แต่นางกลัวอะไรอยู่กันแน่? เช้าวันรุ่งขึ้น ลั่วอวิ๋นสี่ก็พาคนมาอีกครั้ง แต่วันนี้เป็นบุรุษวัยฉกรรจ์กลุ่มหนึ่ง ทันทีที่ลั่วอวิ๋นสี่มาถึง นางก็คว่ำโต๊ะที่อยู่ตรงหน้าลั่วชิงยวนโดยไม่พูดพร่ำทำเพลงพลางจ้องมองนางด้วยสายตาอาฆาตแค้น "พวกเจ้ากล้ารวมหัวกันหลอกข้าเช่นนั้นหรือ?" "เจ้าเล่ห์นัก ฉู่ลั่ว!" "วันนี้ข้าจะทำให้เจ้าได้รู้ซึ้งถึงผลที่ตามมาของการหลอกลวงข้า!" ลั่วอวิ๋นสี่โกรธจัดแล้วตะโกนขึ้นมาว่า "ทำลายมันให้หมด! แล้วข้าจะจ่ายค่าตอบแทนอย่างงาม!" ดังนั้นบุรุษทั้งกลุ่มจึงกรูกันเข้ามาในร้านแล้วทำลายข้าวของอย่างเป็นบ้าเป็นหลัง ลั่วชิงยวนหน้าเปลี่ยนสี จากนั้นนางก็รีบวิ่งเข้าไปในร้านเพื่อขวางคนพวกนั้นมิให้แตะต้องเครื่องยาสมุนไพร ถึงแม้ว่าจะมิได้เก็บสมุนไพรราคาแพงของซ่งเชียนฉู่เอาไว้ที่นี่ทั้งหมด แต่บางส่วนก็ตั้งแสดงตัวอย่างเอาไว้ที่นี่ ของล้ำค่ามากมายเช่นนั้นจะต้องไม่ถูกผู้อื่นทำลายทิ้ง! นางมายืนอยู่หน้าตู้เก็บโอสถและจัดการผู้ใดก็ตามที่ย่างกรายเข้ามา ถึงแม้ว่าหลังจากนางลดน้ำหนักแล้ว วรยุทธของนางจะรุดหน้าขึ้น ทว่าพละกำลังก็ยังไม่แข็งแกร่งเท่าแต่ก่อน การรับมือกับคนมากมายถึงเพียงน
หลังจากลั่วชิงยวนพูดจบ นางก็หันหลังเดินกลับเข้าไปในร้านแล้วปิดประตูลงกลอน ฟู่เฉินหวนตะลึงงันอยู่ท่ามกลางสายลมหนาว ฉู่ลั่วผู้นี้รนหาที่ตายใช่หรือไม่? กล้าดีอย่างไรถึงทำเช่นนี้กับตน? ! ฟู่เฉินหวนก้มหน้ามองเสื้อผ้าที่เปรอะเปื้อน แววตาก็ยิ่งอึมครึมมากขึ้นเรื่อย ๆ จากนั้นเขาก็เหลือบมองมาที่ร้านด้วยสายตาเย็นชาแล้วข่มกลั้นโทสะพร้อมเดินจากไป ไร้เหตุผล! ไม่เข้าใจเลย! ฟู่เฉินหวนกลับตำหนักไปด้วยท่าทีฉุนขาด ครั้นซูโหยวเดินมาที่เรือนหน้าก็เห็นท่านอ๋องมีสีหน้าหม่นคล้ำ เขาจึงรีบเดินเข้าไปหาพลางกล่าวว่า "ท่านอ๋อง เกิดอะไรขึ้นหรือพ่ะย่ะค่ะ? ไฉนเสื้อผ้าของท่านถึงเลอะเทอะเปรอะเปื้อนเช่นนั้นได้?" ฟู่เฉินหวนไม่ตอบ ในยามนี้เอง ลั่วเยวี่ยอิงก็เดินยิ้มเข้ามาหา "ท่านอ๋อง พักนี้หม่อมฉันไม่เห็นท่านเลยคิดว่าท่านอ๋องมัวแต่ยุ่งกับงานราชการ ดังนั้นข้าจึงทำขนมมาให้ท่านอ๋อง ท่านอ๋องอยากจะมานั่งเล่นที่เรือนของข้าหรือไม่เพคะ?" ฟู่เฉินหวนเพียงแค่เหลือบมองลั่วเยวี่ยอิง ก็เกือบอดใจที่จะตอบตกลงมิได้ แต่เขากลับหยิกฝ่ามืออย่างแรง จากนั้นก็เบือนหน้าหนีแล้วรีบเดินจากไป ลั่วเยวี่ยอิงรู้สึกตื่นตกใจแล้วรีบก
ข้างนอกมีผู้ชมดูเหตุการณ์กลุ่มหนึ่งกำลังชี้มือชี้ไม้แล้วพูดคุยกันอย่างออกรส สายตาแปลกพิกลเหล่านั้นประดุจดั่งมีดคมกริบ ลั่วชิงยวนมองไปยังทิศทางที่พวกเขาชี้นิ้วไปด้วยความสงสัย จากนั้นก็เห็นธงสองผืนที่กำลังโบกสะบัดท่ามกลางสายลม บนนั้นเขียนเอาไว้ว่า: นักต้มตุ๋นแห่งยุทธภพ หลอกเอาเงินทองและทำลายชีวิตคน ธงผืนใหญ่กำลังโบกสะบัดท่ามกลางสายลมหนาว อักษรทั้งแปดตัวเป็นที่โดดเด่นสะดุดตาเป็นพิเศษ จนสามารถมองเห็นได้ชัดจากถนนสองสามสายที่ห่างไกลออกไป! "พวกเราเคยได้ยินว่าท่านเซียนฉู่ผู้นี้ทำนายดวงชะตาแม่นด้วยหรือ?" "ข้าได้ยินมาว่าเขาจ้างคนมาทำทีเป็นลูกค้า มิฉะนั้นก็คงหามีผู้ใดมาให้เขาทำนายดวงชะตามากมายถึงเพียงนั้นหรอก" "ข้าเคยบอกไปแล้วหนา จะมีเทพพยากรณ์อายุน้อยขนาดนั้นได้อย่างไรกัน? มันเป็นพวกต้มตุ๋นชัด ๆ เลย!" "จริงด้วย! ข้าได้ยินว่ามีคนในครอบครัวของลูกค้าตายด้วยล่ะ มิหนำซ้ำยังแจ้งให้ทางการทราบเรื่องนี้อีกต่างหาก" เมื่อลั่วชิงยวนได้ยินความคิดเห็นเหล่านี้ นางก็ขมวดคิ้วแน่นขึ้นเรื่อย ๆ นางไม่คิดเลยว่าลั่วอวิ๋นสี่จะใช้วิธีน่ารังเกียจเช่นนั้น! เมื่อก่อนนางแค่เรียกได้ว่าหยิ่งยโสโอหัง ถ
“คนใช้ในจวนระแวงข้ายิ่งเสียกว่าโจร หลาย ๆ ครั้งที่ข้าเกือบได้เห็นฮูหยินลั่ว คนใช้เหล่านั้นกลับลากข้าออกไปเสียก่อน!” “เพียงแต่ จากที่ซุ่มมองมาหลายวัน ข้าค้นพบเรื่องหนึ่ง!” ลั่วชิงยวนถามอย่างสงสัย “เรื่องใดกัน?” ซ่งเชียนฉู่ดื่มชาร้อน เท้าแขนพร้อมยื่นหน้าเข้าใกล้ นางกล่าว “ฮูหลินลั่ว ราวกับกำลังมองหาสามีให้คุณหนูตระกูลลั่ว มีสตรีแต่งกายคล้ายแม่สื่อ ถือภาพวาดเต็มตะกร้าเดินเข้าจวน!” “และข้าได้ยินเต็ม ๆ สองหูว่านั่นคือภาพวาดคุณชายตระกูลสูงส่ง” ซ่งเชียนฉู่ถามด้วยความใคร่รู้ “เพราะฮูหยินเลือกสามีให้กับลั่วอวิ๋นสี่หรือไม่ จึงทำให้นางบังคับให้เจ้าแก้ไขพรหมลิขิตโดยเร่งด่วนเพียงนั้นหนา?” “แต่เพียงคำพูดไม่กี่ประโยคของท่าน จักสามารถทำให้แม่ของลั่วอวิ๋นสี่เปลี่ยนความคิดเช่นนั้นหรือ?” ลั่วชิงยวนขมวดคิ้วไตร่ตรองพักหนึ่ง ก็จริง ต่อให้นางพูดว่าเหมาะสมกัน ท่านอาลั่วหรงก็ไม่มีทางให้ลั่วอวิ๋นสี่คบกับสวีซงหย่วนอยู่ดี ลั่วอวิ๋นสี่เพียงแค่อยากได้สิ่งนี้ มาเป็นข้ออ้างของตนในการต่อต้านท่านอาลั่วหรงก็เท่านั้น “คงมิได้มาดูตัวให้ลั่วอวิ๋นสี่ ด้วยนิสัยของนาง นางอาจเลือกหนีไปพร้อมสวีซงหย่วนแล้ว”
ผู้คุ้มกันกองใหญ่ที่เดินเข้ามา ทำอันธพาลเหล่านั้นตื่นกลัว ฮูหยินที่แต่งตัวสูงส่งท่านหนึ่งค่อย ๆ เดินเข้ามา มองไปที่เหล่าอันธพาลเย็น ๆ และติดุ “ยังมิไสหัวไปอีก! มิเช่นนั้นก็ไปที่ทางการกับข้า!” อันธพาลเหล่านั้นได้ยินก็กลัวจนรีบหนีไปทันที กองทัพเช่นนี้ ใครจะกล้าหาเรื่องกัน ผู้คุ้มกันสี่สิบสามสิบคนเต็ม ๆ ! แค่มองก็รู้ว่านางฐานะมิธรรมดา “เจ้าหรือคือเซียนฉู่? ได้ยินมานานว่าเจ้าเป็นหนุ่มวัยละอ่อน มิคิดว่าหน้าตาเจ้าจะงดงามราวกับเทพบนสวรรค์เช่นนี้” หรงอี้เฉี่ยนประเมินลั่วชิงยวนอย่างสนใจ “ท่านฮูหยินแม่ทัพกล่าวชมกันเกินไปแล้ว!” ลั่วชิงยวนตอบมารยาท ได้ยินดังนี้ รอยยิ้มของหรงอี้เฉี่ยนชะงักเล็กน้อย “เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าข้าคือฮูหยินแม่ทัพ?” “ผู้คุ้มกันที่ท่านฮูหยินนำมาต่างแขวนป้ายสัญลักษณ์เว่ยไว้บนเอว หนำซ้ำฝีมือมิธรรมดา ย่ำเท้าพร้อมเพรียง เห็นได้ชัดว่าผ่านการฝึกฝนที่เข้มงวดมา” “ทั้งเมืองหลวง ฮูหยินแม่ทัพที่หน้าสละสลวยเช่นนี้ ข้ารู้เพียงตระกูลแม่ทัพเว่ย” เมื่อลั่วชิงยวนพูดถึงประโยคสุดท้าย หลงอี้เฉี่ยนลูบปอยผมด้วยรอยยิ้ม รู้สึกชอบใจยิ่ง “ท่านเซียนช่างมีวาทศิลป์เสียจริง ข้าคิดว่
หรงอี้เฉี่ยนยิ้มแป้นขึ้นมาในทันที “มีประโยคนี้ของเจ้าข้าก็วางใจแล้ว ข้าจักไปร้านทองเดี๋ยวนี้แล! หากได้ผลจริง ข้าจักกลับมาขอบคุณเจ้าเป็นอย่างดี!” สิ้นเสียง นางจึงยกชายกระโปรงไปซื้อเครื่องประดับทองอย่างรีบร้อน มองดูหรงอี้เฉี่ยนที่พาผู้คุ้มกันจากไป และยังมิลืมไล่เหล่าชาวบ้านที่มามุงดูเรื่องสนุก ลั่วชิงยวนคิดอย่างอดมิได้ แม่ทัพเว่ยแต่งงานกับสตรีผู้นี้ ช่างมีบุญเสียจริง หากชะตาของแม่ทัพเว่ยสมพงษ์กับชะตาของหรงอี้เฉี่ยนล่ะก็ พวกเขาจะราวกับปลาได้น้ำที่รุ่งโรจน์มากขึ้นเรื่อย ๆ …… ผ่านมาหลายวัน ด้านนอกยังคงปลิวว่อนไปด้วยข่าวลือไม่น่าฟัง ธงนอกร้านถูกดึงลงมาเผา และถูกแขวนใหม่ขึ้นไปในวันถัดมาตลอด ลั่วชิงยวนมิได้เปิดร้านค้าขายมาหลายวัน ส่วนฟู่เฉินหวนเองก็มิได้มาหานาง ชีวิตนางค่อนข้างเงียบสบาย ลั่วชิงยวนเองก็ไม่รีบร้อน กลับเป็นซ่งเชียนฉู่เสียมากกว่าที่กังวลอยู่ทุกวันวี่ จนมาถึงวันที่สี่ ในที่สุด เรื่องราวก็มีจุดพลิกผัน หรงอี้เฉี่ยนมาแล้ว รอบนี้นางเพิ่มผู้คุ้มกันถึงห้าสิบนาย กองทัพยิ่งใหญ่ปรากฏในตรอกฉางเล่อ ดึงดูดความสนใจจากผู้คนมากมาย ระหว่างทางมีคนไม่น้อยมองมาเช่นกัน “ฮู
“จับมันเสีย!” หรงอี้เฉี่ยนส่งคำสั่งอย่างเยือกเย็น ผู้คุ้มกันจับตัวชายหนุ่มผู้นั้นในทันที “จับข้าทำไม! พวกเจ้าควรจับไอ้หลอกลวงนั่น!” ชายหนุ่มขัดขืนขึ้นมาอย่างลนลาน “จับไปส่งที่ทางการ!” หรงอี้เฉี่ยนพูดเสียงเย็น ชายหนุ่มถูกนำตัวไปในทันที ดูจากท่าทีบัดนี้ของหรงอี้เฉี่ยน สมกับเป็นฮูหยินแม่ทัพจริง ๆ “ท่านฮูหยิน” ลั่วชิงยวนขึ้นหน้าโค้งคำนับ หรงอี้เฉี่ยนเผยยิ้มในทันที นางโบกมือ ผู้คุ้มกันสองท่านยกถาดใบหนึ่งเดินขึ้นหน้า อี้หรงเฉี่ยนเปิดผ้าแดงออก แสงเงินระยิบระยับปรากฏสว่างจนแสบตา “นี่คือเงินห้าร้อยตำลึง วันนี้ข้ามาเพื่อขอบคุณท่านเซียนฉู่” “ต่อจากนี้เจ้าเป็นเพื่อนของข้า!” หรงอี้เฉี่ยนพบเรื่องดีจึงอารมณ์ดีเป็นพิเศษ นับแต่ที่นางใส่เครื่องประดับทอง ครั้นเล่นไพ่กับสองพี่น้องตระกูลจางนางก็ชนะเสมอ! แน่นอนว่านางมิได้อยากชนะเพราะหวังเงิน นางเพียงแค่อยากเอาคืน วันนี้สองพี่น้องนั่น อ้างป่วยและไม่มาเล่นไพ่กับนาง ในใจนางรู้สึกสะใจสุด ๆ! “ท่านฮูหยินให้มากไปแล้ว เรื่องเล็กเพียงนี้ มิต้องการเงินมากเช่นนี้” ลั่วชิงยวนกล่าวเกรงใจ “เจ้ารับไว้เถิด สำหรับเจ้าเป็นเรื่องเล็ก แต่สำหรับข้าม
“โบราณว่าไฟในอย่านำออก แต่วันนี้ข้าจักอับอายขายหน้าไปพร้อมกับเจ้า เพื่อให้เจ้ารู้จักจดจำเสียบ้าง!” ลั่วหรงติว่าอย่างโมโห และลากลั่วอวิ๋นสี่มาถึงที่หน้าประตูใหญ่ ลั่วอวิ๋นสี่เจ็บจนจับแขนเสื้อลั่วหรงไว้แน่น “ท่านแม่ ผู้คนที่นี่มากมายเช่นนี้! กลับไปคุยกันที่จวนได้หรือไม่?” ลั่วหรงติอย่างจริงจัง “ความผิดที่เจ้ากระทำ เจ้าต้องแบกรับเอง! มิใช่เรื่องทุกอย่างที่จะเก็บมาแก้ไขในบ้านได้ หากมิมีจวนมหาราชครู เจ้าคงถูกตีตายไปนานแล้ว!” เมื่อลั่วชิงยวนเห็นฉากตรงหน้านางเองก็ตกใจเช่นกัน มิคิดว่าท่านอาลั่วหรงจะลากลั่วอวิ๋นสี่บุกมาที่หน้าประตูจวนนางเลย เมื่อเห็นนาง ลั่วหรงสูดหายใจเข้าลึก สงบอารมณ์ตนเอง และเดินเข้ามาหานาง “บุตรของข้าบุ่มบ่ามเสียมารยาท เพราะคนเป็นแม่อย่างข้ามิได้สั่งสอนนางดี ๆ เอง วันนี้ข้าจึงมาเพื่อขออภัยและชดใช้ท่าน!” ลั่วหรงพูดไป พร้อมโค้งคำนับไป ลั่วชิงยวนรีบพยุงนางไว้ “ท่านคือฮูหยินลั่วหรือ? แท้จริงแล้วมิจำเป็นต้องทำให้เรื่องใหญ่เช่นนี้” เพียงแค่ให้ฮูหยินลั่วติเตียนลั่วอวิ๋นสี่ มิให้ปล่อยข่าวที่ทำชื่อเสียงนางเสื่อมเสียอีกเป็นพอ แต่มิคิดว่า สีหน้าของท่านอาลั่วหรงกลับ
ฟู่เฉินหวนกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา แววตาที่น่ารังเกียจนั้นทำให้หัวใจของลั่วชิงยวนเจ็บปวดราวกับถูกเข็มทิ่มแทงลั่วชิงยวนกัดฟันพลางกลั้นน้ำตาไว้ “ท่านมิได้บอกว่าจะเชื่อหม่อมฉันหรอกหรือเพคะ?”“หากหม่อมฉันบอกท่านทั้งหมด ท่านก็จะเชื่อหม่อมฉันมิใช่หรือเพคะ!”ฟู่เฉินหวนมีแววตาเย็นชา มองนางอย่างเฉยเมย “แต่เจ้าบอกข้าทั้งหมดแล้วหรือยังเล่า? เจ้ายังคงปิดบัง ยังคงหลอกลวง!”เสียงตำหนินั้นเต็มไปด้วยความโกรธทำให้หัวใจของลั่วชิงยวนแทบแตกสลาย“ฟู่เฉินหวน วันนี้ท่านมาก็เพื่อหลอกลวงหม่อมฉันอีกแล้วใช่หรือไม่”“จุดประสงค์สุดท้ายของท่านคือ หลอกล่อให้หม่อมฉันบอกวิธีใช้เข็มทิศอาณัติสวรรค์ เพราะลั่วฉิงใช้มันมิได้ ใช่หรือไม่!”ลั่วชิงยวนตะโกนด้วยความโกรธ“หม่อมฉันช่างโง่เขลาที่เชื่อใจท่าน บอกความลับทั้งหมดให้ท่านฟัง แต่ท่านก็หลอกลวงหม่อมฉันอีกครั้ง...”พูดไปน้ำตาของลั่วชิงยวนก็ไหลรินในเวลานี้ หัวใจของลั่วชิงยวนราวกับถูกควักออกมาผ่าเป็นสองซีกเจ็บปวดเจียนตายแต่ฟู่เฉินหวนกลับมิเปลี่ยนสีหน้า แววตายิ่งเย็นชาขึ้นเขาบีบคอของนางด้วยความโกรธ“ในเมื่อเจ้ารู้แล้ว ข้าก็ขี้เกียจเสแสร้งกับเจ้าแล้ว”“เข็มท
ฟู่เฉินหวนตกใจมองนางด้วยความประหลาดใจก่อนจะตอบว่า “ได้”“หากเจ้าอธิบายได้ชัดเจน ข้ายินดีเชื่อเจ้าเป็นครั้งสุดท้าย”ได้ยินดังนั้นลั่วชิงยวนก็รู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อยรีบกล่าวทันที “หม่อมฉันชื่อลั่วเหลา แท้จริงแล้วลั่วอิงคืออาจารย์ของหม่อมฉัน หม่อมฉันตายไปแล้วมาเกิดใหม่ในร่างของลั่วชิงยวน”“วันรุ่งขึ้นหลังจากวันแต่งงาน ลั่วชิงยวนก็ปลิดชีพตัวเอง หลังจากนั้นร่างนี้ก็มิใช่ลั่วชิงยวนอีกต่อไป แต่เป็นหม่อมฉัน ลั่วเหลา”“หม่อมฉันเป็นชาวแคว้นหลี”“ดังนั้นความสามารถที่หม่อมฉันมีจึงเป็นสิ่งที่ลั่วชิงยวนไม่มี”“เรื่องน้ำศักดิ์สิทธิ์ของแคว้นหลี หม่อมฉันก็เพิ่งค้นพบตอนที่ไปเผ่านอกด่าน หลังจากที่อาจารย์ค้นพบความลับนี้ ก็พยายามค้นหาวิธีแก้ไขเรื่องน้ำศักดิ์สิทธิ์”“เพราะหากความลับนี้รั่วไหลออกไป จะมีคนมากมายเกิดความโลภ จะทำให้ทั้งใต้หล้าประสบพบความวุ่นวาย เลือดนองแผ่นดิน”“...”ลั่วชิงยวนเล่าความลับทั้งหมดของนางให้เขาฟังโดยมิปิดบังนางรู้สึกว่าคนที่เคยเปิดใจให้กันคงจะมิทรยศกันง่าย ๆตราบใดที่นางจริงใจ มิปิดบังสิ่งใด นางก็จะได้รับการตอบสนองเช่นเดียวกันหลังจากที่นางพูดจบ ฟู่เฉินหวนก็ตกตะลึ
เหตุใดแคว้นหลีจึงส่งกองทัพมากะทันหันฟู่อวิ๋นโจวเอ่ยถาม “ท่านมหาปราชญ์ ท่านเชี่ยวชาญด้านนี้ พอจะทำนายผลลัพธ์ได้หรือไม่?”“ควรจะรับมืออย่างไร”ขุนนางทั้งหลายต่างมองไปที่ลั่วฉิง ลั่วฉิงไม่มีทางเลือก จึงได้แต่กัดฟันกล่าวว่า “เรื่องนี้... ทำนายได้ แต่หม่อมฉันต้องการเวลาเพคะ”ฟู่อวิ๋นโจวมีสีหน้ากังวล และถามว่า “ท่านมหาปราชญ์ต้องการเวลานานเพียงใด?”ลั่วฉิงลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จึงกล่าวว่า “สามวันเพคะ!”สิ้นคำพูดของนาง หลายคนก็แสดงความมิพอใจ“สามวันหรือ? ซีหลิงอยู่ห่างจากเมืองหลวงราวพันลี้ สามวันกว่าจะบอกผลลัพธ์ จะทันการณ์ได้อย่างไร”“ก่อนหน้านี้พระชายาอ๋องผู้สำเร็จราชการก็มิได้ใช้เวลานานถึงเพียงนั้น”“ใช่ ท่านมหาปราชญ์คงจะมิค่อยมีความสามารถมากถึงเพียงนั้นกระมัง”คำพูดนี้ทำให้ลั่วฉิงหน้าซีดเผือด“สองวัน อย่างเร็วที่สุดก็ต้องสองวัน!” ลั่วฉิงกัดฟันกล่าวในตอนนี้ ฟู่เฉินหวนกล่าวอย่างใจเย็น “แคว้นหลีส่งกองทัพมาโดยมิทราบสาเหตุ ข้าคิดว่าตอนนี้ควรส่งคนไปเจรจากับแคว้นหลีโดยด่วน”“ระหว่างนั้นก็ส่งกองกำลังไปเสริมอย่างลับ ๆ ด้วย อย่าได้พึ่งพาแต่ผลการทำนายของท่านมหาปราชญ์”“หากผลลัพธ์ออกมาแล้ว
เมื่อเฉินชีได้ยินดังนั้นก็หยุดชะงักแล้วยกยิ้มมุมปาก เดินมาที่หน้าต่าง พิงกำแพงพลางกอดอก “เจ้าจะให้ข้าช่วยเจ้าในฐานะที่เจ้าเป็นใคร?”ลั่วชิงยวนมองเขาด้วยสายตาเย็นชา “นักบวชระดับสูง”ดวงตาของเฉินชีลุกโชนด้วยประกายร้อนแรง “อาเหลา ในที่สุดเจ้าก็ตัดสินใจจะไปกับข้าแล้วหรือ?”ลั่วชิงยวนมองเขาด้วยสายตาเย็นชาและเย่อหยิ่ง “กลับแคว้นหลีก็ได้ ข้าบอกแล้วว่าให้เจ้าช่วยข้าเรื่องหนึ่ง”“แคว้นหลีจะมีนักบวชระดับสูงได้เพียงผู้เดียวเท่านั้น”เฉินชียกยิ้มมุมปากแล้วหัวเราะอย่างเจ้าเล่ห์ ก่อนจะคุกเข่าลงข้างหนึ่งอย่างนอบน้อม “อย่าว่าแต่เรื่องเดียวเลย สิบเรื่อง ร้อยเรื่อง เฉินชีก็ยินดีทำเพื่อนักบวชระดับสูงทั้งสิ้น!”ลั่วชิงยวนหรี่ตามองเขาด้วยแววตาที่ลึกล้ำถึงแม้เฉินชีจะบ้าแต่ก็มิใช้คนโง่เขลา เขาทำอะไรตามอำเภอใจแต่ก็คงมิยอมสยบต่อนางง่าย ๆ เช่นนี้การเปลี่ยนท่าทีเช่นนี้ทำให้นางมิค่อยเชื่อถือ“เจ้าฟังเรื่องที่ข้าจะให้เจ้าทำก่อนค่อยตอบรับก็ยังมิสาย”เฉินชีลุกขึ้นมองนางด้วยแววตาเป็นประกาย “ท่านนักบวชต้องการให้ข้าทำสิ่งใด?”“ข้าต้องการให้เจ้ายกทัพไปตีซีหลิง”“แต่ห้ามสู้รบกันจริง ๆ ห้ามทำร้ายราษฎร”เฉ
ใจของลั่วชิงยวนร้อนรุ่มดั่งไฟสุม นางพยายามดิ้นรนสุดแรง “ปล่อยข้านะ!”“ฟู่เฉินหวน ท่านช่างไร้หัวใจอะไรเยี่ยงนี้!”ทว่าฟู่เฉินหวนยังคงมีสีหน้าเรียบเฉย มิสะทกสะท้านแม้แต่น้อยเมื่อเห็นแม่นมเติ้งใกล้จะทนมิไหวแล้ว น้ำตาลั่วชิงยวนก็เอ่อคลอ“หม่อมฉันจะมิออกจากเรือนแล้ว หม่อมฉันจะมิออกจากห้องแล้ว ได้หรือไม่!”นางมองฟู่เฉินหวนด้วยดวงตาแดงก่ำ พยายามวิงวอนขอร้องในที่สุดนางก็ยอมก้มหน้าลง“ขอท่านไว้ชีวิตนางด้วยเถิดเพคะ!” ลั่วชิงยวนคุกเข่าลงอย่างอ่อนแรงแววตาฟู่เฉินหวนมืดมนเดิมทีลั่วชิงยวนคิดว่าเมื่อนางขอร้องแล้ว ฟู่เฉินหวนคงจะไว้ชีวิตแม่นมเติ้งแต่ฟู่เฉินหวนกลับมีแววตาเย็นชา “นางเป็นบ่าวของตำหนัก มิใช่บ่าวของเจ้า นางขัดคำสั่งข้า สำหรับข้าแล้ว ไม่มีคำว่ายกโทษ”น้ำเสียงเย็นเยียบของเขาเป็นดั่งหนามแหลมทิ่มแทงหัวใจของลั่วชิงยวนลั่วชิงยวนตกตะลึงนางโกรธจนตะโกนลั่น “ฟู่เฉินหวน!”ฟู่เฉินหวนขมวดคิ้ว นัยน์ตาฉายแววหงุดหงิดขณะกล่าวเสียงเย็น “พาตัวนางไป”องครักษ์จับตัวลั่วชิงยวนแล้วลากออกไปฟู่เฉินหวนมองนางเป็นครั้งสุดท้ายด้วยสายตาเย็นชา “หากเจ้ายังท้าทายข้าอีก จะต้องมีคนตายมา่กกว่านี้แน่”แ
ครั้นลั่วชิงยวนถูกพากลับมายังเรือนพวกองครักษ์ก็ปล่อยตัวนาง นางจึงทรุดกายลงคุกเข่ากับพื้นด้วยความอ่อนล้า“พระชายา! พระชายา!”จือเฉารีบรุดเข้ามาประคอง แต่พลั้งมือไปโดนแขนนางเข้า จึงสะดุ้งโหยงรีบชักมือกลับ “พระชายา แขนของท่าน...”ลั่วชิงยวนยันกายลุกขึ้นโดยอาศัยจือเฉาพยุงเดินเข้าห้องไปอย่างเชื่องช้าเมื่อนั่งลงบนเก้าอี้ นางก็จับแขนข้างที่หักนั้นไว้พลางกัดฟันแน่นก่อนจะออกแรงดันกระดูกให้เข้าที่ความเจ็บปวดแล่นริ้วราวกับจะขาดใจ น้ำตาของนางแทบไหลรินจือเฉากลั้นน้ำตาไว้มิอยู่ “พระชายา... เหตุใดท่านอ๋องจึงโหดเหี้ยมเช่นนี้ ลงพระหัตถ์หนักหนาเกินไปแล้ว...”ทันใดนั้นลั่วชิงยวนก็รู้สึกเจ็บแปลบที่อกพลันไอออกมามิหยุด จือเฉารีบยื่นผ้าเช็ดหน้าให้ เมื่อไอเสร็จ ลั่วชิงยวนก็พบว่าผ้าเช็ดหน้าเต็มไปด้วยเลือด...จือเฉาตกใจมาก “บ่าวจะไปตามซูโหยวให้ไปเชิญหมอหลวงมาเจ้าค่ะ”แต่ลั่วชิงยวนกลับบอกว่า “มิต้อง อย่าทำให้เขาเดือดร้อนเลย”หากฟู่เฉินหวนรู้ว่าซูโหยวช่วยนางคงจะโกรธมากเป็นแน่“แล้วแผลของพระชายาเล่าเจ้าคะ?”ลั่วชิงยวนรินน้ำชา “ยังมีสมุนไพรเหลืออยู่มิใช่หรือ แค่นั้นก็เพียงพอแล้ว”จากนั้นนางก็หยิบส
ในชั่วพริบตา ลั่วชิงยวนก็รู้สึกเจ็บแปลบที่หลังเพราะถูกกดลงบนกำแพงเท้าของนางลอยขึ้นจากพื้นความรู้สึกหายใจมิออกทำให้นางดิ้นรนสุดกำลัง“ใครอนุญาตให้เจ้าเข้ามา! ใครอนุญาตให้เจ้าแตะต้องของของข้า!”ลั่วชิงยวนพยายามพูด “ฟู่เฉินหวน...”นางหายใจมิออกแล้วนัยน์ตาของฟู่เฉินหวนฉายแววเย็นชาขณะจับนางเหวี่ยงออกไปร่างลั่วชิงยวนตกกระแทกพื้นเสียงดังสนั่นกลิ้งไปหลายตลบแล้วกระอักเลือดออกมาอวัยวะภายในสั่นสะเทือน ปวดร้าวไปทั่วร่าง“ฟู่เฉินหวน ลั่วฉิงกับไทเฮาร่วมมือกัน สิ่งที่ไทเฮาให้ท่านอาจถูกลั่วฉิงปลอมแปลง จดหมายนั้นอาจเป็นของปลอมก็ได้!”ลั่วชิงยวนรีบอธิบายความคิดของตนเองฟู่เฉินหวนเดินเข้ามาด้วยความโกรธ เขาจับนางขึ้นมาแล้วมองนางด้วยสายตาเหี้ยมโหด “ถึงตอนนี้แล้วยังจะมาหลอกลวงข้าอีกรึ?”“ลายมือท่านแม่ของข้า ข้าจะจำมิได้เชียวหรือ!”พูดจบ ลั่วชิงยวนก็ถูกเหวี่ยงออกจากห้องร่างกระแทกพื้นหิมะแขนข้างหนึ่งถูกทับจนเกิดเสียงดังกร๊อบแขนหลุดจากข้อต่อแล้ว“โอ๊ย...” ลั่วชิงยวนร้องเสียงหลง หน้าซีดเผือดด้วยความเจ็บปวด เหงื่อเย็นผุดขึ้นเต็มไปหน้านางใช้มือข้างเดียวพยุงตัว พยายามลุกขึ้นอย่างยากล
ลั่วฉิงใช้เข็มทิศอาณัติสวรรค์มิเป็นด้วยฐานะของนาง เป็นไปมิได้ที่จะใช้มิเป็นลั่วชิงยวนเบิกตากว้างลั่วฉิงมิได้ใช้มิเป็น แต่ใช้มิได้ต่างหาก!นางพกเข็มทิศนี้ติดตัวมาตั้งแต่เด็ก อาจารย์บอกว่าเป็นของที่ตกทอดมาจากบรรพบุรุษของนางหลังจากที่นางตายแล้วเกิดใหม่เข็มทิศนี้ก็ยังคงติดตัวนางมา ย่อมมิใช่ของธรรมดาสามัญแน่นอนดังนั้น เข็มทิศนี้อาจจะยอมรับนางเป็นเจ้าของแล้ว คนอื่นจึงใช้มิได้เมื่อคิดได้ดังนั้น ลั่วชิงยวนก็รู้สึกโล่งใจขึ้นมาบ้างลั่วฉิงได้เข็มทิศไปก็ไร้ประโยชน์ฟู่เฉินหวนถาม “หากไม่มีเข็มทิศนี้ เจ้าก็ทำนายอะไรมิได้เลยหรือ?”ลั่วฉิงยกยิ้ม “แน่นอนว่ามิใช่เช่นนั้น”“เช่นนั้นก็มิเห็นเป็นอะไร เจ้าแค่ทำนายสิ่งที่เจ้าทำนายได้ แล้วก็จะค่อย ๆ ได้รับความไว้วางใจเอง”ฟู่เฉินหวนมีสีหน้าเคร่งขรึม ขณะกล่าวเสียงเย็น “ข้าทะเลาะกับนางไปแล้ว หากจะหลอกลวงนางอีกก็ต้องแสร้งทำดีด้วย”“ข้ามิอยากทำเรื่องน่ารังเกียจเช่นนั้น”หัวใจของลั่วชิงยวนพลันเจ็บแปลบเขาบอกว่าการทำดีกับนางเป็นเรื่องน่ารังเกียจ...ลั่วชิงยวนรู้สึกเจ็บปวด นางกำเสื้อแน่น มิกล้าส่งเสียงแล้วค่อย ๆ เดินจากไปคำพูดเหล่านั้นดังก้อ
ลั่วชิงยวนที่ถูกขังไว้สองวันเริ่มรู้สึกอึดอัดราวกับถูกจองจำในคุกหิมะตกหนักติดต่อกันหลายวันยิ่งทำให้นางรู้สึกหดหู่เมื่อหิมะเริ่มเบาบางลงนางจึงออกมานั่งที่เก้าอี้ในเรือนสัมผัสกับความเย็นยะเยือกที่โปรยปรายลงบนใบหน้า“พระชายา ระวังจะเป็นหวัดนะเจ้าคะ”จือเฉานำกาน้ำชาอุ่นมาวางไว้บนโต๊ะข้าง ๆ แล้วรินใส่ถ้วยให้นางไอร้อนจากน้ำชาช่วยเพิ่มความอบอุ่นในวันหิมะตกอันหนาวเหน็บจือเฉานั่งอยู่ข้าง ๆ เหม่อมองท้องฟ้าด้วยความกังวล “พระชายา เหตุใดท่านอ๋องจึงใจร้ายกับท่านเช่นนี้เจ้าคะ”“ก่อนหน้านี้เป็นเพราะมีลั่วเยวี่ยอิงที่คอยยุแยง บัดนี้ลั่วเยวี่ยอิงก็ตายไปแล้ว เหตุใดท่านอ๋องจึงยังเป็นเช่นนี้ ระหว่างท่านอ๋องกับพระชายามีเรื่องเข้าใจผิดกันหรือเจ้าคะ?”ลั่วชิงยวนก็มิอาจเข้าใจได้เริ่มเปลี่ยนไปตั้งแต่เมื่อใดกันตั้งแต่ที่นางถูกเฉินชีจับตัวไปบนเขาหรือไม่สิ น่าจะเริ่มตั้งแต่เรื่องของฟู่จิ่งหานตอนที่ฟู่เฉินหวนตัดสินใจจัดการกับฟู่อวิ๋นโจว เขาเข้าวังไปหลายวันแล้วเมื่อกลับมาก็หย่ากับนางแต่เกิดเรื่องอะไรขึ้นในวัง แม้แต่จักรพรรดิสูงสุดก็มิยอมบอกนางหรือบางทีอาจจะมิรู้เหมือนกันวันนี้แม่นมเติ้งเป