ลั่วชิงยวนเดินจากไปอย่างผิดหวังเซียวชูตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง คิ้วของเขาขมวดมุ่น และคิดว่าเขาพูดอะไรผิดหรือไม่?เมื่อลั่วชิงยวนกลับมาที่ห้อง ฟู่อวิ๋นโจวเอ่ยถามด้วยความกังวล “พบแล้วหรือยัง”ลั่วชิงยวนส่ายหน้า นางนั่งลงเพื่อตรวจดูชีพจรของฟู่อวิ๋นโจวแล้วถามว่า “เมื่อพิษเริ่มทำงาน ท่านจะมีอาการเช่นไร?”ฟู่อวิ๋นโจวตกใจเล็กน้อยและดูเศร้าซึม เขารู้ว่าอีกฝ่ายไม่พบยาแก้พิษ“ร่างกายของข้าจะรู้สึกหนาวราวกับถูกแช่แข็งอยู่ในห้องเก็บน้ำแข็งใต้ดิน…”ฟู่อวิ๋นโจวพูดอย่างระมัดระวังโดยไม่เก็บงานรายละเอียดใด ๆลั่วชิงยวนวิเคราะห์จากสิ่งที่เขาพูด จากนั้นจึงเขียนใบเทียบยา แล้วไปเตรียมยาด้วยตนเองแม้ว่าพิษที่ฟู่อวิ๋นโจวได้รับจะไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ แต่ก็เป็นการดีกว่าที่จะระงับมันไว้ชั่วคราวและทำให้เขารอดชีวิตไปได้ในช่วงเวลานี้ก่อนตราบใดที่เขาให้เวลานางอีกสักหน่อย นางจะค่อย ๆ ค้นคว้ายาแก้พิษออกมาได้แน่!ฟู่อวิ๋นโจวกินยาแล้วและทุกอย่างก็ปกติดี อาการของเขามิได้ทรุดลงแต่อย่างใด ทว่าลั่วชิงยวนก็มิหายกังวลและคอยเฝ้าอยู่ในห้องตลอดเวลาเนื่องจากผลของยา ในไม่ช้าฟู่อวิ๋นโจวจึงเข้าสู่ภาวะหลับลึกท่ามกลา
ฝ่ามือที่เย็นเล็กน้อยของเขาสัมผัสลงบนผิวหนังของลั่วชิงยวน ทำให้หูของลั่วชิงยวนเปลี่ยนเป็นสีแดงทันที ก่อนที่นางจะตะโกนขึ้นด้วยความโกรธว่า “ไปให้พ้น!”“อย่าขยับ!” ฟู่เฉินหวนรู้สึกราวกับว่าหัวใจของเขามีเลือดออกรอยแส้ทั่วร่างเช่นนี้เกิดขึ้นเมื่อไร?ผิวหนังแตก เนื้อฉีก มีกลิ่นเค็มชัดเจน นี่คงเป็นน้ำเกลือ!ฟู่เฉินหวนหนักมือขึ้นโดยไม่รู้ตัว ทำให้ลั่วชิงยวนรู้สึกเจ็บปวดมากยิ่งขึ้น“ฟู่เฉินหวน นี่ท่านคิดจะทำอะไร!” ลั่วชิงยวนคว้าอาภรณ์ขึ้นมาปกปิดร่างกายของตน นางจ้องมองบุรุษตรงหน้าด้วยดวงตาแดงก่ำฟู่เฉินหวนตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นเขาก็สังเกตเห็นความลำบากใจและการต่อต้านของนางเมื่อดูการกระทำของนาง ฟู่เฉินหวนก็เกิดกังวล"ข้าขอโทษ"การที่จู่ ๆ เขาก็เอ่ยปากขอโทษ นั่นทำให้ลั่วชิงยวนตกใจครู่ต่อมา มือใหญ่โตก็วางลงบนลำคอของนางมีเสียงดัง ‘แคว่ก’ เกิดขึ้นเสื้อผ้าของนางขาดวิ่นความเยือกเย็นที่พัดเข้ามาทำให้ลั่วชิงยวนรู้สึกละอายใจเล็กน้อยนางขัดขืนอยู่ครู่หนึ่ง แต่ฝ่ามือของฟู่เฉินหวนกลับกดไหล่ของนางไว้ได้อย่างแน่นหนาเขายังขู่ซ้ำ “หากเจ้าขยับอีกครั้ง ข้าจะฆ่าฟู่อวิ๋นโจวเสีย!”ลั่วชิงย
ฟู่เฉินหวนตกตะลึง หัวใจเกิดเสียงดังก้องขึ้น“ข้ามิอยากถูกท่านใช้เป็นเครื่องมือซ้ำแล้วซ้ำอีก”“ตอนนี้เหยียนหน่ายซินคงไม่มีสิทธิ์ได้เป็นฮองเฮาอย่างแน่นอน ครั้งนี้ท่านบรรลุเป้าหมายอีกครั้งแล้ว เช่นนั้นก็ปล่อยข้าไปเถอะ”ฟู่เฉินหวนตกใจ นางได้ยินอย่างนั้นหรือ?ฟู่เฉินหวนขมวดคิ้วอยู่นาน ก่อนที่เขาจะเอ่ยขึ้นว่า “ไว้คุยกันทีหลัง”เขามิเห็นด้วยและไม่ปฏิเสธ ลั่วชิงยวนจึงมิรู้ว่าเขาหมายความเช่นไรพวกเขาเดินมาถึงจัตุรัสหน้าพระตำหนักขององค์จักรพรรดิในขณะนี้ หมอหลวงทั้งหมดมารวมตัวกันที่นี่พวกเขากำลังคุยกันเรื่องยาและเรื่องอื่น ๆ อยู่ภายในและยุ่งจนหัวหมุน อย่างไรก็ตามเหยียนหน่ายซินกลับยังคงมีสติอยู่นางยังมิหลับและกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดองค์จักรพรรดิกำลังนั่งดื่มชาอยู่ในห้องโถงเมื่อเห็นคนทั้งคู่เข้ามาเขาก็สั่งการทันที “พระชายาอ๋องได้รับบาดเจ็บ โปรดดูอาการให้นางด้วย”ขันทีนำเก้าอี้มา ส่วนฟู่เฉินหวนและลั่วชิงยวนก็นั่งลงด้วยกัน“ลั่วชิงยวน เจ้าคือลั่วชิงยวนใช่หรือไม่?” องค์จักรพรรดิถามด้วยความสนใจ“เพคะ” ลั่วชิงยวนดูซีดเซียวและตอบด้วยเสียงต่ำองค์จักรพรรดิค่อย ๆ วางถ้วยชาลงแล้วถามอีกครั้
“ด้วยวิธีนี้นางถึงจะสามารถได้โบยบินไปกับคนที่นางรักได้”“เจ้าซึ่งเป็นสหาย กล้าหลอกลวงเบื้องสูง พยายามช่วยให้เหยียนหน่ายซินพ้นจากโทษประหาร อะไรทำให้เจ้ามิกลัวตายได้ถึงขนาดนี้กัน?”“หรือว่าเจ้าคือคนรักของเหยียนหน่ายซินผู้นั้นเล่า?”ลั่วชิงยวนมั่นใจอย่างชัดแจ้งว่า บุคคลนี้น่าจะเป็นคนรักของเหยียนหน่ายซิน แต่เหยียนหน่ายซินอาจมิชอบเขาที่นางพูดเช่นนี้เพียงเพราะนางต้องการเอ่ยถึงความผิดของเหยียนหน่ายซินเรื่องการหลอกลวงองค์จักรพรรดิด้วยวิธีนี้ ตระกูลเหยียนจะได้รู้ว่าเหยียนหน่ายซินจงใจก่อให้เกิดหายนะดังกล่าวเพื่อมิให้ตัวเองต้องกลายเป็นฮองเฮา และต้องการให้องค์จักรพรรดิและฟู่เฉินหวนใช้ประโยชน์จากเรื่องนี้ พวกเขาจะต้องโกรธมากและไม่อยากจะช่วยเหยียนหน่ายซินติดต่อไปหากตระกูลเหยียนมิปกป้องเหยียนหน่ายซิน เช่นนั้นเหยียนหน่ายซินจะต้องตายอย่างมิต้องสงสัย!ทันทีที่คำพูดของนางหลุดออกมา ทุกคนก็ตกตะลึงองค์จักรพรรดิรีบถามขึ้น "จริงหรือ?"ลั่วชิงยวนพยักหน้า “หม่อมฉันได้ยินกับหูของตัวเองเลยเพคะ”โม่เชียนซึ่งนอนอยู่บนพื้น จู่ ๆ ก็เริ่มตัวสั่นอย่างประหม่า และละล่ำละลักพูด "ฝ่าบาท! นั่นมิจริงพ่ะย่ะค่ะ!
“นี่ก็เย็นย่ำแล้ว! วันพรุ่งหม่อมฉันจะเข้าวังแต่เช้า แล้วค่อยทูลขอฝ่าบาทก็คงยังมิสายเกินไปเพคะ!”หัวใจของฟู่เฉินหวนเด้งมาอยู่ในลำคอ และเขาขัดจังหวะคำพูดของลั่วชิงยวนทันทีองค์จักรพรรดิพยักหน้า “มิเป็นไร! มิต้องรีบ!”ลั่วชิงยวนตกตะลึงนางขมวดคิ้วมุ่นและหันไปมองฟู่เฉินหวนฟู่เฉินหวนเสมองไปทางอื่น มิกล้ามองนาง และเอ่ยปากสั่ง “ทุกท่าน เตรียมตัวให้พร้อมแล้วออกเดินทางลงเขาในวันพรุ่ง”หลังจากพูดเช่นนั้น เขาก็มองไปที่ลั่วชิงยวนอีกครั้ง “ข้าจะส่งเจ้ากลับไปพักผ่อนก่อน”ลั่วชิงยวนมองไปทางอื่นอย่างใจเย็น และเอ่ยอย่างเย็นชา “หม่อมฉันยังอยากเดินเล่นอยู่”“เช่นนั้นเจ้าก็ควรระวัง” หากมีเซียวชูคอยติดตามนางอยู่เช่นนี้ ย่อมไม่มีอะไรเกิดขึ้นกับนางในเวลานี้ฉินเชียนหลี่และฉินไป๋หลี่มา ฟู่เฉินหวนไปทำงาน“พระชายา คราวนี้เกิดอะไรขึ้น…?” ฉินเชียนหลี่พูดด้วยน้ำเสียงที่ค่อนข้างตำหนิตัวเองลั่วชิงยวนตอบทันที “เรื่องนี้เป็นเรื่องระหว่างข้ากับเหยียนหน่ายซิน และไม่เกี่ยวข้องกับท่าน”“ดวงตาของคุณชายรองรู้สึกอย่างไรบ้าง?” ลั่วชิงยวนถามด้วยความกังวลฉินไป๋หลี่พูดอย่างรวดเร็ว “ดวงตาของข้าดีขึ้นมากแล้ว พระชาย
นางก้าวไปข้างหน้าเมื่อฟู่จิ่งหลีเห็นนาง เขาก็ตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นดวงตาของเขาก็สว่างขึ้นแล้วพูดด้วยรอยยิ้ม “ในตอนที่ข้ามาที่นี่ ก็ถูกกลิ่นหอมของสวนดึงดูดเข้า ข้ามักจะรู้สึกว่ามีบางอย่างกำลังนำทางให้ข้ามาที่นี่”“ครั้งนี้ข้าเห็นเด็กสาวที่งดงามราวกับเทพธิดา และข้าก็รู้ว่าสวรรค์เป็นผู้นำทางข้าให้ได้เห็นใบหน้าที่แท้จริงของเทพธิดานางนั้น!”“แม่นางมาจากที่ใด เป็นลูกเต้าเหล่าใคร เหตุใดข้าจึงมิเคยเห็นแม่นางมาก่อน”หากมิใช่เพราะว่าฟู่จิ่งหลีทำท่าราวกับพวกเจ้าชู้ประตูดิน ในตอนนี้ลั่วชิงยวนเกือบจะเชื่อว่าฟู่จิ่งหลีเป็นคนจริงจังแล้วเขาดูเป็นแบบนี้เมื่อเห็นสาวงาม แต่เขาแสร้งทำตัวดีต่อหน้านางและฟู่เฉินหวนฉินไป๋หลี่อดมิได้ที่จะหัวเราะในตอนที่เขาได้ยินฟู่จิ่งหลีและสงสัย พลางครุ่นคิดกับตัวเอง ‘สาวงามผู้นี้อยู่กับฉินไป่หลี่ ตระกูลฉินไม่มีบุตรี หรือว่านางจะเป็นสะใภ้ตระกูลฉิน?’ขณะที่เขากำลังคิดอยู่ จู่ ๆ เสียงที่คุ้นเคยก็เอ่ยขึ้นจากปากของใบหน้าที่ไม่คุ้นเคย“ในเมื่อหม่อมฉันเป็นเทพธิดา ข้าย่อมมาจากสรวงสวรรค์แน่ เช่นนั้นท่านจึงมิเคยเห็นหม่อมฉันมาก่อน”เสียงนี้นับว่าคุ้นเคยมาก!ฟู่จิ่ง
ลั่วชิงยวนและฟู่จิ่งหลีรีบวิ่งไปทันทีในแปลงวัชพืชมีกระดานไม้วางอยู่บนพื้นเมื่อแงะเปิดกระดานไม้ออก จึงปรากฏว่ามีห้องใต้ดินอยู่ข้างใต้ฟู่จิ่งหลีเป็นผู้นำ “ข้าจะลงไปดูก่อน!”“ระวังตัวด้วย”ฟู่จิ่งหลีลงไปที่ห้องใต้ดินทันทีลั่วชิงยวนได้ยินว่าไม่มีเสียงแปลก ๆ ที่นั่น และเขาก็รู้สึกปลอดภัย“ท่านพบสิ่งใดหรือไม่” ลั่วชิงยวนถามไม่ตอบสนองจากนั้นเสียงอุทานของฟู่จิ่งหลีก็ดังขึ้น “มาเร็วเข้า!”ลั่วชิงยวนสะดุ้งและกระโดดลงไปทันทีบาดแผลบนร่างกายของนางเจ็บอยู่พักหนึ่ง และนางก็บังคับตัวเองให้วิ่งไปหาฟู่จิ่งหลีอย่างรวดเร็วแต่ฟู่จิ่งหลีก็ปลอดภัยดีเขาอยู่ที่มุมห้องใต้ดิน กำลังแงะเปิดประตูลั่วชิงยวนประหลาดใจ “ที่นี่มีทางลับหรือ?”ฟู่จิ่งหลีหันไปมองนาง “ท่านได้กลิ่นเลือดในนี้หรือไม่?”ลั่วชิงยวนพยักหน้าจากนั้นเขาก็พบเครื่องมือในห้องใต้ดินและก้าวไปข้างหน้าเพื่อช่วยแงะเปิดมันหลังจากงัดเปิดมุมแล้ว ฟู่จิ่งหลีก็เตะเปิดประตูทั้งหมดฉินไป๋หลี่ก็ตามมาด้วย และทั้งสามก็เข้าสู่เส้นทางลับด้วยกันแต่ไม่มีเลือดอยู่บนพื้น มีเพียงรอยเท้าเท่านั้นพื้นของทางเดินลับไม่เรียบและไม่สูงเท่าใดนัก ดัง
ในเวลานี้ วังตกอยู่ในความสับสนวุ่นวายอีกครั้งองครักษ์จำนวนมากค้นหาไปทั่วทุกที่ ตามหาที่อยู่ของลั่วชิงยวนและคนอื่น ๆขณะเดินออกจากสวน จึงได้ยินเจ้าหน้าที่อุทานว่า "ข้าพบแล้ว ข้าพบแล้ว!"ก่อนที่ลั่วชิงยวนจะทันได้โต้ตอบ เขาก็เห็นร่างอันงดงามร่างหนึ่งวิ่งเข้ามาท่ามกลางแสงคบเพลิงและกอดนางไว้ในอ้อมแขนของเขาน้ำเสียงตระหนกขิงฟู่เฉินหวนลอยเข้าในหูนาง “เจ้าไปอยู่ที่ใดมา ข้าคิดว่าเจ้า…”ก่อนที่เขาจะพูดจบ ลั่วชิงยวนก็ผลักเขาออกไป“หม่อมฉันสบายดี”“หม่อมฉันเหนื่อย จะกลับไปพักผ่อนแล้ว”ลั่วชิงยวนดูสงบและเดินจากไปโดยไม่แม้แต่จะมองฟู่เฉินหวนฟู่เฉินหวนตัวแข็งทันที คิ้วของเขาขมวดมุ่น แต่ก็สงบลงอย่างรวดเร็ว พลางกำมือแน่น“ใครก็ได้ พาพระชายากลับไปพักผ่อน”หลังจากที่ลั่วชิงยวนจากไป ฟู่จิ่งหลีก็สับสนและก้าวไปข้างหน้า "พี่สาม ข้ามิเคยเห็นท่านกังวลถึงเพียงนี้มาก่อนเลย”“เกิดอะไรขึ้น? ท่านกลัวว่าพี่สะใภ้สามจะถูกลักพาตัวไป หลังจากที่นางเปิดเผยตัวตนที่แท้จริงกระนั้นหรือ?”“ท่านคงมิคิดว่าข้าเป็นน้องชายท่าน ถึงได้เก็บงำเรื่องนี้ไว้และทำให้ข้าเผลอปล่อยไก่ตัวเบ้อเริ่ม”เมื่อคิดถึงเรื่องอับอายในวันนี
“เจ้ารีบอะไรนักหนา รอมาตั้งนานแล้ว รออีกสักหน่อยจะเป็นกระไร”เมื่อได้ยินดังนั้น อวี๋ตันเฟิ่งก็หยุดมือลั่วชิงยวนเดินเข้าไปคว้าตัวโหยวเซียงไว้ให้โฉวสือชีมัดนางไว้แน่นหนา จากนั้นจึงปลุกโหยวเซียงให้ฟื้นขึ้นมาเมื่อฟื้นคืนสติ โหยวเซียงก็จ้องหน้าลั่วชิงยวนเขม็งอย่างโกรธแค้น “เจ้ากล้าจับข้า เจ้าคอยดูเถอะว่าจะตายอย่างไร!”ลั่วชิงยวนย่อตัวลงนั่งตรงหน้านาง แล้วหัวเราะเบา ๆ “ใช่แล้ว ใครจะกล้าแตะต้องคุณหนูใหญ่เมืองแห่งภูตผีเล่า”“น่าเสียดาย เมืองแห่งภูตผีแห่งนี้ บิดามารดาของเจ้าไปปล้นเขามา มิใช่ของพวกเขามาแต่เดิม ย่อมมิใช่ของเจ้าเช่นกัน”“ถึงเวลาคืนเจ้าของตัวจริงแล้ว”โหยวเซียงจ้องเขม็งนางอย่างโกรธแค้น “เจ้าพูดจาเหลวไหลอะไร! เมืองแห่งภูตผีแห่งนี้เป็นของบิดามารดาข้ามาแต่เดิม!”เมื่อได้ยินดังนั้น ลั่วชิงยวนก็ประหลาดใจ “หรือว่าต่งอวิ๋นซิ่วมิได้บอกความจริงแก่เจ้า”“ก็ถูกแล้ว เรื่องน่าอับอายเช่นนี้ นางจะบอกลูกสาวได้อย่างไร”“เมืองแห่งภูตผีแห่งนี้มิใช่เพียงถูกบิดามารดาเจ้ายึดมาเท่านั้น แต่ยังใช้วิธีการที่น่ารังเกียจในการยึดครองด้วย!”“เดาว่าจนถึงตอนนี้เจ้าก็คงยังมิรู้เลยว่าศัตรูของเจ้าคือผ
โหยวเซียงกัดฟันพูดด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบลั่วชิงยวนมองไปที่อวี๋โหรว หลายวันมานี้อวี๋โหรวผอมซูบไปมาก“เจ้าจับตัวอวี๋โหรวมาเพื่อล่อข้ามาที่นี่รึ?”ลั่วชิงยวนหรี่ตามองโหยวเซียง“แต่เจ้ามิน่าจะมีความสามารถพอที่จะพาอวี๋โหรวออกจากวังหลวงไปได้”“เวินซินถงเป็นคนทำใช่หรือไม่?”“เจ้าทำข้อตกลงอะไรกับนางไว้?”โหยวเซียงหัวเราะเยาะ “อยากรู้รึ?”“คุกเข่าอ้อนวอนข้าสิ”“เจ้าอ้อนวอนข้า ข้าถึงจะบอกเจ้าว่าผู้ใดจับตัวอวี๋โหรวมา และผู้ใดร่วมมือกับข้าวางแผนให้เจ้ามาที่เมืองแห่งภูตผี”ลั่วชิงยวนมองท่าทีหยิ่งยโสของโหยวเซียงแล้วก็อดมิได้ที่จะหัวเราะเบา ๆ นางกวาดสายตามองไปรอบ ๆ แล้วถามว่า “ต่งอวิ๋นซิ่วมิมาด้วยรึ?”“เมื่อครู่นี้คนที่ต่อสู้กับข้าก็คือนางใช่หรือไม่?”เมื่อได้ยินน้ำเสียงเยาะเย้ยของลั่วชิงยวน โหยวเซียงก็โกรธจัด ในใจนางตกใจ ลั่วชิงยวนรู้แล้วหรือว่ามารดาของนางเป็นใคร“สารเลว!”นางบีบคออวี๋โหรวอย่างแรงเพื่อข่มขู่ลั่วชิงยวน “จะคุกเข่าหรือไม่?!”“ลั่วชิงยวน เจ้ามีโอกาสแค่ครั้งเดียว!”“หากเจ้ามิยอมคุกเข่ายอมจำนนแต่โดยดี ข้าจะหักคอนางเดี๋ยวนี้!”กล่าวจบ โหยวเซียงก็ออกแรงบีบบีบจนอวี๋โหรวหาย
ทันทีที่คนใบ้หันมาเห็นจึงรีบเข้ามาย่อตัวลงข้างนางแล้วช่วยประคองนางไว้ลั่วชิงยวนเช็ดเลือดที่มุมปาก ใบหน้าซีดเผือดกว่าเดิม“ข้ามิเป็นอะไร”นางเงยหน้าขึ้นมองอวี๋ตันเฟิ่งที่อยู่กลางอากาศ ในที่สุดจิตวิญญาณของนางก็สมบูรณ์แล้วบนใบหน้าซีดขาวนั้นปรากฏรอยยิ้ม รอยยิ้มนั้นทั้งพึงพอใจและเย่อหยิ่ง“ในที่สุดข้าก็ได้… เป็นอิสระแล้ว! ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า...”อวี๋ตันเฟิ่งหัวเราะลั่น ทำเอาป่าทั้งผืนเกิดพายุโหมกระหน่ำคนใบ้รีบยกมือขึ้นช่วยลั่วชิงยวนปัดป้องฝุ่นและใบไม้ที่ปลิวว่อน......จู่ ๆ ต่งอวิ๋นซิ่วก็กระอักเลือดออกมาเต็มปาก จากนั้นหมดสติล้มลงบนพื้น“ท่านแม่!”โหยวเซียงตกใจ รีบเข้าไปประคองนาง “ท่านแม่! ท่านแม่! ท่านเป็นอะไรไป!”หลังจากตะโกนเรียกอยู่นาน มารดาของนางก็มิฟื้นโหยวเซียงโกรธจนกัดฟันพูด “ลั่วชิงยวน สารเลว!”“เจ้าคอยดูเถอะ!”......ผ่านไปครู่ใหญ่ อวี๋ตันเฟิ่งถึงจะสงบสติอารมณ์ลงได้ลมพายุในป่าก็สงบลงเช่นกันถูหมิงที่อยู่ข้าง ๆ จึงค่อย ๆ ขยับเข้ามาใกล้ฉีเสวี่ยเวยที่ยังคงตกตะลึงมองภาพเหตุการณ์เมื่อครู่ด้วยความมิอยากเชื่อ “เมื่อกี้เกิดอะไรขึ้น?”“ต่อไปพวกเราต้องทำอะไร?”ลั่วชิงยวน
คนของถูหมิงตายไปหมดแล้ว เหลือเพียงฉีเสวี่ยเวยเท่านั้นในขณะที่พวกเขาเดินทางไปยังถ้ำแห่งที่หกในคืนนั้นผลลัพธ์ที่ได้กลับน่าผิดหวังเพราะในถ้ำว่างเปล่า“ดูเหมือนว่าพวกเราจะมาช้าไปก้าวหนึ่ง”ถูหมิงขมวดคิ้ว “เหลืออีกหนึ่งชิ้น ทำอย่างไรดี? หรือว่าความพยายามทั้งหมดของเราจะสูญเปล่า?”พวกเขาวุ่นวายมาหลายวัน เดินทางไปเกือบทั่วทั้งภูเขาแล้วหากสมบัติหายไปเช่นนี้ เขาคงต้องฆ่าสตรีผู้นี้เป็นแน่!ลั่วชิงยวนขมวดคิ้วครุ่นคิด แล้วกล่าวว่า “เหลืออีกหนึ่งชิ้นก็เหลืออีกหนึ่งชิ้น”“หาที่ปลอดภัยก่อน”จากนั้นพวกเขาก็มายังป่าที่ค่อนข้างสะอาด ไม่มีพุ่มไม้หรือวัชพืชหนาแน่นบนพื้นมากนัก ค่อนข้างโปร่งโล่งหีบทั้งห้าใบวางอยู่บนพื้นลั่วชิงยวนกล่าวว่า “เปิดหีบกันเถิด”ทันใดนั้นดวงตาของถูหมิงก็เป็นประกาย “เปิดได้หรือ?”เขาเห็นว่าบนหีบมีแต่อักขระสีเลือดปกคลุมอยู่ จึงยั้งมือไว้หลายครั้งแม้จะอยากเปิดก็ตามเมื่อได้ยินเช่นนี้จึงรีบเปิดหีบทันทีแต่เมื่อเปิดออกแล้ว ร่างกายของเขาก็แข็งทื่อไปศพ?!ทั้งยังเป็นศพที่ถูกชำแหละอีกด้วย?ฉีเสวี่ยเวยก็ตกใจกลัวลั่วชิงยวนกลับสงบสติอารมณ์ สั่งให้โฉวสือชีและคนใบ้ช่วย
“ใครกัน?!”ลั่วชิงยวนหรี่ตาลงเล็กน้อย แล้วตอบเสียงแผ่ว “ซูเซียง”“แต่ตอนนี้ควรเรียกนางว่าโหยวเซียง”“ภารกิจที่พวกเจ้าได้รับก็เป็นเพียงการละเล่นของนางเท่านั้น”“นางต้องการให้พวกเจ้าฆ่ากันเอง”และภารกิจหนังหน้าของหญิงงามที่ฉีเสวี่ยเวยได้รับ ก็คงเป็นการล่อลวงให้ฉีเสวี่ยเวยมาฆ่านางหากสามารถยืมมือคนอื่นฆ่าคนได้ โหยวเซียงก็มิจำเป็นต้องเปิดเผยตัวตนเพียงแต่โหยวเซียงคาดมิถึงว่าฉีเสวี่ยเวยจะฆ่านางมิได้ กระทั่งโหยวเซียงเองก็ฆ่านางมิได้“โหยวเซียงหรือ? นางเป็นคนของเมืองแห่งภูตผีแห่งนี้หรือ?” ฉีเสวี่ยเวยมองนางอย่างมิเชื่อสายตา“มิแปลกใจเลย… นางท้องแก่ถึงเพียงนั้นยังกล้ามาที่นี่ได้”ลั่วชิงยวนเห็นว่าใกล้รุ่งสางแล้ว จึงให้โฉวสือชีแก้เชือกที่มัดฉีเสวี่ยเวยไว้“ข้าจะยังมิฆ่าเจ้าตอนนี้”“มิว่าเรื่องที่เจ้ากล่าวมาจะเป็นจริงหรือไม่ก็มิสำคัญ ข้าก็มิกลัวว่าเจ้าจะไปบอกเรื่องนี้กับถูหมิง”“หากเจ้าไปบอก เรื่องเดียวที่จะเป็นผลเสียต่อพวกข้าก็คือต้องแบกหีบเพิ่มอีกมิกี่ใบ”“เพียงเท่านั้น”มิใช่เรื่องคอขาดบาดตายที่นางทำเป็นร่วมมือกับถูหมิง ก็เพียงต้องการใช้คนของเขาไปขวางทางศพชายที่ถูกผนึกไว้ในถ้ำ
“แม้จะต้องยอมตายไปพร้อมกับถูหมิง ข้าก็ยินดี!”เมื่อได้ยินดังนั้น ลั่วชิงยวนก็ตกตะลึง แต่ก็ยังคงสงสัยอยู่บ้าง“แต่เจ้าสนิทสนมกับถูหมิงถึงเพียงนั้น น่าจะมีโอกาสฆ่าเขาได้นับครั้งมิถ้วน”ฉีเสวี่ยเวยขมวดคิ้วแน่น ดวงตาแดงก่ำ “แท้จริงแล้วคนผู้นั้นระแวดระวังตัวมาก หากมิใช่เพราะต้องการลดความระแวดระวังของเขา ข้ากับชายมากหน้าหลายตาก็คงมิ...”เมื่อกล่าวถึงตรงนี้ ฉีเสวี่ยเวยก็เม้มริมฝีปากแน่นหลังจากกล้ำกลืนความรู้สึกแล้ว จึงกล่าวต่อ “ในป่าครั้งนั้นเป็นครั้งแรกที่เขาใกล้ชิดข้า เดิมทีตอนนั้นข้ามีโอกาสที่จะฆ่าเขาได้!”“แต่เจ้าปีศาจฝูเหมิ่งนั่นบังเอิญมาขวาง!”“หากมิใช่เพราะเขา ข้าคงทำสำเร็จไปแล้ว!”ฉีเสวี่ยเวยกัดฟันพูด เต็มไปด้วยความเคียดแค้นลั่วชิงยวนรู้สึกประหลาดใจ เมื่อเห็นสีหน้าของฉีเสวี่ยเวย ในดวงตาของนางเต็มไปด้วยความแค้น ดูมิเหมือนคนโกหกทำให้นางเปลี่ยนทัศนคติที่มีต่อฉีเสวี่ยเวยไปบ้างขณะที่ลั่วชิงยวนยังคงครุ่นคิด ฉีเสวี่ยเวยก็มองมาที่นาง “เจ้ายังมิเชื่อข้าหรือ?”“ขอเพียงเจ้าฆ่าถูหมิงได้ ข้าจะทำทุกอย่างเพื่อเจ้า! ข้าจะบอกสิ่งที่เจ้าอยากรู้ทุกอย่าง!”ลั่วชิงยวนครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง
ลั่วชิงยวนนอนนิ่งอยู่บนเตียง มิกล้าขยับกายทว่างูตัวนั้นกลับกัดข้อเท้านางอย่างแรงหนึ่งครั้ง จากนั้นก็รีบเลื้อยหนีไปรออยู่ครู่หนึ่ง ฉีเสวี่ยเวยเห็นว่าคนที่นอนอยู่บนเตียงไม่มีความเคลื่อนไหวใด ๆ จึงเปิดประตูเข้ามานางมิอาจมั่นใจได้ว่าพวกคนใบ้จะกลับมาเมื่อใด จึงมิกล้าเสียเวลานานหลังจากปิดประตูอย่างระแวดระวังแล้ว นางก็มายังปลายเตียง จ้องมองข้อเท้าของลั่วชิงยวนอย่างละเอียด ปรากฏว่าถูกงูกัดจริง ๆ นางต้องตายเพราะพิษนี้แน่นอน!ทันใดนั้นเอง ฉีเสวี่ยเวยก็ชักกริชออกมาแล้วเดินไปยังหัวเตียง ค่อย ๆ จรดใบมีดลงบนใบหน้าของลั่วชิงยวนแต่ในพริบตานั้นเอง ลั่วชิงยวนก็ลืมตาขึ้นมาจ้องมองนางด้วยสายตาอาฆาตแค้นฉีเสวี่ยเวยพลันตกใจ แต่ก็มิได้หนีในทันที เพราะนางคิดว่าลั่วชิงยวนโดนพิษงูเข้าไปแล้ว อย่างไรก็ต้องตายอยู่ดีลั่วชิงยวนรีบคว้าข้อมือของฉีเสวี่ยเวยไว้เพื่อแย่งชิงกริชมาจากนางฉีเสวี่ยเวยก็ลงมือโจมตีเช่นกัน เพียงแต่นางคาดมิถึงว่าสตรีผู้นี้ที่ถูกพิษแล้วจะยังมีพละกำลังมากมายถึงเพียงนี้หลังจากทั้งสองต่อสู้กันครู่หนึ่งในห้อง ฉีเสวี่ยเวยก็พ่ายแพ้ ถูกลั่วชิงยวนจับกดไว้บนโต๊ะฉีเสวี่ยเวยตกใจมาก “เจ้า
“แน่นอน”“อีกอย่าง เมื่อหาของเหล่านี้ครบแล้วเมืองแห่งภูตผีทั้งเมืองก็จะเป็นของพวกเรา แล้วยังต้องขึ้นเขาไปเอาของเล็ก ๆ น้อย ๆ นั่นหาปะไร”คำพูดนี้กระตุ้นความโลภในใจของทุกคนที่อยู่ตรงนั้นอย่างมิต้องสงสัยพวกเขาจึงมิลังเลอีกต่อไป รีบติดตามลั่วชิงยวนไปยังเส้นทางเดิมตลอดทางยังมีงูมากมาย ลั่วชิงยวนก็หาสมุนไพรบางชนิดตลอดทางแล้วมอบให้ทุกคนผูกติดไว้บนตัวและทาตามเท้า เพื่อให้กลิ่นของสมุนไพรนั้นช่วยไล่งูดังนั้นการเดินทางของพวกเขาจึงราบรื่นดี เมื่อยามค่ำคืนมาเยือนพวกเขาก็ออกมาจากบ่อน้ำพุร้อนนั้นอีกครั้งพวกเขากลับมายังหมู่บ้านเดิมในช่วงกลางดึกสงัดในหมู่บ้านยังมีอาหารหลงเหลืออยู่ ดังนั้นทุกคนจึงหยุดพักกินอาหารกันก่อนเมื่อฟื้นฟูพละกำลังได้แล้วคนทั้งหมดก็ออกเดินทางต่อมาถึงสุสานเดิม ยามนี้วิญญาณอาฆาตเต็มไปทั่วทั้งภูเขา พลังหยินแผ่ซ่านไปทั่วเมื่อลั่วชิงยวนมาถึงที่แห่งนั้นก็พบว่าปากถ้ำเปิดออกแล้วมีคนกล่าวขึ้นว่า “วันนั้นฝูเหมิ่งก็มาที่นี่!”ลั่วชิงยวนตกใจเล็กน้อยเมื่อเข้าไปในถ้ำแล้ว ภาพที่ปรากฏด้านในนั้นมิเปลี่ยนแปลงมากนัก สิ่งที่เปลี่ยนไปเพียงอย่างเดียวคือโลงศพที่ถูกล่ามโซ่นั้นระเบ
เมื่อได้ยินดังนั้น ความโลภก็ปรากฏในดวงตาของถูหมิง ใครเล่าจะมิปรารถนาสมบัติของเมืองแห่งภูตผี เขาตอบตกลงในทันที “ได้”ลั่วชิงยวนกล่าวต่อว่า “แต่การนำของสิ่งนี้มาจะต้องเผชิญกับอันตรายบ้าง ดังนั้นอาจจะต้องมีคนของเจ้าสละชีวิต”“แต่คนมากก็แบ่งกันได้น้อย คนตายไปบ้างก็มิจำเป็นต้องสนใจความเป็นความตายของพวกเขา”“ความลับนี้ข้าบอกเพียงเจ้าเท่านั้น เจ้าอย่าได้แพร่งพรายให้ผู้ใดรู้เชียว”“โดยเฉพาะฉีเสวี่ยเวย”เมื่อได้ยินดังนั้นถูหมิงก็หันกลับไปมอง แต่ไหนแต่ไรมาเขาก็มิเคยสนใจความเป็นความตายของคนเหล่านั้นอยู่แล้ว“หาได้มีปัญหาไม่!”ถูหมิงรับปากอย่างง่ายดาย แต่ลั่วชิงยวนกลับยังคงระแวดระวัง “ยังมีเรื่องที่ต้องบอกเจ้าอีกอย่าง กองทัพของเมืองแห่งภูตผีถูกพวกข้าปลุกปั่นแล้ว คาดว่าอีกมินานคงไล่ตามมา”“ก่อนที่จะหาของทั้งหกชิ้นพบ อย่าได้คิดที่จะทำสิ่งใดนอกเหนือจากนี้ ท้ายที่สุดแล้ว พวกเราต้องร่วมมือกันต่อสู้กับศัตรู หากถูกพวกมันจับได้คงไม่มีใครมีจุดจบที่ดี”สีหน้าของถูหมิงเปลี่ยนไปเล็กน้อย มิคาดคิดว่าสตรีผู้นี้จะเก่งกาจมากถึงเพียงนี้ กระทั่งปลุกกองทัพของเมืองแห่งภูตผีขึ้นมาได้ดูเหมือนว่าสิ่งที่นางต้