ข้างนอกมีผู้ชมดูเหตุการณ์กลุ่มหนึ่งกำลังชี้มือชี้ไม้แล้วพูดคุยกันอย่างออกรส สายตาแปลกพิกลเหล่านั้นประดุจดั่งมีดคมกริบ ลั่วชิงยวนมองไปยังทิศทางที่พวกเขาชี้นิ้วไปด้วยความสงสัย จากนั้นก็เห็นธงสองผืนที่กำลังโบกสะบัดท่ามกลางสายลม บนนั้นเขียนเอาไว้ว่า: นักต้มตุ๋นแห่งยุทธภพ หลอกเอาเงินทองและทำลายชีวิตคน ธงผืนใหญ่กำลังโบกสะบัดท่ามกลางสายลมหนาว อักษรทั้งแปดตัวเป็นที่โดดเด่นสะดุดตาเป็นพิเศษ จนสามารถมองเห็นได้ชัดจากถนนสองสามสายที่ห่างไกลออกไป! "พวกเราเคยได้ยินว่าท่านเซียนฉู่ผู้นี้ทำนายดวงชะตาแม่นด้วยหรือ?" "ข้าได้ยินมาว่าเขาจ้างคนมาทำทีเป็นลูกค้า มิฉะนั้นก็คงหามีผู้ใดมาให้เขาทำนายดวงชะตามากมายถึงเพียงนั้นหรอก" "ข้าเคยบอกไปแล้วหนา จะมีเทพพยากรณ์อายุน้อยขนาดนั้นได้อย่างไรกัน? มันเป็นพวกต้มตุ๋นชัด ๆ เลย!" "จริงด้วย! ข้าได้ยินว่ามีคนในครอบครัวของลูกค้าตายด้วยล่ะ มิหนำซ้ำยังแจ้งให้ทางการทราบเรื่องนี้อีกต่างหาก" เมื่อลั่วชิงยวนได้ยินความคิดเห็นเหล่านี้ นางก็ขมวดคิ้วแน่นขึ้นเรื่อย ๆ นางไม่คิดเลยว่าลั่วอวิ๋นสี่จะใช้วิธีน่ารังเกียจเช่นนั้น! เมื่อก่อนนางแค่เรียกได้ว่าหยิ่งยโสโอหัง ถ
“คนใช้ในจวนระแวงข้ายิ่งเสียกว่าโจร หลาย ๆ ครั้งที่ข้าเกือบได้เห็นฮูหยินลั่ว คนใช้เหล่านั้นกลับลากข้าออกไปเสียก่อน!” “เพียงแต่ จากที่ซุ่มมองมาหลายวัน ข้าค้นพบเรื่องหนึ่ง!” ลั่วชิงยวนถามอย่างสงสัย “เรื่องใดกัน?” ซ่งเชียนฉู่ดื่มชาร้อน เท้าแขนพร้อมยื่นหน้าเข้าใกล้ นางกล่าว “ฮูหลินลั่ว ราวกับกำลังมองหาสามีให้คุณหนูตระกูลลั่ว มีสตรีแต่งกายคล้ายแม่สื่อ ถือภาพวาดเต็มตะกร้าเดินเข้าจวน!” “และข้าได้ยินเต็ม ๆ สองหูว่านั่นคือภาพวาดคุณชายตระกูลสูงส่ง” ซ่งเชียนฉู่ถามด้วยความใคร่รู้ “เพราะฮูหยินเลือกสามีให้กับลั่วอวิ๋นสี่หรือไม่ จึงทำให้นางบังคับให้เจ้าแก้ไขพรหมลิขิตโดยเร่งด่วนเพียงนั้นหนา?” “แต่เพียงคำพูดไม่กี่ประโยคของท่าน จักสามารถทำให้แม่ของลั่วอวิ๋นสี่เปลี่ยนความคิดเช่นนั้นหรือ?” ลั่วชิงยวนขมวดคิ้วไตร่ตรองพักหนึ่ง ก็จริง ต่อให้นางพูดว่าเหมาะสมกัน ท่านอาลั่วหรงก็ไม่มีทางให้ลั่วอวิ๋นสี่คบกับสวีซงหย่วนอยู่ดี ลั่วอวิ๋นสี่เพียงแค่อยากได้สิ่งนี้ มาเป็นข้ออ้างของตนในการต่อต้านท่านอาลั่วหรงก็เท่านั้น “คงมิได้มาดูตัวให้ลั่วอวิ๋นสี่ ด้วยนิสัยของนาง นางอาจเลือกหนีไปพร้อมสวีซงหย่วนแล้ว”
ผู้คุ้มกันกองใหญ่ที่เดินเข้ามา ทำอันธพาลเหล่านั้นตื่นกลัว ฮูหยินที่แต่งตัวสูงส่งท่านหนึ่งค่อย ๆ เดินเข้ามา มองไปที่เหล่าอันธพาลเย็น ๆ และติดุ “ยังมิไสหัวไปอีก! มิเช่นนั้นก็ไปที่ทางการกับข้า!” อันธพาลเหล่านั้นได้ยินก็กลัวจนรีบหนีไปทันที กองทัพเช่นนี้ ใครจะกล้าหาเรื่องกัน ผู้คุ้มกันสี่สิบสามสิบคนเต็ม ๆ ! แค่มองก็รู้ว่านางฐานะมิธรรมดา “เจ้าหรือคือเซียนฉู่? ได้ยินมานานว่าเจ้าเป็นหนุ่มวัยละอ่อน มิคิดว่าหน้าตาเจ้าจะงดงามราวกับเทพบนสวรรค์เช่นนี้” หรงอี้เฉี่ยนประเมินลั่วชิงยวนอย่างสนใจ “ท่านฮูหยินแม่ทัพกล่าวชมกันเกินไปแล้ว!” ลั่วชิงยวนตอบมารยาท ได้ยินดังนี้ รอยยิ้มของหรงอี้เฉี่ยนชะงักเล็กน้อย “เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าข้าคือฮูหยินแม่ทัพ?” “ผู้คุ้มกันที่ท่านฮูหยินนำมาต่างแขวนป้ายสัญลักษณ์เว่ยไว้บนเอว หนำซ้ำฝีมือมิธรรมดา ย่ำเท้าพร้อมเพรียง เห็นได้ชัดว่าผ่านการฝึกฝนที่เข้มงวดมา” “ทั้งเมืองหลวง ฮูหยินแม่ทัพที่หน้าสละสลวยเช่นนี้ ข้ารู้เพียงตระกูลแม่ทัพเว่ย” เมื่อลั่วชิงยวนพูดถึงประโยคสุดท้าย หลงอี้เฉี่ยนลูบปอยผมด้วยรอยยิ้ม รู้สึกชอบใจยิ่ง “ท่านเซียนช่างมีวาทศิลป์เสียจริง ข้าคิดว่
หรงอี้เฉี่ยนยิ้มแป้นขึ้นมาในทันที “มีประโยคนี้ของเจ้าข้าก็วางใจแล้ว ข้าจักไปร้านทองเดี๋ยวนี้แล! หากได้ผลจริง ข้าจักกลับมาขอบคุณเจ้าเป็นอย่างดี!” สิ้นเสียง นางจึงยกชายกระโปรงไปซื้อเครื่องประดับทองอย่างรีบร้อน มองดูหรงอี้เฉี่ยนที่พาผู้คุ้มกันจากไป และยังมิลืมไล่เหล่าชาวบ้านที่มามุงดูเรื่องสนุก ลั่วชิงยวนคิดอย่างอดมิได้ แม่ทัพเว่ยแต่งงานกับสตรีผู้นี้ ช่างมีบุญเสียจริง หากชะตาของแม่ทัพเว่ยสมพงษ์กับชะตาของหรงอี้เฉี่ยนล่ะก็ พวกเขาจะราวกับปลาได้น้ำที่รุ่งโรจน์มากขึ้นเรื่อย ๆ …… ผ่านมาหลายวัน ด้านนอกยังคงปลิวว่อนไปด้วยข่าวลือไม่น่าฟัง ธงนอกร้านถูกดึงลงมาเผา และถูกแขวนใหม่ขึ้นไปในวันถัดมาตลอด ลั่วชิงยวนมิได้เปิดร้านค้าขายมาหลายวัน ส่วนฟู่เฉินหวนเองก็มิได้มาหานาง ชีวิตนางค่อนข้างเงียบสบาย ลั่วชิงยวนเองก็ไม่รีบร้อน กลับเป็นซ่งเชียนฉู่เสียมากกว่าที่กังวลอยู่ทุกวันวี่ จนมาถึงวันที่สี่ ในที่สุด เรื่องราวก็มีจุดพลิกผัน หรงอี้เฉี่ยนมาแล้ว รอบนี้นางเพิ่มผู้คุ้มกันถึงห้าสิบนาย กองทัพยิ่งใหญ่ปรากฏในตรอกฉางเล่อ ดึงดูดความสนใจจากผู้คนมากมาย ระหว่างทางมีคนไม่น้อยมองมาเช่นกัน “ฮู
“จับมันเสีย!” หรงอี้เฉี่ยนส่งคำสั่งอย่างเยือกเย็น ผู้คุ้มกันจับตัวชายหนุ่มผู้นั้นในทันที “จับข้าทำไม! พวกเจ้าควรจับไอ้หลอกลวงนั่น!” ชายหนุ่มขัดขืนขึ้นมาอย่างลนลาน “จับไปส่งที่ทางการ!” หรงอี้เฉี่ยนพูดเสียงเย็น ชายหนุ่มถูกนำตัวไปในทันที ดูจากท่าทีบัดนี้ของหรงอี้เฉี่ยน สมกับเป็นฮูหยินแม่ทัพจริง ๆ “ท่านฮูหยิน” ลั่วชิงยวนขึ้นหน้าโค้งคำนับ หรงอี้เฉี่ยนเผยยิ้มในทันที นางโบกมือ ผู้คุ้มกันสองท่านยกถาดใบหนึ่งเดินขึ้นหน้า อี้หรงเฉี่ยนเปิดผ้าแดงออก แสงเงินระยิบระยับปรากฏสว่างจนแสบตา “นี่คือเงินห้าร้อยตำลึง วันนี้ข้ามาเพื่อขอบคุณท่านเซียนฉู่” “ต่อจากนี้เจ้าเป็นเพื่อนของข้า!” หรงอี้เฉี่ยนพบเรื่องดีจึงอารมณ์ดีเป็นพิเศษ นับแต่ที่นางใส่เครื่องประดับทอง ครั้นเล่นไพ่กับสองพี่น้องตระกูลจางนางก็ชนะเสมอ! แน่นอนว่านางมิได้อยากชนะเพราะหวังเงิน นางเพียงแค่อยากเอาคืน วันนี้สองพี่น้องนั่น อ้างป่วยและไม่มาเล่นไพ่กับนาง ในใจนางรู้สึกสะใจสุด ๆ! “ท่านฮูหยินให้มากไปแล้ว เรื่องเล็กเพียงนี้ มิต้องการเงินมากเช่นนี้” ลั่วชิงยวนกล่าวเกรงใจ “เจ้ารับไว้เถิด สำหรับเจ้าเป็นเรื่องเล็ก แต่สำหรับข้าม
“โบราณว่าไฟในอย่านำออก แต่วันนี้ข้าจักอับอายขายหน้าไปพร้อมกับเจ้า เพื่อให้เจ้ารู้จักจดจำเสียบ้าง!” ลั่วหรงติว่าอย่างโมโห และลากลั่วอวิ๋นสี่มาถึงที่หน้าประตูใหญ่ ลั่วอวิ๋นสี่เจ็บจนจับแขนเสื้อลั่วหรงไว้แน่น “ท่านแม่ ผู้คนที่นี่มากมายเช่นนี้! กลับไปคุยกันที่จวนได้หรือไม่?” ลั่วหรงติอย่างจริงจัง “ความผิดที่เจ้ากระทำ เจ้าต้องแบกรับเอง! มิใช่เรื่องทุกอย่างที่จะเก็บมาแก้ไขในบ้านได้ หากมิมีจวนมหาราชครู เจ้าคงถูกตีตายไปนานแล้ว!” เมื่อลั่วชิงยวนเห็นฉากตรงหน้านางเองก็ตกใจเช่นกัน มิคิดว่าท่านอาลั่วหรงจะลากลั่วอวิ๋นสี่บุกมาที่หน้าประตูจวนนางเลย เมื่อเห็นนาง ลั่วหรงสูดหายใจเข้าลึก สงบอารมณ์ตนเอง และเดินเข้ามาหานาง “บุตรของข้าบุ่มบ่ามเสียมารยาท เพราะคนเป็นแม่อย่างข้ามิได้สั่งสอนนางดี ๆ เอง วันนี้ข้าจึงมาเพื่อขออภัยและชดใช้ท่าน!” ลั่วหรงพูดไป พร้อมโค้งคำนับไป ลั่วชิงยวนรีบพยุงนางไว้ “ท่านคือฮูหยินลั่วหรือ? แท้จริงแล้วมิจำเป็นต้องทำให้เรื่องใหญ่เช่นนี้” เพียงแค่ให้ฮูหยินลั่วติเตียนลั่วอวิ๋นสี่ มิให้ปล่อยข่าวที่ทำชื่อเสียงนางเสื่อมเสียอีกเป็นพอ แต่มิคิดว่า สีหน้าของท่านอาลั่วหรงกลับ
แต่แล้วลั่วอวิ๋นสี่ยังไม่ทันลุกขึ้นมาดี ก็ถูกลั่วหรงกดให้คุกเข่าลงไปบนพื้นอย่างแรงอีกครั้ง ไอสังหารที่เต็มเปี่ยมเมื่อครู่ สลายจนสิ้นในพริบตา “ขอโทษ!” ลั่วหรงดุอย่างจริงจังเป็นอย่างมาก ลั่วอวิ๋นสี่รู้สึกอัปยศเป็นที่สุด ภายใต้การมุงดูของชาวบ้านมากมายเช่นนี้ นางกลับต้องคุกเข่าขอโทษหมอดูคนหนึ่ง หลังจากวันนี้ นางจะยืนหยัดในเมืองหลวงได้เช่นไรเล่า! แต่นางกลับทำได้เพียงข่มความอัปยศไว้ น้ำตาแห่งความอึดอัดเอ่อล้นออกมา นางกล่าว “ข้าผิดไปแล้ว ข้าขอโทษ!” ได้ยินลั่วอวิ๋นสี่ขอโทษ ลั่วหรงจึงยอมปล่อยนางไป “หวังว่าเรื่องในวันนี้จักทำให้เจ้าจดจำบ้าง ก่อนจะกระทำเรื่องใด คิดเผื่อผู้อื่นเสียก่อน!” “หากเจ้ายังทำดังเคย ทำจวนมหาราชครูและท่านปู่เจ้าขายหน้าด้านนอกอีก เช่นนั้นตระกูลลั่วของเราจักมิเหลือที่สำหรับเจ้า!” คำขู่นี้ของลั่วหรง ทำลั่วอวิ๋นสี่โกรธจนหัวใจสั่นคลอน นางเงยหน้าขึ้นอย่างตกตะลึง ท่านแม่จะตัดความสัมพันธ์กับนางงั้นหรือ? “ท่านแม่… ข้าทำผิดก็จริง แต่มิถึงขั้นนี้เสียหน่อย” นางรู้ว่านางมิควรใช้วิธีนี้ในการจัดการฉู่ลั่ว แต่ฉู่ลั่วเป็นคนหลอกนางก่อนนี่ พูดจบลั่วอวิ๋นสี่ก็ลุกขึ้น จ้องจิ
ลั่วหลางหลางตะลึง “เพื่อข้าหรือ?” ขอบตาของลั่วอวิ๋นสี่แดงก่ำ นางพยายามกลั้นน้ำตาที่เอ่อล้นในดวงตา “ท่านพี่มิชอบงานแต่งที่ท่านแม่จัดให้ เจ้าก็พูดสิ! เจ้าต่อต้านสิ! ไฉนเจ้ามิยอมพูดอันใดทั้งนั้น แต่มาแอบเสียใจคนเดียวเล่า!” “เป็นเช่นนี้ตั้งแต่เด็กจนโต! เจ้ารู้หรือไม่ในใจข้าเสียใจเพียงใด! ครั้งนี้ท่านแม่ยืนหยัดที่จะหาคู่แต่งงานให้เจ้า ข้าจึงได้แต่ต้องสร้างเรื่อง เพื่อที่ท่านแม่จะได้มิมีเวลามาสนใจเจ้า!” ในใจลั่วอวิ๋นสี่รู้สึกอึดอัดเป็นที่สุด แต่เล็กจนโต นางเห็นภาพที่ท่านพี่ถูกท่านแม่ติเตียนมามาก ท่านพี่ขวัญอ่อนขี้กลัว มิว่าท่านแม่จะให้ทำสิ่งใดท่านพี่ก็มิต่อต้าน นางมิอยากต้องเป็นคนอย่างท่านพี่ ดังนั้นมิว่าท่านแม่จะพูดสิ่งใด นางก็จะทำสิ่งตรงข้ามเสมอ! เรื่องของฉู่ลั่วครั้งนี้ นางมิจำเป็นต้องทำล้ำเส้นเช่นนี้ ที่หาคนไปก่อเรื่องทุกวัน แต่ท่านแม่จะจัดหาคู่แต่งงานให้ท่านพี่ นางมองท่านพี่ที่น้ำตาอาบหน้าทุกวัน นางจึงตั้งใจไปก่อเรื่อง สร้างให้เรื่องมันใหญ่ เช่นนี้ท่านแม่จะได้มิไปจัดการเรื่องงานแต่งท่านพี่อีก นางเพียงแค่อยากใช้วิธีของตนในการปกป้องพี่สาว! แต่นางได้รับสิ่งใดกัน? การถูก
ขณะพูด เฉินชีก็รีบหยิบขวดโอสถขวดหนึ่งออกมา พลางเทโอสถลูกกลอนหนึ่งเม็ดส่งให้ลั่วชิงยวนกินมันสามารถปกป้องหัวใจของนางได้รถม้าโคลงเคลงไปตลอดทาง เร่งมุ่งหน้าไปยังจวนของเฉินซีอย่างรวดเร็วหลานจีได้ยินเสียงจึงเดินมาที่ลาน นางสงสัยมากว่ามีเรื่องอะไรที่ทำให้ท่านแม่ทัพต้องรีบร้อนออกไปอย่างกะทันหันทว่านางกลับเห็นเฉินชีลงจากรถม้าพร้อมกับอุ้มลั่วชิงยวนที่ได้รับบาดเจ็บ“ท่านแม่ทัพ… นางคือ...” หลานจีรีบสาวเท้าเข้ามาแต่นางกลับถูกเฉินชีผลักออกไปอย่างไร้ความเมตตา “อย่ามาขวางข้า!”หลานจีต้องถอยหลังไปสองก้าวถึงจะทรงตัวไว้ได้เมื่อได้สติ เฉินชีก็เดินไปไกลพร้อมกับสตรีในอ้อมแขนแล้วหลานจีตกตะลึงเหตุใดท่านแม่ทัพถึงต้องเป็นห่วงสตรีนางนั้นถึงเพียงนี้?นางเป็นใครกัน?หลานจีเกิดอาการตื่นตระหนกขึ้นมาอย่างกะทันหันนางตามไปดูด้วยความมิพอใจเฉินชีอุ้มลั่วชิงยวนเข้ามาที่ห้องของตน เขาวางนางลงบนเตียงแล้วเรียกนางรับใช้มาเปลี่ยนอาภรณ์ให้ลั่วชิงยวนนางรับใช้พากันสาละวนเข้า ๆ ออก ๆ เรือนกันยกใหญ่ยามนี้หลั่วชิงยวนหลับไปแล้วจากนั้นเฉินชีก็ออกจากห้องไป และมิรู้ว่าเขาไปที่ใดหลังจากที่นางรับใช้เปลี่ยนอา
"ตอนนี้มิว่าท่านจะตรัสอะไรไปก็ไร้ประโยชน์”“ไม่มีใครสนใจหรอกเพคะ”ทันทีที่พูดคำเหล่านี้ออกมา สีหน้าของฉินอี้และฮองเฮาเกาก็เปลี่ยนไปฮองเฮาเกาจ้องนางด้วยสายตาดุร้ายนางยิ้มเยาะ “ในที่สุดก็ยอมเอ่ยปากแล้วรึ? อย่าลืมที่ข้าพูดไว้สิว่า หากเจ้าพูดข้าจะตัดลิ้นเจ้าทิ้งเสีย!”จากนั้นนางก็ส่งสายตาเป็นนัยให้องครักษ์องครักษ์สองคนก้าวไปข้างหน้า คนหนึ่งจับไหล่ของลั่วชิงยวน อีกคนหยิบมีดขึ้นมาเตรียมตัวพร้อมลงมือฉินอี้ตกใจและครุ่นคิดอย่างรวดเร็วว่าจะทำอย่างไรดีลั่วชิงยวนยังมิยอมแพ้ รอยยิ้มเย็นชาผุดขึ้นบนใบหน้าของนาง “องค์ชายใหญ่ทรงเคยคิดหรือไม่เพคะว่าเหตุใดวรยุทธ์ของท่านถึงหยุดนิ่งมิพัฒนาไปไหน?”“เหตุใดถึงเรียนรู้ได้ช้า แม้จะทุ่มเทความพยายามมากกว่าคนทั่วไปหลายสิบเท่า แต่ก็ยังมิสามารถเรียนรู้ได้เท่ากับที่คนอื่นทำได้”“นั่นมีเหตุผลอยู่เพคะ”“ที่จริงแล้ว ทั้งหมดมิใช่เป็นเพราะพรสวรรค์ที่ธรรมดาเพคะ”“แต่มีพิษชนิดหนึ่งที่ชื่อว่า…”เมื่อเขาได้ยินเช่นนั้น ฉินอี้ก็ตกใจเป็นอย่างมากฮองเฮาเการีบกระชับเสื้อของนางด้วยความกังวล สีหน้าของนางเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงและขณะที่ลั่วชิงยวนกำลังจะพูดออกมาน
ทันทีที่คำกล่าวเหล่านี้หลุดออกมาร่างกายของฟู่เฉินหวนก็แข็งทื่อดวงตาของฉินอี้เต็มไปด้วยความคาดหวังอันร้อนแรงตั้งแต่เล็กจนโต แม้เขาจะเป็นองค์ชาย แต่ก็มีเพียงมิกี่คนที่ให้ความเคารพเขาแม้กระทั่งน้องสาวของเขาเองก็มักจะลงมือทำร้ายเขาบ่อย ๆ โดยมิไว้หน้ากันเลยแม้แต่น้อยส่วนคนที่อยู่ตรงหน้าเขาคืออ๋องผู้เป็นเทพสงครามเทพแห่งแคว้นเทียนเชวียและผู้สำเร็จราชการผู้ยิ่งใหญ่ในใต้หล้าเขาจึงตั้งตารอที่จะได้เห็นฟู่เฉินหวนคุกเข่าด้วยความเคารพฟู่เฉินหวนกำหมัดแน่นซ้ำแล้วซ้ำเล่าที่จริงเขาสามารถเจรจากับฉินอี้ได้ และมีเงื่อนไขต่าง ๆ มากมายที่เขาสามารถพูดคุยกับอีกฝ่ายได้ทว่าการเจรจาต้องอาศัยยุทธวิธีและที่สำคัญกว่านั้นคือ ต้องมีจิตใจที่สงบมั่นคงแต่ในเวลานี้ ฟู่เฉินหวนมิสามารถทำเช่นนั้นได้เขาแทบจะรอมิไหวแล้วดวงตาของเขาขรึมลง พลางยกเสื้อคลุมขึ้นและคุกเข่าลงเสียงดังตึงเมื่อเข่ากระทบพื้นนั้นเจือไปด้วยความอึดอัดกลัดกลุ้ม แต่เป็นเสียงที่ฉินอี้ฟังแล้วรู้สึกสบายหูเป็นอย่างยิ่งมิอาจปฏิเสธได้ว่าตอนนี้เขาพอใจอย่างถึงที่สุดนี่เป็นความรู้สึกที่เขาพยายามเสาะหามาตลอดหลายปีแต่ก็มิเคยได้มันมาโดยเฉพา
ในห้องขังอันเงียบงัน เสียงเฆี่ยนตีดังชัดเจนจนเหมือนได้ยินเสียงผิวหนังฉีกออกเป็นชิ้น ๆทำเอาคนที่ได้ยินรู้สึกใจสั่นที่มุมตรงทางเดิน บุรุษสวมหน้ากากที่อยู่ข้างหลังฉินอี้กำหมัดแน่นในทันทีฝ่ามือถูกจิกจนเกือบจะเลือดออกฟู่เฉินหวนที่ได้ยินเสียงนั้นก็รู้สึกเป็นห่วงและอดมิได้ที่จะพุ่งไปหาแต่ฉินอี้คว้าข้อมือของเขาเอาไว้“เฉินชีจะมาช่วยนางเอง”“หากตอนนี้เจ้าถูกจับได้ก็ช่วยนางออกไปมิได้ แล้วพวกเจ้าก็จะต้องตายอยู่ที่นี่”“ด้วยตัวตนของเจ้า มีแต่จะต้องเผชิญกับจุดจบที่น่าอนาถยิ่งกว่าเดิม”ฟู่เฉินหวนกำหมัดแน่น เขาก้าวถอยหลังมาหนึ่งก้าวและอดทนต่อไปฝ่ามือของเขาเหงื่อออกเมื่อได้ยินเสียงเฆี่ยนตีอย่างต่อเนื่องแต่ไม่มีเสียงร้องของความเจ็บปวด ก็สามารถบอกได้ว่า ลั่วชิงยวนกำลังทุกข์ทรมานกับความเจ็บปวดมากเพียงใดนั่นทำให้ฟู่เฉินหวนรู้สึกปวดใจเป็นอย่างมากทว่าเขาทำได้เพียงเฝ้ามองจากที่ไกล ๆ มิสามารถเข้าไปใกล้หรือช่วยนางได้เสียงแส้ดังขึ้นอย่างมิหยุดหย่อน และเสียงแส้ในแต่ละครั้งนั้นดูเหมือนจะฟาดลงไปที่หัวใจของฟู่เฉินหวนจนเลือดสด ๆ ไหลออกมาเป็นทางเวลาเหมือนจะผ่านไปอย่างเชื่องช้า และเสียงแส้น
ภายในห้องบรรทมอันโอ่อ่าฉินอี้เดินมาที่ข้างเตียงด้วยร่างกายที่เต็มไปด้วยบาดแผลยามนี้เกาเหมียวเหมี่ยวได้ทำแผลและกินโอสถเรียบร้อยแล้ว แต่ใบหน้าของนางยังคงซีดอยู่เล็กน้อยเมื่อเห็นฉินอี้เดินมาหาด้วยใบหน้าฟกช้ำและเปื้อนเลือด เกาเหมียวเหมี่ยวจึงมองเขาด้วยความมิอยากเชื่อ“ท่านแพ้ลั่วชิงยวนรึ?”ฉินอี้ขมวดคิ้วเป็นปม พลางมองบาดแผลของเกาเหมียวเหมี่ยวด้วยความกังวลและพูดว่า “เหมียวเหมี่ยว บาดแผลเจ้าสาหัสมาก ช่วงสองวันนี้เจ้าควรพักผ่อนให้ดีก่อน อย่าเพิ่งเดินไปไหนมาไหนเลย”ทว่าเกาเหมียวเหมี่ยวกลับมิได้สนใจในความห่วงใยของฉินอี้นางจ้องมองฉินอี้ด้วยความโมโหแล้วยกฝ่ามือฟาดไปหนึ่งฉาดฉินอี้มิประหลาดใจแม้แต่น้อย แต่กลับมองเกาเหมียวเหมี่ยวด้วยสีหน้าจริงจังและเป็นห่วง“เหมียวเหมี่ยว...”เกาเหมียวเหมี่ยวโมโหมากจนเอามือฟาดเขาสองครั้งติดต่อกันและแสดงความเกรี้ยวกราดออกมา “ขยะไร้ค่า! ขยะไร้ค่า!”“ท่านเป็นถึงองค์ชายผู้สูงส่ง แต่กลับถูกลั่วชิงยวนจัดการจนมีสภาพเช่นนี้ อับอายจนมิรู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ใด!”เกาเหมียวเหมี่ยวโกรธจนแทบอยากจะฉีกลั่วชิงยวนเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยดวงตาของฉินอี้หรี่ลง แต่กลับมิได
แต่ขณะที่ทั้งสองคนกำลังต่อสู้กันอย่างสูสีวิชาฝ่ามือที่จู่โจมเข้ามาอย่างฉับพลันของลั่วชิงยวนทำให้ฉินอี้มิทันตั้งตัว เขาถูกรัวหมัดใส่อย่างต่อเนื่องจนลอยกระเด็นออกไป และกระอักเลือดออกมาการต่อสู้สิ้นจบลงในพริบตาเดียวหลายคนที่อยู่รอบด้านล้วนเห็นมิชัด“เมื่อครู่เกิดกระไรขึ้น?”“ต่อสู้กันอยู่มิใช่หรือ? เหตุใดจู่ ๆ ฉินอี้ถึงแพ้ได้เล่า?”ลั่วชิงยวนมองฉินอี้ด้วยสายตาเย็นชา “ดูเหมือนวรยุทธ์ขององค์ชายใหญ่จะเป็นอย่างที่คนเขาลือกันนะเพคะ”เทียบกับคนทั่วไปแล้ว วรยุทธ์ของฉินอี้ก็ถือว่ามิได้อ่อนด้อยเลยแต่สำหรับคนที่เป็นถึงองค์ชายนั้นช่างดูอ่อนแอนักเมื่อครู่ที่ลั่วชิงยวนลองทดสอบ ดูเหมือนว่าเขายังคงมีทักษะวรยุทธ์แบบเดียวกับที่เคยเรียนมาเมื่อก่อน และมิได้มีความก้าวหน้ามากนักเป็นเช่นนี้ได้อย่างไรหากฉินอี้เพียรพยายามมากกว่านี้ ผลลัพธ์ก็คงมิเป็นเช่นนี้ฉินอีจ้องนางด้วยโทสะ ดูเหมือนจะเจ็บใจที่วรยุทธ์ของตนอ่อนด้อยเกินไป ทำให้เสียงวิพากษ์วิจารณ์รอบข้างยิ่งบาดหูมากขึ้นไปอีกเขากัดฟันพลางกำหมัดแน่น และพุ่งเข้าหาลั่วชิงยวนอย่างดุร้ายเขามิยอมพ่ายแพ้เช่นนี้หรอกแต่เขากลับมิสามารถเอาชนะลั่วชิงย
ลั่วชิงยวนตกตะลึง อารมณ์ความรู้สึกของนางดำดิ่งเป็นไปตามที่นางคาดเดาเอาไว้ว่ามิเหลือแม้แต่ศพอย่างนั้นหรือ?“มิพบศพด้วยซ้ำ” อวี๋โหรวกล่าวเสียงขรึมดวงตาของลั่วชิงยวนหม่นลง ดูเหมือนว่าร่างนั้นจะถูกกำจัดไปแล้วจริง ๆ ส่วนจะกำจัดอย่างไรและทิ้งไว้ที่ไหน บางทีอาจมีเพียงฆาตกรเท่านั้นที่รู้“น่าเสียดายจริง ๆ” ลั่วชิงยวนทอดถอนใจด้วยความเสียดายอวี๋โหรวจ้องนางด้วยสายตาจริงจังและพูดอย่างหนักแน่น “มิน่าเสียดายหรอก ข้าเชื่อว่าเจ้าจะกลายเป็นนางคนต่อไป!”ทันใดนั้น สายตาที่จริงจังของอวี๋โหรวก็ทำให้ลั่วชิงยวนรู้สึกเย็นวาบไปถึงสันหลังและยังสงสัยด้วยว่าอวี๋โหรวจะสังเกตเห็นอะไรบางอย่างหรือไม่ทว่าแม้แต่ศิษย์น้องหญิงก็จำนางมิได้ อีกทั้งอวี๋โหรวก็มิได้สนิทสนมกับนาง แล้วจะจำนางได้อย่างไรลั่วชิงยวนยิ้มและกล่าวว่า “ข้าจะถือว่านั่นคือคำปลอบใจก็แล้วกัน”อวี๋โหรวพูดอย่างจริงจัง “ข้ามิได้ปลอบใจเจ้า ข้าพูดจริง”หลังจากนั้น อวี๋โหรวก็ยิ้มอีกครั้งและพูดว่า “ทางข้ายังพอมียาอยู่บ้าง หากเจ้าต้องการอะไรก็บอกข้าได้เลย”ลั่วชิงยวนมิค่อยเข้าใจว่า เหตุใดอวี๋โหรวถึงทำดีกับนางนางมิค่อยรู้จักอวี๋โหรวมากนัก ในภาพจ
หรือเป็นเพราะเขาเชื่อมั่นในพลังความแข็งแกร่งของลั่วชิงยวน?แต่เมื่อมาครุ่นคิดดูตอนนี้ สตรีที่สามารถทำให้เซินฉีหลงใหลได้ถึงเพียงนี้คงไม่มีทางที่จะเป็นขยะไร้ค่าแม้จะมิได้แข็งแกร่งกว่าเฉินชี แต่ก็เป็นคนที่สามารถต่อกรกับเขาได้อย่างสูสีเพราะเช่นนี้เขาจึงมิแลเกาเหมียวเหมี่ยวเลยด้วยซ้ำ……เมื่อกลับมาถึงห้องลั่วชิงยวนก็นั่งลงพักผ่อนเฉินชีเดินตามเข้ามาและนั่งลงข้าง ๆ นาง พร้อมกับรินชาสองจอก“สมแล้วที่เป็นอาเหลา มีเพียงเจ้าเท่านั้นที่กล้าทำให้เกาเหมียวเหมี่ยวตกอยู่ในสภาพเช่นนั้น! ข้าชอบ!” มีแสงประกายเจิดจ้าส่องสว่างในดวงตาของเฉินชีสายตาของเขาดูเหมือนอยากจะกลืนกินลั่วชิงยวนเข้าไปทั้งตัวลั่วชิงยวนพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา “เกาเหมียวเหมี่ยวได้รับบาดเจ็บสาหัส ฝ่าบาทกับฮองเฮาคงมิยอมปล่อยข้าไปแน่ คงต้องให้เจ้าช่วยออกหน้าให้แล้ว”เฉินชียิ้มมุมปาก “วางใจได้ มีข้าอยู่ทั้งคน”ลั่วชิงยวนที่ยังกังวลอยู่เล็กน้อยกำชับด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “เฉินชี ครั้งนี้เจ้าจะยืนนิ่งดูดายอีกมิได้แล้ว เพราะหากข้าตาย แผนทั้งหมดของเจ้าก็จะสูญเปล่า”“ใต้หล้านี้ไม่มีลั่วเหลาคนที่สองหรอกนะ”เฉินชีพยักหน้าอย่างจริงจ
เลือดสด ๆ ยังคงไหลมิหยุด ไหลนองไปตามร่องลึกของลวดลายวงเวทบนพื้นดินคาดมิถึงว่ามันจะค่อย ๆ ทำให้อักษรเวทของวงเวทส่องแสงขึ้นจากนั้นหมอกสีเขียวจาง ๆ ก็กระจายฟุ้งอยู่รอบตัวลั่วชิงยวนสิ่งเหล่านั้นล้วนเป็นไอโอสถทั้งสิ้นหอรักษ์ดาราแห่งนี้ยังเป็นสถานที่ที่สามารถกลั่นไอโอสถจากเลือดได้ และไอโอสถเหล่านี้ก็สามารถรักษาร่างกายที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสได้ลั่วชิงยวนหลับตาและสูดลมหายใจด้วยความเพลิดเพลิน ทำให้ร่างกายที่ปวดร้าวของนางดูเหมือนจะผ่อนคลายลงนี่อาจจะเป็นความหมายของการมีอยู่ของแท่นประลองหอรักษ์ดาราแต่ไอโอสถนี้ก็จางลงอย่างรวดเร็วลั่วชิงยวนปล่อยเกาเหมียวเหมี่ยว นางยืนขึ้นพร้อมกับยืดเส้นยืดสาย และเดินลงจากแท่นประลองคนอื่นที่อยู่รอบ ๆ ต่างมองมาที่นางด้วยสายตาที่หวาดกลัวมากขึ้น และพวกเขาก็มิกล้าพูดจาดูถูกเหยียดหยามนางเหมือนก่อนหน้านี้อีกต่อไปแล้วลั่วชิงยวนกวาดตามองอย่างเรียบเฉย จากนั้นก็มองไปที่เฉินชีด้วยสายตาลึกซึ้งแล้วเดินจากไปเกาเหมียวเหมี่ยวที่ได้รับบาดเจ็บถูกปลดแส้ออกอย่างรวดเร็วและถูกช่วยลงจากแท่นประลอง นางกัดฟันแน่นพลางจ้องตามหลังลั่วชิงยวนที่กำลังเดินออกไปครู่ต่อมา นางก็เห