หลังจากลั่วชิงยวนพูดจบ นางก็หันหลังเดินกลับเข้าไปในร้านแล้วปิดประตูลงกลอน ฟู่เฉินหวนตะลึงงันอยู่ท่ามกลางสายลมหนาว ฉู่ลั่วผู้นี้รนหาที่ตายใช่หรือไม่? กล้าดีอย่างไรถึงทำเช่นนี้กับตน? ! ฟู่เฉินหวนก้มหน้ามองเสื้อผ้าที่เปรอะเปื้อน แววตาก็ยิ่งอึมครึมมากขึ้นเรื่อย ๆ จากนั้นเขาก็เหลือบมองมาที่ร้านด้วยสายตาเย็นชาแล้วข่มกลั้นโทสะพร้อมเดินจากไป ไร้เหตุผล! ไม่เข้าใจเลย! ฟู่เฉินหวนกลับตำหนักไปด้วยท่าทีฉุนขาด ครั้นซูโหยวเดินมาที่เรือนหน้าก็เห็นท่านอ๋องมีสีหน้าหม่นคล้ำ เขาจึงรีบเดินเข้าไปหาพลางกล่าวว่า "ท่านอ๋อง เกิดอะไรขึ้นหรือพ่ะย่ะค่ะ? ไฉนเสื้อผ้าของท่านถึงเลอะเทอะเปรอะเปื้อนเช่นนั้นได้?" ฟู่เฉินหวนไม่ตอบ ในยามนี้เอง ลั่วเยวี่ยอิงก็เดินยิ้มเข้ามาหา "ท่านอ๋อง พักนี้หม่อมฉันไม่เห็นท่านเลยคิดว่าท่านอ๋องมัวแต่ยุ่งกับงานราชการ ดังนั้นข้าจึงทำขนมมาให้ท่านอ๋อง ท่านอ๋องอยากจะมานั่งเล่นที่เรือนของข้าหรือไม่เพคะ?" ฟู่เฉินหวนเพียงแค่เหลือบมองลั่วเยวี่ยอิง ก็เกือบอดใจที่จะตอบตกลงมิได้ แต่เขากลับหยิกฝ่ามืออย่างแรง จากนั้นก็เบือนหน้าหนีแล้วรีบเดินจากไป ลั่วเยวี่ยอิงรู้สึกตื่นตกใจแล้วรีบก
ข้างนอกมีผู้ชมดูเหตุการณ์กลุ่มหนึ่งกำลังชี้มือชี้ไม้แล้วพูดคุยกันอย่างออกรส สายตาแปลกพิกลเหล่านั้นประดุจดั่งมีดคมกริบ ลั่วชิงยวนมองไปยังทิศทางที่พวกเขาชี้นิ้วไปด้วยความสงสัย จากนั้นก็เห็นธงสองผืนที่กำลังโบกสะบัดท่ามกลางสายลม บนนั้นเขียนเอาไว้ว่า: นักต้มตุ๋นแห่งยุทธภพ หลอกเอาเงินทองและทำลายชีวิตคน ธงผืนใหญ่กำลังโบกสะบัดท่ามกลางสายลมหนาว อักษรทั้งแปดตัวเป็นที่โดดเด่นสะดุดตาเป็นพิเศษ จนสามารถมองเห็นได้ชัดจากถนนสองสามสายที่ห่างไกลออกไป! "พวกเราเคยได้ยินว่าท่านเซียนฉู่ผู้นี้ทำนายดวงชะตาแม่นด้วยหรือ?" "ข้าได้ยินมาว่าเขาจ้างคนมาทำทีเป็นลูกค้า มิฉะนั้นก็คงหามีผู้ใดมาให้เขาทำนายดวงชะตามากมายถึงเพียงนั้นหรอก" "ข้าเคยบอกไปแล้วหนา จะมีเทพพยากรณ์อายุน้อยขนาดนั้นได้อย่างไรกัน? มันเป็นพวกต้มตุ๋นชัด ๆ เลย!" "จริงด้วย! ข้าได้ยินว่ามีคนในครอบครัวของลูกค้าตายด้วยล่ะ มิหนำซ้ำยังแจ้งให้ทางการทราบเรื่องนี้อีกต่างหาก" เมื่อลั่วชิงยวนได้ยินความคิดเห็นเหล่านี้ นางก็ขมวดคิ้วแน่นขึ้นเรื่อย ๆ นางไม่คิดเลยว่าลั่วอวิ๋นสี่จะใช้วิธีน่ารังเกียจเช่นนั้น! เมื่อก่อนนางแค่เรียกได้ว่าหยิ่งยโสโอหัง ถ
“คนใช้ในจวนระแวงข้ายิ่งเสียกว่าโจร หลาย ๆ ครั้งที่ข้าเกือบได้เห็นฮูหยินลั่ว คนใช้เหล่านั้นกลับลากข้าออกไปเสียก่อน!” “เพียงแต่ จากที่ซุ่มมองมาหลายวัน ข้าค้นพบเรื่องหนึ่ง!” ลั่วชิงยวนถามอย่างสงสัย “เรื่องใดกัน?” ซ่งเชียนฉู่ดื่มชาร้อน เท้าแขนพร้อมยื่นหน้าเข้าใกล้ นางกล่าว “ฮูหลินลั่ว ราวกับกำลังมองหาสามีให้คุณหนูตระกูลลั่ว มีสตรีแต่งกายคล้ายแม่สื่อ ถือภาพวาดเต็มตะกร้าเดินเข้าจวน!” “และข้าได้ยินเต็ม ๆ สองหูว่านั่นคือภาพวาดคุณชายตระกูลสูงส่ง” ซ่งเชียนฉู่ถามด้วยความใคร่รู้ “เพราะฮูหยินเลือกสามีให้กับลั่วอวิ๋นสี่หรือไม่ จึงทำให้นางบังคับให้เจ้าแก้ไขพรหมลิขิตโดยเร่งด่วนเพียงนั้นหนา?” “แต่เพียงคำพูดไม่กี่ประโยคของท่าน จักสามารถทำให้แม่ของลั่วอวิ๋นสี่เปลี่ยนความคิดเช่นนั้นหรือ?” ลั่วชิงยวนขมวดคิ้วไตร่ตรองพักหนึ่ง ก็จริง ต่อให้นางพูดว่าเหมาะสมกัน ท่านอาลั่วหรงก็ไม่มีทางให้ลั่วอวิ๋นสี่คบกับสวีซงหย่วนอยู่ดี ลั่วอวิ๋นสี่เพียงแค่อยากได้สิ่งนี้ มาเป็นข้ออ้างของตนในการต่อต้านท่านอาลั่วหรงก็เท่านั้น “คงมิได้มาดูตัวให้ลั่วอวิ๋นสี่ ด้วยนิสัยของนาง นางอาจเลือกหนีไปพร้อมสวีซงหย่วนแล้ว”
ผู้คุ้มกันกองใหญ่ที่เดินเข้ามา ทำอันธพาลเหล่านั้นตื่นกลัว ฮูหยินที่แต่งตัวสูงส่งท่านหนึ่งค่อย ๆ เดินเข้ามา มองไปที่เหล่าอันธพาลเย็น ๆ และติดุ “ยังมิไสหัวไปอีก! มิเช่นนั้นก็ไปที่ทางการกับข้า!” อันธพาลเหล่านั้นได้ยินก็กลัวจนรีบหนีไปทันที กองทัพเช่นนี้ ใครจะกล้าหาเรื่องกัน ผู้คุ้มกันสี่สิบสามสิบคนเต็ม ๆ ! แค่มองก็รู้ว่านางฐานะมิธรรมดา “เจ้าหรือคือเซียนฉู่? ได้ยินมานานว่าเจ้าเป็นหนุ่มวัยละอ่อน มิคิดว่าหน้าตาเจ้าจะงดงามราวกับเทพบนสวรรค์เช่นนี้” หรงอี้เฉี่ยนประเมินลั่วชิงยวนอย่างสนใจ “ท่านฮูหยินแม่ทัพกล่าวชมกันเกินไปแล้ว!” ลั่วชิงยวนตอบมารยาท ได้ยินดังนี้ รอยยิ้มของหรงอี้เฉี่ยนชะงักเล็กน้อย “เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าข้าคือฮูหยินแม่ทัพ?” “ผู้คุ้มกันที่ท่านฮูหยินนำมาต่างแขวนป้ายสัญลักษณ์เว่ยไว้บนเอว หนำซ้ำฝีมือมิธรรมดา ย่ำเท้าพร้อมเพรียง เห็นได้ชัดว่าผ่านการฝึกฝนที่เข้มงวดมา” “ทั้งเมืองหลวง ฮูหยินแม่ทัพที่หน้าสละสลวยเช่นนี้ ข้ารู้เพียงตระกูลแม่ทัพเว่ย” เมื่อลั่วชิงยวนพูดถึงประโยคสุดท้าย หลงอี้เฉี่ยนลูบปอยผมด้วยรอยยิ้ม รู้สึกชอบใจยิ่ง “ท่านเซียนช่างมีวาทศิลป์เสียจริง ข้าคิดว่
หรงอี้เฉี่ยนยิ้มแป้นขึ้นมาในทันที “มีประโยคนี้ของเจ้าข้าก็วางใจแล้ว ข้าจักไปร้านทองเดี๋ยวนี้แล! หากได้ผลจริง ข้าจักกลับมาขอบคุณเจ้าเป็นอย่างดี!” สิ้นเสียง นางจึงยกชายกระโปรงไปซื้อเครื่องประดับทองอย่างรีบร้อน มองดูหรงอี้เฉี่ยนที่พาผู้คุ้มกันจากไป และยังมิลืมไล่เหล่าชาวบ้านที่มามุงดูเรื่องสนุก ลั่วชิงยวนคิดอย่างอดมิได้ แม่ทัพเว่ยแต่งงานกับสตรีผู้นี้ ช่างมีบุญเสียจริง หากชะตาของแม่ทัพเว่ยสมพงษ์กับชะตาของหรงอี้เฉี่ยนล่ะก็ พวกเขาจะราวกับปลาได้น้ำที่รุ่งโรจน์มากขึ้นเรื่อย ๆ …… ผ่านมาหลายวัน ด้านนอกยังคงปลิวว่อนไปด้วยข่าวลือไม่น่าฟัง ธงนอกร้านถูกดึงลงมาเผา และถูกแขวนใหม่ขึ้นไปในวันถัดมาตลอด ลั่วชิงยวนมิได้เปิดร้านค้าขายมาหลายวัน ส่วนฟู่เฉินหวนเองก็มิได้มาหานาง ชีวิตนางค่อนข้างเงียบสบาย ลั่วชิงยวนเองก็ไม่รีบร้อน กลับเป็นซ่งเชียนฉู่เสียมากกว่าที่กังวลอยู่ทุกวันวี่ จนมาถึงวันที่สี่ ในที่สุด เรื่องราวก็มีจุดพลิกผัน หรงอี้เฉี่ยนมาแล้ว รอบนี้นางเพิ่มผู้คุ้มกันถึงห้าสิบนาย กองทัพยิ่งใหญ่ปรากฏในตรอกฉางเล่อ ดึงดูดความสนใจจากผู้คนมากมาย ระหว่างทางมีคนไม่น้อยมองมาเช่นกัน “ฮู
“จับมันเสีย!” หรงอี้เฉี่ยนส่งคำสั่งอย่างเยือกเย็น ผู้คุ้มกันจับตัวชายหนุ่มผู้นั้นในทันที “จับข้าทำไม! พวกเจ้าควรจับไอ้หลอกลวงนั่น!” ชายหนุ่มขัดขืนขึ้นมาอย่างลนลาน “จับไปส่งที่ทางการ!” หรงอี้เฉี่ยนพูดเสียงเย็น ชายหนุ่มถูกนำตัวไปในทันที ดูจากท่าทีบัดนี้ของหรงอี้เฉี่ยน สมกับเป็นฮูหยินแม่ทัพจริง ๆ “ท่านฮูหยิน” ลั่วชิงยวนขึ้นหน้าโค้งคำนับ หรงอี้เฉี่ยนเผยยิ้มในทันที นางโบกมือ ผู้คุ้มกันสองท่านยกถาดใบหนึ่งเดินขึ้นหน้า อี้หรงเฉี่ยนเปิดผ้าแดงออก แสงเงินระยิบระยับปรากฏสว่างจนแสบตา “นี่คือเงินห้าร้อยตำลึง วันนี้ข้ามาเพื่อขอบคุณท่านเซียนฉู่” “ต่อจากนี้เจ้าเป็นเพื่อนของข้า!” หรงอี้เฉี่ยนพบเรื่องดีจึงอารมณ์ดีเป็นพิเศษ นับแต่ที่นางใส่เครื่องประดับทอง ครั้นเล่นไพ่กับสองพี่น้องตระกูลจางนางก็ชนะเสมอ! แน่นอนว่านางมิได้อยากชนะเพราะหวังเงิน นางเพียงแค่อยากเอาคืน วันนี้สองพี่น้องนั่น อ้างป่วยและไม่มาเล่นไพ่กับนาง ในใจนางรู้สึกสะใจสุด ๆ! “ท่านฮูหยินให้มากไปแล้ว เรื่องเล็กเพียงนี้ มิต้องการเงินมากเช่นนี้” ลั่วชิงยวนกล่าวเกรงใจ “เจ้ารับไว้เถิด สำหรับเจ้าเป็นเรื่องเล็ก แต่สำหรับข้าม
“โบราณว่าไฟในอย่านำออก แต่วันนี้ข้าจักอับอายขายหน้าไปพร้อมกับเจ้า เพื่อให้เจ้ารู้จักจดจำเสียบ้าง!” ลั่วหรงติว่าอย่างโมโห และลากลั่วอวิ๋นสี่มาถึงที่หน้าประตูใหญ่ ลั่วอวิ๋นสี่เจ็บจนจับแขนเสื้อลั่วหรงไว้แน่น “ท่านแม่ ผู้คนที่นี่มากมายเช่นนี้! กลับไปคุยกันที่จวนได้หรือไม่?” ลั่วหรงติอย่างจริงจัง “ความผิดที่เจ้ากระทำ เจ้าต้องแบกรับเอง! มิใช่เรื่องทุกอย่างที่จะเก็บมาแก้ไขในบ้านได้ หากมิมีจวนมหาราชครู เจ้าคงถูกตีตายไปนานแล้ว!” เมื่อลั่วชิงยวนเห็นฉากตรงหน้านางเองก็ตกใจเช่นกัน มิคิดว่าท่านอาลั่วหรงจะลากลั่วอวิ๋นสี่บุกมาที่หน้าประตูจวนนางเลย เมื่อเห็นนาง ลั่วหรงสูดหายใจเข้าลึก สงบอารมณ์ตนเอง และเดินเข้ามาหานาง “บุตรของข้าบุ่มบ่ามเสียมารยาท เพราะคนเป็นแม่อย่างข้ามิได้สั่งสอนนางดี ๆ เอง วันนี้ข้าจึงมาเพื่อขออภัยและชดใช้ท่าน!” ลั่วหรงพูดไป พร้อมโค้งคำนับไป ลั่วชิงยวนรีบพยุงนางไว้ “ท่านคือฮูหยินลั่วหรือ? แท้จริงแล้วมิจำเป็นต้องทำให้เรื่องใหญ่เช่นนี้” เพียงแค่ให้ฮูหยินลั่วติเตียนลั่วอวิ๋นสี่ มิให้ปล่อยข่าวที่ทำชื่อเสียงนางเสื่อมเสียอีกเป็นพอ แต่มิคิดว่า สีหน้าของท่านอาลั่วหรงกลับ
แต่แล้วลั่วอวิ๋นสี่ยังไม่ทันลุกขึ้นมาดี ก็ถูกลั่วหรงกดให้คุกเข่าลงไปบนพื้นอย่างแรงอีกครั้ง ไอสังหารที่เต็มเปี่ยมเมื่อครู่ สลายจนสิ้นในพริบตา “ขอโทษ!” ลั่วหรงดุอย่างจริงจังเป็นอย่างมาก ลั่วอวิ๋นสี่รู้สึกอัปยศเป็นที่สุด ภายใต้การมุงดูของชาวบ้านมากมายเช่นนี้ นางกลับต้องคุกเข่าขอโทษหมอดูคนหนึ่ง หลังจากวันนี้ นางจะยืนหยัดในเมืองหลวงได้เช่นไรเล่า! แต่นางกลับทำได้เพียงข่มความอัปยศไว้ น้ำตาแห่งความอึดอัดเอ่อล้นออกมา นางกล่าว “ข้าผิดไปแล้ว ข้าขอโทษ!” ได้ยินลั่วอวิ๋นสี่ขอโทษ ลั่วหรงจึงยอมปล่อยนางไป “หวังว่าเรื่องในวันนี้จักทำให้เจ้าจดจำบ้าง ก่อนจะกระทำเรื่องใด คิดเผื่อผู้อื่นเสียก่อน!” “หากเจ้ายังทำดังเคย ทำจวนมหาราชครูและท่านปู่เจ้าขายหน้าด้านนอกอีก เช่นนั้นตระกูลลั่วของเราจักมิเหลือที่สำหรับเจ้า!” คำขู่นี้ของลั่วหรง ทำลั่วอวิ๋นสี่โกรธจนหัวใจสั่นคลอน นางเงยหน้าขึ้นอย่างตกตะลึง ท่านแม่จะตัดความสัมพันธ์กับนางงั้นหรือ? “ท่านแม่… ข้าทำผิดก็จริง แต่มิถึงขั้นนี้เสียหน่อย” นางรู้ว่านางมิควรใช้วิธีนี้ในการจัดการฉู่ลั่ว แต่ฉู่ลั่วเป็นคนหลอกนางก่อนนี่ พูดจบลั่วอวิ๋นสี่ก็ลุกขึ้น จ้องจิ
“ทว่าหากฝ่าบาทมีสิ่งใดที่กระหม่อมสามารถช่วยได้ ฉู่ลั่วจะมิปฏิเสธพ่ะย่ะค่ะ!”“ส่วนรายละเอียดเราค่อยพูดคุยกันภายหลัง”ฟู่จิ่งหานพยักหน้า แต่ก็พูดว่า “ท่านมิต้องการเป็นมหาปราชญ์ แต่ตำแหน่งนี้ ข้ายังคงสงวนไว้ให้เป็นของท่านเสมอ! นอกจากท่านก็ไม่มีใครเหมาะสมอีกแล้ว!”ลั่วชิงยวนมิได้เอ่ยคำใดอีกผู้คนต่างก็แยกย้ายกันไปลั่วชิงยวนถูกจักรพรรดิเรียกไปยังห้องตำราจักรพรรดิถามด้วยความร้อนรน “ท่านเซียนฉู่ ภัยพิบัติที่ท่านกล่าวว่าจะเริ่มเกิดขึ้นทางทิศใต้คือ... เมืองฉินใช่หรือไม่?”ลั่วชิงยวนพยักหน้า “น่าจะเป็นเมืองฉินพ่ะย่ะค่ะ”เรื่องนี้นางได้บอกฟู่เฉินหวนแล้วเมื่อฟู่เฉินหวนที่เพิ่งเข้ามาในห้องตำราได้ยินดังนั้นก็ตกตะลึงเล็กน้อยลั่วชิงยวนก็บอกเขาเรื่องเมืองฉินเช่นกันทั้งสองทำนายว่าทางทิศใต้จะเกิดภัยพิบัติเหมือนกัน...นี่เป็นเรื่องบังเอิญหรือไม่?“ดูเหมือนว่าตระกูลเหยียนจะยังมิยอมแพ้! ท่านเซียนฉู่ ภัยพิบัติครั้งนี้สามารถหลีกเลี่ยงได้หรือไม่?”ลั่วชิงยวนส่ายหน้า “ดูเหมือนว่าจะหลีกเลี่ยงมิได้พ่ะย่ะค่ะ”นี่เป็นครั้งที่สองที่นางทำนายเห็นได้ชัดว่ามีการส่งมือสังหารไปสังหารมหาราชาจารย์เหยีย
“คิดว่าคงเป็นเพราะท่านอาจารย์นักพรตเพิ่งมาถึงเมืองหลวง ยังมิได้มีโอกาสสืบเสาะหาชื่อเสียงของข้าในเมืองหลวง หากข้าเป็นเพียงผู้หลอกลวงต้มตุ๋น คงมีผู้คนตำหนิติเตียนข้าไปนานแล้ว”เมื่ออาจารย์นักพรตเสวียนซานได้ฟังดังนั้นก็ขมวดคิ้วดูเหมือนว่าเขาจะเข้าใจผิดเสียแล้วเมื่อมองดูฉู่ลั่วที่วางตัวอย่างสง่าผ่าเผยและแสดงท่าทีมั่นใจเช่นนี้ ก็รู้ว่าย่อมมีฝีมือที่แท้จริง มิใช่เพียงคนหลอกลวงพูดจาโอ้อวดครู่หนึ่งก็รู้สึกเสียใจที่มิได้สืบเสาะหาชื่อเสียงของฉู่ลั่วเสียก่อน“ที่แท้ข้าเข้าใจผิดไป ขออภัยต่อท่านเซียนฉู่ด้วย”“แต่ข้าเห็นว่าท่านเซียนฉู่มีฝีมือที่แท้จริง มิทราบว่าเรียนวิชาจากสำนักใด? เหตุใดจึงต้องใช้ชื่อของศิษย์เสวียนซานด้วยหรือ?”ลั่วชิงยวนยกยิ้มจาง แล้วกล่าวว่า “ไร้สำนักไร้พรรค”อาจารย์นักพรตเสวียนซานขมวดคิ้วแน่นด้วยความตกตะลึง แล้วกล่าวอย่างเสียดายว่า “ไร้สำนักไร้พรรค นั่นหมายความว่าเรียนวิชาลับใช่หรือไม่? ท่านเซียนฉู่ควรเข้ามาเป็นศิษย์ในสำนักเสวียนซาน วันนี้ได้พบกันโดยบังเอิญ ข้าปรารถนาจะรับท่านเป็นศิษย์เอก!”ผู้คนโดยรอบต่างตกตะลึง เมื่อครู่ยังหาเรื่อง บัดนี้กลับจะรับฉู่ลั่วเป็นศิษย์แล
ทุกคนต่างพากันเหลียวมองไปตามเสียงแล้วเห็นนักพรตผู้สง่างามก้าวเดินเข้ามาอย่างช้าๆรัศมีอันบริสุทธิ์ปราศจากมลทินของโลกมนุษย์แผ่พลังอำนาจอันน่าเกรงขามลั่วชิงยวนตกตะลึงเล็กน้อย เมื่อเห็นเครื่องหมายบนคอเสื้อของนักพรตแล้วพูดขึ้นว่า “อาจารย์นักพรตเสวียนซาน”เครื่องหมายบนเสื้อผ้าของศิษย์แต่ละระดับของสำนักเสวียนซานจะมีสีแตกต่างกันเครื่องหมายบนคอเสื้อของคนผู้นี้เป็นสีทอง มีเพียงอาจารย์นักพรตเสวียนซานเท่านั้นที่มีสิทธิ์สวมใส่สำนักเสวียนซานที่มีระดับสูงกว่าสีม่วง ล้วนเป็นผู้ทรงคุณวุฒิ มิค่อยลงจากเขาใครกันที่สามารถเชิญอาจารย์นักพรตเสวียนซานมาที่นี่ได้อาจารย์นักพรตเสวียนซานฮึดฮัด “เจ้ารู้จักข้าบ้างก็ถือว่ายังดี!”“เจ้าดูมิเหมือนคนร้ายกาจ เหตุใดจึงแอบอ้างเป็นศิษย์ของสำนักข้า มาหลอกลวงในวังหลวงแคว้นเทียนเชวีย!”เมื่อได้ยินดังนั้น ลั่วชิงยวนก็เข้าใจทันทีนี่เป็นฝีมือของลั่วฉิงเหล่าขุนนางและข้าราชบริพารต่างตกตะลึง“หลอกลวงหรือ? คงมิใช่กระมัง?”“ความสามารถในการทำนายของท่านเซียนฉู่คงมิใช่ของปลอมกระมัง?”ผู้คนต่างเกิดความสงสัยจักรพรรดิกล่าวว่า “ท่านนักพรต ท่านพูดเช่นนั้นได้อย่างไร!”
ดีงูที่ทำให้ฝีมือของนางเพิ่มพูนขึ้นอย่างมากนั้น นางยังคงจำได้มิลืมเลือนน่าเสียดายที่ข้างกายซ่งเชียนฉู่มีคนผู้ทรงอานุภาพคอยคุ้มครอง นางจึงพยายามด้วยวิธีการต่างๆ แต่ก็ยังล้มเหลวการใช้ความสัมพันธ์ระหว่างฉู่ลั่วกับซ่งเชียนฉู่อาจจะประสบความสำเร็จ แต่ฉู่ลั่วกลับดื้อดึงมิยอมร่วมมือกับนาง!เมื่อมิสามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้ก็จำต้องทำลายเขาเสีย!ลั่วชิงยวนกลับไปยังลานหลังร้านซ่งเชียนฉู่ถามด้วยความสงสัยว่า “ท่านมิได้ไปแล้วหรอกหรือ? เหตุใดจึงกลับมาอีก?”ลั่วชิงยวนทำท่าให้เงียบแล้วพาส่งเฉียนฉู่กลับไปยังห้อง จากนั้นบอกเล่าเรื่องราวให้ฟังเมื่อซ่งเชียนฉู่ฟังจบก็รีบกล่าวว่า “ดูเหมือนว่านางผู้นี้จะมิปล่อยท่านไป หรือว่าท่านจะเข้าวังไปดำรงตำแหน่งมหาปราชญ์ เมื่อมีตำแหน่งนี้แล้ว นางก็จะต้องเกรงใจบ้าง”ลั่วชิงยวนไตร่ตรอง แล้วพูดว่า “มหาปราชญ์ อืม... ค่อยว่ากันอีกที”จนกระทั่งล่วงเข้ายามดึก เมื่อแน่ใจแล้วว่าลั่วฉิงจากไปแล้ว ลั่วชิงยวนจึงกลับตำหนักอ๋องอย่างเงียบเชียบเมื่อกลับแล้วก็ถูกหล่างมู่ขวางทาง “พี่หญิง ท่านไปที่ใดมาขอรับ? ฟู่เฉินหวนมาหาท่านตอนค่ำ”“แล้วเจ้าบอกเขาว่าอย่างไร?”“ข้าบอกว่าพ
ลั่วชิงยวนขมวดคิ้วมองหล่างมู่อย่างช่วยมิได้“หล่างมู่ เจ้ากลับไปก่อนเถิด ข้าจะไปทำธุระก่อน” ลั่วชิงยวนหันหลังวิ่งไปหล่างมู่ถือลูกถังหูลู่สองไม้วิ่งตามไปสองสามก้าว “พี่หญิง ท่านจะไปที่ใด? ไฉนมิพาข้าไปด้วยเล่า?”ลั่วชิงยวนมิได้ใส่ใจ รีบวิ่งออกจากถนนไปแล้วเมื่อไปเปลี่ยนอาภรณ์ที่หอฝูเสวี่ยแล้ว นางจึงไปที่ร้านอย่างเงียบเชียบเมื่อไปถึงลานด้านหลังก็พบกับซ่งเชียนฉู่ที่กำลังแบกตะกร้ากลับมาจากประตูหน้า ท่าทางดูรีบร้อนนัก“ท่านมาพอดี ท่านเห็นประกาศบนถนนหรือไม่? องค์จักรพรรดิจะเชิญท่านเข้าวังเพื่อแต่งตั้งท่านเป็นมหาปราชญ์!” ซ่งเชียนฉู่ส่งประกาศให้“นี่เป็นประกาศที่ติดอยู่ที่ประตูร้านเรา”“มิกี่วันที่ผ่านมา ข้าออกไปเก็บสมุนไพร พวกเขาคงจะมาหาท่าน แต่ไม่มีใครอยู่จึงติดประกาศไว้”“จะทำอย่างไรดี?”ซ่งเชียนฉู่ก็ตกตะลึงเช่นกันลั่วชิงยวนรับประกาศมาดูอีกครั้ง ในนั้นยังเขียนด้วยว่าให้นางเข้าวังหลวงเพื่อทำนายชะตาของแคว้นเทียนเชวียแล้วแต่งตั้งเป็นมหาปราชญ์ซ่งเชียนฉู่ถอนหายใจ “ข้าคิดว่าครั้งนี้ ตัวตนของท่านคงจะปกปิดมิได้แล้ว”“คอยดูกันต่อไปเถิด” ลั่วชิงยวนยังมิรู้ว่าจะบอกฟู่เฉินหวนอย่างไร
น้ำเสียงของฟู่เฉินหวนนั้นบ่งบอกชัดเจนว่ากำลังหึงหวงอยู่ลั่วชิงยวนปอกส้มแล้วป้อนให้ฟู่เฉินหวนพลางพูดอย่างอารมณ์ดีว่า “หล่างมู่มองหม่อมฉันเป็นเพียงพี่หญิงจริง ๆ เพคะ”“เขามีความสัมพันธ์ที่ดีกับพี่หญิงมาตั้งแต่เด็ก แต่พี่หญิงของเขาเสียชีวิตเพราะเขา จึงเป็นบ่วงกรรมและความเสียใจตลอดชีวิตของเขา”“ต่อมาหล่างชิ่นกลายเป็นพี่หญิงของเขา เขาเชื่อฟังหล่างชิ่นทุกอย่าง แต่สุดท้ายหล่างชิ่นกลับต้องการให้เขาตาย”“หลังจากนั้นเมื่อหม่อมฉันไปยังเผ่านอกด่าน ราชาเผ่านอกด่านบอกว่าหม่อมฉันเป็นพี่หญิงของเขา ดังนั้นเขาจึงมองหม่อมฉันเป็นพี่หญิงแท้ ๆ มาโดยตลอด”เมื่อฟู่เฉินหวนได้ยินเช่นนั้นก็สงสัยยิ่งนัก “พูดตามตรงคือข้ายังคงมิเข้าใจเลยว่าเหตุใดราชาเผ่านอกด่านจึงมั่นใจว่าเจ้าเป็นลูกสาวของเขา”ลั่วชิงยวนพูดเสียงเบาว่า “ราชาเผ่านอกด่านกับลั่วไห่ผิงมีใบหน้าเหมือนกันราวกับแกะ! พวกเขาเป็นพี่น้องกันเพคะ!”“ก่อนที่ท่านแม่ของหม่อมฉันจะมาเมืองหลวงแล้วแต่งงานกับลั่วไห่ผิง นางเคยมีความสัมพันธ์กับราชาเผ่านอกด่าน แต่สุดท้ายก็มิได้ลงเอยกันจึงมาเมืองหลวงและแต่งงานกับลั่วไห่ผิงเพคะ”ฟู่เฉินหวนตกตะลึงยิ่งนักเมื่อได้ฟัง“
หล่างมู่ชกเข้าที่ใบหน้าของฟู่เฉินหวนจนฟู่เฉินหวนถอยหลังไปหลายก้าวหล่างมู่แสดงสีหน้าโกรธแค้น “ข้าขอเตือนท่านเลยว่าถ้าท่านทำเช่นนี้กับพี่หญิงของข้าอีก ข้าจะฆ่าท่านเสีย!”ฟู่เฉินหวนขมวดคิ้วพลางเช็ดเลือดที่มุมปาก “ลั่วชิงยวนอยู่ที่ใด ข้าจะพบกับนาง”“นางอยู่ที่ใด แล้วท่านเกี่ยวอะไรด้วย!” หล่างมู่แสดงสีหน้ามิพอใจ เขายังคงจำได้ว่าในวันคล้ายวันพระราชสมภพของจักรพรรดิ อ๋องผู้สำเร็จราชการยินดีที่จะมอบลั่วชิงยวนให้เขาชายคนนี้ช่างน่ารังเกียจ!เขามิเข้าใจว่าเหตุใดพี่หญิงจึงยังคงอยู่กับชายผู้นี้วันนี้กลับนิ่งเฉยมองดูคนอื่นทำร้ายพี่หญิงอย่างมิแยแสอีก!หล่างมู่มิพอใจอย่างยิ่งเมื่อทั้งสองสบตากัน ความเป็นปรปักษ์ก็ปะทุขึ้นบรรยากาศตึงเครียด ในวินาทีต่อมาดูเหมือนว่าจะต้องต่อสู้กันแน่แล้วลั่วชิงยวนเพิ่งเข้ามาในลานก็เห็นเหตุการณ์นี้ จึงรีบเข้าไปขวางไว้“พวกท่านกำลังทำอะไรกัน!”“แค่ก แค่ก แค่ก...” เมื่อนางร้อนใจก็กุมอกด้วยความเจ็บปวดสีหน้าของทั้งสองเปลี่ยนไปอย่างมากแล้วเข้าไปพยุงนางพร้อมกัน ลั่วชิงยวนปัดมือของทั้งสองออก แล้วหันไปมองหล่างมู่ “พี่บอกเจ้าว่าอย่างไร!”ความโกรธของหล่างมู่หา
ฟู่จิ่งหานมิได้ใส่ใจเรื่องนี้ แต่กลับรู้สึกผิดเล็กน้อยที่พระราชโองการนั้นทำให้ลั่วชิงยวนได้รับบาดเจ็บเช่นนี้ จึงพูดว่า “มิเป็นอะไร การประลองครั้งนี้ก็มิได้ห้ามมิให้แคว้นเพื่อนเรือนเคียงเข้าร่วม”“พระชายาอ๋องผู้สำเร็จราชการสามารถเอาชนะองค์ชายเผ่านอกด่าน แล้วยกให้เป็นน้องชายได้ นับว่าความสามารถเป็นที่ประจักษ์แก่ข้าแล้ว!”“พระชายามีบาดแผล อนุญาตให้พระชายาและองค์ชายหล่างมู่ออกไปก่อนได้”ลั่วชิงยวนก้มหน้าลงเล็กน้อย “ขอบพระทัยฝ่าบาทเพคะ”แล้วหล่างมู่ก็พยุงลั่วชิงยวนออกไปเนื่องจากหอฝูเสวี่ยอยู่มิไกลและสามารถมองเห็นการประลองจากชั้นสามได้ ลั่วชิงยวนจึงพาหล่างมู่ไปพักผ่อนที่หอฝูเสวี่ยก่อนซิ่งอวี่ต้มยามาให้นางกินลั่วชิงยวนนั่งข้างหน้าต่าง มองดูการประลองที่ยังคงดำเนินต่อไป เมื่อเห็นฟู่อวิ๋นโจวเอาชนะทุกคนได้ นางก็รู้ว่าเขากำลังจะเข้าสู่ราชสำนักแล้ว“พี่หญิง ยังเจ็บบาดแผลอยู่หรือไม่ขอรับ?” หล่างมู่ยกชามาให้หนึ่งถ้วยลั่วชิงยวนส่ายหน้า “มิเป็นอะไรแล้ว บาดแผลมิสาหัส พักสักสองสามวันก็หาย”“หล่างมู่ เจ้ามาเมืองหลวงได้อย่างไร? ในเผ่านอกด่านเกิดเรื่องใหญ่อันใดหรือไม่? รีบร้อนมาเช่นนี้เลยหรือ?
ฟู่อวิ๋นโจว!หล่างมู่กำหมัดแน่น แล้วกระโจนเข้าไปอีกครั้งผู้คนมากมายต่างเป็นห่วงฟู่อวิ๋นโจว หล่างมู่เป็นคนเผ่านอกด่าน ฝีมือของเขาเป็นที่ประจักษ์ของทุกคนแล้วร่างกายที่อ่อนแอของฟู่อวิ๋นโจวจะรับมือได้อย่างไรแต่ลั่วชิงยวนรู้ดีว่าเวลาที่ฟู่อวิ๋นโจวปรากฏตัวนั้นเหมาะสม นี่เป็นโอกาสที่ดีที่สุดสำหรับเขาที่จะแสดงความสามารถฟู่อวิ๋นโจวรับหมัดของหล่างมู่ได้อย่างแน่นอนจากนั้นทั้งสองก็ต่อสู้กันอย่างดุเดือดหลายสิบกระบวนท่าทำให้ผู้คนในที่นั้นต่างตกตะลึง“นี่คือองค์ชายห้าหรือ?”“ฝีมือของเขาแข็งแกร่งเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อใด?”“ใช่แล้ว มิใช่ว่าเขาป่วยอยู่หรอกหรือ?”ขณะที่ผู้คนต่างพากันวิพากษ์วิจารณ์ ฟู่อวิ๋นโจวก็พบจุดอ่อนของหล่างมู่แล้ว จึงเหวี่ยงหล่างมู่ลงไปกับพื้น แล้วชกเข้าที่ใบหน้าของหล่างมู่ลั่วชิงยวนรีบวิ่งเข้าไปห้าม “หยุดนะ!”ฟู่อวิ๋นโจวสะดุ้งแล้วลดมือลงหล่างมู่ลุกขึ้นยืนและกำลังจะตอบโต้ แต่ถูกลั่วชิงยวนดึงไว้“หล่างมู่แพ้แล้ว” ลั่วชิงยวนประกาศผลทันทีสายตาของนางมองฟู่อวิ๋นโจวด้วยอารมณ์ซับซ้อน “ขอแสดงความยินดีกับองค์ชายห้าเพคะ”เขายังคงมิได้ใช้ชีวิตอย่างอิสระและเรียบง่าย แต่กลั