิงยวนได้สุดท้ายก็ได้แต่จากไปด้วยความขุ่นเคืองเมื่อเห็นฉินอี้จากไป เงาร่างที่แอบฟังอยู่ก็รีบจากไปเช่นกันอาการของฉินอี้นั้นมีสาเหตุจริง แต่เรื่องนี้ยังมิอาจบอกให้ฉินอี้รู้ได้เพราะมันเป็นเรื่องใหญ่หากพูดออกไป ปัญหาที่นางจะต้องเผชิญจะมิใช่เพียงเรื่องรา
อวี๋โหรวพยักหน้า รีบเช็ดน้ำตา “ขอบคุณ”ลั่วชิงยวนตบไหล่นางเบา ๆ เพื่อปลอบโยนเมื่อสนทนามาถึงตรงนี้ ลั่วชิงยวนจึงถือโอกาสถามอวี๋โหรว “อันที่จริงข้าสงสัยเรื่องนักบวชระดับสูงคนก่อน เจ้าพอจะรู้หรือไม่ว่านางตายอย่างไร?”อวี๋โหรวตกใจเล็กน้อยคาดเดาในใจว่าลั่วชิงยวนคงสอบถามเรื่องนี้เพราะเฉินชีเพราะว่าเฉินชีก็มีใจให้ลั่วเหลาเช่นเดียวกันนางอธิบาย “ไม่มีผู้ใดรู้ว่านางตายอย่างไร”“วันนั้นนางบำเพ็ญเพียรอยู่ที่หอเทียนฉี วันรุ่งขึ้นเมื่อมีคนมาพบก็เหลือเพียงโลหิตกองเต็มพื้น”“บนพื้นยังมีร่องรอยการลากศพด้วย”“แต่ส่งคนออกไปตามหาศพตั้งมากมายก็หามิพบ”“เฉินชีแทบจะพลิกทั่วทั้งวัง แทบจะคลุ้มคลั่งสังหารคนในสำนักนักบวชไปเสียสิ้น”“ยังดีที่จักรพรรดิทรงนำราชองครักษ์เกราะเหล็กมาด้วยพระองค์เอง จึงสามารถควบคุมตัวเฉินชีไว้ได้”“เรื่องการตายของนักบวชระดับสูงนั้นมีการสืบสวนอยู่นาน แต่ก็ไม่มีเบาะแสใด ๆ เบาะแสทั้งหมดหยุดอยู่ที่หอเทียนฉี”“นอกหอเทียนฉีไม่มีร่องรอยใดหลงเหลือ”“นานวันเข้า เรื่องนี้ก็เงียบหายไป”ตามคำบอกเล่าของอวี๋โหรว ลั่วชิงยวนก็หวนนึกถึงคืนนั้นหอเทียนฉีเป็นสถานที่ที่นักบวชระดับสูงจะท
อวี๋โหรวก็ประหลาดใจ นางมิคาดคิดว่าลั่วชิงยวนจะล่วงรู้ความคิดเล็ก ๆ น้อย ๆ ของนาง อีกทั้งยังไปเอาเรื่องจั๋วฉ่างตงเพื่อนางและทำร้ายจั๋วฉ่างตงจนอยู่ในสภาพเช่นนั้นการกระทำของนางคล้ายคลึงกับลั่วเหลาในสมัยก่อนยิ่งนักนางชอบใจมาก“กินยาเสีย” ลั่วชิงยวนรินยาให้อวี๋โหรวเดินเข้าไปดมแล้วก็รู้สึกประหลาดใจ “ในนี้มีบัวถวายผสมด้วยหรือ?”“เจ้ากินไปเถิด”“อาการบาดเจ็บของเจ้าน่าจะทุเลาลงเพราะยานี้”ลั่วชิงยวนกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “อาการบาดเจ็บภายในของเจ้าก็มิได้ดีไปกว่าข้าหรอก รีบกินเสีย”อวี๋โหรวจำต้องยอมดื่มยานั้นลั่วชิงยวนนั่งลงข้าง ๆ รินน้ำชาหนึ่งถ้วย แล้วกล่าวว่า “ต่อไปจั๋วฉ่างตงจะต้องหาเรื่องเจ้าอีกเป็นแน่ เจ้าจะปิดบังตนเองอีกมิได้”“ในเมื่อฝีมือของเจ้าทำให้จั๋วฉ่างตงริษยาได้ เช่นนั้นก็อย่าได้เกรงใจนาง!”“ส่วนทางด้านนักบวชระดับสูง ข้าคิดว่านางคงจะให้ความสำคัญกับผู้ที่มีความสามารถ มิใช่ผู้ที่ประจบสอพลอ”นี่คือความเข้าใจที่ลั่วชิงยวนมีต่อเวินซินถงจั๋วฉ่างตงสามารถเป็นคนสนิทข้างกายของนางได้ ย่อมเป็นเพราะจั๋วฉ่างตงมีฝีมือที่แข็งแกร่งในสำนักนักบวช มิใช่เพราะจั๋วฉ่างตงประจบสอพลอเก่
ลั่วชิงยวนคว้าตัวจั๋วฉ่างตง “คุกเข่าลง! ขอโทษ! รับปากด้วยว่าจะมิรังแกนางอีก!”เมื่อเสียงอันดุดันดังขึ้น ทุกคนต่างตกตะลึงจั๋วฉ่างตงมีหรือจะยินยอม ดวงตาแดงก่ำของนางจ้องมองลั่วชิงยวนอย่างเดือดดาล “สารเลว!”เพียะ!ลั่วชิงยวนตบหน้านางอย่างมิปรานี“ข้ามิรังเกียจที่จะตบเจ้าจนกว่าจะยอม”“ยามนี้ตบหน้ายังทนได้ หากบีบให้ข้าใช้ท่วงท่าอื่น ระวังวรยุทธ์ของเจ้าจะไร้ค่า!”ลั่วชิงยวนข่มขู่ด้วยน้ำเสียงเย็นชาจั๋วฉ่างตงกัดริมฝีปากล่างด้วยความโกรธแค้นและอัปยศอดสูเดิมทีนางเป็นหญิงสาวที่หน้าตางดงาม ทว่ายามนี้กลับถูกลั่วชิงยวนทำร้ายจนยับเยิน แทบจะจำเค้าเดิมมิได้“ข้ามิได้มีความอดทนมากนัก เร็วเข้า!”ยามนี้มีผู้คนมากมายได้ยินเสียงอึกทึกจึงมามุงดูเหตุการณ์น่าตื่นเต้นรวมตัวกันอยู่หน้าประตูเรือนพลางกระซิบกระซาบกัน“ลั่วชิงยวนผู้นี้ช่างกล้าหาญนัก”“จั๋วฉ่างตงไปยั่วโมโหนางอีกแล้วหรือ?”เมื่อได้ยินเสียงจากภายนอก จั๋วฉ่างตงก็แทบจะหลั่งน้ำตา มีผู้คนมากมายมองดูอยู่ นางกลับต้องคุกเข่าขอโทษอวี๋โหรว!ขณะที่ลั่วชิงยวนหมดความอดทนและกำลังจะลงมือจั๋วฉ่างตงก็กลั้นน้ำตาไว้พลางคุกเข่าลง ตรงหน้าอวี๋โหรวอว
จั๋วฉ่างตงเดินออกมาจากห้องนัยน์ตาของลั่วชิงยวนฉายแววมุ่งสังหาร “ที่แท้เจ้าก็มิใช่เต่าหดหัวในกระดองนี่”จั๋วฉ่างตงจ้องมองนางด้วยสีหน้าดุดัน แล้วเดินลงมาอย่างช้า ๆ “ลั่วชิงยวน ข้าขอเตือนให้เจ้าสำรวมตนเสียบ้าง!”กล่าวพลางกวาดสายตามองไปยังคนที่นอนกองอยู่บนพื้น แล้วตวาดเสียงดัง “ปล่อยพวกเขา!”ลั่วชิงยวนบุกเข้ามาทำร้ายคนถึงเรือนของนาง นี่มิใช่การตบหน้านางต่อหน้าธารกำนัลหรอกหรือ!แม้จะพ่ายแพ้ให้แก่ลั่วชิงยวนที่หอรักษ์ดารา แต่ก็มิได้หมายความว่านางจะต้องหวาดกลัวลั่วชิงยวน!ลั่วชิงยวนเตะไปที่คนเหล่านั้น แล้วยอมปล่อยพวกเขาให้เป็นอิสระคนเหล่านั้นกลิ้งตัวลงบนพื้นทีละคนก่อนจะรีบลุกขึ้นยืนอย่างลนลาน หมายจะหลบไปอยู่ด้านหลังจั๋วฉ่างตงทว่าในเวลานี้เอง ริมฝีปากของลั่วชิงยวนก็ยกยิ้มเย็นเยียบ กระโจนเข้าหาจั๋วฉ่างตงอย่างรวดเร็วแล้วใช้มือคว้าจับที่คอเสื้อของนางจั๋วฉ่างตงขัดขืนโดยสัญชาตญาณ แต่นางได้รับบาดเจ็บ จะเป็นสู้ลั่วชิงยวนได้อย่างไรทันใดนั้นก็ถูกลั่วชิงยวนเหวี่ยงลงกับพื้น แล้วตบหน้าอย่างแรงจนผมเผ้าของจั๋วฉ่างตงยุ่งเหยิงขณะที่ตั้งตัวมิทันเสียงฝ่ามือกระทบใบหน้านั้นหนักแน่น เสียงดังสนั