หากมิใช่เพราะใบหน้าเสียโฉมจนมิอาจพบปะผู้ใด ไฉนเลยจะต้องสวมผ้าคลุมหน้าด้วยเล่า? "ครั้นเมื่อบิดาของเจ้ามาขอให้ข้าช่วยเหลือ ข้าสั่งให้เขาไปพาตัวเจ้าออกมาจากตำหนักอ๋อง ผู้ใดเลยจะล่วงรู้ว่าบิดาของเจ้าจักใจคอโหดเหี้ยมยิ่งกว่า!" "เด็กน้อยเอ๋ย เจ้าได้รับความอยุติธรรมอักโข หากเจ้าแต่งเข้ามาในตระกูลของข้าได้ก็คงดีมิน้อย!" แม่ทัพใหญ่ฉินรู้สึกเสียดายที่สตรีดี ๆ เช่นนั้นกลับแต่งงานแล้วเสียได้ ต่อให้นางเป็นบุตรีของเขามิได้ ก็น่าจะเป็นสะใภ้ของเขาได้! ลั่วชิงยวนยิ้มให้ "แม่ทัพใหญ่ฉินล้อเล่นแล้วเจ้าค่ะ ข้าคิดว่าดวงตาของฉินไป๋หลี่น่าจะดีขึ้นแล้วกระมัง?" แม่ทัพใหญ่ฉินส่ายหน้า "ดีขึ้นบ้างแล้วล่ะ บางครั้งก็เห็นแสงสีขาวได้บ้างแล้ว แต่บางทีก็ยังมองไม่เห็นสิ่งใดเลย" "แต่หลังจากเขาตาบอดก็หาได้รู้สึกสิ้นหวังอย่างแต่ก่อนอีกแล้ว แต่เขากลับบังเกิดจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ และฝึกฝนวรยุทธในลานอยู่ทุกวันเชียวแล! ถึงแม้ว่าเขายังชอบวาดภาพอยู่ แต่กลับมิดื่มสุราอีกแล้ว บางครั้งเขาก็จะออกไปเดินเพื่อฝึกการฟังเสียงของตัวเอง" "ทำให้ข้าคลายกังวลไปได้มากเลยเชียว!" ลั่วชิงยวนนึกกับตัวเองว่าเป็นเพราะคนรักที่เขาเสียไ
ดึกดื่นป่านนี้ท่านอ๋องมาที่นี่ด้วยเหตุใดกัน? ลั่วชิงยวนรีบกลับไปท้ายเรือนแล้วผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าอาภรณ์ ทันทีที่นางเดินออกมาก็ได้ยินเสียง ก็ได้ยินเสียงเคาะประตูดังขึ้นด้านนอก ซ่งเชียนฉู่ขยิบตาให้นางแล้วถามว่าควรจะทำเช่นใด ลั่วชิงยวนส่ายหน้าเพื่อบ่งบอกว่านางจะไม่เปิดประตูให้ แต่ฟู่เฉินหวนที่อยู่ข้างนอกในยามนี้ กำลังถือสุราขวดหนึ่งแล้วทุบประตูร้านด้วยท่าทีเมามาย "ฉู่ลั่ว! ออกมาสิ!" ซ่งเชียนฉู่รีบวิ่งไปหาลั่วชิงยวน จากนั้นพวกนางทั้งสองคนก็ยืนอยู่ท้ายเรือนเพราะตื่นตระหนกกับเสียงที่ดังขึ้นทางด้านหน้า "เกิดอันใดขึ้นกับเขากันแน่? หรือว่าเขาจะล่วงรู้ตัวตนของท่านแล้ว?" ซ่งเชียนฉู่ถามด้วยความเป็นกังวล ลั่วชิงยวนส่ายหน้า เพราะนางก็มิทราบเช่นกัน เสียงทุบประตูยังคงดังขึ้นเรื่อย ๆ มิหนำซ้ำเสียงของฟู่เฉินหวนก็ฟังดูเมามาย ซึ่งยามปกติเขาคงไม่กระทำเช่นนี้เป็นแน่ "ท่านจักมิให้เขาเข้ามาหรือ?" ซ่งเชียนฉู่ลังเลใจ เมื่อเหลือบไปเห็นรอยเลือดบนหลังมือ ดวงตาของลั่วชิงยวนก็ฉายแววเย็นชา "ห้ามเปิดเชียว!" แต่เสียงข้างนอกกลับยิ่งมาก็ยิ่งดังขึ้นเรื่อย ๆ ตั้งแต่ทุบประตูจนแทบจะพังประตูอยู่แล้ว ข
“กระหม่อมมิคู่ควรกับความไว้วางใจของท่านเช่นกันพ่ะย่ะค่ะ” ลั่วชิงยวนขมวดคิ้ว นางมิต้องการได้รับความไว้วางใจจากฟู่เฉินหวน“เจ้าใสซื่อบริสุทธิ์นัก ข้าเชื่อว่าเจ้าจักมิเอ่ยปากเรื่องนี้ต่อผู้ใด” เสียงทุ้มลุ่มลึกของฟู่เฉินหวนเจือเมาบางส่วนดังเข้ามาลั่วชิงยวนตกใจเล็กน้อยฟู่เฉินหวนนอนกระดกเหล้าอยู่บนบันไดหิน เอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจัง "วันนี้ข้าอาจทำให้ชีวิตนึงสิ้นไปเพื่อบางสิ่งบางอย่าง"“ข้ามิรู้ว่าข้ากระทำอันใดผิดไปหรือไม่...”จิตใจของฟู่เฉินหวนเต็มไปภาพแววตาของลั่วชิงยวน บัดนี้เขาคิดว่า คืนนี้ลั่วชิงยวนอาจถูกทรมานจนสิ้นใจในจวนอัครเสนาบดีหากนางร่วมกับตระกูลเหยียนก่อเรื่องร้ายแรงก็สมควรตายแล้วแต่จะเกิดอะไรขึ้นหากนางแค่ถูกตระกูลเหยียนหลอกใช้เล่า?จิตใจของเขาสับสนยิ่งนักเหมือนมีบางส่วนขาดหายไปจากหัวใจ รู้สึกเหมือนถูกหินก้อนใหญ่กดทับลงไป ยากจะอธิบายว่ารู้สึกอย่างไรมันแค่ไม่สบายใจลั่วชิงยวนมองดูชายผู้นี้ด้วยความตกใจทำให้ชีวิตนึงสิ้นไปหรือ?เขากำลังพูดถึงนางงั้นหรือ?นางเพียงแปลกใจอยู่ครู่หนึ่งก็พลันสงบลง พลางคิดว่าจะเป็นตัวนางเองได้อย่างไรฟูู่เฉินหวนเกลียดนางฝังลึก ครั้นเมื่อ
ได้ยินสิ่งนี้ ลั่วชิงยวนก็พลันตกตะลึงฟู่เฉินหวนนอนหงายอยู่บนพื้น เปลวไฟสะท้อนในดวงตาของเขาเผยให้เห็นถึงความรู้สึกสูญเสีย“ครานั้นเวทมนตร์คาถาแพร่หลายในแคว้นหลี ท่านแม่ของข้าเป็นเหตุของเรื่องทั้งหมด เนื่องนางเป็นนางสนมคนโปรดของเสด็จพ่อ จึงถูกกล่าวหาว่าใช้เวทมนตร์คาถาหลอกองค์จักรพรรดิ”“เสด็จพ่อทรงปกป้องนางจนกระทั่ง… เกิดกลียุคในวัง”ลั่วชิงยวนตกใจอีกครั้งกลียุคในวัง?ครั้นพวกเขาอยู่ที่จวนมหาราชครู ฟู่เฉินหวนและท่านอาลั่วหรงได้กล่าวถึงกลียุคในวังหลวง ครานั้นนางเอ่ยถามท่านอาลั่วหรง แต่ท่านอาปฏิเสธที่จะเปิดเผยเธอสับสนมาโดยตลอด ความวุ่นวายในวังคืออะไรกันแน่?“กลียุคในวัง?” ลั่วชิงยวนขมวดคิ้วมองไปที่ฟู่เฉินหวนฟู่เฉินหวนเอ่ยช้า ๆ “ความโกลาหลในวังหลวงทำให้องค์ชายหลายพระองค์สิ้นพระชนม์ในคืนนั้น ภายนอกไม่มีผู้ได้รับอันตราย คืนที่ฟ้าโปร่ง แต่ฟ้าร้องและฟ้าผ่าก็โหมกระหน่ำทำให้ผู้คนล้มตายและบาดเจ็บนับไม่ถ้วนในวังหลวง”“พวกเขาพบหลักฐานในห้องท่านแม่ของข้า อ้างว่านางเป็นแม่มดที่นำหายนะมาสู่แคว้นและความทุกข์ยากมาสู่ราษฎร จึงถูกต้องโทษประหารด้วยการตรึงร่างเผาบนเสาเข็ม”ขณะที่ฟู่เฉินหวนพูด
แต่ลั่วไห่ผิงคงมิสามารถเข้าถึงราชลัญจกรหยกนั้นได้!เกิดอะไรขึ้นกันแน่?นางมิเข้าใจจึงหยุดคิดถึงเรื่องนี้“ท่านอ๋อง แล้วท่าน...” นางหันกลับมากำลังจะเอ่ยบางสิ่งทันใดนั้นก็พบว่าฟู่เฉินหวนหลับไปแล้วลั่วชิงยวนรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยเมื่อมองดูขวดเหล้าที่กระจัดกระจายอยู่เต็มพื้น นางก็มิสามารถอธิบายความรู้สึกในใจของนางได้ฟู่เฉินหวนถือว่าลั่วชิงยวนเป็นศัตรูแต่เขาถือว่าฉู่ลั่วเป็นมิตรสหายที่สามารถพูดคุยความกังวลด้วยได้หากวันหนึ่งเขารู้ว่าฉู่ลั่วคือลั่วชิงยวน เขาจะตอบสนองอย่างไร?บางทีเขาอาจจะคิดว่านางเข้าหาเขาอย่างมีเจตนาแฝงด้วยการเป็นฉู่ลั่วนางนั่งอยู่ในลานเป็นเวลานานแล้ว และเมื่อไฟค่อย ๆ ดับลง นางก็พยายามดึงฟู่เฉินหวนขึ้นมาจากพื้นนางต้องการช่วยเขาเข้าไปในห้อง แต่ความเจ็บปวดทั่วร่างของนางและน้ำหนักของฟู่เฉินหวนทำให้นางเคลื่อนไหวลำบากเมื่อนางพยายามจะก้าวขึ้นบันได ก็ล้มลงไปพร้อมกับฟู่เฉินหวนทันใดทันทีที่นางก้าวพลาดไถล ทันใดนั้นแขนแกร่งก็คว้าเอวนางป้องมิให้ล้มลงเมื่อนางหันหน้าไป ก็พลันสัมผัสกับใบหน้าที่อยู่ห่างไปเพียงไม่กี่นิ้วทันใด สบเข้ากับดวงตาแดงก่ำ ลึกล้ำ และเมาเล็กน
คร่อกกกก!ลั่วชิงยวนขมวดคิ้วมุ่นพลางเหลือบมองเขาด้วยความหงุดหงิด ดึงผ้าห่มมาคลุมเขาไม่แม้แต่จะถอดรองเท้าให้ แล้วเดินออกจากห้องไปเมื่อนางเดินออกจากห้องมา ก็พบว่ามีเลือดไหลออกมาจากข้อมือของนางนางกลับมาที่ห้องของตน หยิบล่วมยาออกมา ใส่ยาแล้วพันผ้าพันแผลทีละน้อยเสียงดังมากจนซ่งเชียนฉู่ตื่นขึ้นมา นางลุกขึ้นแล้วเดินไป “เหตุใดท่านถึงได้รับบาดเจ็บ ฝีมือผู้ใดกัน?”ลั่วชิงยวนถอนหายใจ “เรื่องมันยาว”“วันนี้เจ้ามิได้เจอปัญหาอันใดที่จวนมหาราชครูใช่หรือไม่?”ซ่งเชียนฉู่ส่ายหัว “จักมีปัญหาอันใดได้อีกเล่า คนมิน้อยกรูมาหาข้าให้ทำนายดวงชะตา ข้าก็ปฏิเสธพวกเขา แล้วบอกให้พวกเขามาหาท่านที่ร้านเอง”“ท่านอ๋องเล่า? ไฉนพระองค์จึงเสด็จมาพบท่านคืนนี้กัน?”“อาการบาดเจ็บของท่านเกี่ยวข้องกับ่ท่านอ๋องใช่หรือไม่?”ซ่งเชียนฉู่จับมือนางแล้วเลิกแขนเสื้อขึ้นมีรอยเลือดที่หลังมือและข้อมือรอยแผลที่อยู่บนมืออันยุติธรรมนั้นชวนให้ตกตะลึงลั่วชิงยวนขมวดคิ้วและพึมพำ "จิตใจบุรุษนั้นยากแท้ที่จะหยั่งถึงได้ ข้ามิรู้ว่าเขาต้องการทำกระไร คนที่น่าสงสัยเช่นนั้นสามารถคุยเปิดใจกับคนที่เขามิรู้จักดีด้วยซ้ำได้อย่างไร?"สิ่
เมื่อได้ยินเช่นนี้ ฟู่เฉินหวนก็พลันตกใจลั่วชิงยวนก็เข้าไปในห้องตำราเมื่อเห็นนางยืนอยู่ตรงหน้าตน ฟู่เฉินหวนก็ขมวดคิ้ว เขาก็ไม่รู้จะพูดอะไรอยู่ครู่หนึ่งลั่วชิงยวนมิรอให้ฟู่เฉินหวนได้เอ่ยอะไรจึงรีบเอ่ยตัดขึ้น “ท่านอ๋อง งานแต่งงานของลั่วหลางหลางจบลงแล้ว ถึงเวลาที่หม่อมฉันต้องกลับจวนนอกเมืองแล้วเพคะ”“หากท่านอ๋องทรงอนุญาต วันนี้หม่อมฉันจักเก็บข้าวของกลับจวนนอกเมือง”ลั่วชิงยวนลดเสียงลงและดูระแวดระวัง จึงทำให้ฟู่เฉินหวนรู้สึกอึดอัดเล็กน้อยราวกับมีคำพูดมากมายอยู่ในใจ แต่กลับมิสามารถเอ่ยอะไรออกไปได้เขาไพล่มือไว้ด้านหลัง หันหลังกลับมาพูดอย่างเย็นชา "หากเจ้ารู้ข้อผิดพลาด ข้าจักให้เจ้าอยู่ตำหนัก"ท่าทางที่เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่นั้นทำให้ลั่วชิงยวนเยาะเย้ยอยู่ในใจ“หม่อมฉันมิใช่คนผิด ล้วนเป็นอคติของท่านอ๋องทั้งสิ้น”“ในสายพระเนตรของท่านอ๋อง ทุกสิ่งที่หม่อมฉันทำนั้นผิดทั้งสิ้น หม่อมฉันจักไม่อยู่ให้ท่านเห็นอีก ได้โปรดให้หม่อมฉันกลับไปที่จวนนอกเมือง ภายภาคหน้าท่านจักได้มิต้องกังวลเรื่องหม่อมฉัน ทำเหมือนว่าไม่เคยมีหม่อมฉันเถิดเพคะ”ลั่วชิงยวนพูดด้วยน้ำเสียงจริงใจ นางหวังจริง ๆ ว่าฟู่เฉินหวน
ฟู่เฉินหวนยิ่งรู้สึกโกรธเมื่อได้ยินน้ำเสียงคาดหวังของนางนางหลงรักฟู่อวิ๋นโจวเช่นนั้นหรือ?คราแรกนางอยากแต่งงานกับเขาสุดใจมิว่าจะด้วยวิธีใด แต่ยามนี้นางต้องการหย่าและอยู่ร่วมกับฟู่อวิ๋นโจวนางคิดเช่นไรกับเขากันแน่? !ลำคอหายใจขัดคล่อง โทสะปะทุอย่างควบคุมมิได้ แต่ในที่สุดเขาก็มิได้เอ่ยวาจาใด เพียงตะโกนว่า “ออกไป!”ลั่วชิงยวนมิเข้าใจว่าเหตุใดเขาจึงโกรธกะทันหันเยี่ยงนี้ อย่างไรแล้วเขาก็มิได้รักนาง แล้วเหตุไฉนเขาจึงสนใจปฏิสัมพันธ์ของนางกับฟู่อวิ๋นโจวอยู่เสมอเล่า?แม้ว่าปกติ ฟู่อวิ๋นโจวจะเรียกเธออย่างใกล้ชิดสนิทสนม แต่พวกเขาก็เป็นเพื่อนกัน ปฏิสัมพันธ์ของพวกเขาก็มิได้ข้ามเส้นมิตรภาพ ไฉนฟู่เฉินหวนถึงเป็นเช่นนี้?นางระงับความคับข้องใจแล้วหันหลังเดินออกจากห้องตำราไปนางต้องออกจากตำหนักอ๋องให้จงได้ทันทีที่เธอเดินมาถึงลานด้านหน้า องครักษ์กลุ่มหนึ่งก็ล้อมนางเอาไว้ “พระชายา โปรดกลับไปที่เรือนเถิดขอรับ!”ลั่วชิงยวนถูกขังไว้ในเรือน คราวนี้ประตูถูกล็อกหนาแน่นเพื่อกันมิให้นางออกไปจือเฉาเองก็ถูกขังอยู่ในเรือนกับนาง มีเพียงแม่นมเติ้งเท่านั้นที่นำอาหารมาให้ทั้งสองจากข้างนอกได้ลั่วชิงยวนนั
ฟู่เฉินหวนตกตะลึงเขาเงยหน้ามองนางด้วยความสงสัย “วันนี้ท่านเป็นอะไรไป? จะดื่มสุราแล้วต้องถามมากมายเช่นนี้?”“เหมือนสตรี...”“ท่านคงมิประสงค์จะดื่มสุราด้วยกันกับข้า จึงพยายามปฏิเสธทางอ้อมสินะ”ลั่วชิงยวนกินไปพลางตอบ “เพียงแค่ถามเท่านั้นพ่ะย่ะค่ะ”“เหตุใดท่านต้องตอบโต้เสียงดังด้วย”“ท่านมาหากระหม่อมก็เพื่อพูดคุยมิใช่หรือ?”ฟู่เฉินหวนเลิกคิ้ว พูดมิออก “ก็ใช่อยู่”เขายกถ้วยสุราขึ้นมา ลั่วชิงยวนชนจอกเหล้ากับเขาแล้วดื่มหมดจอกทั้งสองดื่มสุราจนถึงยามวิกาล พูดคุยกันทั้งคืนแต่เนื่องจากฟู่เฉินหวนมีกิจราชสำนักจึงมิได้พักค้างคืน ดื่มเสร็จแล้วจึงกลับตำหนักไปลมยามค่ำคืนพัดผ่านกายฟู่เฉินหวน ทำให้ตื่นจากอาการมึนเมาเมื่อออกจากตรอกก็รู้สึกถึงความผิดปกติบางอย่าง เขาจึงหันกลับไปมองมีเงาร่างหนึ่งรีบซ่อนตัวนัยน์ตาของฟู่เฉินหวนเย็นชาขณะขมวดคิ้วฉู่ลั่วถูกจับตามองหรือ?ฟู่เฉินหวนเดินจากไป......ยามเช้าลั่วฉิงมาที่ตรอกฉางเล่ออีกครั้ง แล้วเห็นกระดาษแผ่นหนึ่งติดอยู่ที่รอยแยกของกำแพงเมื่อเปิดดูปรากฏว่าเขียนไว้ว่า คืนนี้ยามเที่ยงคืน มาพูดคุยเรื่องความร่วมมือกันเถิดลั่วฉิงตกตะลึง ฉู่
เมื่อฟู่เฉินหวนได้ฟังดังนั้นก็พยักหน้า “ข้าเข้าใจแล้ว”“แต่เหตุใดท่านเซียนฉู่จึงมิยอมรับตำแหน่งมหาปราชญ์?”ลั่วชิงยวนครุ่นคิด แล้วกล่าวด้วยรอยยิ้ม “กระหม่อมรับงานมิไหวแล้ว มิอยากให้ตำแหน่งมหาปราชญ์มาขัดขวางการทำเงินของกระหม่อม”ฟู่เฉินหวนอดหัวเราะมิได้ “ท่านขัดสนเรื่องเงินหรือ?”“ข้ามิเคยได้ยินท่านพูดถึงเรื่องนี้มาก่อน”ลั่วชิงยวนตอบว่า “มิขัดสน แต่กระหม่อมชอบหาเงินพ่ะย่ะค่ะ” “อืม ข้าเข้าใจแล้ว แต่จักรพรรดิก็ตรัสแล้วว่าตำแหน่งนี้จะถูกสงวนไว้ให้ท่าน เมื่อใดที่ท่านเปลี่ยนใจหรือเมื่อใดที่ท่านหาเงินได้มากพอแล้ว ก็สามารถกลับมาเป็นมหาปราชญ์ได้ทุกเมื่อ”แล้วฟู่เฉินหวนก็ส่งลั่วชิงยวนออกจากวังระหว่างทาง ลั่วชิงยวนอดมิได้ที่จะเตือนอีกครั้ง “เมื่อครู่กระหม่อมเห็นว่าพระพักตร์ขององค์จักรพรรดิมีความมัวหมอง ท่านอ๋องควรเตือนองค์จักรพรรดิให้ระวังพระวรกายจากคนรอบข้างไว้พ่ะย่ะค่ะ”ฟู่เฉินหวนสงสัย “หมายความว่าอย่างไร? มีผู้ใดจะลอบทำร้ายเขาหรือ?”ลั่วชิงยวนตอบว่า “ภัยพิบัติขององค์จักรพรรดิจะมาพร้อมกับภัยพิบัติของแคว้นเทียนเชวีย”เมื่อได้ยินดังนั้น ฟู่เฉินหวนก็เข้าใจ “ขอบคุณที่เตือน!”ที่จริงแ
“ทว่าหากฝ่าบาทมีสิ่งใดที่กระหม่อมสามารถช่วยได้ ฉู่ลั่วจะมิปฏิเสธพ่ะย่ะค่ะ!”“ส่วนรายละเอียดเราค่อยพูดคุยกันภายหลัง”ฟู่จิ่งหานพยักหน้า แต่ก็พูดว่า “ท่านมิต้องการเป็นมหาปราชญ์ แต่ตำแหน่งนี้ ข้ายังคงสงวนไว้ให้เป็นของท่านเสมอ! นอกจากท่านก็ไม่มีใครเหมาะสมอีกแล้ว!”ลั่วชิงยวนมิได้เอ่ยคำใดอีกผู้คนต่างก็แยกย้ายกันไปลั่วชิงยวนถูกจักรพรรดิเรียกไปยังห้องตำราจักรพรรดิถามด้วยความร้อนรน “ท่านเซียนฉู่ ภัยพิบัติที่ท่านกล่าวว่าจะเริ่มเกิดขึ้นทางทิศใต้คือ... เมืองฉินใช่หรือไม่?”ลั่วชิงยวนพยักหน้า “น่าจะเป็นเมืองฉินพ่ะย่ะค่ะ”เรื่องนี้นางได้บอกฟู่เฉินหวนแล้วเมื่อฟู่เฉินหวนที่เพิ่งเข้ามาในห้องตำราได้ยินดังนั้นก็ตกตะลึงเล็กน้อยลั่วชิงยวนก็บอกเขาเรื่องเมืองฉินเช่นกันทั้งสองทำนายว่าทางทิศใต้จะเกิดภัยพิบัติเหมือนกัน...นี่เป็นเรื่องบังเอิญหรือไม่?“ดูเหมือนว่าตระกูลเหยียนจะยังมิยอมแพ้! ท่านเซียนฉู่ ภัยพิบัติครั้งนี้สามารถหลีกเลี่ยงได้หรือไม่?”ลั่วชิงยวนส่ายหน้า “ดูเหมือนว่าจะหลีกเลี่ยงมิได้พ่ะย่ะค่ะ”นี่เป็นครั้งที่สองที่นางทำนายเห็นได้ชัดว่ามีการส่งมือสังหารไปสังหารมหาราชาจารย์เหยีย
“คิดว่าคงเป็นเพราะท่านอาจารย์นักพรตเพิ่งมาถึงเมืองหลวง ยังมิได้มีโอกาสสืบเสาะหาชื่อเสียงของข้าในเมืองหลวง หากข้าเป็นเพียงผู้หลอกลวงต้มตุ๋น คงมีผู้คนตำหนิติเตียนข้าไปนานแล้ว”เมื่ออาจารย์นักพรตเสวียนซานได้ฟังดังนั้นก็ขมวดคิ้วดูเหมือนว่าเขาจะเข้าใจผิดเสียแล้วเมื่อมองดูฉู่ลั่วที่วางตัวอย่างสง่าผ่าเผยและแสดงท่าทีมั่นใจเช่นนี้ ก็รู้ว่าย่อมมีฝีมือที่แท้จริง มิใช่เพียงคนหลอกลวงพูดจาโอ้อวดครู่หนึ่งก็รู้สึกเสียใจที่มิได้สืบเสาะหาชื่อเสียงของฉู่ลั่วเสียก่อน“ที่แท้ข้าเข้าใจผิดไป ขออภัยต่อท่านเซียนฉู่ด้วย”“แต่ข้าเห็นว่าท่านเซียนฉู่มีฝีมือที่แท้จริง มิทราบว่าเรียนวิชาจากสำนักใด? เหตุใดจึงต้องใช้ชื่อของศิษย์เสวียนซานด้วยหรือ?”ลั่วชิงยวนยกยิ้มจาง แล้วกล่าวว่า “ไร้สำนักไร้พรรค”อาจารย์นักพรตเสวียนซานขมวดคิ้วแน่นด้วยความตกตะลึง แล้วกล่าวอย่างเสียดายว่า “ไร้สำนักไร้พรรค นั่นหมายความว่าเรียนวิชาลับใช่หรือไม่? ท่านเซียนฉู่ควรเข้ามาเป็นศิษย์ในสำนักเสวียนซาน วันนี้ได้พบกันโดยบังเอิญ ข้าปรารถนาจะรับท่านเป็นศิษย์เอก!”ผู้คนโดยรอบต่างตกตะลึง เมื่อครู่ยังหาเรื่อง บัดนี้กลับจะรับฉู่ลั่วเป็นศิษย์แล
ทุกคนต่างพากันเหลียวมองไปตามเสียงแล้วเห็นนักพรตผู้สง่างามก้าวเดินเข้ามาอย่างช้าๆรัศมีอันบริสุทธิ์ปราศจากมลทินของโลกมนุษย์แผ่พลังอำนาจอันน่าเกรงขามลั่วชิงยวนตกตะลึงเล็กน้อย เมื่อเห็นเครื่องหมายบนคอเสื้อของนักพรตแล้วพูดขึ้นว่า “อาจารย์นักพรตเสวียนซาน”เครื่องหมายบนเสื้อผ้าของศิษย์แต่ละระดับของสำนักเสวียนซานจะมีสีแตกต่างกันเครื่องหมายบนคอเสื้อของคนผู้นี้เป็นสีทอง มีเพียงอาจารย์นักพรตเสวียนซานเท่านั้นที่มีสิทธิ์สวมใส่สำนักเสวียนซานที่มีระดับสูงกว่าสีม่วง ล้วนเป็นผู้ทรงคุณวุฒิ มิค่อยลงจากเขาใครกันที่สามารถเชิญอาจารย์นักพรตเสวียนซานมาที่นี่ได้อาจารย์นักพรตเสวียนซานฮึดฮัด “เจ้ารู้จักข้าบ้างก็ถือว่ายังดี!”“เจ้าดูมิเหมือนคนร้ายกาจ เหตุใดจึงแอบอ้างเป็นศิษย์ของสำนักข้า มาหลอกลวงในวังหลวงแคว้นเทียนเชวีย!”เมื่อได้ยินดังนั้น ลั่วชิงยวนก็เข้าใจทันทีนี่เป็นฝีมือของลั่วฉิงเหล่าขุนนางและข้าราชบริพารต่างตกตะลึง“หลอกลวงหรือ? คงมิใช่กระมัง?”“ความสามารถในการทำนายของท่านเซียนฉู่คงมิใช่ของปลอมกระมัง?”ผู้คนต่างเกิดความสงสัยจักรพรรดิกล่าวว่า “ท่านนักพรต ท่านพูดเช่นนั้นได้อย่างไร!”
ดีงูที่ทำให้ฝีมือของนางเพิ่มพูนขึ้นอย่างมากนั้น นางยังคงจำได้มิลืมเลือนน่าเสียดายที่ข้างกายซ่งเชียนฉู่มีคนผู้ทรงอานุภาพคอยคุ้มครอง นางจึงพยายามด้วยวิธีการต่างๆ แต่ก็ยังล้มเหลวการใช้ความสัมพันธ์ระหว่างฉู่ลั่วกับซ่งเชียนฉู่อาจจะประสบความสำเร็จ แต่ฉู่ลั่วกลับดื้อดึงมิยอมร่วมมือกับนาง!เมื่อมิสามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้ก็จำต้องทำลายเขาเสีย!ลั่วชิงยวนกลับไปยังลานหลังร้านซ่งเชียนฉู่ถามด้วยความสงสัยว่า “ท่านมิได้ไปแล้วหรอกหรือ? เหตุใดจึงกลับมาอีก?”ลั่วชิงยวนทำท่าให้เงียบแล้วพาส่งเฉียนฉู่กลับไปยังห้อง จากนั้นบอกเล่าเรื่องราวให้ฟังเมื่อซ่งเชียนฉู่ฟังจบก็รีบกล่าวว่า “ดูเหมือนว่านางผู้นี้จะมิปล่อยท่านไป หรือว่าท่านจะเข้าวังไปดำรงตำแหน่งมหาปราชญ์ เมื่อมีตำแหน่งนี้แล้ว นางก็จะต้องเกรงใจบ้าง”ลั่วชิงยวนไตร่ตรอง แล้วพูดว่า “มหาปราชญ์ อืม... ค่อยว่ากันอีกที”จนกระทั่งล่วงเข้ายามดึก เมื่อแน่ใจแล้วว่าลั่วฉิงจากไปแล้ว ลั่วชิงยวนจึงกลับตำหนักอ๋องอย่างเงียบเชียบเมื่อกลับแล้วก็ถูกหล่างมู่ขวางทาง “พี่หญิง ท่านไปที่ใดมาขอรับ? ฟู่เฉินหวนมาหาท่านตอนค่ำ”“แล้วเจ้าบอกเขาว่าอย่างไร?”“ข้าบอกว่าพ
ลั่วชิงยวนขมวดคิ้วมองหล่างมู่อย่างช่วยมิได้“หล่างมู่ เจ้ากลับไปก่อนเถิด ข้าจะไปทำธุระก่อน” ลั่วชิงยวนหันหลังวิ่งไปหล่างมู่ถือลูกถังหูลู่สองไม้วิ่งตามไปสองสามก้าว “พี่หญิง ท่านจะไปที่ใด? ไฉนมิพาข้าไปด้วยเล่า?”ลั่วชิงยวนมิได้ใส่ใจ รีบวิ่งออกจากถนนไปแล้วเมื่อไปเปลี่ยนอาภรณ์ที่หอฝูเสวี่ยแล้ว นางจึงไปที่ร้านอย่างเงียบเชียบเมื่อไปถึงลานด้านหลังก็พบกับซ่งเชียนฉู่ที่กำลังแบกตะกร้ากลับมาจากประตูหน้า ท่าทางดูรีบร้อนนัก“ท่านมาพอดี ท่านเห็นประกาศบนถนนหรือไม่? องค์จักรพรรดิจะเชิญท่านเข้าวังเพื่อแต่งตั้งท่านเป็นมหาปราชญ์!” ซ่งเชียนฉู่ส่งประกาศให้“นี่เป็นประกาศที่ติดอยู่ที่ประตูร้านเรา”“มิกี่วันที่ผ่านมา ข้าออกไปเก็บสมุนไพร พวกเขาคงจะมาหาท่าน แต่ไม่มีใครอยู่จึงติดประกาศไว้”“จะทำอย่างไรดี?”ซ่งเชียนฉู่ก็ตกตะลึงเช่นกันลั่วชิงยวนรับประกาศมาดูอีกครั้ง ในนั้นยังเขียนด้วยว่าให้นางเข้าวังหลวงเพื่อทำนายชะตาของแคว้นเทียนเชวียแล้วแต่งตั้งเป็นมหาปราชญ์ซ่งเชียนฉู่ถอนหายใจ “ข้าคิดว่าครั้งนี้ ตัวตนของท่านคงจะปกปิดมิได้แล้ว”“คอยดูกันต่อไปเถิด” ลั่วชิงยวนยังมิรู้ว่าจะบอกฟู่เฉินหวนอย่างไร
น้ำเสียงของฟู่เฉินหวนนั้นบ่งบอกชัดเจนว่ากำลังหึงหวงอยู่ลั่วชิงยวนปอกส้มแล้วป้อนให้ฟู่เฉินหวนพลางพูดอย่างอารมณ์ดีว่า “หล่างมู่มองหม่อมฉันเป็นเพียงพี่หญิงจริง ๆ เพคะ”“เขามีความสัมพันธ์ที่ดีกับพี่หญิงมาตั้งแต่เด็ก แต่พี่หญิงของเขาเสียชีวิตเพราะเขา จึงเป็นบ่วงกรรมและความเสียใจตลอดชีวิตของเขา”“ต่อมาหล่างชิ่นกลายเป็นพี่หญิงของเขา เขาเชื่อฟังหล่างชิ่นทุกอย่าง แต่สุดท้ายหล่างชิ่นกลับต้องการให้เขาตาย”“หลังจากนั้นเมื่อหม่อมฉันไปยังเผ่านอกด่าน ราชาเผ่านอกด่านบอกว่าหม่อมฉันเป็นพี่หญิงของเขา ดังนั้นเขาจึงมองหม่อมฉันเป็นพี่หญิงแท้ ๆ มาโดยตลอด”เมื่อฟู่เฉินหวนได้ยินเช่นนั้นก็สงสัยยิ่งนัก “พูดตามตรงคือข้ายังคงมิเข้าใจเลยว่าเหตุใดราชาเผ่านอกด่านจึงมั่นใจว่าเจ้าเป็นลูกสาวของเขา”ลั่วชิงยวนพูดเสียงเบาว่า “ราชาเผ่านอกด่านกับลั่วไห่ผิงมีใบหน้าเหมือนกันราวกับแกะ! พวกเขาเป็นพี่น้องกันเพคะ!”“ก่อนที่ท่านแม่ของหม่อมฉันจะมาเมืองหลวงแล้วแต่งงานกับลั่วไห่ผิง นางเคยมีความสัมพันธ์กับราชาเผ่านอกด่าน แต่สุดท้ายก็มิได้ลงเอยกันจึงมาเมืองหลวงและแต่งงานกับลั่วไห่ผิงเพคะ”ฟู่เฉินหวนตกตะลึงยิ่งนักเมื่อได้ฟัง“
หล่างมู่ชกเข้าที่ใบหน้าของฟู่เฉินหวนจนฟู่เฉินหวนถอยหลังไปหลายก้าวหล่างมู่แสดงสีหน้าโกรธแค้น “ข้าขอเตือนท่านเลยว่าถ้าท่านทำเช่นนี้กับพี่หญิงของข้าอีก ข้าจะฆ่าท่านเสีย!”ฟู่เฉินหวนขมวดคิ้วพลางเช็ดเลือดที่มุมปาก “ลั่วชิงยวนอยู่ที่ใด ข้าจะพบกับนาง”“นางอยู่ที่ใด แล้วท่านเกี่ยวอะไรด้วย!” หล่างมู่แสดงสีหน้ามิพอใจ เขายังคงจำได้ว่าในวันคล้ายวันพระราชสมภพของจักรพรรดิ อ๋องผู้สำเร็จราชการยินดีที่จะมอบลั่วชิงยวนให้เขาชายคนนี้ช่างน่ารังเกียจ!เขามิเข้าใจว่าเหตุใดพี่หญิงจึงยังคงอยู่กับชายผู้นี้วันนี้กลับนิ่งเฉยมองดูคนอื่นทำร้ายพี่หญิงอย่างมิแยแสอีก!หล่างมู่มิพอใจอย่างยิ่งเมื่อทั้งสองสบตากัน ความเป็นปรปักษ์ก็ปะทุขึ้นบรรยากาศตึงเครียด ในวินาทีต่อมาดูเหมือนว่าจะต้องต่อสู้กันแน่แล้วลั่วชิงยวนเพิ่งเข้ามาในลานก็เห็นเหตุการณ์นี้ จึงรีบเข้าไปขวางไว้“พวกท่านกำลังทำอะไรกัน!”“แค่ก แค่ก แค่ก...” เมื่อนางร้อนใจก็กุมอกด้วยความเจ็บปวดสีหน้าของทั้งสองเปลี่ยนไปอย่างมากแล้วเข้าไปพยุงนางพร้อมกัน ลั่วชิงยวนปัดมือของทั้งสองออก แล้วหันไปมองหล่างมู่ “พี่บอกเจ้าว่าอย่างไร!”ความโกรธของหล่างมู่หา