ณ ตำหนักอ๋อง ห้องตำรา “ท่านอ๋อง มีข่าวจากในคุกว่ามือสังหารพยายามที่จะกำจัดฝูเสวี่ย แต่... ฝูเสวี่ยกลับต้องพิษพ่ะย่ะค่ะ” เมื่อฟู่เฉินหวนได้ยินเช่นนี้เข้า มือที่ถือรายงานลับของเขาก็สั่นเทาอยู่บ้าง “ต้องพิษหรือ? นางยังมีชีวิตอยู่หรือไม่?” ซูโหยวตอบว่า “นางยังมีชีวิตอยู่พ่ะย่ะค่ะ ใต้เท้าเหอรีบเรียกหมอทันที ว่ากันว่ามิใช่พิษร้ายแรงอันใด แต่นางก็ยังมิได้สติ ท่านอ๋อง พระองค์อยากจะส่งหมอไปตรวจดูอาการที่คุกหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?” ฟู่เฉินหวนครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ก็เอ่ยเสียงทุ้มขึ้นมาว่า “มิต้องหรอก นางกำลังประวิงเวลาอยู่” เขาไม่เชื่อหรอกว่าหลังจากเห็นหน้าค่าตาของพวกมันชัดเจนแล้ว ลั่วชิงยวนจะโง่เสียจนยอมกินอาหารที่มือสังหารเอามาส่งให้ นางต้องพิษทว่ามิตาย ฉะนั้นนางจึงได้แต่แสร้งทำเป็นต้องพิษเพื่อยื้อเวลา “ประวิงเวลาหรือพ่ะย่ะค่ะ? แม่นางฝูเสวี่ยกำลังรอผู้ใดกัน? หรือนางกำลังรอคอยข่าวคราวบางอย่างกันแน่?” ซูโหยวรู้สึกสับสน นางรำธรรมดาสามัญจากหอนางโลมจะมีความคิดเช่นนั้นได้อย่างไรกันเล่า ฟู่เฉินหวนครุ่นคิดอยู่ชั่วขณะแล้วเอ่ยน้ำเสียงเย็นชาว่า “เรื่องที่สั่งให้เจ้าไปสืบ มีความคืบหน้าอันใดบ้างหร
ใต้เท้าเหอกล่าวด้วยท่าทีจนใจ “เจ้าจะสนใจเรื่องพวกนี้หาปะไร? ขอเพียงทุกอย่างเรียบร้อยก็เป็นพอ” “รีบกลับเข้าคุกไปก่อนที่จะมีใครมาพบเข้าเถอะ” ใต้เท้าเหอเอ่ยเร่งให้นางกลับเข้าไปในคุก หลังจากวันนั้น ทุกอย่างก็สงบไร้คลื่นลม ก่อนเที่ยงวัน อู๋อิ่งรีบเข้ามาในคุกภายใต้การตระเตรียมของใต้เท้าเหอ เมื่อใต้เท้าเหอได้ยินคำไต่สวนเรื่องของหลิวซิงเหอ เขาก็รู้สึกสับสนยิ่งนัก “ข้าส่งคนไปสืบดูแล้ว อัครเสนาบดีลั่วจ่ายเงินชดเชยให้หลิวซิงเหอแทนลั่วเยวี่ยอิงถึงห้าหมื่นตำลึง เรื่องนี้ก็เป็นอันจบลง หลิวซิงเหอมิได้คิดจะสืบสาวราวเรื่องที่สวนเซียงอู๋เกิดเหตุเพลิงไหม้อีก” “มิหนำซ้ำพื้นเพของหลิวซิงเหอเองก็ช่างแสนจะธรรมดายิ่ง หามีอันใดน่าสงสัยไม่” อู๋อิ่งกล่าวว่า “หลิวซิงเหอสารภาพกับข้าว่าเขาขายสวนเซียงอู๋ไปเมื่อห้าปีก่อน ผู้ซื้อที่อยู่เบื้องหลังสวนเซียงอู๋มิต้องการเปิดเผยตัวตน ดังนั้นภายนอกเขาจึงยังคงเป็นเจ้าของสวนเซียงอู๋” “ตอนที่สวนเซียงอู๋เกิดเหตุเพลิงไหม้ เขามิได้สูญเสียอันใดเลย ฉะนั้นย่อมมิเสียใจอยู่แล้ว” เมื่อใต้เท้าเหอได้ยินเช่นนี้เข้าก็รู้สึกตกตะลึง “เจ้ารู้ได้อย่างไรกัน?” อู๋อิ่งเหลือบมอ
“เจ้าคิดจะกลับคำให้การหรือ? เพราะเหตุใดกัน? ฝูเสวี่ยผู้นั้นเกือบสังหารเจ้าอยู่แล้วนะ! นางข่มขู่เจ้าใช่หรือไม่? นางเป็นสาเหตุที่ทำให้เจ้าปวดศีรษะใช่หรือไม่?” สวีซงหย่วนมองนางด้วยสายตาตื่นตะลึงพลางรู้สึกร้อนใจอยู่บ้าง “เพราะฝูเสวี่ยมิใช่ผู้ที่ทำร้ายข้า แต่เป็นลั่วเยวี่ยอิงต่างหากเล่า! ลั่วเยวี่ยอิงมิเพียงแต่ทำร้ายข้า นางยังคิดจะยืมมือข้ากำจัดฝูเสวี่ยอีกด้วย!” “พี่สวี รีบพาข้าไปที่ศาลาว่าการเร็วเข้า! อย่าให้ท่านแม่รู้เรื่องนี้เป็นอันขาดนะเจ้าคะ!” ลั่วอวิ๋นสี่คว้าแขนของสวีซงหย่วนด้วยท่าทีร้อนใจ จากนั้นก็ขอร้องให้เขาพาไปที่ศาลาว่าการ ทว่าสวีซงหย่วนกลับขมวดคิ้ว “อวิ๋นสี่ เจ้าเจอฝูเสวี่ยใช่หรือไม่? นางแหกคุกออกมากระนั้นหรือ?” “เจ้าอย่าถูกนางหลอกเป็นอันขาดเชียวนะ! หากเจ้าไปกลับคำให้การที่ศาลาว่าการ มิเท่ากับว่าทำให้ตัวเองต้องเดือดร้อนหรอกหรือ?” “อวิ๋นสี่ เจ้ามิสบายก็ควรจะพักผ่อนให้ดีเสียก่อน” สวีซงหย่วนดันลั่วอวิ๋นสี่ให้นอนลงกับเตียงแล้วห่มผ้าให้นาง ศีรษะของลั่วอวิ๋นสี่ทั้งสับสนและปวดตุบ ๆ ชวนให้รู้สึกไม่สบายยิ่ง “พี่สวี นี่เป็นเรื่องสำคัญ ข้าต้องไปเจ้าค่ะ!” “หวกท่านมิพาข้าไป
จ้าวต้าเปียวเอ่ยด้วยน้ำเสียงขมขื่นใจว่า “ข้าคิดจะเผาสวนเซียงอู๋จริง ๆ! ข้าทำงานอยู่ในสวนเซียงอู๋มาหลายปี ยามที่ข้าเห็นเหล่าคุณชายและคุณหนูผู้มั่งคั่งพวกนั้นต่างพากันมาที่สวนเซียงอู๋ด้วยท่าทีสุขสำราญใจเช่นนั้น ข้าก็รู้สึกขุ่นเคืองใจนัก!” “ไฉนพวกเราต้องเกิดมายากจนข้นแค้น? ไฉนพวกเราต้องมีชีวิตลำบากลำบนถึงเพียงนี้! หลังจากพวกเราตรากตรำทำงานหนักมาตลอดปี เงินที่พวกเราหามาได้ยังมีมูลค่ามิเท่ากับถ้วยชาสักใบที่บรรดาคุณชายและคุณหนูพวกนั้นใช้เลยกระมัง? เพราะเหตุใดกัน!” ลั่วชิงยวนหรี่ตาเล็กน้อยแล้วอดมิได้ที่จะเหลือบมองมาที่ลั่วไห่ผิง ลั่วไห่ผิงจงใจเตือนสติจ้าวต้าเปียว เขาพยายามที่จะช่วยลั่วเยวี่ยอิงให้หลุดพ้นจากข้อกล่าวหา หรือว่าเขาก็มีส่วนเกี่ยวข้องกับผู้ที่อยู่เบื้องหลังด้วย? เรื่องนี้เตือนให้ลั่วชิงยวนระลึกถึงการเสียชีวิตของท่านมหาราชครู อย่างไรเสียวันนั้นครั้นเมื่อท่านมหาราชครูพบปะกับลั่วไห่ผิงตามลำพัง ก็คงมีแต่พวกเขาสองคนเท่านั้นที่ทราบเรื่องที่คุยกัน ลั่วไห่ผิงแค่นเสียงเย็นชา “แน่นอนว่าย่อมต้องแยกออกเป็นสองคดีอยู่แล้ว!” “ฝูเสวี่ยเป็นสตรีจากหอนางโลมแท้ ๆ แต่บังอาจวางแผนสังหา
เมื่อลั่วชิงยวนสัมผัสได้ถึงอันตรายก็ดึงตัวฟู่จิ่งหลีเข้ามา หลบเลี่ยงการจู่โจมได้อย่างหวุดหวิด แต่กลับมีเสียงล้มลงกับพื้นดังขึ้นสองคำรบ... จ้าวต้าเปียวกับหวังเยวี่ยชิงล้มลงทันที หญิงชราร้องอุทานว่า "ลูกข้า!" นางเองก็หมดสติไปด้วยความตื่นตระหนก ทุกคนต่างตกตะลึง ใต้เท้าเหอลุกพรวดขึ้นมาทันที “จับตัวมือสังหารไว้!” คนของทางการกลุ่มหนึ่งพุ่งตัวออกมา ฟู่จิ่งหลียังรู้สึกตื่นตะลึงอยู่บ้าง เมื่อเห็นทั้งสองศพที่นอนอยู่กับพื้น หากลั่วชิงยวนดึงตัวเขาได้มิทันเวลาล่ะก็ เขาคงตายไปแล้ว ลั่วชิงยวนคุกเข่าลงแล้วตรวจสอบบาดแผลที่ทำให้จ้าวต้าเปียวกับหวังเยวี่ยชิงถึงแก่ชีวิต เข็มพิษแทงเข้าตรงท้ายทอย อาวุธลับเช่นนี้เป็นอันตรายถึงชีวิต นางหันหน้าไปมองลั่วเยวี่ยอิงที่หวาดกลัวเสียจนสีหน้าแปรเปลี่ยนเป็นซีดขาว ลั่วไห่ผิงฉุดอีกฝ่ายให้ลุกขึ้นพลางกล่าวว่า “ที่นี่ไม่ปลอดภัย ไปกันเถอะ” หลังจากเขาพูดจบก็คุ้มครองลั่วเยวี่ยอิงออกไป ใต้เท้าเหอมองศพบนพื้นแล้วให้รู้สึกหงุดหงิดใจยิ่งนัก "นี่มันสุดจะรับได้จริง ๆ! พยานถูกสังหารในโถงพิจารณาคดี" ฟู่จิ่งหลีเดินเขามาถามว่า “ใต้เท้าเหอ สิ่งที่สองคนนั้นว่ามาน
เดิมทีนางคิดจะเดินเลี่ยงห้องของมารดาตน แต่นางพบว่าวันนี้ดูเหมือนทั้งจวนจะดูผิดปกติไป เพราะไม่เห็นคนรับใช้เดินไปมาแม้สักคนเดียว ช่างเงียบอย่างน่าประหลาด ยามที่นางผ่านเรือนของมารดาแล้วเดินเข้าไป ก็พบว่าช่างเงียบสงัดจนน่ากลัว แต่นางกลับเห็นสวีซงหย่วนที่เพิ่งจะเปิดประตูเดินออกมา “ท่านพี่สวี… ท่าน...” ลั่วอวิ๋นสี่ขมวดคิ้วพลางนึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืน ดูเหมือนว่าสวีซงหย่วนจะฟาดนางจนสลบไป สวีซงหย่วนตื่นตกใจไปชั่วขณะ จากนั้นก็ยิ้มพลางถามว่า “อวิ๋นสี่ เจ้ายังปวดศีรษะอยู่หรือไม่?” เขาเดินเข้ามาหมายจะแตะหน้าผากของลั่วอวิ๋นสี่ ลั่วอวิ๋นสี่ก้าวถอยหลังด้วยท่าทีตั้งรับ “ไฉนเมื่อคืนท่านต้องฟาดข้าให้สลบไปด้วย? เหตุใดยามนี้ท่านจึงเดินออกมาจากห้องมารดาของข้าอีก?” “คนในจวนแห่งนี้ไปอยู่ที่ไหนกันหมด? ไยจึงเงียบถึงเพียงนี้เล่า?” ลั่วอวิ๋นสี่รู้สึกสับสนอย่างถึงที่สุด สวีซงหย่วนยิ้มพลางกล่าวว่า “อวิ๋นสี่ มารดาของเจ้าตอบตกลงให้พวกเราอยู่ด้วยกันแล้ว เจ้าดีใจหรือไม่?” เมื่อลั่วอวิ๋นสี่ได้ยินเช่นนี้ก็รู้สึกตกตะลึง “ตอบตกลง? เรื่องนั้นเป็นไปได้อย่างไรกัน!” นางรู้นิสัยของมารดาตนดี อีกฝ่
โลหิตสด ๆ อาบย้อมหน้าอกและอาภรณ์ของลั่วหรง ร่างกายของนางชุ่มโชกไปด้วยโลหิตและลมหายใจหลุดลอย ลั่วอวิ๋นสี่ทรุดตัวร้องไห้กระทั่งเสียงแหบแห้งจนเปล่งเสียงไม่ออก นางรู้สึกสำนึกเสียใจอย่างสุดซึ้ง เป็นนางที่ทำร้ายมารดาตนเอง! ดวงตาอันแดงก่ำของนางกลับเต็มไปด้วยน้ำตาและความชิงชัง จากนั้นนางก็พุ่งเข้าใส่สวีซงหย่วนหมายจะสังหารเขา! สวีซงหย่วนสายตาเย็นชาแล้วกำดาบในมือเอาไว้แน่น “เห็นแก่ที่ระยะนี้เจ้าดูแลข้าดีมิน้อย ข้าจักมิสังหารเจ้าก็ได้ ทว่าก็มิอาจเก็บมือไม้ของเจ้าเอาไว้ได้” สวีซงหย่วนเอ่ยน้ำเสียงเย็นชาพลางตวัดดาบ ลั่วชิงยวนที่รีบรุดมาเห็นภาพนี้เข้าพอดี ลั่วชิงยวนชักมีดสั้นออกมาขว้างใส่อย่างสุดแรงเกิด เมื่อสัมผัสได้ถึงเจตนาสังหาร สวีซงหย่วนก็ยกดาบขึ้นต้านทานพลังจู่โจมเพื่อสกัดขัดขวางมีดสั้นเอาไว้ ชั่วครู่ต่อมา ลั่วชิงยวนกระโดดเตะสวีซงหย่วนอย่างรุนแรง จากนั้นก็ฉุดลั่วอวิ๋นสี่ออกห่าง ลั่วอวิ๋นสี่คุกเข่าลงกับพื้นอย่างสิ้นไร้เรี่ยวแรง จากนั้นก็ร้องไห้อยู่เงียบ ๆ ต่อหน้าลั่วหรง เมื่อเห็นร่างอาบโลหิตของท่านอาลั่วหรง ลั่วชิงยวนก็ให้รู้สึกปวดใจและบังเกิดโทสะ นางกำหมัดแน่น สายตาค
สวีซงหย่วนกัดฟันแน่น ราวกับว่าเขาไม่คิดจะเอ่ยสิ่งใด “ให้ข้าเดาเถอะ เป็นลั่วเยวี่ยอิงใช่หรือไม่?” ลั่วชิงยวนค่อย ๆ โน้มตัวมาข้างหน้า น้ำเสียงของนางฟังดูเยียบเย็น สวีซงหย่วนโต้ตอบด้วยท่าทีแค้นเคือง “หากเจ้าอยากฆ่าก็ฆ่าเลยสิ! เลิกเอ่ยวาจาเลื่อนเปื้อนสักที!” “ดูเหมือนจะมิใช่นะ” ลั่วชิงยวนออกแรงมือเพียงเล็กน้อย ก็หักนิ้วข้อเล็ก ๆ ของอีกฝ่ายได้แล้ว “อ๊าก…" สวีซงหย่วนเจ็บปวดเสียจนเหงื่อกาฬชุ่มโชก “ลั่วไห่ผิงเช่นนั้นหรือ?” ลั่วชิงยวนแววตาเย็นชา สวีซงหย่วนยังคงกัดฟันมิยอมตอบ “ดูเหมือนจะมิใช่เช่นกัน” ลั่วชิงยวนใช้ดาบจู่โจมลงมาอีกครั้ง ข้อนิ้วก็ขาดกระเด็นไปอีกข้อหนึ่ง โลหิตสาดกระเซ็นเปรอะเปื้อนชายกระโปรงของนาง ลั่วอวิ๋นสี่ที่เฝ้ามองดูจากด้านข้างก็ตะลึงงันไปเสียแล้ว ช่างเป็นวิธีการอันโหดเหี้ยมนัก ฝูเสวี่ยผู้นี้หน้ามิเปลี่ยนสีเสียด้วยซ้ำไป นางเป็นผู้ใดกันแน่? นางทนดูภาพเช่นนั้นมิไหวแล้ว แต่เมื่อนางได้ยินเสียงแผดร้องของสวีซงหย่วน นางก็อดมิได้ที่จะรู้สึกเบิกบานใจ ลั่วอวิ๋นสี่กุมดาบเอาไว้แน่นพร้อมน้ำตาอาบหน้า สายตาของนางเต็มไปด้วยความโศกเศร้าและชิงชัง “เช่นนั้น… ก็เป็นตระกูลฝ
เมื่อคำพูดนั้นหลุดออกมา สีหน้าของฟู่เฉินหวนก็เปลี่ยนไปในทันที“กระหม่อมเป็นองครักษ์ข้างกายองค์ชายใหญ่ โปรดอภัยให้กระหม่อมที่มิสามารถทำตามพระบัญชาได้ด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ!”องค์หญิงผู้นี้ชอบเฉินชี หากเขาติดตามองค์หญิงไปก็คงจะได้พบกับเฉินชีเป็นแน่ มิหนำซ้ำ เกาเหมียวเหมี่ยวก็ช่วยเขาฆ่าเฉินชีมิได้เมื่อถูกเขาปฏิเสธอีกครั้ง สีหน้าของเกาเหมียวเหมี่ยวจึงดูมิดีนักฉินอี้จึงต้องก้าวออกมา “เหมียวเหมี่ยว คนที่คอยคุ้มครองเจ้ายังมิพออีกหรือ?”“ข้างกายพี่ใหญ่มีองครักษ์คนนี้อยู่เพียงคนเดียว เจ้าอย่าแย่งเขาไปเลย”สีหน้าของฉินอี้ดูเหมือนคนจนใจน้ำเสียงของเขาฟังดูน่าสงสารเมื่อเห็นเขาเป็นแบบนี้ เกาเหมียวเหมี่ยวก็มิกล้าที่จะบังคับอีก นางตอบอย่างมิพอใจว่า “ก็ได้”“รอจนกว่าท่านจะมิต้องการเขาแล้ว ค่อยให้หม่อมฉันก็แล้วกัน”“หม่อมฉันค่อนข้างชอบเขา”เกาเหมียวเหมี่ยวพูดพลางมองฟู่เฉินหวน บนใบหน้าของนางมีรอยยิ้มยิ่งมองก็ยิ่งรู้สึกว่าเขาคล้ายกับเฉินชีมิใช่หน้าตาที่เหมือน แต่เป็นอารมณ์เย็นชาหยิ่งผยองและความกล้าหาญที่จะปฏิเสธนางโดยมิแม้แต่จะเสียงสั่นในเมื่อยังมิสามารถทำให้เฉินชีสยบต่อนางได้ในเร็ววัน การ
“ไปเถอะ ข้าจะพาเจ้าไปทำความเข้าใจสถานการณ์”กล่าวจบ เขาก็พาฟู่เฉินหวนเดินไปทว่าระหว่างทางกลับพบเกาเหมียวเหมี่ยวเดินสวนมาพอดีฉินอี้เข้าไปหาด้วยความเป็นห่วง แล้วเอ่ยถาม “เหมียวเหมี่ยว อาการบาดเจ็บของเจ้าหายดีแล้วหรือ?”เกาเหมียวเหมี่ยวตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “บาดแผลเพียงเท่านี้คร่าชีวิตหม่อมฉันมิได้หรอก อีกอย่าง เสด็จพ่อกับเสด็จแม่ประทานยาให้หม่อมฉันมากมาย มิเจ็บปวดแผลแล้ว”ฉินอี้พยักหน้า “บาดแผลของเจ้าหายเร็วได้เช่นนี้ก็เพราะกินน้ำแกงโสมมังกรมาตลอด เจ้าต้องกินทุกวันตามเวลา ร่างกายจะได้แข็งแรงขึ้น!”“เข้าใจแล้ว”เมื่อได้ยินเช่นนี้ ฟู่เฉินหวนก็ดวงตาเป็นประกายน้ำแกงโสมมังกรหรือ?เป็นโสมมังกรชนิดเดียวกับที่หมอหลวงมู่ให้เขากินหรือไม่?สิ่งนี้แม้แต่หมอหลวงมู่ก็มีเพียงชิ้นเดียว มิเคยพบเห็นชิ้นที่สองแต่องค์หญิงแห่งแคว้นหลีกลับได้กินทุกวันเลยหรือ?เขาอดสงสัยมิได้ว่าสองสิ่งนี้เป็นสิ่งเดียวกันจริงหรือไม่หากเป็นเช่นนั้น เขาก็มีโอกาสที่จะมีชีวิตอยู่ต่ออีกหลายเดือน หรือกระทั่งหลายปีเลยมิใช่หรือ?เปลวไฟแห่งความหวังลุกโชนขึ้นในใจของฟู่เฉินหวนฉินอี้เดินจากไปแล้ว แต่ฟู่เฉินหวนยังคงยื
ลั่วชิงยวนยกยิ้มอย่างใจเย็น “องค์ชายใหญ่ใส่ใจเรื่องนี้ถึงเพียงนี้เชียวหรือเพคะ?”ฉินอี้ขมวดคิ้วมุ่น มองนางด้วยสีหน้าจริงจัง “แน่นอน! แท้จริงแล้วเจ้ารู้อะไรกันแน่!”วันนั้นในคุกใต้ดิน เกือบจะได้ฟังคำพูดต่อจากนั้นของลั่วชิงยวนแล้วแต่กลับถูกเฉินชีขัดจังหวะเสียก่อนหลังจากกลับไป เขาก็ครุ่นคิดถึงเรื่องนี้มาโดยตลอดเขาอาจมิใส่ใจเรื่องราวในอดีตได้ แต่นี่เกี่ยวข้องกับอนาคตของเขา! เขาจะมิใส่ใจคงมิได้!ลั่วชิงยวนกลับยกยิ้ม “องค์ชายใหญ่เชื่อจริงจังเลยหรือ?”“วันนั้นหม่อมฉันเพียงต้องการเอาชีวิตรอด จึงพูดจาเหลวไหลไปเท่านั้น”เมื่อคำพูดนี้หลุดออกมา ฉินอี้ก็ตกตะลึงไปทั้งร่างมองนางด้วยความตกใจและโกรธเกรี้ยว “เจ้าว่ากระไรนะ?!”ลั่วชิงยวนเลิกคิ้วขึ้น “หม่อมฉันมิอยากพูดซ้ำสอง”ฉินอี้โกรธจนอยากจะลงมือ แต่ก็อดกลั้นไว้ เขาไม่มีทางต่อกรกับลั่วชิงยวนได้สุดท้ายก็ได้แต่จากไปด้วยความขุ่นเคืองเมื่อเห็นฉินอี้จากไป เงาร่างที่แอบฟังอยู่ก็รีบจากไปเช่นกันอาการของฉินอี้นั้นมีสาเหตุจริง แต่เรื่องนี้ยังมิอาจบอกให้ฉินอี้รู้ได้เพราะมันเป็นเรื่องใหญ่หากพูดออกไป ปัญหาที่นางจะต้องเผชิญจะมิใช่เพียงเรื่องรา
อวี๋โหรวพยักหน้า รีบเช็ดน้ำตา “ขอบคุณ”ลั่วชิงยวนตบไหล่นางเบา ๆ เพื่อปลอบโยนเมื่อสนทนามาถึงตรงนี้ ลั่วชิงยวนจึงถือโอกาสถามอวี๋โหรว “อันที่จริงข้าสงสัยเรื่องนักบวชระดับสูงคนก่อน เจ้าพอจะรู้หรือไม่ว่านางตายอย่างไร?”อวี๋โหรวตกใจเล็กน้อยคาดเดาในใจว่าลั่วชิงยวนคงสอบถามเรื่องนี้เพราะเฉินชีเพราะว่าเฉินชีก็มีใจให้ลั่วเหลาเช่นเดียวกันนางอธิบาย “ไม่มีผู้ใดรู้ว่านางตายอย่างไร”“วันนั้นนางบำเพ็ญเพียรอยู่ที่หอเทียนฉี วันรุ่งขึ้นเมื่อมีคนมาพบก็เหลือเพียงโลหิตกองเต็มพื้น”“บนพื้นยังมีร่องรอยการลากศพด้วย”“แต่ส่งคนออกไปตามหาศพตั้งมากมายก็หามิพบ”“เฉินชีแทบจะพลิกทั่วทั้งวัง แทบจะคลุ้มคลั่งสังหารคนในสำนักนักบวชไปเสียสิ้น”“ยังดีที่จักรพรรดิทรงนำราชองครักษ์เกราะเหล็กมาด้วยพระองค์เอง จึงสามารถควบคุมตัวเฉินชีไว้ได้”“เรื่องการตายของนักบวชระดับสูงนั้นมีการสืบสวนอยู่นาน แต่ก็ไม่มีเบาะแสใด ๆ เบาะแสทั้งหมดหยุดอยู่ที่หอเทียนฉี”“นอกหอเทียนฉีไม่มีร่องรอยใดหลงเหลือ”“นานวันเข้า เรื่องนี้ก็เงียบหายไป”ตามคำบอกเล่าของอวี๋โหรว ลั่วชิงยวนก็หวนนึกถึงคืนนั้นหอเทียนฉีเป็นสถานที่ที่นักบวชระดับสูงจะท
อวี๋โหรวก็ประหลาดใจ นางมิคาดคิดว่าลั่วชิงยวนจะล่วงรู้ความคิดเล็ก ๆ น้อย ๆ ของนาง อีกทั้งยังไปเอาเรื่องจั๋วฉ่างตงเพื่อนางและทำร้ายจั๋วฉ่างตงจนอยู่ในสภาพเช่นนั้นการกระทำของนางคล้ายคลึงกับลั่วเหลาในสมัยก่อนยิ่งนักนางชอบใจมาก“กินยาเสีย” ลั่วชิงยวนรินยาให้อวี๋โหรวเดินเข้าไปดมแล้วก็รู้สึกประหลาดใจ “ในนี้มีบัวถวายผสมด้วยหรือ?”“เจ้ากินไปเถิด”“อาการบาดเจ็บของเจ้าน่าจะทุเลาลงเพราะยานี้”ลั่วชิงยวนกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “อาการบาดเจ็บภายในของเจ้าก็มิได้ดีไปกว่าข้าหรอก รีบกินเสีย”อวี๋โหรวจำต้องยอมดื่มยานั้นลั่วชิงยวนนั่งลงข้าง ๆ รินน้ำชาหนึ่งถ้วย แล้วกล่าวว่า “ต่อไปจั๋วฉ่างตงจะต้องหาเรื่องเจ้าอีกเป็นแน่ เจ้าจะปิดบังตนเองอีกมิได้”“ในเมื่อฝีมือของเจ้าทำให้จั๋วฉ่างตงริษยาได้ เช่นนั้นก็อย่าได้เกรงใจนาง!”“ส่วนทางด้านนักบวชระดับสูง ข้าคิดว่านางคงจะให้ความสำคัญกับผู้ที่มีความสามารถ มิใช่ผู้ที่ประจบสอพลอ”นี่คือความเข้าใจที่ลั่วชิงยวนมีต่อเวินซินถงจั๋วฉ่างตงสามารถเป็นคนสนิทข้างกายของนางได้ ย่อมเป็นเพราะจั๋วฉ่างตงมีฝีมือที่แข็งแกร่งในสำนักนักบวช มิใช่เพราะจั๋วฉ่างตงประจบสอพลอเก่
ลั่วชิงยวนคว้าตัวจั๋วฉ่างตง “คุกเข่าลง! ขอโทษ! รับปากด้วยว่าจะมิรังแกนางอีก!”เมื่อเสียงอันดุดันดังขึ้น ทุกคนต่างตกตะลึงจั๋วฉ่างตงมีหรือจะยินยอม ดวงตาแดงก่ำของนางจ้องมองลั่วชิงยวนอย่างเดือดดาล “สารเลว!”เพียะ!ลั่วชิงยวนตบหน้านางอย่างมิปรานี“ข้ามิรังเกียจที่จะตบเจ้าจนกว่าจะยอม”“ยามนี้ตบหน้ายังทนได้ หากบีบให้ข้าใช้ท่วงท่าอื่น ระวังวรยุทธ์ของเจ้าจะไร้ค่า!”ลั่วชิงยวนข่มขู่ด้วยน้ำเสียงเย็นชาจั๋วฉ่างตงกัดริมฝีปากล่างด้วยความโกรธแค้นและอัปยศอดสูเดิมทีนางเป็นหญิงสาวที่หน้าตางดงาม ทว่ายามนี้กลับถูกลั่วชิงยวนทำร้ายจนยับเยิน แทบจะจำเค้าเดิมมิได้“ข้ามิได้มีความอดทนมากนัก เร็วเข้า!”ยามนี้มีผู้คนมากมายได้ยินเสียงอึกทึกจึงมามุงดูเหตุการณ์น่าตื่นเต้นรวมตัวกันอยู่หน้าประตูเรือนพลางกระซิบกระซาบกัน“ลั่วชิงยวนผู้นี้ช่างกล้าหาญนัก”“จั๋วฉ่างตงไปยั่วโมโหนางอีกแล้วหรือ?”เมื่อได้ยินเสียงจากภายนอก จั๋วฉ่างตงก็แทบจะหลั่งน้ำตา มีผู้คนมากมายมองดูอยู่ นางกลับต้องคุกเข่าขอโทษอวี๋โหรว!ขณะที่ลั่วชิงยวนหมดความอดทนและกำลังจะลงมือจั๋วฉ่างตงก็กลั้นน้ำตาไว้พลางคุกเข่าลง ตรงหน้าอวี๋โหรวอว
จั๋วฉ่างตงเดินออกมาจากห้องนัยน์ตาของลั่วชิงยวนฉายแววมุ่งสังหาร “ที่แท้เจ้าก็มิใช่เต่าหดหัวในกระดองนี่”จั๋วฉ่างตงจ้องมองนางด้วยสีหน้าดุดัน แล้วเดินลงมาอย่างช้า ๆ “ลั่วชิงยวน ข้าขอเตือนให้เจ้าสำรวมตนเสียบ้าง!”กล่าวพลางกวาดสายตามองไปยังคนที่นอนกองอยู่บนพื้น แล้วตวาดเสียงดัง “ปล่อยพวกเขา!”ลั่วชิงยวนบุกเข้ามาทำร้ายคนถึงเรือนของนาง นี่มิใช่การตบหน้านางต่อหน้าธารกำนัลหรอกหรือ!แม้จะพ่ายแพ้ให้แก่ลั่วชิงยวนที่หอรักษ์ดารา แต่ก็มิได้หมายความว่านางจะต้องหวาดกลัวลั่วชิงยวน!ลั่วชิงยวนเตะไปที่คนเหล่านั้น แล้วยอมปล่อยพวกเขาให้เป็นอิสระคนเหล่านั้นกลิ้งตัวลงบนพื้นทีละคนก่อนจะรีบลุกขึ้นยืนอย่างลนลาน หมายจะหลบไปอยู่ด้านหลังจั๋วฉ่างตงทว่าในเวลานี้เอง ริมฝีปากของลั่วชิงยวนก็ยกยิ้มเย็นเยียบ กระโจนเข้าหาจั๋วฉ่างตงอย่างรวดเร็วแล้วใช้มือคว้าจับที่คอเสื้อของนางจั๋วฉ่างตงขัดขืนโดยสัญชาตญาณ แต่นางได้รับบาดเจ็บ จะเป็นสู้ลั่วชิงยวนได้อย่างไรทันใดนั้นก็ถูกลั่วชิงยวนเหวี่ยงลงกับพื้น แล้วตบหน้าอย่างแรงจนผมเผ้าของจั๋วฉ่างตงยุ่งเหยิงขณะที่ตั้งตัวมิทันเสียงฝ่ามือกระทบใบหน้านั้นหนักแน่น เสียงดังสนั
“ดังนั้น...”“เรื่องเช่นนี้มิได้เกิดขึ้นเพียงครั้งหรือสองครั้ง”“นักบวชระดับสูงไว้วางใจนาง ข้าก็ทำได้เพียงทนรับมือ เมื่อก่อนยังพอขัดขืนได้บ้าง แต่เมื่อเวลาผ่านไปนานเข้าก็เลิกขัดขืนเพราะเสียแรงเปล่า”น้ำเสียงของอวี๋โหรวราบเรียบ ทว่าลั่วชิงยวนได้ฟังแล้วกลับรู้สึกหดหู่ใจ“เป็นเช่นนี้มานานแล้วหรือ? กี่ปีแล้ว?”หรือว่าในตอนที่นางยังอยู่ อวี๋โหรวต้องทนทุกข์ทรมานกับเรื่องเหล่านี้?อวี๋โหรวกลับส่ายหน้า “ข้าก็จำมิได้แล้วว่ากี่ปี”“อาจารย์ของข้าจากไปเสียนานแล้ว ไม่มีผู้ใดคอยช่วยเหลือข้า”“ดังนั้นข้าจึงต้องใช้บัวถวายรักษาอาการบาดเจ็บมาตลอด เพียงแต่ช่วงนี้หาซื้อมิได้แล้ว ข้าจึงเหลือเพียงดอกสุดท้าย”เมื่อลั่วชิงยวนได้ยินเช่นนี้ก็รู้สึกปวดร้าวใจหลายปีมานี้ นางมิเคยสังเกตเห็นความทุกข์ทรมานของอวี๋โหรวเลยเพราะอวี๋โหรวมิเคยปริปากบอกผู้ใด ในสถานที่ที่คนอ่อนแอต้องพ่ายแพ้แก่ผู้แข็งแกร่งเช่นนี้ ดูเหมือนนางจะรู้ดีว่าบอกผู้ใดไปก็ไร้ประโยชน์หลายปีมานี้นางอดทนมาได้อย่างไรก็มิอาจรู้ได้“จั๋วฉ่างตงบาดเจ็บอยู่แท้ ๆ ยังอุตส่าห์มาหาเรื่องเจ้าอีก ข้าว่านางคงเบื่อหน่ายการมีชีวิตเต็มทีแล้ว”แววตาของลั่
ชายหลายคนก้าวเข้ามารุมทำร้ายอวี๋โหรวในทันทีจั๋วฉ่างตงเปิดกล่องใบหนึ่งออก หมอกดำทมิฬพลันลอยออกมาแล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ “เจ้ายังกล้าสอดมือเข้ามายุ่งเรื่องของลั่วชิงยวนอีก เห็นทีจะยังมีเรี่ยวแรงอยู่ ข้าคงทรมานเจ้ายังมิพอ”“วันนี้เจ้าจงลิ้มรสภูตผีร้ายแห่งหุบเขาฝังศพให้สาสม”จั๋วฉ่างตงใช้ยันต์แผ่นหนึ่งควบคุมหมอกดำทมิฬให้รวมตัวกันกลางอากาศ แล้วพุ่งเข้าโจมตีอวี๋โหรวอย่างรุนแรงอวี๋โหรวกำลังต้านทานการโจมตีของบุรุษเหล่านั้นอยู่ในชั่วขณะต่อมา หมอกดำทมิฬก็พุ่งเข้าใส่ กระแทกเข้าที่ท้องของนางราวกับจะฉีกร่างนางออกเป็นชิ้น ๆ ความเจ็บปวดรุนแรงแล่นปราดเข้าจู่โจมหมอกดำทมิฬนั้นทะลุผ่านร่างของนางไปอวี๋โหรวร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด ล้มลงกระแทกพื้นอย่างแรง เจ็บปวดจนร่างกายสั่นเทา มิอาจลุกขึ้นได้บุรุษเหล่านั้นจับแขนของนางแล้วกระชากให้นางลุกขึ้นหมอกดำทมิฬนั้นพุ่งเข้ากระแทกท้องของนางอีกครั้ง แล้วทะลุผ่านไปอย่างรุนแรงอวัยวะภายในสั่นสะท้านก่อให้เกิดความเจ็บปวดรุนแรง ทำให้อวี๋โหรวสั่นไปทั้งร่าง เจ็บปวดจนริมฝีปากสั่นระริก ใบหน้าซีดเผือดนางไม่มีเรี่ยวแรงที่จะตอบโต้ได้เลยเป็นเช่นนี้ซ้