ป้ายอาญาสิทธิ์ของจักรพรรดิ!เหตุใดองค์จักรพรรดิจึงคิดว่านางสังหารองค์ชายห้า? ฟู่เฉินหวนรู้เรื่องนี้ด้วยหรือไม่?นอกจากนี้ จักรพรรดิมักจะฟังคำพูดของฟู่เฉินหวนเสมอชั่วขณะหนึ่ง ลั่วชิงยวนตกอยู่ในความสับสนช่วงเวลาต่อมา องครักษ์ก็รีบรุดไปข้างหน้าอีกครั้งโดยพยายามจับลั่วชิงยวน นางไม่มีเวลาคิดและต่อสู้กลับทันทีคนกลุ่มหนึ่งล้อมรอบตัวลั่วชิงยวนไว้ แต่พวกเขาไม่สามารถจับลั่วชิงยวนได้ เมื่อเหยียนหน่ายซินเห็นฉากนี้ นางก็กังวลในขณะที่ลั่วชิงยวนถูกองครักษ์เบี่ยงเบนความสนใจ นางก็รีบไปที่ข้างเตียง ดึงกริชออกมาแล้วหย่อนลงบนคอของฟู่อวิ๋นโจว“ลั่วชิงยวน!”เสียงตะคอกดังขึ้นลั่วชิงยวนหยุดเมื่อนางเห็นเหตุการณ์ข้างเตียง หัวใจของนางก็บีบรัด “เหยียนหน่ายซิน เจ้ากล้าดีอย่างไร?!”เหยียนหน่ายซินเยาะเย้ย “ข้ากล้าควักตาของฉินไป๋หลี่ เจ้าคิดว่าข้าไม่กล้าแตะต้ององค์ชายห้าผู้ไม่มีนัยะสำคัญผู้นี้รึ?”“ยิ่งกว่านั้น ใครจะรู้ว่าตอนนี้เขาตายแล้วหรือยังมีชีวิตอยู่ บางทีเขาอาจถูกเจ้าฆ่าไปแล้วก็ได้”เหยียนหน่ายซินยิ้มอย่างภาคภูมิใจ แม้ว่านางจะฆ่าฟู่อวิ๋นโจว แต่ลั่วชิงยวนก็ต้องรับผิดชอบต่อการตายของฟู่อวิ๋นโจว
เหยียนหน่ายซินค่อย ๆ เดินไปหาลั่วชิงยวน เชยคางของลั่วชิงยวนแล้วพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “นี่คือผลลัพธ์ของคนที่คิดจะเป็นปรปักษ์กับข้าอย่างเจ้า!”ลั่วชิงยวนก้มศีรษะลงอย่างอ่อนแรงและเป็นหมดสติไปเหยียนหน่ายซินโยนแส้ทิ้งและคิดจะหยุดพักขณะที่นางกำลังจะเดินออกไป จู่ ๆ นางรับใช้ก็นำถังน้ำมาด้วยมันคือ ถังน้ำเกลือ“คุณหนูใหญ่ นี่จะทำให้นางทรมานยิ่งกว่าตายเสียอีกนะเจ้าคะ!”เมื่อได้ยินดังนั้นเหยียนหน่ายซินก็เหลือบมองถังน้ำเกลือแล้วขมวดคิ้ว “มิต้องหรอก เดี๋ยวนางจะตายเอาเปล่า ๆ”นางรับใช้กลับยิ้มแล้วพูดว่า “มิต้องห่วงเจ้าค่ะ นางมิตายหรอก หากมิทำเช่นนี้ คุณหนูใหญ่จะแสดงถึงความเย่อหยิ่งของตนออกมาได้อย่างไร ยิ่งท่านเอาแต่ใจและไร้เหตุผลมากเท่าไร โอกาสที่ท่านจะได้เป็นฮองเฮาก็จะยิ่งน้อยลง”“มีเพียงวิธีนี้เท่านั้น ที่จะทำให้คุณหนูใหญ่มีโอกาสได้ครองคู่กับคนที่ท่านรักเจ้าค่ะ”ลั่วชิงยวนตกใจเมื่อได้ยินสิ่งนี้เหยียนหน่ายซินมิต้องการเป็นฮองเฮาอย่างนั้นหรือ?แปลว่านางกำลังตั้งใจสร้างปัญหา เพื่อจะทำให้ตนเองหลุดจากตำแหน่งฮองเฮาและได้ครองคู่กับคนที่ตนรักอย่างนั้นหรือ?แต่เหตุใดนางถึงเห็นความทะเยอทะย
แต่นางกลับหยุดการเคลื่อนไหวกะทันหันเมื่อนึกถึงบางสิ่งบางอย่าง ดวงตาของนางก็สว่างขึ้นเหยียนหน่ายซินยกมุมริมฝีปากขึ้นแล้วค่อย ๆ วางมือลง “จู่ ๆ ข้าก็นึกถึงสิ่งที่น่าสนใจยิ่งกว่านี้ขึ้นมาได้”“ข้าเดาว่าข้าคงมิใช่คนผู้เดียวที่อยากรู้ว่าหน้าตาเจ้าน่าเกลียดเพียงใด ให้ทุกคนได้ดูด้วยจะดีกว่า”“ให้ทุกคนได้ค้นพบสิ่งที่อยู่ภายใต้หน้ากากลึกลับนี้ด้วยกัน ดูจะเป็นเป็นเรื่องที่น่าสนใจมากกว่า”“จริงหรือไม่?”ลั่วชิงยวนสัมผัสได้ถึงความชั่วร้ายเล็ก ๆ ในน้ำเสียงหยิ่งผยองของเหยียนหน่ายซินเหยียนหน่ายซินออกจากห้องเก็บฟืน เมื่อนางกลับมาอีกครั้ง นางก็นำชุดคลุมสีดำมาให้ลั่วชิงยวนใส่นางหยิบหมวกม่านยาวอีกใบมาสวมให้หญิงสาว ขดริมฝีปากแล้วพูดพร้อมกับหัวเราะเบา ๆ ว่า “เจ้าสังหารองค์ชายห้า ก่ออาชญากรรมร้ายแรงเช่นนี้ย่อมต้องโทษตัดศีรษะ ข้าจะให้โอกาสเจ้าได้มีชีวิตอยู่ หากเจ้ารอดไปได้ ข้าจะไว้ชีวิตเจ้าและทำเหมือนเรื่องนี้มิเคยเกิดขึ้น!” ลั่วชิงยวนมิรู้ว่าเหยียนหน่ายซินต้องการจะทำอะไร แต่มันคงมิใช่เรื่องดีแน่ หลังจากนั้นมินาน เหยียนหน่ายซินก็นำชามน้ำซึ่งมีกลิ่นหอมพิเศษมามีคนหลายคนกดหัวไหล่ของลั่วชิงยวนเ
ลั่วชิงยวนที่กำลังพิงกรงอยู่ ถูกเฆี่ยนมาจากด้านนอกดวงตาของนางแดงก่ำและเต็มไปด้วยความโกรธก่อนจะหลีกเลี่ยงการโจมตีของหมาป่าอีกครั้งสิ่งที่เหยียนหน่ายซินทำนั้นน่ารังเกียจนัก!ลั่วชิงยวนเผชิญกับการกัดและการคุกคามของหมาป่าในกรง และยังต้องรับแส้ยาวของเหยียนหน่ายซิน จากนอกกรงด้วย!ทันทีที่นางเข้าใกล้กรงเหยียนหน่ายซินจะเฆี่ยนแส้ใส่อย่างไร้ความปรานีเสียงคำรามและแส้ยาวดังก้องอยู่ในห้องโถงอันเงียบสงบนี้ ทำให้หัวใจของผู้คนสั่นสะท้าน“มัวแต่หลบอยู่ไย! ลุกขึ้นมาเอาชนะข้าให้ได้สิ! เจ้าแข็งแกร่งมากมิใช่รึ?!” เหยียนหน่ายซินเฆี่ยนตีนางอีกครั้งลั่วชิงยวนได้รับบาดเจ็บ นางจะกล้าต่อสู้กับหมาป่าจนตายกันไปข้างได้อย่างไร นางคงทำได้เพียงลดทอนความแข็งแกร่งทางกายภาพของหมาป่าเท่านั้นตอนนั้นนางถึงจะหาโอกาสสู้กลับได้กรงไม่ได้มีขนาดใหญ่เลยแม้แต่น้อย และเหยียนหน่ายซินก็เฝ้าดูอยู่นอกกรงอย่างกระตือรือร้นอีกด้วย นั่นทำให้พื้นที่สำหรับลั่วชิงยวนยิ่งแคบลงไปอีกลั่วเยวี่ยอิงที่กำลังนั่งอยู่ในห้องโถงนั้นแตกต่างจากคนรอบข้าง นางยิ้มและสนุกสนานคนที่อยู่ในกรงคือลั่วชิงยวนนางก็มีวันแบบนี้กับเขาด้วยเหมือนกัน!
คนที่ดูเหตุการณ์อยู่ภายนอกต่างวิตกกังวลเสียงของสัตว์ร้ายดังขึ้นในหูของลั่วชิงยวน ความกลัวในหัวใจนางก็ยิ่งกินพื้นที่มากขึ้นความเจ็บปวดอย่างรุนแรงทั่วร่างกายของนางทำให้ลั่วชิงยวนมิแข็งแกร่งเท่าที่ควร แต่นางก็เลือกที่จะกัดฟันทนต่อไปนางจะมาตายที่นี่มิได้!นางมิยอมตายในสถานที่อัปยศเช่นนี้!เหยียนหน่ายซิน!ดวงตาของลั่วชิงยวนเต็มไปด้วยความดุร้าย เมื่อนางต่อต้านการโจมตีของหมาป่า นางก็ยกขาขึ้น เตะหน้าท้องของมันอย่างแรง และเตะมันออกไปหมาป่าไม่รู้สึกเจ็บปวดและเข้าตะครุบนางอย่างบ้าคลั่งอีกครั้งลั่วชิงยวนตบฝ่ามือลงบนพื้น พลิกตัว กระโดดขึ้นไปในอากาศ และหลีกเลี่ยงการโจมตีของหมาป่าในเวลาเดียวกัน ก็เตะเข้าที่หัวหมาป่าอย่างแรงนางเตะหมาป่าแรงจนร่างของมันกระแทกเข้ากับกรงเหล็กภายใต้การโจมตีอย่างหนักหน่วง ลั่วชิงยวนมองเห็นช่องโหว่ที่บริเวณข้อต่อของกรงเหล็ก“น่าตื่นเต้นมากทีเดียว!”“ความแข็งแกร่งของคนพวกนี้มิธรรมดาเลย!”แม้ว่าคนในวังจะไม่พอใจกับสิ่งนี้ แต่พวกเขาก็ยังคงหลงใหลไปกับมัน ทั้งประหม่าและน่าตื่นเต้นถึงขีดสุดทันทีที่ฟู่เฉินหวนนั่งลง เขาก็ขมวดคิ้วและรู้สึกสับสนเมื่อเห็นร่างในกร
ลั่วชิงยวนเหลือบมองเหยียนหน่ายซินด้วยสายตาที่เย็นชา ขณะที่หมาป่าคำรามและกระโจนเข้าหา ลั่วชิงยวนก็คว้าชิ้นส่วนอันแหลมคมของหน้ากากไว้ แล้วเลื่อนถอยหลังออกไปเศษชิ้นส่วนตัดเข้าที่สวนท้องของหมาป่าหมาป่าซึ่งถูกกระตุ้นด้วยความเจ็บปวดอย่างรุนแรง กลับกลายเป็นดุร้ายมากขึ้นและรีบพุ่งเข้าหาลั่วชิงยวนอีกครั้งลั่วชิงยวนกระโดดขึ้นและกระแทกเข้าที่จุดบอดของกรงจนมันเปิดออกนางรีบทะยานตัวออกไปในขณะนั้น ผู้ชมทั้งหมดต่างตกตะลึง!มีเสียงโห่ร้องและอุทานดังขึ้น“ลั่วชิงยวน!” เหยียนหน่ายซินตกใจและตะโกนออกไปด้วยความโกรธลั่วชิงยวนบ้าหรือไร? หาเรื่องกระโจนออกจากกรงเนี่ยนะ!ทันทีที่สามคำนี้ถูกตะโกนออกมา ผู้ชมทั้งหมดก็กรีดร้องด้วยความประหลาดใจม่านตาของฟู่เฉินหวนหรี่ลง เขาจ้องมองไปยังใบหน้างดงามน่าทึ่งที่ปกคลุมไปด้วยเลือดและเจตนาสังหารอย่างตั้งใจนั่นคือ... ลั่วชิงยวนอย่างนั้นหรือ?ตลกไปใหญ่แล้ว!อย่างไรก็ตาม ไม่มีใครทันได้ตอบสนอง ขณะที่ลั่วชิงยวนออกจากกรงมาได้ นางก็คว้าไหล่ของเหยียนหน่ายซินไว้ทันทีนางผลักอีกฝ่ายเข้ากับกรงด้านหลังอย่างแรง“อ๊าก!” เหยียนหน่ายซินพุ่งตรงไปที่ปากหมาป่าช่องท้องของ
ทุกคนกำลังตกตะลึงและไม่อาจเรียกเตือนสติได้เป็นเวลานาน“ใช่ นางน่าเกลียดมากจนไม่เคยถอดหน้ากาก เหตุใดวันนี้นางจึง...”ทุกคนไม่อยากจะเชื่อเลยว่านี่คือใบหน้าของลั่วชิงยวนผู้ซึ่งได้ฉายาว่าเป็นสตรีอัปลักษณ์ที่สุดในเมืองหลวง เป็นที่โจษจันกันว่านางคือคางคกที่อยากกินเนื้อหงส์มิใช่หรือ?เรื่องรูปร่างหน้าตาของลั่วชิงยวนนั้นนับว่าน่าตกใจยิ่งกว่าตอนที่เหยียนหน่ายซินเกือบจะถูกหมาป่ากัดจนตายเสียอีก“มิแปลกใจแล้วว่า ไฉนท่านอ๋องจึงมิยอมให้ลั่วชิงยวนถอดหน้ากาก ข้าเคยคิดว่าเป็นเพราะเขากลัวว่าใบหน้าของนางจะทำให้ท่านอ๋องอย่างเขาเสียชื่อเสียง ครั้นเมื่อเห็นอย่างวันนี้แล้ว ก็ชัดเจนแล้วว่าเขากลัวว่าผู้คนได้ยลโฉมความงามของชายาตัวเองมากกว่า!”“อ้อ! ต้องใช่แน่! ต้องเป็นเหตุผลนี้แน่นอน!”“ท่านอ๋องมิเห็นแก่หน้าพวกเราเลยจริง ๆ ถึงได้ซ่อนพระชายาผู้งดงามเอาไว้เช่นนี้”ทุกคนต่างพูดถึงเรื่องนี้กันไม่หยุดปากลั่วเยวี่ยอิงนั่งอยู่บนที่นั่งของนาง ไม่อาจเรียกสติกลับมาได้เป็นเวลานานเมื่อฟังคำพูดรอบตัว นางได้แต่รู้สึกตกใจและโกรธอย่างรุนแรงที่สุดไฉนลั่วชิงยวนถึงมีหน้าตางดงามเช่นนั้น?ไฉนนางจึงไม่มีรอยแผลเป็นบนใบห
เขานึกอยากจะพาตัวลั่วชิงยวนออกไปเสียเดี๋ยวนี้ แต่เขามิรู้ว่าจะกล้าสู้กับสายตาเย็นชาของนางได้อย่างไรบรรดาหมอถูกส่งไปทีละคน พวกเขาถือล่วมยาและเวชภัณฑ์มากมายอยู่ในมือด้วยเมื่อมองแวบแรก ก็ดูเหมือนว่าพวกเขาจะไปรักษาอาการบาดเจ็บของเหยียนหน่ายซินฟู่เฉินหวนหยุดหนึ่งในนั้น “หมอหลวงสวี่”หมอหลวงสวี่หยุดและพูดว่า “พ่ะย่ะค่ะ”“เจ้าอยู่นี่และคอยดูแลองค์ชายห้าและพระชายาอ๋องแล้วกัน ที่นี่ไม่มีหมอหลวงอยู่เลย”“พ่ะย่ะค่ะ”…… หลังจากที่ฟู่อวิ๋นโจวได้รับยา และอาการทางกายภาพของเขาเป็นปกติดีแล้ว ลั่วชิงยวนก็เบาใจได้เปลาะหนึ่ง ก่อนจะฟลุบหลับลงไปกับโต๊ะฟู่เฉินหวนเดินเข้าไปในห้องอย่างช้า ๆ หยิบเสื้อคลุมขึ้นมาแล้วสวมให้ลั่วชิงยวนอย่างระมัดระวังลั่วชิงยวนตื่นขึ้นมาในขณะนั้น แต่นางอ่อนล้าเหลือทนและไม่อยากจะขยับกายแม้แต่น้อยในเวลานี้องค์จักรพรรดิก็รีบมาอย่างใจจดใจจ่อ“พี่สาม พี่สาม! นางผู้นั้นคือลั่วชิงยวนจริงหรือ? ท่านนี่ใจร้ายจริง ๆ เก็บงำเรื่องนี้ไว้จากข้ามาตั้งนาน!” ฟู่จิ่งหานรีบเข้าไปในห้องฟู่เฉินหวนส่งเสียง ‘ชู่ว’ ออกไปทันทีองค์จักรพรรดิตกใจเล็กน้อย เขาลดเสียงลง และชี้ไปยังร่างที่นอนอ
“เจ้ารีบอะไรนักหนา รอมาตั้งนานแล้ว รออีกสักหน่อยจะเป็นกระไร”เมื่อได้ยินดังนั้น อวี๋ตันเฟิ่งก็หยุดมือลั่วชิงยวนเดินเข้าไปคว้าตัวโหยวเซียงไว้ให้โฉวสือชีมัดนางไว้แน่นหนา จากนั้นจึงปลุกโหยวเซียงให้ฟื้นขึ้นมาเมื่อฟื้นคืนสติ โหยวเซียงก็จ้องหน้าลั่วชิงยวนเขม็งอย่างโกรธแค้น “เจ้ากล้าจับข้า เจ้าคอยดูเถอะว่าจะตายอย่างไร!”ลั่วชิงยวนย่อตัวลงนั่งตรงหน้านาง แล้วหัวเราะเบา ๆ “ใช่แล้ว ใครจะกล้าแตะต้องคุณหนูใหญ่เมืองแห่งภูตผีเล่า”“น่าเสียดาย เมืองแห่งภูตผีแห่งนี้ บิดามารดาของเจ้าไปปล้นเขามา มิใช่ของพวกเขามาแต่เดิม ย่อมมิใช่ของเจ้าเช่นกัน”“ถึงเวลาคืนเจ้าของตัวจริงแล้ว”โหยวเซียงจ้องเขม็งนางอย่างโกรธแค้น “เจ้าพูดจาเหลวไหลอะไร! เมืองแห่งภูตผีแห่งนี้เป็นของบิดามารดาข้ามาแต่เดิม!”เมื่อได้ยินดังนั้น ลั่วชิงยวนก็ประหลาดใจ “หรือว่าต่งอวิ๋นซิ่วมิได้บอกความจริงแก่เจ้า”“ก็ถูกแล้ว เรื่องน่าอับอายเช่นนี้ นางจะบอกลูกสาวได้อย่างไร”“เมืองแห่งภูตผีแห่งนี้มิใช่เพียงถูกบิดามารดาเจ้ายึดมาเท่านั้น แต่ยังใช้วิธีการที่น่ารังเกียจในการยึดครองด้วย!”“เดาว่าจนถึงตอนนี้เจ้าก็คงยังมิรู้เลยว่าศัตรูของเจ้าคือผ
โหยวเซียงกัดฟันพูดด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบลั่วชิงยวนมองไปที่อวี๋โหรว หลายวันมานี้อวี๋โหรวผอมซูบไปมาก“เจ้าจับตัวอวี๋โหรวมาเพื่อล่อข้ามาที่นี่รึ?”ลั่วชิงยวนหรี่ตามองโหยวเซียง“แต่เจ้ามิน่าจะมีความสามารถพอที่จะพาอวี๋โหรวออกจากวังหลวงไปได้”“เวินซินถงเป็นคนทำใช่หรือไม่?”“เจ้าทำข้อตกลงอะไรกับนางไว้?”โหยวเซียงหัวเราะเยาะ “อยากรู้รึ?”“คุกเข่าอ้อนวอนข้าสิ”“เจ้าอ้อนวอนข้า ข้าถึงจะบอกเจ้าว่าผู้ใดจับตัวอวี๋โหรวมา และผู้ใดร่วมมือกับข้าวางแผนให้เจ้ามาที่เมืองแห่งภูตผี”ลั่วชิงยวนมองท่าทีหยิ่งยโสของโหยวเซียงแล้วก็อดมิได้ที่จะหัวเราะเบา ๆ นางกวาดสายตามองไปรอบ ๆ แล้วถามว่า “ต่งอวิ๋นซิ่วมิมาด้วยรึ?”“เมื่อครู่นี้คนที่ต่อสู้กับข้าก็คือนางใช่หรือไม่?”เมื่อได้ยินน้ำเสียงเยาะเย้ยของลั่วชิงยวน โหยวเซียงก็โกรธจัด ในใจนางตกใจ ลั่วชิงยวนรู้แล้วหรือว่ามารดาของนางเป็นใคร“สารเลว!”นางบีบคออวี๋โหรวอย่างแรงเพื่อข่มขู่ลั่วชิงยวน “จะคุกเข่าหรือไม่?!”“ลั่วชิงยวน เจ้ามีโอกาสแค่ครั้งเดียว!”“หากเจ้ามิยอมคุกเข่ายอมจำนนแต่โดยดี ข้าจะหักคอนางเดี๋ยวนี้!”กล่าวจบ โหยวเซียงก็ออกแรงบีบบีบจนอวี๋โหรวหาย
ทันทีที่คนใบ้หันมาเห็นจึงรีบเข้ามาย่อตัวลงข้างนางแล้วช่วยประคองนางไว้ลั่วชิงยวนเช็ดเลือดที่มุมปาก ใบหน้าซีดเผือดกว่าเดิม“ข้ามิเป็นอะไร”นางเงยหน้าขึ้นมองอวี๋ตันเฟิ่งที่อยู่กลางอากาศ ในที่สุดจิตวิญญาณของนางก็สมบูรณ์แล้วบนใบหน้าซีดขาวนั้นปรากฏรอยยิ้ม รอยยิ้มนั้นทั้งพึงพอใจและเย่อหยิ่ง“ในที่สุดข้าก็ได้… เป็นอิสระแล้ว! ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า...”อวี๋ตันเฟิ่งหัวเราะลั่น ทำเอาป่าทั้งผืนเกิดพายุโหมกระหน่ำคนใบ้รีบยกมือขึ้นช่วยลั่วชิงยวนปัดป้องฝุ่นและใบไม้ที่ปลิวว่อน......จู่ ๆ ต่งอวิ๋นซิ่วก็กระอักเลือดออกมาเต็มปาก จากนั้นหมดสติล้มลงบนพื้น“ท่านแม่!”โหยวเซียงตกใจ รีบเข้าไปประคองนาง “ท่านแม่! ท่านแม่! ท่านเป็นอะไรไป!”หลังจากตะโกนเรียกอยู่นาน มารดาของนางก็มิฟื้นโหยวเซียงโกรธจนกัดฟันพูด “ลั่วชิงยวน สารเลว!”“เจ้าคอยดูเถอะ!”......ผ่านไปครู่ใหญ่ อวี๋ตันเฟิ่งถึงจะสงบสติอารมณ์ลงได้ลมพายุในป่าก็สงบลงเช่นกันถูหมิงที่อยู่ข้าง ๆ จึงค่อย ๆ ขยับเข้ามาใกล้ฉีเสวี่ยเวยที่ยังคงตกตะลึงมองภาพเหตุการณ์เมื่อครู่ด้วยความมิอยากเชื่อ “เมื่อกี้เกิดอะไรขึ้น?”“ต่อไปพวกเราต้องทำอะไร?”ลั่วชิงยวน
คนของถูหมิงตายไปหมดแล้ว เหลือเพียงฉีเสวี่ยเวยเท่านั้นในขณะที่พวกเขาเดินทางไปยังถ้ำแห่งที่หกในคืนนั้นผลลัพธ์ที่ได้กลับน่าผิดหวังเพราะในถ้ำว่างเปล่า“ดูเหมือนว่าพวกเราจะมาช้าไปก้าวหนึ่ง”ถูหมิงขมวดคิ้ว “เหลืออีกหนึ่งชิ้น ทำอย่างไรดี? หรือว่าความพยายามทั้งหมดของเราจะสูญเปล่า?”พวกเขาวุ่นวายมาหลายวัน เดินทางไปเกือบทั่วทั้งภูเขาแล้วหากสมบัติหายไปเช่นนี้ เขาคงต้องฆ่าสตรีผู้นี้เป็นแน่!ลั่วชิงยวนขมวดคิ้วครุ่นคิด แล้วกล่าวว่า “เหลืออีกหนึ่งชิ้นก็เหลืออีกหนึ่งชิ้น”“หาที่ปลอดภัยก่อน”จากนั้นพวกเขาก็มายังป่าที่ค่อนข้างสะอาด ไม่มีพุ่มไม้หรือวัชพืชหนาแน่นบนพื้นมากนัก ค่อนข้างโปร่งโล่งหีบทั้งห้าใบวางอยู่บนพื้นลั่วชิงยวนกล่าวว่า “เปิดหีบกันเถิด”ทันใดนั้นดวงตาของถูหมิงก็เป็นประกาย “เปิดได้หรือ?”เขาเห็นว่าบนหีบมีแต่อักขระสีเลือดปกคลุมอยู่ จึงยั้งมือไว้หลายครั้งแม้จะอยากเปิดก็ตามเมื่อได้ยินเช่นนี้จึงรีบเปิดหีบทันทีแต่เมื่อเปิดออกแล้ว ร่างกายของเขาก็แข็งทื่อไปศพ?!ทั้งยังเป็นศพที่ถูกชำแหละอีกด้วย?ฉีเสวี่ยเวยก็ตกใจกลัวลั่วชิงยวนกลับสงบสติอารมณ์ สั่งให้โฉวสือชีและคนใบ้ช่วย
“ใครกัน?!”ลั่วชิงยวนหรี่ตาลงเล็กน้อย แล้วตอบเสียงแผ่ว “ซูเซียง”“แต่ตอนนี้ควรเรียกนางว่าโหยวเซียง”“ภารกิจที่พวกเจ้าได้รับก็เป็นเพียงการละเล่นของนางเท่านั้น”“นางต้องการให้พวกเจ้าฆ่ากันเอง”และภารกิจหนังหน้าของหญิงงามที่ฉีเสวี่ยเวยได้รับ ก็คงเป็นการล่อลวงให้ฉีเสวี่ยเวยมาฆ่านางหากสามารถยืมมือคนอื่นฆ่าคนได้ โหยวเซียงก็มิจำเป็นต้องเปิดเผยตัวตนเพียงแต่โหยวเซียงคาดมิถึงว่าฉีเสวี่ยเวยจะฆ่านางมิได้ กระทั่งโหยวเซียงเองก็ฆ่านางมิได้“โหยวเซียงหรือ? นางเป็นคนของเมืองแห่งภูตผีแห่งนี้หรือ?” ฉีเสวี่ยเวยมองนางอย่างมิเชื่อสายตา“มิแปลกใจเลย… นางท้องแก่ถึงเพียงนั้นยังกล้ามาที่นี่ได้”ลั่วชิงยวนเห็นว่าใกล้รุ่งสางแล้ว จึงให้โฉวสือชีแก้เชือกที่มัดฉีเสวี่ยเวยไว้“ข้าจะยังมิฆ่าเจ้าตอนนี้”“มิว่าเรื่องที่เจ้ากล่าวมาจะเป็นจริงหรือไม่ก็มิสำคัญ ข้าก็มิกลัวว่าเจ้าจะไปบอกเรื่องนี้กับถูหมิง”“หากเจ้าไปบอก เรื่องเดียวที่จะเป็นผลเสียต่อพวกข้าก็คือต้องแบกหีบเพิ่มอีกมิกี่ใบ”“เพียงเท่านั้น”มิใช่เรื่องคอขาดบาดตายที่นางทำเป็นร่วมมือกับถูหมิง ก็เพียงต้องการใช้คนของเขาไปขวางทางศพชายที่ถูกผนึกไว้ในถ้ำ
“แม้จะต้องยอมตายไปพร้อมกับถูหมิง ข้าก็ยินดี!”เมื่อได้ยินดังนั้น ลั่วชิงยวนก็ตกตะลึง แต่ก็ยังคงสงสัยอยู่บ้าง“แต่เจ้าสนิทสนมกับถูหมิงถึงเพียงนั้น น่าจะมีโอกาสฆ่าเขาได้นับครั้งมิถ้วน”ฉีเสวี่ยเวยขมวดคิ้วแน่น ดวงตาแดงก่ำ “แท้จริงแล้วคนผู้นั้นระแวดระวังตัวมาก หากมิใช่เพราะต้องการลดความระแวดระวังของเขา ข้ากับชายมากหน้าหลายตาก็คงมิ...”เมื่อกล่าวถึงตรงนี้ ฉีเสวี่ยเวยก็เม้มริมฝีปากแน่นหลังจากกล้ำกลืนความรู้สึกแล้ว จึงกล่าวต่อ “ในป่าครั้งนั้นเป็นครั้งแรกที่เขาใกล้ชิดข้า เดิมทีตอนนั้นข้ามีโอกาสที่จะฆ่าเขาได้!”“แต่เจ้าปีศาจฝูเหมิ่งนั่นบังเอิญมาขวาง!”“หากมิใช่เพราะเขา ข้าคงทำสำเร็จไปแล้ว!”ฉีเสวี่ยเวยกัดฟันพูด เต็มไปด้วยความเคียดแค้นลั่วชิงยวนรู้สึกประหลาดใจ เมื่อเห็นสีหน้าของฉีเสวี่ยเวย ในดวงตาของนางเต็มไปด้วยความแค้น ดูมิเหมือนคนโกหกทำให้นางเปลี่ยนทัศนคติที่มีต่อฉีเสวี่ยเวยไปบ้างขณะที่ลั่วชิงยวนยังคงครุ่นคิด ฉีเสวี่ยเวยก็มองมาที่นาง “เจ้ายังมิเชื่อข้าหรือ?”“ขอเพียงเจ้าฆ่าถูหมิงได้ ข้าจะทำทุกอย่างเพื่อเจ้า! ข้าจะบอกสิ่งที่เจ้าอยากรู้ทุกอย่าง!”ลั่วชิงยวนครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง
ลั่วชิงยวนนอนนิ่งอยู่บนเตียง มิกล้าขยับกายทว่างูตัวนั้นกลับกัดข้อเท้านางอย่างแรงหนึ่งครั้ง จากนั้นก็รีบเลื้อยหนีไปรออยู่ครู่หนึ่ง ฉีเสวี่ยเวยเห็นว่าคนที่นอนอยู่บนเตียงไม่มีความเคลื่อนไหวใด ๆ จึงเปิดประตูเข้ามานางมิอาจมั่นใจได้ว่าพวกคนใบ้จะกลับมาเมื่อใด จึงมิกล้าเสียเวลานานหลังจากปิดประตูอย่างระแวดระวังแล้ว นางก็มายังปลายเตียง จ้องมองข้อเท้าของลั่วชิงยวนอย่างละเอียด ปรากฏว่าถูกงูกัดจริง ๆ นางต้องตายเพราะพิษนี้แน่นอน!ทันใดนั้นเอง ฉีเสวี่ยเวยก็ชักกริชออกมาแล้วเดินไปยังหัวเตียง ค่อย ๆ จรดใบมีดลงบนใบหน้าของลั่วชิงยวนแต่ในพริบตานั้นเอง ลั่วชิงยวนก็ลืมตาขึ้นมาจ้องมองนางด้วยสายตาอาฆาตแค้นฉีเสวี่ยเวยพลันตกใจ แต่ก็มิได้หนีในทันที เพราะนางคิดว่าลั่วชิงยวนโดนพิษงูเข้าไปแล้ว อย่างไรก็ต้องตายอยู่ดีลั่วชิงยวนรีบคว้าข้อมือของฉีเสวี่ยเวยไว้เพื่อแย่งชิงกริชมาจากนางฉีเสวี่ยเวยก็ลงมือโจมตีเช่นกัน เพียงแต่นางคาดมิถึงว่าสตรีผู้นี้ที่ถูกพิษแล้วจะยังมีพละกำลังมากมายถึงเพียงนี้หลังจากทั้งสองต่อสู้กันครู่หนึ่งในห้อง ฉีเสวี่ยเวยก็พ่ายแพ้ ถูกลั่วชิงยวนจับกดไว้บนโต๊ะฉีเสวี่ยเวยตกใจมาก “เจ้า
“แน่นอน”“อีกอย่าง เมื่อหาของเหล่านี้ครบแล้วเมืองแห่งภูตผีทั้งเมืองก็จะเป็นของพวกเรา แล้วยังต้องขึ้นเขาไปเอาของเล็ก ๆ น้อย ๆ นั่นหาปะไร”คำพูดนี้กระตุ้นความโลภในใจของทุกคนที่อยู่ตรงนั้นอย่างมิต้องสงสัยพวกเขาจึงมิลังเลอีกต่อไป รีบติดตามลั่วชิงยวนไปยังเส้นทางเดิมตลอดทางยังมีงูมากมาย ลั่วชิงยวนก็หาสมุนไพรบางชนิดตลอดทางแล้วมอบให้ทุกคนผูกติดไว้บนตัวและทาตามเท้า เพื่อให้กลิ่นของสมุนไพรนั้นช่วยไล่งูดังนั้นการเดินทางของพวกเขาจึงราบรื่นดี เมื่อยามค่ำคืนมาเยือนพวกเขาก็ออกมาจากบ่อน้ำพุร้อนนั้นอีกครั้งพวกเขากลับมายังหมู่บ้านเดิมในช่วงกลางดึกสงัดในหมู่บ้านยังมีอาหารหลงเหลืออยู่ ดังนั้นทุกคนจึงหยุดพักกินอาหารกันก่อนเมื่อฟื้นฟูพละกำลังได้แล้วคนทั้งหมดก็ออกเดินทางต่อมาถึงสุสานเดิม ยามนี้วิญญาณอาฆาตเต็มไปทั่วทั้งภูเขา พลังหยินแผ่ซ่านไปทั่วเมื่อลั่วชิงยวนมาถึงที่แห่งนั้นก็พบว่าปากถ้ำเปิดออกแล้วมีคนกล่าวขึ้นว่า “วันนั้นฝูเหมิ่งก็มาที่นี่!”ลั่วชิงยวนตกใจเล็กน้อยเมื่อเข้าไปในถ้ำแล้ว ภาพที่ปรากฏด้านในนั้นมิเปลี่ยนแปลงมากนัก สิ่งที่เปลี่ยนไปเพียงอย่างเดียวคือโลงศพที่ถูกล่ามโซ่นั้นระเบ
เมื่อได้ยินดังนั้น ความโลภก็ปรากฏในดวงตาของถูหมิง ใครเล่าจะมิปรารถนาสมบัติของเมืองแห่งภูตผี เขาตอบตกลงในทันที “ได้”ลั่วชิงยวนกล่าวต่อว่า “แต่การนำของสิ่งนี้มาจะต้องเผชิญกับอันตรายบ้าง ดังนั้นอาจจะต้องมีคนของเจ้าสละชีวิต”“แต่คนมากก็แบ่งกันได้น้อย คนตายไปบ้างก็มิจำเป็นต้องสนใจความเป็นความตายของพวกเขา”“ความลับนี้ข้าบอกเพียงเจ้าเท่านั้น เจ้าอย่าได้แพร่งพรายให้ผู้ใดรู้เชียว”“โดยเฉพาะฉีเสวี่ยเวย”เมื่อได้ยินดังนั้นถูหมิงก็หันกลับไปมอง แต่ไหนแต่ไรมาเขาก็มิเคยสนใจความเป็นความตายของคนเหล่านั้นอยู่แล้ว“หาได้มีปัญหาไม่!”ถูหมิงรับปากอย่างง่ายดาย แต่ลั่วชิงยวนกลับยังคงระแวดระวัง “ยังมีเรื่องที่ต้องบอกเจ้าอีกอย่าง กองทัพของเมืองแห่งภูตผีถูกพวกข้าปลุกปั่นแล้ว คาดว่าอีกมินานคงไล่ตามมา”“ก่อนที่จะหาของทั้งหกชิ้นพบ อย่าได้คิดที่จะทำสิ่งใดนอกเหนือจากนี้ ท้ายที่สุดแล้ว พวกเราต้องร่วมมือกันต่อสู้กับศัตรู หากถูกพวกมันจับได้คงไม่มีใครมีจุดจบที่ดี”สีหน้าของถูหมิงเปลี่ยนไปเล็กน้อย มิคาดคิดว่าสตรีผู้นี้จะเก่งกาจมากถึงเพียงนี้ กระทั่งปลุกกองทัพของเมืองแห่งภูตผีขึ้นมาได้ดูเหมือนว่าสิ่งที่นางต้