เห็นท่าทีดื้อรั้นเช่นนี้ของพระชายา แม่นมเติ้งแนะนำนางมิได้อีกต่อไป นางทาโอสถให้อีกฝ่ายอย่างตั้งใจลั่วชิงยวนนึกถึงองค์ชายห้า อดมิได้ที่จะถามว่า “องค์ชายห้าอยู่ตำหนักอ๋องตลอดรึ?"แม่นมเติ้งตอบว่า “องค์ชายห้าถูกจับเป็นตัวประกันที่ตำหนักอ๋องเจ้าค่ะ แม้ว่าจะมีการประกาศอย่างเปิดเผยว่า พระองค์ประทับรักษาพระวรกายอยู่ในตำหนัก และได้เชิญหมอเทวดามาเพื่อพระองค์ แต่อันที่จริงแล้วเป็นการควบคุมพระองค์ เพื่อตรวจสอบและถ่วงดุลอำนาจของไทเฮา”เมื่อได้ยินเช่นนี้ ลั่วชิงยวนก็ประหลาดใจเล็กน้อย อดมิได้ที่จะหันไปมองแม่นมเติ้ง “เหตุใดเจ้าถึงรู้เรื่องพวกนี้?”แต่แม่นมเติ้งมองนางด้วยความประหลาดใจ “นี่คือสิ่งที่ทุกคนในเมืองหลวงรู้เจ้าค่ะ ทุกคนรู้อยู่แก่ใจ เพียงแต่มิกล้าติฉินนินทาอย่างโจ่งแจ้งเท่านั้น”ลั่วชิงยวนดูเหลือเชื่อ ทุกคนรู้ แต่นางกลับไม่รู้อะไรเลย!ไม่มีความทรงจำเกี่ยวกับเรื่องนี้เลย!ลั่วชิงยวนคิดอย่างรอบคอบ พยายามกลั่นสิ่งสำคัญออกมาจากความทรงจำบ้างองค์ชายห้าฟู่อวิ๋นโจว และจักรพรรดิองค์ปัจจุบันต่างเกิดมาจากไทเฮา แต่ฟู่อวิ๋นโจวมิสมบูรณ์มาแต่กำเนิด อ่อนแอและขี้โรค ทันทีที่เกิดมาก็พ่ายแพ้ในการต่อส
ลั่วชิงยวนกำลังยันตัวลุกขึ้น ก็ได้ยินซูโหยวพูดว่า “เติ้งหมิงซูมีส่วนช่วยชุนเยวี่ย ปี้อวิ๋นและไป๋ถังอย่างมากในเรื่องนี้”“ตั้งแต่วันนี้ไป ทำหน้าที่เป็นแม่บ้านในเรือนชั้นในของตำหนักอ๋อง อีกเดี๋ยวแม่บ้านเติ้งไปที่ฝ่ายบัญชีเพื่อรับกุญแจแม่บ้านได้เลย”พูดจบ ซูโหยวก็หันหลังกลับและจากไปลั่วชิงยวนชะงักทันทีแม่นมเติ้งก็ดูตกใจเช่นกัน ทุกคนตกใจและทำอะไรไม่ถูก นางได้เป็นแม่บ้าน?แม่บ้านเรือนชั้นใน?เป็นไปมิได้หรอก!ลั่วชิงยวนกำผ้าห่มไว้แน่น รู้สึกขมขื่นในใจอย่างอธิบายมิได้ ซูโหยวมาโดยเฉพาะ ที่จริงแล้วมันไม่เกี่ยวอะไรกับนางเลยฟู่เฉินหวนจงใจทำอย่างนั้นหรือ!แม่นมเติ้งกลับมามีสติ พูดอย่างลำบากใจว่า “เรื่องที่เกิดขึ้นกับชุนเยวี่ยและพวกนาง ทั้งหมดเป็นคุณงามความดีของพระชายา จะให้ความดีความชอบกับหญิงชราอย่างหม่อมฉันได้อย่างไร? หม่อมฉันจะไปอธิบายเรื่องนี้กับท่านอ๋องเองเพคะ”ลั่วชิงยวนหยุดนางและพูดว่า “มิจำเป็นหรอก เขาจงใจทำ”แม่นมเติ้งลังเลและถามว่า “เป็นเพราะองค์ชายห้ามาที่นี่หรือไม่เพคะ?”ลั่วชิงยวนคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “นี่น่าจะเป็นเหตุผลส่วนหนึ่ง แต่ก็มิใช่ทั้งหมด”“ในเมื่อเจ้าเป็
สุดท้ายก็เป็นแม่นมเติ้ง นำป้ายสัญลักษณ์แม่บ้านไปรับยาจากห้องโอสถ แต่ก็ทำได้เพียงเอาสมุนไพรทั่วไปบางชนิดมาเท่านั้น เครื่องยาสมุนไพรล้ำค่าที่ใช้รักษาอาการบาดเจ็บภายในนั้นมิสามารถได้มาจือเฉารู้สึกได้ถึงการเปลี่ยนแปลงท่าทีของท่านอ๋องอย่างชัดเจนหลังจากพักผ่อนมาทั้งวัน ลั่วชิงยวนแทบจะขยับตัวไม่ได้ แม้จะรู้สึกว่าร่างกายยังอ่อนแอ แต่ความเจ็บปวดก็ทุเลาลงมากแล้วช่วงเช้า นางยุ่งอยู่กับแม่บ้านเติ้ง จือเฉาและบ่าวรับใช้อีกสองสามคนอยู่ในเรือน“ย้ายปี่เซียะออกจากในน้ำนี้!” ลั่วชิงยวนมาที่ริมลำธารเล็ก ๆบ่าวรับใช้สองคนเข้าไปลองขยับดูและพูดว่า “มันหนักมากจนไม่ขยับเลยพะย่ะค่ะ”แม่นมเติ้งพูดอย่างเย็นชาว่า “ถ้าย้ายไม่ไหว ก็ไปเรียกคนมาช่วยเพิ่มสิ!"ทั้งสองพยักหน้า และไปเรียกคนมาช่วยการย้ายปี่เซียะออกจากในลำธารนี้ ยังได้แก้ไขรูปปั้นหินที่เต็มไปด้วยความมุ่งร้าย พวกเขาก็ยุ่งทั้งวันโดยไม่ได้หยุดพัก ทั้งยังนำสิ่งของในเรือนส่วนใหญ่ที่ไม่ดีต่อฮวงจุ้ยทิ้งไปจนหมด หลายคนในตำหนักไม่รู้ว่านางกำลังทำอะไรอยู่ จึงพาลคิดไปว่านางมีแม่นมเติ้งที่มีตำแหน่งแม่บ้านอยู่ข้างกาย จึงจงใจแสดงอำนาจในตำหนักเช่นนี้จิกหัว
ลั่วชิงยวนพูดด้วยน้ำเสียงดื้อรั้นว่า “ในเมื่อเป็นข้อตกลง หม่อมฉันได้แสดงความจริงใจของหม่อมฉันแล้ว ท่านอ๋องควรแสดงความจริงใจของพระองค์ด้วยหรือไม่? ไม่เช่นนั้นก็ทรงรีบเอาสมบัติของแม่หม่อมฉันให้หม่อมฉันเสียที อย่างน้อยพระองค์ก็ไปเอามันมาจากเยวี่ยอิงก่อนได้หรือไม่เพคะ?”“ท่านอ๋องเก็บไว้กับตัวเองก่อน หลังจากหม่อมฉันกำจัดอาคมชุมนุมปีศาจได้แล้ว ท่านอ๋องค่อยมอบของให้หม่อมฉันก็ย่อมได้เพคะ”ฟู่เฉินหวนมิได้ตอบ แต่สายตายังคงเย็นชาเช่นเคยลั่วชิงยวนสีหน้าจริงจังมากและพูดว่า “เมื่อข้อตกลงของเราจบลง ท่านอ๋องส่งหนังสือหย่าให้หม่อมฉันก็ได้! หม่อมฉันจะไม่ยุ่งวุ่นวายกับพระองค์อีก!”เมื่อได้ยินสิ่งนี้ มีแสงแวบขึ้นมาในแววตาของฟู่เฉินหวน มีความประหลาดใจเล็กน้อยซ่อนอยู่ในสายตานางเต็มใจให้เขาหย่ากับนางจริง ๆ อย่างนั้นหรือ? น่าขันนัก เหตุใดสมบัติของแม่นางจึงสำคัญมากเพียงนี้?หากเป็นเช่นนั้นแล เหตุใดถึงต้องพยายามทุกวิถีทางที่จะแต่งงานแทนตั้งแต่แรก? นั่นทำลายแผนการทั้งหมดของเขา!สตรีผู้นี้เคยพูดอะไรจริงบ้างหรือไม่?ฟู่เฉินหวนมองด้วยความสงสัย ลั่วชิงยวนจึงระงับความโกรธ พยายามพูดกับเขาอย่างใจเย็น “ถ้าพระอ
นี่เป็นผลให้น้ำหนักตัวเพียงเพิ่มขึ้นแต่ไม่ลดลงจือเฉาช่วยนางแต่งตัว สีหน้าเคร่งขรึมและพูดว่า “เสื้อผ้าดูแน่นขึ้นอีกแล้ว จะทำเยี่ยงไรดี บางทีพระชายาอาจต้องกินให้น้อยลงหรือไม่เจ้าคะ?”ลั่วชิงยวนพูดอย่างจริงจังว่า “สาวน้อยโง่เขลา ถ้ากินน้อยร่างกายก็จะไม่มีกำลัง บาดเจ็บแค่ไหนก็เข้มแข็งให้เหมือนวัว ดีกว่าอ่อนแอแล้วล้มลงด้วยหมัดของใคร เข้าใจหรือไม่?”“ดังนั้นเจ้าเองก็ควรกินให้มากขึ้นด้วย!”จือเฉาพยักหน้า กลับพูดอย่างเขินอายว่า “แต่พระชายาตัวอ้วนท้วน ก็มิได้แข็งแรงเหมือนวัวนี่เจ้าคะ”ลั่วชิงยวนรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย พูดอย่างชอบธรรมว่า “อย่างน้อยข้าก็ดูแข็งแกร่งเหมือนวัว เพียงเท่านี้ก็ทำให้ผู้คนหวาดกลัวได้แล้ว!”“เจ้าค่ะ”ใส่เสื้อผ้าเสร็จ ลั่วชิงยวนยืดเข็มขัดที่แน่นเล็กน้อยออก ก้าวออกไป วางแผนจะฝึกชี่กงที่ลานจวนแม่นมเติ้งรีบเดินเข้าไปในลานจวนแล้วพูดว่า “พระชายาเจ้าคะ องค์ชายห้าเสด็จมาเจ้าค่ะ”ลั่วชิงยวนเลิกคิ้ว รีบโบกมืออย่างเร็ว “ไม่พบ ๆ บอกเขาไปว่าข้ากำลังนอนอยู่!”นางหันหลังกลับและเข้าไปในเรือนใครจะรู้ว่าฟู่อวิ๋นโจวจะมาปรากฏตัวที่ทางเข้าเรือน บังเอิญเห็นสิ่งนี้เข้า จึงมิได้ก้า
ช่วงเวลาเดียวกันห้องตำราซูโหยวลังเลอยู่นาน ถึงจะเดินเข้าไปในห้องตำราและพูดว่า “ท่านอ๋อง บัดนี้องค์ชายห้าเสด็จไปพบพระชายาอีกแล้วพ่ะย่ะค่ะ”ฟู่เฉินหวนหยุดพลิกหนังสือชั่วคราว แล้วก็กลับมาเป็นปกติทันที สีหน้านิ่งเฉยและพูดว่า “นี่มันไม่ปกติ”พวกเขาเป็นพวกเดียวกันซูโหยวสีหน้าเคร่งขรึมและพูดว่า “องค์ชายห้าทรงมอบอาภรณ์เมฆสีทองหนึ่งชุดให้พระชายา ทรงตรัสว่าเป็นอาภรณ์งานฉลองไหว้พระจันทร์ในวังหลวงให้พระชายาพ่ะย่ะค่ะ”ได้ยินเช่นนี้ ฟู่เฉินหวนขมวดคิ้วแต่ยังคงไม่พูดอะไร เพียงสีหน้าบึ้งตึงเล็กน้อย“ท่านอ๋อง งานฉลองไหว้พระจันทร์ในวังหลวง ตามเหตุผลพระชายาก็จะต้องเข้าร่วมด้วย เมื่อถึงเวลารูปลักษณ์ของนางจะถูกผู้คนนินทาอย่างหลีกเลี่ยงมิได้ หากนางยังสวมอาภรณ์ที่องค์ชายห้าทรงมอบให้อีก มิรู้ว่าผู้คนจะหัวเราะเยาะท่านอ๋องลับหลังเช่นไรพ่ะย่ะค่ะ”“ในความเห็นของกระหม่อม ท่านอ๋องเป็นผู้ตระเตรียมอาภรณ์สำหรับงานฉลองไหว้พระจันทร์ในวังหลวง จะเป็นการเหมาะสมกว่าพ่ะย่ะค่ะ”ซูโหยววิเคราะห์ด้วยสีหน้าเคร่งขรึมถึงอย่างไรก็ยังเป็นพระชายาอ๋องด้วย มันไม่เหมาะที่องค์ชายห้าจะส่งเสื้อผ้าอาภรณ์มาให้ในกรณีนี้คิ้วขอ
ลั่วชิงยวนตัวดี วันดี ๆ ของนางจบลงแล้ว!แววตาของนางเย็นเยียบและดุร้าย……เมื่อซูโหยวส่งอาภรณ์มาให้ ลั่วชิงยวนตกใจมาก นางไม่ได้คิดเลยสักนิดว่า ฟู่เฉินหวนจะให้ซูโหยวมอบอาภรณ์ให้นางจริง ๆมองดูชุดอันประณีตงดงามที่เป็นสีแดงเพลิงที่อยู่บนโต๊ะ จือเฉาประหลาดใจมากและพูดว่า “พระชายามาลองกันเถิดเจ้าค่ะ”จือเฉาช่วยนางผลัดผ้า แต่ขนาดของชุดนั้นเกือบจะเท่าเมื่อก่อน แน่นนิดหน่อย ใส่ไม่สบายนัก“ดูเหมือนว่าท่านอ๋องจะไม่รู้ว่าพระชายาน้ำหนักขึ้นเล็กน้อยนะเพคะ อาภรณ์นี้ดูสำรวยนัก ท่านสวมแล้วก็ต้องระวังการเคลื่อนไหวนะเจ้าคะ มิเช่นนั้นมันจะขาดได้ง่าย” จือเฉาจัดไปด้วย พูดไปด้วย“พอแล้ว พอแล้ว ถอดออกเถอะ ทรมานจะตายอยู่แล้ว” ลั่วชิงยวนถอดออกทันทีจือเฉาพับอาภรณ์อย่างเรียบร้อยและใส่กลับเข้าไปในกล่องผ้า “แล้วพระชายาอยากใส่ชุดใดไปงานเลี้ยงวังหลวงเล่าเจ้าคะ?”“ดูดีทั้งสองชุดเลย แต่ชุดหนึ่งใส่สบายหน่อย อีกชุดหนึ่งดูแน่นกว่าเล็กน้อย แต่ชุดนี้ท่านอ๋องทรงมอบให้เจ้าค่ะ”ลั่วชิงยวนมองดู ทำหน้าบึ้งและพูดว่า “ชุดนี้สิ เราจะได้เลี่ยงปัญหาจากเขา”ไม่ให้ยังดีกว่า ให้แล้วนางก็ต้องใส่การเปรียบเทียบเช่นนี้ ฟู่อวิ๋น
ลั่วชิงยวนก้มลงและกำลังจะขึ้นรถม้า ได้ยินเสียงนี้ ก็พลันตัวแข็งทื่อเมื่อเงยหน้าขึ้นมา ก็เห็นสายตาของฟู่เฉินหวนเต็มไปด้วยความรังเกียจ สายตาที่เย็นชาของเขาคมราวกับกริช เต็มไปด้วยความดูถูกและความโกรธลั่วชิงยวนรู้สึกอึดอัดมาก แอบกำมือแน่น มองฟู่เฉินหวนและไม่เอ่ยวาจาใด หันหลังกลับและลงจากรถม้าทันทีที่ลงจากรถม้า ฟู่เฉินหวนก็สั่งคนขับรถม้าว่า “ออกเดินทาง”รถม้าบังคับออกไปอย่างเร็วจนเกือบจะชนลั่วชิงยวนล้ม ทำให้นางถอยหลังไปหลายก้าวก่อนจะทรงตัวให้มั่นคง“พระชายาเจ้าคะ!” จือเฉาตื่นตระหนกลั่วชิงยวนยืนนิ่ง มองดูรถม้าลับตาไปจากสุดถนน พลันบริเวณรอบ ๆ ก็ว่างเปล่านางถูกทิ้งไว้ข้างหลังชั่วครู่หนึ่งในใจก็ไม่รู้ว่ารู้สึกเช่นไรซูโหยวไปจัดรถม้าคันอื่นด้วยสีหน้าเคร่งขรึม เพียงแต่สั่งให้สารถีเข้าไปในวังหลวงเท่านั้น มิได้เอ่ยวาจาใดอีก จากนั้นก็เดินจากไปมิได้พูดอันใดกับลั่วชิงยวนสักคำ ไม่แม้แต่จะมองนางอีกจือเฉารู้สึกทั้งเสียใจและเป็นทุกข์ ช่วยประคองลั่วชิงยวนขึ้นรถม้า “แม้แต่ซูโหยวก็เปลี่ยนท่าที ทำไมพระชายาต้องผลัดผ้าเป็นอาภรณ์นี้เล่าเจ้าคะ ท่านอ๋องต้องมิพอพระทัยเป็นแน่เจ้าค่ะ”ลั่วชิงยวนพู
โฉวสือชีได้ยินดังนั้นก็มองนางด้วยความตกใจ“นักบวชหญิงหรือ?!”ลั่วชิงยวนมีสีหน้าสงบนิ่ง กล่าวอย่างใจเย็น “ใช่ มีเพียงข้าได้เป็นนักบวชหญิงเท่านั้น ข้าจึงจะสามารถยกเลิกกฎและระเบียบที่มิยุติธรรมและช่วยคนที่พวกเจ้าอยากช่วยได้”“มิเช่นนั้นถึงแม้ว่าพวกเจ้าจะฆ่าคนไปมากเท่าใด ภายใต้กฎระเบียบนี้ก็ยังคงมีคนมากมายถูกใส่ร้าย ถูกบังคับให้เป็นทาสเหมือนเดิม”หลังจากที่โฉวสือชีฟังจบก็รู้สึกหวั่นไหวเพียงแต่ยังมองลั่วชิงยวนด้วยความมิวางใจ “เจ้าทำได้จริงหรือ?”“แน่นอน มิเช่นนั้นข้าจะมาที่นี่เพื่ออะไร?”โฉวสือชีมองหญิงสาวตรงหน้า เห็นได้ชัดว่านางอ่อนแอและซีดเซียวราวกับจะตายได้ทุกเมื่อกลัวว่าหากร่วมมือกับนาง นางจะตายก่อนที่การใหญ่จะสำเร็จแต่แววตาและน้ำเสียงที่หนักแน่นนั้นกลับทำให้น่าเชื่อถืออย่างบอกมิถูกเห็นว่าโฉวสือชียังคงลังเล ลั่วชิงยวนจึงหยิบเข็มทิศอาณัติสวรรค์ออกมาแล้วใช้สายตาชี้ไปทางตู้เฟิงเฉินที่อยู่บนพื้น“ข้าเห็นอดีตของเขา”“เหตุผลของการมีอยู่ของทาสเป็นสิ่งที่ข้ามิคาดคิด ครอบครัวของเขาถูกทำร้าย แต่มิใช่เหตุผลอันชอบธรรมที่ทำให้เขาทำร้ายผู้บริสุทธิ์ได้”“เขาต่างจากผู้กระทำความผิดตรง
กล่าวจบ นางก็พูดต่อ “หากข้าอยากอยู่ในเมืองหลวงก็ต้องทำภารกิจปราบพวกเจ้าให้สำเร็จ”โฉวสือชีหัวเราะอย่างเย็นชา “ปราบหรือ? พวกข้าเป็นคน มิใช่สัตว์ เจ้าจะใช้เรื่องแก้ยันต์ผนึกวิญญาณมาขู่ให้พวกเราเชื่อฟังหรือ?”แต่แววตาของลั่วชิงยวนกลับลุกโชนดั่งเพลิง นางยกยิ้มกล่าวด้วยเสียงแผ่วเบา “หามิได้”“ข้าจะพาพวกเจ้า หนีออกจากค่ายทาสนักโทษ”โฉวสือชีได้ยินดังนั้นก็ตกใจมากค่ายทาสนักโทษมีค่ายกลและกลไก ไม่มีใครหนีออกไปได้ง่าย ๆ ยิ่งไปกว่านั้น การป้องกันภายนอกก็แน่นหนา“เจ้าอยู่ในสภาพนี้ ยังจะพาพวกข้าหนีออกจากค่ายทาสนักโทษอีก? อย่าว่าแต่เจ้าทำมิได้เลย ถึงเจ้าจะทำได้ แต่พวกข้าจะเชื่อเจ้าได้อย่างไร?”ลั่วชิงยวนฟังออกว่าโฉวสือชีอยากจะร่วมมือ มิเช่นนั้นคงมินั่งอยู่ที่นี่เพื่อลองใจนาง“เพราะมิใช่แค่พวกเจ้าที่ต้องการแก้ยันต์ผนึกวิญญาณ ข้าคิดว่าสหายและครอบครัวของพวกเจ้าก็ต้องการแก้ยันต์ผนึกวิญญาณเหมือนกัน”คำพูดของลั่วชิงยวนทำให้โฉวสือชีพูดมิออกมองปฏิกิริยาของโฉวสือชีแล้ว ลั่วชิงยวนก็รู้ว่าวิธีของนางถูกต้อง“ข้าอยากรู้ว่า เหตุใดพวกเจ้าถูกสลักยันต์ผนึกวิญญาณแล้วแต่ยังหนีออกมาได้?”โฉวสือชีขมวดคิ้ว
โฉวสือชีลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงถอดเสื้อนั่งขัดสมาธิตรงหน้าลั่วชิงยวนลั่วชิงยวนหยิบยันต์ออกมาแปะลงบนรอยสักพลันมีแสงสีทองปรากฏขึ้นบนรอยสัก“เห็นหรือไม่ นี่แสดงว่ายันต์ผนึกวิญญาณมีอยู่จริง”“เมื่อแก้ยันต์ผนึกวิญญาณแล้ว ที่นี่ก็จะมีเพียงรอยสักและแผลเป็น จะไม่มีอักขระเวทแสงสีทองนี้อีก”ลั่วชิงยวนพยายามอธิบายให้พวกเขาฟังหากสามารถตกลงกันได้ด้วยดีก็ดีที่สุด นางมิอยากลงมือต่อสู้อีกแล้วนางสู้มิได้จริง ๆ หงไห่และคนอื่น ๆ ฟังเข้าใจ จึงพยักหน้า “เช่นนั้นเจ้ารีบแก้ยันต์ผนึกวิญญาณให้เขาเถิด”ลั่วชิงยวนก็บังเอิญทำได้ ใต้หล้านี้มีมิกี่คนที่แก้ยันต์ผนึกวิญญาณได้ และนางเป็นหนึ่งในนั้นเพียงแต่ร่างกายของนางตอนนี้จะยิ่งเสียพลังมากขึ้นนางหยิบยันต์ออกมา ก่อนจะใช้มีดกรีดนิ้วเพื่อใช้เลือดวาดยันต์ จากนั้นแปะลงบนหลังของโฉวสือชี วงแหวนแห่งเวทสีทองปรากฏขึ้นซึมเข้าไปในรอยแผลเป็นของยันต์ผนึกวิญญาณไม่มีปฏิกิริยาใดอีก“เสร็จแล้ว” ลั่วชิงยวนกล่าวอย่างใจเย็นโฉวสือชีหันไปมองไหล่ของตัวเอง ดูเหมือนจะมิรู้สึกอะไร “เสร็จแล้วหรือ?”ลั่วชิงยวนจึงทดสอบให้พวกเขาดู ในรอยสักของยันต์ผนึกวิญญาณไม่มีอักขระเว
แต่ที่นี่มิได้มีแค่หงไห่คนเดียวยังมีคนชั่วร้ายอีกหลายคนเมื่อพวกเขาลงมือ ลั่วชิงยวนก็ถูกรุมซ้อมจนไร้ทางสู้สุดท้ายก็ถูกหงไห่จับตัวได้ และถูกกดร่างลงกับพื้นแน่นหงไห่หยิบมีดเล่มใหญ่ออกมา ซึ่งยังคงมีคราบเลือดแห้งกรังติดอยู่“ให้ข้าดูหน่อย จะตัดมือข้างไหนก่อนดี?”หงไห่พูดพลางจับข้อมือของนางกดลงพื้นใบมีดคมกริบวางลงบนข้อมือของนางและเคลื่อนไหวไปมาดูว่าจะกรีดตรงไหนดี“ข้างนี้แหละ”เมื่อเห็นว่าหงไห่จะลงมือแล้ว ลั่วชิงยวนก็ร้อนใจ พยายามดิ้นรนแต่ก็ดิ้นมิหลุดจนกระทั่งเงยหน้าขึ้นมองโฉวสือชีเดินผ่านมา ในที่สุดเขาก็ปิดตำราตำราที่คุ้นเคยเล่มนั้นทำให้ลั่วชิงยวนตกใจอาคมนักบวชหญิง!ในขณะที่หงไห่กำลังจะฟันลงมา ลั่วชิงยวนก็ตะโกนด้วยความร้อนใจ—“ข้าแก้ยันต์ผนึกวิญญาณได้!”โฉวสือชีตกใจ รีบหันกลับมาตะโกน “หยุด!”หงไห่ก็หยุดมือทันทีเขาปักมีดลงพื้นแล้วถามด้วยน้ำเสียงเย็นชา “เจ้าแก้ยันต์ผนึกวิญญาณได้รึ?”“เจ้าเป็นแค่นักบวชหญิงที่เพิ่งมา เจ้าจะแก้ได้อย่างไร”“พวกข้าจับนักบวชหญิงมามากมาย ไม่มีใครแก้ได้สักคน”“หากเจ้ากล้าหลอกลวงพวกข้า ข้าจะหั่นเจ้าเป็นชิ้น ๆ!”ลั่วชิงยวนรีบกล่าว “ข้าทำได
ผู้ชายหลายคนจับภรรยาและน้องสาวของตู้เฟิงเฉินไป แล้วลากเข้าไปในห้องเสียงร้องโหยหวนดังระงมตู้เฟิงเฉินร้อนใจ อยากจะช่วยพวกนาง แต่ก็ทำอะไรมิได้“พวกสัตว์เดรัจฉาน!” ตู้เฟิงเฉินพยายามวิ่งเข้าไป แต่กลับถูกฟาดลงไปนอนกับพื้น เขายังลุกขึ้นวิ่งเข้าไปขัดขวางอีกครั้ง“พวกเราสำนึกผิดแล้ว เหตุใดจึงทำกับพวกเราเช่นนี้!” หญิงสาวร้องไห้ดิ้นรน แต่ก็ถูกตบหน้ามิหยุดชายที่ตบนางกล่าวว่า “ทาสก็คือทาส! นี่คือประโยชน์ของพวกเจ้า!”“พวกเจ้าไม่มีสิทธิ์ขัดขืน ยอมรับอย่างสงบก็พอ!”พูดจบ ก็ลากหญิงสาวเข้าไปในห้องแล้วปิดประตูมีเสียงดิ้นรนและกรีดร้องดังมาจากในห้องตู้เฟิงเฉินทรุดตัวร้องเอ่ยนามภรรยาและน้องสาวด้วยความสิ้นหวัง ก่อนจะใช้แรงทั้งหมดที่มีพุ่งชนประตูแต่กลับถูกชายหลายคนจับกดลงพื้นในตอนนั้น ลั่วชิงยวนราวกับสัมผัสได้ถึงความเจ็บปวดของเขาลั่วชิงยวนน้ำตาคลอตู้เฟิงเฉินมิยอมแพ้ พยายามดิ้นรนเข้าไปช่วย แต่กลับถูกรุมซ้อมจนหัวแตก นอนคว่ำอยู่หน้าประตูอย่างอ่อนแรงได้แต่มองประตูที่ถูกเปิดออก มีคนออกมา แล้วมีคนใหม่เข้าไปอีกเมื่อเห็นคนที่เขารักถูกทรมาน เขาก็เกลียดชังจนอยากจะทำลายใต้หล้าที่มิยุติธรรมผืนนี
นางยัดเศษผ้าจากชุดที่ถูกกระชากจนขาดเข้าไปในปากของตู้เฟิงเฉินแล้วหยิบผ้าคลุมสีดำขึ้นมาคลุมร่างปกปิดอาภรณ์ที่ขาดวิ่นนางก้มลง แววตามิหวาดกลัวเหมือนก่อนหน้านี้แล้วจ้องมองตู้เฟิงเฉินอย่างเย็นชา“ข่มขืนหญิงสาวยี่สิบสามคน คนชั่วช้าเช่นเจ้า แม้แต่จะปราบเจ้า ข้ายังรังเกียจ”เมื่อตู้เฟิงเฉินรู้ตัวว่าถูกหลอกก็โกรธจัด จ้องมองนางด้วยดวงตาแดงก่ำ พยายามดิ้นรนสุดกำลังแต่ก็ดิ้นมิหลุดลั่วชิงยวนหยิบมีดมากรีดเสื้อของเขา แล้วฉีกออกอย่างแรงแน่นอนที่ไหล่ของเขาก็มียันต์ผนึกวิญญาณเช่นเดียวกันเหตุใดพวกเขาจึงมีเหมือนกันหมดนางรู้แค่ว่าแคว้นหลีมีสถานที่แห่งหนึ่งที่ใช้คุมขังนักโทษโดยเฉพาะมีคนชั่วร้ายที่ก่ออาชญากรรมหรือคนที่ทรยศแคว้นหลี พวกเขาจะมิตาย แต่จะถูกขังไว้ที่นั่นแต่คนชั่วร้ายทั้งสิบคนนี้ พวกเขาหนีออกมาจากที่นั่นได้หรือ?พวกเขามีชื่อเสียงโด่งดัง เดินทางไปทั่วแคว้นหลีมานานแล้วตามปกติควรจะปราบพวกเขาที่นี่ แล้วค่อยส่งไปขังเมื่อตั้งสติได้ ลั่วชิงยวนก็เอื้อมมือไปกระชากหน้ากากของตู้เฟิงเฉินออกลอกออกทีละชั้น ในที่สุดก็เผยใบหน้าที่แท้จริงใบหน้าที่ดูเด็ดเดี่ยวมิได้น่าเกลียดเหมือนที่ลั่ว
ลมพัดกระโชกแรงความสงบในยามราตรีราวกับถูกกำจัดไปอย่างรุนแรง พลังที่แปลกประหลาดบุกรุกเข้ามาเมื่อความรู้สึกมิสงบบันดาลขึ้น ลั่วชิงยวนก็ตื่นขึ้นทันทีแต่ก็สายไปแล้ว มีเสียงหัวเราะของบุรุษดังมาจากในความมืด ในวินาทีต่อมาไหล่ของลั่วชิงยวนก็ถูกจับ แล้วลากออกไปจากห้องลั่วชิงยวนถูกโยนลงพื้นอย่างแรง รู้สึกเจ็บปวดไปทั่วทั้งร่างมีคนก่อไฟไว้ในลาน คนชั่วร้ายทั้งเก้าคนกำลังนั่งเล่นอยู่ในลานนอกจากชายคนหนึ่งที่กำลังอ่านหนังสือ คนอื่น ๆ ต่างจ้องมองลั่วชิงยวนตู้เฟิงเฉินนั่งยอง ๆ จิกผมของลั่วชิงยวนเพื่อให้นางแหงนหน้าขึ้น“โอ้โห ครั้งนี้ส่งสาวงามที่อ่อนแอมาให้พวกเรา จุ๊ จุ๊...”ตู้เฟิงเฉินมีใบหน้าที่ค่อนข้างดูดี แต่แววตาบ่งบอกถึงความเจ้าชู้โดยเฉพาะดวงตาคู่นั้นที่มองลั่วชิงยวนราวกับจะกลืนกิน ช่างน่าขนลุก“คิดหรือว่าครั้งนี้ข้าจะยอมพวกเจ้า ใครจะมาก่อน?” ตู้เฟิงเฉินถามอย่างใจร้อนคนอื่น ๆ มิพูด ตู้เฟิงเฉินหัวเราะเบา ๆ “เรื่องดี ๆ เช่นนี้ยังมิกระตือรือร้นกันอีกรึ? เช่นนั้นข้าก็มิเกรงใจแล้ว”กล่าวจบก็ใช้นิ้วเชยคางของลั่วชิงยวน “เช่นนั้นข้าจะเป็นคนแรกที่ได้สนุกเอง”จากนั้นคว้าคอเสื้อของลั่วชิ
นางเคยได้ยินชื่อเสียงของคนชั่วร้ายทั้งสิบคนนี้ แต่มินึกเลยว่าพวกเขาจะจับคนชั่วร้ายทั้งสิบคนมาจริง ๆ นี่มิใช่เรื่องง่ายและแต่ละคนก็มิใช่ว่าจะรับมือได้ง่าย ๆ ลั่วชิงยวนต้องอยู่ในนี้เป็นเวลาเจ็ดวันภายในเจ็ดวันต้องปราบพวกเขาให้ได้ และต้องรับประกันว่าตัวเองจะมิตายในมือด้วยน้ำมือของพวกเขานักโทษไม่มีสิทธิ์ดื่มน้ำศักดิ์สิทธิ์ ดังนั้นตอนนี้โอสถจตุรธาตุในร่างของลั่วชิงยวนจึงใช้มิได้ผลนางค่อย ๆ เดินไปข้างหน้า ที่ลานชั้นในเงียบสงัด สายลมหนาวพัดผ้าคลุมตัวใหญ่ของนางจนเกิดเสียงผ้าสะบัดไปมาเมื่อมาถึงห้องที่มีคนตาย ในจังหวะที่ผลักประตูเข้าไปก็มีความเย็นยะเยือกพัดเข้ามาปะทะใบหน้าศพนอนอยู่บนพื้นแขนขาถูกแยกออกจากร่าง เลือดไหลนองเต็มพื้นลั่วชิงยวนเตรียมใจไว้แล้วจึงมิตกใจ แต่ก็ยังดีกว่าภาพที่นางจินตนาการไว้มากนางเข้าไปตรวจสอบศพ ดูเหมือนว่าจะตายมิเกินหนึ่งวันบาดแผลร้ายแรงอยู่ตรงกลางระหว่างหน้าอกและท้อง แสดงว่าถูกแทงจากด้านหน้า แผลเรียบเพราะคมมีด ส่วนแขนขาน่าจะถูกตัดหลังจากตายแล้วลั่วชิงยวนตรวจสอบแล้วพบว่าไม่มีร่องรอยการต่อสู้บนศพเหมือนกับยืนอยู่เฉย ๆ แล้วถูกฆ่า ไม่มีแม้แต่รอยฟกช้ำ
“ข้ารู้มากกว่าเฉินชีเยอะ”ฉินอี้ใจกระตุก สตรีผู้นี้ดูอ่อนแอ แต่กลับพูดจาโอหัง“ข้าเห็นใต้ตาขององค์ชายเป็นสีเขียวคล้ำ แก้มก็ตอบ คงจะกำลังกังวลเรื่องฝึกฝนวรยุทธ์กระมัง” ลั่วชิงยวนกล่าวด้วยรอยยิ้มน้ำเสียงใส ๆ นั้นกลับทำให้ทุกคนตกใจฉินอี้รู้สึกเสียหน้า กล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา “แค่ติดขัดเท่านั้น!”ลั่วชิงยวนหัวเราะเบา ๆ “ทุกคนย่อมพบเจออุปสรรค แต่คนที่เจออุปสรรคห้าปีนั้นหาได้ยาก”คำพูดที่เชื่องช้านั้นทิ่มแทงจุดอ่อนของฉินอี้พูดต่อหน้าคนมากมายเช่นนี้ ฉินอี้โกรธมาก“หุบปาก!”ในใจของฉินอี้ก็ตกใจ เหตุใดสตรีผู้นี้จึงรู้เรื่องนี้ แม้แต่เฉินชียังมิรู้เลยเฉินชีได้ยินดังนั้นก็ประหลาดใจ แล้วหัวเราะเยาะ “ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า... ห้าปีเลยรึ? องค์ชายช่างสมกับคำว่าไร้ความสามารถเสียจริง!”ฉินอี้หน้าแดงก่ำด้วยความโกรธและอับอาย เขามองเฉินชีด้วยความโมโหเฉินชียกยิ้มท้าทาย “องค์ชาย คนที่ข้าพามามิใช่คนไร้ค่า ความสามารถของนางเหนือกว่านักบวชหญิงทุกคนในแคว้นหลี!”คำพูดที่โอหังเช่นนี้ มีเพียงเฉินชีเท่านั้นที่พูดได้แต่คำพูดนี้กลับสร้างศัตรูให้ลั่วชิงยวนมากมายฉินอี้หัวเราะอย่างเย็นชา แล้วกล่าวว่า “เฉินช