ลั่วชิงยวนตัวดี วันดี ๆ ของนางจบลงแล้ว!แววตาของนางเย็นเยียบและดุร้าย……เมื่อซูโหยวส่งอาภรณ์มาให้ ลั่วชิงยวนตกใจมาก นางไม่ได้คิดเลยสักนิดว่า ฟู่เฉินหวนจะให้ซูโหยวมอบอาภรณ์ให้นางจริง ๆมองดูชุดอันประณีตงดงามที่เป็นสีแดงเพลิงที่อยู่บนโต๊ะ จือเฉาประหลาดใจมากและพูดว่า “พระชายามาลองกันเถิดเจ้าค่ะ”จือเฉาช่วยนางผลัดผ้า แต่ขนาดของชุดนั้นเกือบจะเท่าเมื่อก่อน แน่นนิดหน่อย ใส่ไม่สบายนัก“ดูเหมือนว่าท่านอ๋องจะไม่รู้ว่าพระชายาน้ำหนักขึ้นเล็กน้อยนะเพคะ อาภรณ์นี้ดูสำรวยนัก ท่านสวมแล้วก็ต้องระวังการเคลื่อนไหวนะเจ้าคะ มิเช่นนั้นมันจะขาดได้ง่าย” จือเฉาจัดไปด้วย พูดไปด้วย“พอแล้ว พอแล้ว ถอดออกเถอะ ทรมานจะตายอยู่แล้ว” ลั่วชิงยวนถอดออกทันทีจือเฉาพับอาภรณ์อย่างเรียบร้อยและใส่กลับเข้าไปในกล่องผ้า “แล้วพระชายาอยากใส่ชุดใดไปงานเลี้ยงวังหลวงเล่าเจ้าคะ?”“ดูดีทั้งสองชุดเลย แต่ชุดหนึ่งใส่สบายหน่อย อีกชุดหนึ่งดูแน่นกว่าเล็กน้อย แต่ชุดนี้ท่านอ๋องทรงมอบให้เจ้าค่ะ”ลั่วชิงยวนมองดู ทำหน้าบึ้งและพูดว่า “ชุดนี้สิ เราจะได้เลี่ยงปัญหาจากเขา”ไม่ให้ยังดีกว่า ให้แล้วนางก็ต้องใส่การเปรียบเทียบเช่นนี้ ฟู่อวิ๋น
ลั่วชิงยวนก้มลงและกำลังจะขึ้นรถม้า ได้ยินเสียงนี้ ก็พลันตัวแข็งทื่อเมื่อเงยหน้าขึ้นมา ก็เห็นสายตาของฟู่เฉินหวนเต็มไปด้วยความรังเกียจ สายตาที่เย็นชาของเขาคมราวกับกริช เต็มไปด้วยความดูถูกและความโกรธลั่วชิงยวนรู้สึกอึดอัดมาก แอบกำมือแน่น มองฟู่เฉินหวนและไม่เอ่ยวาจาใด หันหลังกลับและลงจากรถม้าทันทีที่ลงจากรถม้า ฟู่เฉินหวนก็สั่งคนขับรถม้าว่า “ออกเดินทาง”รถม้าบังคับออกไปอย่างเร็วจนเกือบจะชนลั่วชิงยวนล้ม ทำให้นางถอยหลังไปหลายก้าวก่อนจะทรงตัวให้มั่นคง“พระชายาเจ้าคะ!” จือเฉาตื่นตระหนกลั่วชิงยวนยืนนิ่ง มองดูรถม้าลับตาไปจากสุดถนน พลันบริเวณรอบ ๆ ก็ว่างเปล่านางถูกทิ้งไว้ข้างหลังชั่วครู่หนึ่งในใจก็ไม่รู้ว่ารู้สึกเช่นไรซูโหยวไปจัดรถม้าคันอื่นด้วยสีหน้าเคร่งขรึม เพียงแต่สั่งให้สารถีเข้าไปในวังหลวงเท่านั้น มิได้เอ่ยวาจาใดอีก จากนั้นก็เดินจากไปมิได้พูดอันใดกับลั่วชิงยวนสักคำ ไม่แม้แต่จะมองนางอีกจือเฉารู้สึกทั้งเสียใจและเป็นทุกข์ ช่วยประคองลั่วชิงยวนขึ้นรถม้า “แม้แต่ซูโหยวก็เปลี่ยนท่าที ทำไมพระชายาต้องผลัดผ้าเป็นอาภรณ์นี้เล่าเจ้าคะ ท่านอ๋องต้องมิพอพระทัยเป็นแน่เจ้าค่ะ”ลั่วชิงยวนพู
แต่อาภรณ์เพลิงไสวถูกฟู่เฉินหวนซื้อไป เขาจะเอาของปลอมให้ลั่วเยวี่ยอิงใส่ได้เยี่ยงไร? มีเพียงนางเท่านั้นที่ใส่ได้!เห็นได้ชัดว่า ฟู่เฉินหวนกำลังตรวจสอบสินค้าปลอมบนถนนเชียนเมี่ยน แต่กลับเอาสินค้าปลอมให้นางใส่รึ? นี่เขาคิดอะไรอยู่!นี่คือชายที่ลั่วชิงยวนตกหลุมรักอย่างสุดซึ้ง ชายที่วางแผนทำร้ายนางทุกครั้งไป!ลั่วเยวี่ยอิงได้ยินก็ประหลาดใจมากและพูดว่า “ต้องถูกลงโทษอย่างหนักจริง ๆ หรือ?”จู่ ๆ นางก็ตื่นตระหนกเล็กน้อยและพูดว่า “ถ้าอย่างนั้นข้าต้องรีบไปหาพี่สาวของข้า พวกท่านมีใครเห็นพี่สาวของข้าหรือไม่?”ทุกคนสับสน “ตามหาพี่สาวของท่านรึ? ตามหาพี่สาวของท่านทำไม? หรือว่านางไปซื้อของปลอมที่ถนนเชียนเมี่ยน?”สีหน้าของลั่วเยวี่ยอิงเปลี่ยนไปเล็กน้อย มิได้ตอบอันใด แต่สีหน้าท่าทางนั้นกลับบอกทุกอย่างแล้วหลายคนที่อยู่รอบ ๆ ประหลาดใจอย่างมาก มองลั่วเยวี่ยอิงและพูดด้วยความประหลาดใจว่า “วันนี้นางมิได้ใส่ชุดปลอมใช่หรือไม่?”ลั่วเยวี่ยอิงส่ายหัวอย่างตื่นตระหนกและพูดว่า “ไม่ใช่ ๆ พวกท่านอย่าเดามั่วสิ”แต่ทุกคนกลับไม่ได้ฟังนาง หารือกับตนเองว่า “ในโอกาสเช่นวันนี้ ต้องถูกลงโทษอย่างหนัก! และเรื่องการสืบสว
หากเป็นลั่วชิงยวนในอดีต เมื่อได้ยินเช่นนี้ นางคงจะรู้สึกอับอายและหนีไปจากที่นี่ทันที จากนั้นก็ซ่อนตัวและไม่เจอใครอีกเลยแต่ลั่วชิงยวนในยามนี้ มองทุกคนที่พูดถึงนางต่อหน้าด้วยสายตาเย็นชาและสีหน้าไม่เปลี่ยน“พูดพอแล้วหรือยัง? น่าเสียดายนักที่พวกเจ้าเป็นสตรีจากตระกูลสูงศักดิ์ ของแท้ของปลอมยังไม่แม้แต่จะแยกได้ แต่กลับนินทาและชี้นิ้วไปที่ผู้อื่น นี่คือสิ่งที่พวกเจ้าถูกสั่งสอนมาย่างนั้นรึ?”เมื่อคำพูดนี้หลุดออกมา ทุกคนในที่นี้ต่างก็พลันหน้าซีดทุกคนต่างตกตะลึง ลั่วชิงยวนมิเคยกล้าพูดเช่นนี้ นับประสาอะไรกับการกล้ามองทุกคนเยี่ยงนี้ โดยเฉพาะการจ้องมองที่ดูถูกเหยียดหยามนั้น มันเหมือนกับการพยายามฉีกใครสักคนทั้งเป็นคนผิวหน้าบางสองสามคนก็หน้าแดงกับคำพูดของลั่วชิงยวนทันทีบางคนถึงกับหน้าแดงด้วยความโกรธและพูดอย่างไม่พอใจว่า “เห็นได้ชัดว่าเจ้ากำลังใส่ของปลอม และน้องสาวของเจ้าก็เป็นพยานได้ เราจะพูดมิได้งั้นรึ?”ลั่วชิงยวนเยาะเย้ยเบา ๆ สายตาเย็นชาของเธอกวาดไปรอบ “แขกผู้มีเกียรติที่นี่ยังพูดไม่พออีกรึ? สนุกกับการเยาะเย้ยผู้อื่น เป็นเหมือนพวกขี้นินทา พวกเจ้าได้เรียนรู้อะไรจากสี่ตำราห้าคัมภีร์ วิธีหั
ฟู่เฉินหวนประคองลั่วเยวี่ยอิงขึ้น มองลายนิ้วมือที่โดดเด่นทั้งห้าบนหน้าของนาง ก็พลันหน้าซีด มองด้วยสายตาเจตนาฆ่าไปที่ลั่วชิงยวนลั่วชิงยวนเงยหน้าขึ้นและพูดว่า “ควรมิควรแล้วแต่จะทรงโปรด ไม่ใช่คราวแรกอยู่แล้ว”น้ำเสียงเย็นชาของนาง แต่ก็เผยข้อมูลมากมาย ทำให้ผู้คนเดากันไปต่าง ๆ นานาฟู่เฉินหวนมองว่านางจงใจ กำหมัดแน่น ระงับความโกรธไว้ ก่อนตำหนิว่า “ขอโทษเยวี่ยอิงซะ!”“หม่อมฉันไม่ขอโทษ มีอันใดเล่า?!” ลั่วชิงยวนเงยหน้าขึ้นมองเขาอย่างดื้อรั้น ด้วยสายตาที่เฉียบคม "นางใส่ร้ายหม่อมฉันก่อน นางสร้างปัญหาก่อน คนที่ควรขอโทษคือนาง! เหตุใดหม่อมฉันต้องขอโทษ!”อยากให้นางขอโทษลั่วเยวี่ยอิง ชาตินี้ก็เป็นไปไม่ได้!ลั่วเยวี่ยอิงแกล้งทำเป็นใจดีและโผเข้าไปในอ้อมแขนของฟู่เฉินหวน ร้องไห้เสียใจและพูดว่า “ช่างมันเถิดท่านอ๋อง ท่านพี่ของหม่อมฉันนิสัยเช่นนี้มาตลอด นางทำอะไรผิดก็ไม่เคยยอมรับหรอกเพคะ”ลั่วเยวี่ยอิงร้องไห้ จู่ ๆ ฟู่เฉินหวนก็แน่นหน้าอกโดยไม่มีเหตุผล ความโกรธที่อธิบายมิได้พุ่งไปที่ด้านบนศีรษะ แม้ว่าจะยับยั้งชั่งใจตน แต่ยังคงดุลั่วชิงยวนอย่างดุเดือด “ข้าจะพูดอีกครั้ง ขอโทษเยวี่ยอิงซะ! ไม่เช่นนั้นเจ้า
เขามอบอาภรณ์เพลิงไสวให้นาง ก็เพียงเพื่อช่วงเวลานี้หึ นางแต่งงานกับผู้ชายแบบไหนกันแน่มีความหนาวเย็นในใจของนางณ ตอนนี้ ร่างในชุดขาวค่อย ๆ เดินมา และพูดเสียงอ่อนโยนดังขึ้น...“อาภรณ์เมฆสีทอง ข้าเป็นคนมอบให้เอง มันเป็นผลงานของศาลารุ้งเมฆาเมื่อปีที่แล้ว แต่มิเคยมอบให้ใครมาก่อน และมิได้ซื้อจากถนนเชียนเมี่ยนด้วย”ฟู่อวิ๋นโจวอธิบายอย่างจริงจังเพียงคำพูดนี้หลุดออกมา คนรอบข้างต่างตกตะลึง องค์ชายห้าเป็นคนให้รึ?องค์ชายห้ามอบชุดให้พระชายาอ๋องหรือ? ชุดที่ใส่ในงานฉลองไหว้พระจันทร์ในวังหลวงนั้นมีความหมายมากลั่วเยวี่ยอิงมีสีหน้าซีดลงอาภรณ์เมฆสีทองนั่นเป็นของจริงรึ? ลั่วชิงยวนมิได้ซื้อมาจากถนนเชียนเมี่ยนรึ?องค์ชายห้ามอบอาภรณ์เมฆสีทองให้นาง? !อีกนัยหนึ่งก็คือ ท่านอ๋องมอบอาภรณ์เพลิงไสวให้นาง ในขณะที่องค์ชายห้ามอบอาภรณ์เมฆสีทองให้นางอีกนางอัปลักษณ์ผู้นี้มีสิทธิ์อะไร? !สีหน้าของฟู่เฉินหวนค่อย ๆ เคร่งขรึม ความเยือกเย็นเข้าปกคลุมดวงตา สองคนนี้ไม่สงวนท่าทีต่อหน้าเขาเลย!ในคืนนี้อยากให้ท่านอ๋องถูกผู้คนนินทาว่าพระชายามีชู้รึ?เห็นแววตาอาฆาตของฟู่เฉินหวน ลั่วชิงยวนเข้าไปขวางตรงหน้าฟู่อวิ
มาถึงริมทะเลสาบแล้ว ลมเย็นยามค่ำคืนพัดมา ช่วยคลายอาการปวดบริเวณแก้มมีเสียงฝีเท้าเร็วดังมาจากด้านหลัง นางมองย้อนกลับไป จากนั้นก็เห็นฟู่อวิ๋นโจววิ่งมาอย่างหอบ เมื่อวิ่งมาถึงข้างหน้านาง ก็หายใจลำบากอยู่ช่วงหนึ่ง สีหน้าซีดลงและเกือบจะเป็นลมลั่วชิงยวนรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย รีบประคองเขา ตบที่หลังเขา “ท่านดีขึ้นไหมเพคะ?"ฟู่อวิ๋นโจวสงบลมหายใจ มองนางด้วยสีหน้ากังวลและพูดว่า “คำพูดนี้ข้าควรถามเจ้า แต่ทำให้เจ้าต้องมาดูแลข้าแทน”ลั่วชิงยวนหันศีรษะและมองไปที่ทะเลสาบ “หม่อมฉันไม่เป็นไร ไม่ต้องตามหม่อมฉันมาเพคะ”เขาไล่ออกไปต่อหน้าทุกคน เพียงจะทำให้คนนอกคาดเดาและนินทามากขึ้นฟู่อวิ๋นโจวเข้าใจสิ่งที่นางหมายถึง หน้าบึ้ง โทษตนเองว่า “ขอโทษที่ทำให้เจ้าต้องลำบาก”“ไม่ต้องขอโทษเพคะ หม่อมฉันควรจะขอบคุณพระองค์เสียมากกว่า ถ้าไม่ใช่พระองค์ช่วยหม่อมฉันชี้แจง หม่อมฉันคงติดคุกไปแล้ว” ลั่วชิงยวนหัวเราะเยาะตัวเองฟู่อวิ๋นโจวเงียบไปครู่หนึ่ง พูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่นว่า “ปกติเสด็จพี่ไม่เป็นเช่นนี้ คิดว่าคงมีความเข้าใจผิดอยู่บ้าง”“ท่านอ๋องไม่ต้องทรงอธิบายแทนเขาหรอกว่าเขาเป็นคนเยี่ยงไร นั่นไม่เกี่ยวอะไรกับ
หรือว่าแม่ของลั่วชิงยวนเป็นอาจารย์ของนางจริง ๆ?ใจนางสั่นไปหมด ความรู้สึกที่ซับซ้อนพุ่งเข้ามา ผสมกับความกังวลและความโกรธที่พุ่งไปบนหัว“เอาของแม่ข้าคืนมา!” นางก้าวเข้าไปทันทีลั่วเยวี่ยอิงจงใจโบกมือหลบ เห็นท่าทีกังวลใจของนาง ยิ้มอย่างผู้ชนะ แกว่งถุงหอมขึ้นมาแล้วพูดว่า “ดูเหมือนจะสำคัญสำหรับเจ้านัก ข้ามอบมันให้เจ้าก็ได้! แต่ข้ามีหนึ่งเงื่อนไข!”“ตอนนี้ข้าไม่ชอบการร้องและเต้นรำในงานฉลอง หากพี่ขึ้นไปบนเวทีแสดงกลิ้งมูลด้วง ข้าจะให้ถุงหอมนี้แก่ท่าน”“ว่าอย่างไรเล่า?” ลั่วเยวี่ยอิงพูดอย่างลำพองใจขณะนั้น ลั่วชิงยวนขมวดคิ้วทันทีและกำหมัดแน่นลั่วเยวี่ยอิงเลิกคิ้วและพูดว่า “ท่านลืมไปแล้วรึ? เหมือนกับที่ท่านเคยแสดงให้ข้าดูเมื่อวันเกิดปีที่สิบห้าของข้าอย่างไรเล่า หลังจากผ่านไปหลายปี มูลก้อนนี้ก็ใหญ่และกลมมากขึ้นอีก”น้ำเสียงเยาะเย้ยนั่น คำพูดที่เต็มไปด้วยความอับอาย ทำให้นิ้วที่กำแน่นของลั่วชิงยวนจิกเข้าไปในฝ่ามืออย่างแรงนี่ไม่ใช่หนแรกที่ลั่วเยวี่ยอิงทำให้ลั่วชิงยวนอับอาย!เหตุใด? เหตุใดลั่วชิงยวนต้องทำกับการกระทำเช่นนี้!ลั่วเยวี่ยอิงพูดด้วยเสียงเย็นชาว่า “ไม่ยอมทำใช่หรือไม่? ”ดัง
ฟู่เฉินหวนใจตึงเครียดจนฝ่ามือชุ่มไปด้วยเหงื่อลั่วชิงยวนพยายามยันตัวลุกขึ้น แต่กลับไร้เรี่ยวแรงที่จะตอบโต้เหยียนผิงเซียวชกเข้าที่ท้องของลั่วชิงยวนอีกครั้ง เลือดสีแดงฉานพุ่งออกมาจากปากนางเหยียนผิงเซียวจิกผมของนางแล้วกระซิบข้างหูอย่างร้ายกาจว่า “เจ้าเก่งนักมิใช่หรือ! ทำให้ท่านพ่อของข้าต้องลาออกจากตำแหน่งกลับไปยังเมืองฉิน เจ้าเป็นผู้มีพระคุณใหญ่หลวงของตำหนักอ๋องนี่!”“เจ้าลองเดาดูสิว่าฟู่เฉินหวนจะช่วยเจ้าหรือไม่?”“แต่มิสำคัญแล้ว เพราะข้าต้องการเพียงให้เจ้าตายเท่านั้น!”เหยียนผิงเซียวใช้ร่างของลั่วชิงยวนบังสายตาของผู้คนส่วนมืออีกข้างที่กำหมัดแน่นมีแผ่นเหล็กแหลมคมติดอยู่ แล้วกระแทกลงไปที่ท้องของลั่วชิงยวนอย่างแรงลั่วชิงยวนเห็นอาวุธลับนั้นแล้วก็ตึงเครียดมากฟู่เฉินหวนแทบขาดใจ ความรู้สึกมิสบายใจอย่างรุนแรงถาโถมเข้ามาฟู่อวิ๋นโจวผู้นั่งอยู่มุมห้องใต้หลังคาก็กำมือแน่นด้วยความตึงเครียดเช่นกันแม้ว่าฝีมือของลั่วชิงยวนจะสู้เหยียนผิงเซียวมิได้ แต่ก็มิควรจะไร้เรี่ยวแรงที่จะตอบโต้เช่นนี้จะลงมือช่วยนางตอนนี้เลยดีหรือไม่!ฟู่อวิ๋นโจวลังเลอยู่ครู่หนึ่งแต่แล้วในวินาทีนั้นเองเงาร่
ในมิช้าการประลองก็เริ่มขึ้นโชคดีที่ลั่วเยวี่ยอิงมิได้ก่อเรื่องวุ่นวายอีก นางเฝ้าดูการประลองอย่างสงบลั่วชิงยวนใช้โอกาสนี้ทำความเข้าใจกฎเกณฑ์ ดาบและกระบี่นั้นไร้ตา ดังนั้นการประลองครั้งนี้จึงห้ามใช้ดาบและอาวุธลับแต่เมื่อปรมาจารย์ต่อสู้กันก็อาจจะควบคุมมือมิทัน เพื่อให้ทุกคนได้ทุ่มเทอย่างเต็มที่ การประลองครั้งนี้ ความเป็นความตายจึงเป็นเรื่องของชะตาฟ้าลิขิตชัยชนะครั้งสุดท้ายมิใช่ผลลัพธ์ที่สำคัญที่สุดสิ่งสำคัญคือการแสดงผลงานในระหว่างการประลอง ฟู่เฉินหวนจะคัดเลือกผู้ที่มีความสามารถโดดเด่นบางคนสำหรับฟู่จิ่งหาน การประลองครั้งนี้มิใช่เพียงการคัดเลือกผู้ที่มีความสามารถโดดเด่นเท่านั้น แต่ยังเป็นการชมการประลองที่น่าตื่นเต้นด้วย ดังนั้นจึงมีความอิสระสูงทุกคนสามารถขึ้นไปท้าทายได้ หนึ่งรอบมีผู้แข่งขันสิบคน ผู้ชนะจะได้พักแล้วเข้าสู่รอบที่สองดังนั้นผู้ชนะในแต่ละรอบจะสามารถท้าทายคู่ต่อสู้ที่ตนคิดว่าแข็งแกร่งกว่าได้อย่างอิสระการประลองรอบแรกจบลงอย่างรวดเร็ว ฟู่เฉินหวนกับฟู่จิ่งหานวิเคราะห์ผู้ที่เหมาะสมในรอบนี้อย่างจริงจังฟู่จิ่งหานพยักหน้าให้ขันทีที่ยืนอยู่ด้านข้างจดบันทึกชื่อทุกอย่าง
“พระชายา เหตุใดมิลงไปหามาให้ข้าเล่า? หากขุดพบรากบัวได้สองหัว ข้าจะเมตตาตกรางวัลให้อย่างงาม!”น้ำเสียงที่แฝงไปด้วยความเยาะเย้ยและหยิ่งผยองนั้น มิใช่ปฏิบัติต่อลั่วชิงยวนดุจพระชายา หากแต่ปฏิบัติเสมือนทาสบริวารเหล่าผู้คนโดยรอบต่างตกตะลึงพรึงเพริดตำแหน่งของลั่วชิงยวนในตำหนักอ๋องนั้นต่ำต้อยถึงเพียงนี้เชียวหรือ?ฟู่เฉินหวนอดรนทนมิไหวอีกต่อไป จึงพูดเสียงเย็นเยียบว่า “ฤดูกาลนี้จะมีรากบัวอยู่ได้อย่างไร มิต้องลำบากเช่นนั้นเลย”ลั่วเยวี่ยอิงกลับคว้าแขนฟู่เฉินหวนพลางทำท่าทางออดอ้อน“ไม่เพคะ ท่านอ๋อง เผื่อว่าจะมีก็ได้! โปรดให้พระชายาลงไปค้นหาดูเถิดเพคะ!”นางกล่าวจบก็ถอดกำไลหยกที่ข้อมือ แล้วขว้างลงไปในบึงจากนั้นเชิดหน้าพูดกับลั่วชิงยวนว่า “ไปสิ กำไลหยกวงนี้เป็นรางวัลของเจ้า!”ท่าทางเช่นนี้ประหนึ่งว่ากำลังสั่งการสุนัขตัวหนึ่งฟู่เฉินหวนกำมือแน่น รู้สึกปวดร้าวที่ศีรษะอย่างยิ่งลั่วชิงยวนเห็นดังนั้นก็กังวลเพราะอาการของฟู่เฉินหวน นัยน์ตานางฉายแววเย็นชาขณะมองหน้าลั่วเยวี่ยอิง แล้วหันหลังกระโดดลงไปในสระน้ำเมื่อเสียงน้ำกระเพื่อมดังขึ้น เสียงฮือฮาต่างก็ดังมาจากทั่วบริเวณ“นางกระโดดลงไปจริง ๆ
“องค์จักรพรรดิทรงมีรับสั่งว่าการประลองยุทธ์ครั้งนี้ ต้องการให้ท่านอ๋องคัดเลือกผู้มีความสามารถ จึงอนุญาตให้ท่านอ๋องพาพระชายาทั้งสองไปชมการประลองได้พ่ะย่ะค่ะ!”ลั่วชิงยวนขมวดคิ้วฟู่เฉินหวนรับพระราชโองการมาดู แล้วพบว่าเป็นพระราชโองการจริงจิ่นชูมองแล้วถามด้วยรอยยิ้ม “ครั้งนี้องค์จักรพรรดิทรงรับสั่งให้ท่านอ๋องพาพระชายาทั้งสองไปด้วย เหตุใดจึงมิเห็นพระชายารองหรือเพคะ?”ยามนี้ลั่วเยวี่ยอิงรู้ข่าวการประลองยุทธ์แล้ว นางส่งเสียงโวยวายอยากไปด้วยอยู่หน้าประตู “ท่านอ๋อง! ท่านอ๋องเพคะ! พาหม่อมฉันไปด้วยเถิดเพคะ!”จิ่นชูได้ยินเสียงนี้แล้วก็ยิ้มอย่างมีเลศนัย “ท่านอ๋องอย่าลืมพระชายารองนะเพคะ”ฟู่เฉินหวนขมวดคิ้ว “การประลองยุทธ์มิเกี่ยวกับนาง นางมิจำเป็นต้องไปก็ได้”จิ่นชูถามด้วยรอยยิ้ม “เช่นนั้นท่านอ๋องจะขัดต่อพระราชโองการหรือเพคะ?”คำพูดนี้ทำให้ฟู่เฉินหวนจำต้องพาลั่วเยวี่ยอิงไปด้วยเพราะสุดท้ายแล้วนั่นก็คือพระราชโองการมหาราชาจารย์เหยียนเพิ่งลาออก ตระกูลเหยียนกำลังตกต่ำ หากเขาขัดพระราชโองการในเวลานี้ก็จะดูเหมือนอวดดี มิเคารพองค์จักรพรรดิฟู่เฉินหวนสบตากับลั่วชิงยวน ทั้งสองต่างก็รู้สึกว่าครั้
ฟู่เฉินหวนตกใจเมื่อได้ฟังถ้อยคำของลั่วชิงยวนลั่วชิงยวนอธิบาย “หม่อมฉันได้คำนวณดูแล้ว เหตุการณ์วุ่นวายในแคว้นเทียนเชวียกำลังจะอุบัติขึ้น เริ่มต้นจากทางทิศใต้เพคะ”“และเมืองฉินก็ตั้งอยู่ทางทิศใต้พอดี!”“ตระกูลเหยียนรุ่งเรืองมาจากเมืองฉิน มีอิทธิพลสูงส่งยิ่งนัก การที่มหาราชาจารย์เหยียนลาออกจากตำแหน่งแล้วกลับไปยังเมืองฉินอย่างเด็ดเดี่ยวเช่นนี้ เกรงว่าจะมีอำนาจมืดใหญ่หลวงซ่อนเร้นอยู่เบื้องหลังเพคะ”เมื่อฟู่เฉินหวนก็ได้ฟังดังนั้นก็ขมวดคิ้วแน่น สีหน้าเคร่งเครียดขึ้นกว่าเดิม“เช่นนั้นก็แสดงว่าตาแก่ผู้นี้จะเริ่มแผนการแล้วสินะ”กล่าวจบ ฟู่เฉินหวนก็คว้ามือของลั่วชิงยวนไว้ “ชิงยวน ขอบใจเจ้ามาก”ลั่วชิงยวนถึงกับตะลึงงันไป “ขอบใจหม่อมฉันเรื่องอะไรเพคะ?”“ขอบใจเจ้าที่บอกเรื่องสำคัญเช่นนี้แก่ข้า”ลั่วชิงยวนถามด้วยความสงสัย “แล้วท่านจะทำอย่างไรเพคะ?”ฟู่เฉินหวนครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ดวงตาฉายแววเย็นชา “เมื่อเขาลาออกจากตำแหน่งแล้วออกจากเมืองหลวง เช่นนั้นก็อย่าให้เขากลับมาได้อีกเลย!”ลั่วชิงยวนก็เห็นด้วยกับวิธีการนี้มีเพียงมหาราชาจารย์เหยียนสิ้นชีพลงเท่านั้น ทุกอย่างจึงจะสงบลงได้“หม่อมฉันจะ
ฟู่เฉินหวนเก็บขนมกุ้ยฮวาไปด้วยความผิดหวัง แล้วพูดปลอบโยน “มิเป็นอะไร รอชิมฝีมือหัวหน้าพ่อครัวเถิด”ดูเหมือนจะมิถูกใจ ถึงแม้เขาจะเรียนรู้จากหัวหน้าพ่อครัว แต่รสชาติก็ยังแตกต่างออกไป ดูเหมือนต้องฝึกฝนให้มากขึ้นลั่วชิงยวนเห็นความผิดหวังในสายตาของเขา จึงยกยิ้มหวานแล้วพูดว่า “หวานมาก! อร่อยมากเพคะ!”ฟู่เฉินหวนตกตะลึงเมื่อเห็นรอยยิ้มที่เย้ายวนใจ ใจชายหนุ่มก็รู้สึกหวั่นไหว จึงอดมิได้ที่จะประคองหน้าลั่วชิงยวนแล้วจุมพิตถึงแม้จะรู้ว่านางอาจจะปลอบใจเขา แต่เพียงเห็นรอยยิ้มของนางเขาก็สุขใจมากแล้วหัวหน้าพ่อครัวมองไปทางอื่น ทำเป็นมิเห็นในมิช้า อาหารและขนมก็ถูกยกมาอย่างต่อเนื่องทั้งสองกินข้าวด้วยกันอย่างมีความสุขจนดึกดื่นเมื่อออกจากหอหมื่นสุข ลั่วชิงยวนอิ่มจนแทบจะเดินมิไหวฟู่เฉินหวนจับมือลั่วชิงยวนเดินไปข้างหน้า “เดินเล่นสักหน่อย แล้วเดี๋ยวข้าค่อยส่งเจ้ากลับ”ลั่วชิงยวนเรอเบา ๆ “ท่านตั้งใจจะทำให้หม่อมฉันอ้วนขึ้นหรือเไร หากหม่อมฉันอ้วนเหมือนเดิม ท่านก็จะดีใจใช่หรือไม่เพคะ?”ฟู่เฉินหวนอุ้มนางขึ้น แล้วพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “เจ้าฉลาดมาก”“ท่าน!” ลั่วชิงยวนยกมือขึ้นฟู่เฉินหวนจับมือน
ซ่งเชียนฉู่เช็ดมือ ก่อนจะเปิดลิ้นชักหยิบจดหมายฉบับหนึ่งออกมา ลั่วชิงยวนฉีกซองอ่านดู เมื่ออ่านจบ สีหน้าก็เปลี่ยนไปทันทีซ่งเชียนฉู่สงสัยจึงเอ่ยถาม “มีอะไรหรือ? เป็นจดหมายขอความช่วยเหลือหรือไร?”ลั่วชิงยวนเบิกตาเล็กน้อย “เป็นจดหมายขู่”ในจดหมายเขียนว่า ผู้เขียนรู้ว่านางแอบอ้างเป็นศิษย์สำนักเสวียนซานอวี้ซวี และต้องการให้นางร่วมมือ หากมิยอมร่วมมือ ก็จะให้ศิษย์สำนักเสวียนซานอวี้ซวีตัวจริงมาเปิดโปงความจริง เพื่อทำลายชื่อเสียงของนาง บอกให้ใต้หล้ารู้ว่านางเป็นเพียงสตรีที่ต้มตุ๋นหลอกลวงซ่งเชียนฉู่รับจดหมายมาอ่าน แล้วร้องอุทานด้วยความตกใจ “ใครกัน? ดูเหมือนจะจับตามองท่านมานานแล้ว!”ลั่วชิงยวนครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงพูดด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความกังวล “ให้มันมาหาข้าเองเถอะ ส่วนเจ้าก็จงระมัดระวังตัวให้มาก”ซ่งเชียนฉู่พยักหน้ารับ “ข้ามิเป็นอะไรหรอก แต่ท่านต้องระวังตัวให้มาก คนผู้นี้คงจับตามองท่านมานานแล้ว ถึงได้รู้ว่าท่านมิใช่ศิษย์สำนักเสวียนซานอวี้ซวี”นั่นเพราะเมื่อเริ่มทำนายทายทัก ลั่วชิงยวนยังไม่มีชื่อเสียง จึงใช้ชื่อศิษย์สำนักเสวียนซานอวี้ซวี ผู้เขียนจดหมายจึงต้องรู้ว่า
แต่กลับถูกจับแขน แล้วดึงเข้าไปในอ้อมกอดลั่วชิงยวนจึงรู้สึกตัว เมื่อได้กลิ่นที่คุ้นเคยก็ตกใจมาก “ท่านมาได้อย่างไรเพคะ?”ฟู่เฉินหวนโอบกอดนางแน่นแล้วพูดว่า “ตำหนักนอกเมืองหนาวมาก”ลั่วชิงยวนผลักเขาออกอย่างแรง “ใช่เพคะ มิเพียงแต่หนาว ยังมีงูด้วย”มิใช่ว่านางมิเคยอยู่ที่ตำหนักนอกเมืองสภาพแวดล้อมในครั้งนั้นยากลำบากกว่าฟู่เฉินหวนในตอนนี้มากฟู่เฉินหวนนึกถึงประสบการณ์ในอดีตของนาง จึงจับมือของนางด้วยความห่วงใย “ชิงหยวน ครั้งนั้นเจ้าลำบากมาก”“เป็นข้าที่ต้องขอโทษเจ้า”ใต้แสงจันทร์ ลั่วชิงยวนมองเขาด้วยดวงตาเป็นประกาย “เรื่องในอดีต ผ่านไปแล้ว มิต้องพูดถึงอีกแล้วเพคะ”“ท่านทนความหนาวเย็นของตำหนักนอกเมืองมิได้หรือเพคะ?”ฟู่เฉินหวนพูดเสียงต่ำ “ทนการจากลาเจ้ามิได้ต่างหาก”ใจของลั่วชิงยวนสั่นไหวเล็กน้อยแล้วก็ใจอ่อนอีกครั้ง“แต่ถ้าท่านมิไปอยู่ที่ตำหนักนอกเมือง ในตำหนักอ๋องแห่งนี้คนที่ทุกข์ใจก็จะเป็นเราสองคน”“ข้าจะไป รุ่งเช้าจะกลับ คืนนี้ขอพักอยู่ที่นี่สักคืนได้หรือไม่?”ฟู่เฉินหวนกลับมาที่เมืองหลวงในเวลากลางคืนมิใช่เพราะอารมณ์ชั่ววูบเมื่อไปถึงตำหนักนอกเมือง แล้วเห็นสถานที่ที่นางเค
นางโน้มกายลง ริมฝีปากแสยะยิ้มจางขณะพูดด้วยเสียงเยือกเย็น “เจ้าเป็นเพียงบ่าวที่ใช้ทดลองยาในตำหนักอ๋องเท่านั้น”จบประโยค นางก็คว้าข้อมือของลั่วเยวี่ยอิง แล้วกรีดลงไปแม้ว่าลั่วเยวี่ยอิงจะดิ้นรนอย่างไร ลั่วชิงยวนก็มิปล่อยมือ ปล่อยให้โลหิตไหลออกเต็มชาม ลั่วชิงยวนจึงคลายมือออกพร้อมกับพานางรับใช้ไปด้วยลั่วชิงยวนจำต้องเร่งรัดการปรุงยาแก้พิษ ลั่วเยวี่ยอิงยังคงมีชีวิตอยู่ก็จะยิ่งก่อความวุ่นวายให้ตำหนักอ๋องมิสงบสุขระหว่างทางกลับ นางก็สั่งนางรับใช้ว่า “เจ้าไปเอาชุดจากศาลารุ้งเมฆาให้สตรีผู้นั้น บอกว่าเป็นคำสั่งของข้า ศาลารุ้งเมฆาจะให้”“เจ้าค่ะ”ลั่วชิงยวนสั่งอีกว่า “จงทำตามใจนางทุกอย่าง จะได้มิเดือดร้อน”“เจ้าค่ะ”ยามเย็นลั่วชิงยวนดักรออยู่มิไกลจากตำหนักอ๋องเมื่อเห็นรถม้าใกล้เข้ามานางก็รีบเข้าไปหาเมื่อฟู่เฉินหวนบนรถม้าเห็นนางมาถึงก็รีบลงจากรถม้า ยิ้มอย่างอ่อนโยนแล้วโอบกอดลั่วชิงยวนไว้ในอ้อมแขน “คิดถึงข้าหรือไม่?”ลั่วชิงยวนผลักเขาออก “หม่อมฉันมาบอกท่านว่าอย่ากลับไป ท่านไปอยู่ที่ตำหนักนอกเมืองเถิดเพคะ”เมื่อได้ยินดังนั้น รอยยิ้มบนใบหน้าของฟู่เฉินหวนก็แข็งค้าง “เหตุใด? ข้าทำผิ