ลั่วหลางหลางตะลึง “เพื่อข้าหรือ?” ขอบตาของลั่วอวิ๋นสี่แดงก่ำ นางพยายามกลั้นน้ำตาที่เอ่อล้นในดวงตา “ท่านพี่มิชอบงานแต่งที่ท่านแม่จัดให้ เจ้าก็พูดสิ! เจ้าต่อต้านสิ! ไฉนเจ้ามิยอมพูดอันใดทั้งนั้น แต่มาแอบเสียใจคนเดียวเล่า!” “เป็นเช่นนี้ตั้งแต่เด็กจนโต! เจ้ารู้หรือไม่ในใจข้าเสียใจเพียงใด! ครั้งนี้ท่านแม่ยืนหยัดที่จะหาคู่แต่งงานให้เจ้า ข้าจึงได้แต่ต้องสร้างเรื่อง เพื่อที่ท่านแม่จะได้มิมีเวลามาสนใจเจ้า!” ในใจลั่วอวิ๋นสี่รู้สึกอึดอัดเป็นที่สุด แต่เล็กจนโต นางเห็นภาพที่ท่านพี่ถูกท่านแม่ติเตียนมามาก ท่านพี่ขวัญอ่อนขี้กลัว มิว่าท่านแม่จะให้ทำสิ่งใดท่านพี่ก็มิต่อต้าน นางมิอยากต้องเป็นคนอย่างท่านพี่ ดังนั้นมิว่าท่านแม่จะพูดสิ่งใด นางก็จะทำสิ่งตรงข้ามเสมอ! เรื่องของฉู่ลั่วครั้งนี้ นางมิจำเป็นต้องทำล้ำเส้นเช่นนี้ ที่หาคนไปก่อเรื่องทุกวัน แต่ท่านแม่จะจัดหาคู่แต่งงานให้ท่านพี่ นางมองท่านพี่ที่น้ำตาอาบหน้าทุกวัน นางจึงตั้งใจไปก่อเรื่อง สร้างให้เรื่องมันใหญ่ เช่นนี้ท่านแม่จะได้มิไปจัดการเรื่องงานแต่งท่านพี่อีก นางเพียงแค่อยากใช้วิธีของตนในการปกป้องพี่สาว! แต่นางได้รับสิ่งใดกัน? การถูก
“เจ้านี่นะ ข้าพูดไปตั้งมาก มิเข้าหูของเจ้าแต่นิดเลยรึ? เจ้าเป็นเหมือนน้องเจ้าตั้งแต่เมื่อใดกัน จักทำข้าโกรธตายให้ได้เลยใช่หรือไม่?” ลั่วหรงลุกพรวดขึ้นมา สะบัดแขนเสื้อจากไปอย่างขุ่นเคือง มองดูแผ่นหลังที่จากไปอย่างโกรธเคืองของลั่วหรง นางกัดปาก นัยน์ตาเอ่อล้นด้วยน้ำตา ...... ณ ตำหนักอ๋องผู้สำเร็จราชการ ซูโหยวเดินเข้าห้องตำราอย่างเร็วรี่ พร้อมมอบจดหมายลับฉบับหนึ่ง “ท่านอ๋อง มีเบาะแสแล้วพ่ะย่ะค่ะ” ฟู่เฉินหวนไม่แม้แต่จะเงยหน้า เขาฝึกลายมือต่ออย่างสงบ “เจ้าว่ามาตรง ๆ เถอะ” ซูโหยวจึงเปิดจดหมายอ่าน และเอ่ยอย่างเคารพ “ท่านอ๋อง นักฆ่าที่ปรากฏในถ้ำอสรพิษ น่าจะเป็นคนของสำนักอู๋จี๋” เมื่อได้ยินคำตอบนี้ ฟู่เฉินหวนมิตะลึงแม้แต่นิด เขาเอ่ยเสียงเย็น “ข้าคิดไว้แล้ว” “ผู้ที่คลุกคลีกับลั่วชิงยวนได้ นอกจากตระกูลเหยียนจะมีผู้ใดได้อีก” น้ำเสียงของเขาแฝงความเย้ยหยัน ทั้งที่รู้ว่าลั่วชิงยวนเป็นคนที่ตระกูลเหยียนส่งมาสอดแนม แต่เขากลับใจอ่อนต่อนางครั้งแล้วครั้งเล่า คิดได้ดังนี้ สายตาของเขาเยือกเย็นมากยิ่งขึ้น เขาเอ่ยถาม “รู้จุดประสงค์ของผู้ที่เข้าไปในถ้ำอสรพิษหรือยัง?” ซูโหยวพยักหน้า “ทราบแ
“แม้จะมิได้ปวดหัว แต่กับคุณหนูรองลั่วท่านยิ่ง...” ซูโหยวพูดถึงตรงนี้ ก็มิกล้าพูดต่อ ฟู่เฉินหวนลืมตาขึ้น “ยิ่งอะไร?” “ยิ่งใส่ใจพ่ะย่ะค่ะ! แม้ท่านจะหลบหน้าคุณหนูรองลั่ว แต่เมื่อเฉียงเวยมารายงานความต้องการของคุณหนูรอง ท่านต่างสนองนางหมด!” “นางรับใช้ของนางเพิ่มมากถึงหกคน ขอประทานอภัยที่กระหม่อมพูดตรง ๆ พ่ะย่ะค่ะ กระทั่งพระชายายังมิเคยมีนางรับใช้มากมายถึงเพียงนี้” ได้ยินถึงตรงนี้ ฟู่เฉินหวนเอ่ยเสียงเย็น “ข้าเพียงกลัวนางจะมาตอแย จึงสนองความต้องการของนางเท่าที่ทำได้” “ใส่ใจหรือ? เจ้าดูจากตรงไหนว่าข้าใส่ใจกัน?” ซูโหยวจึงหุบปาก และมิกล้าเอ่ยพูดต่อ ความหงุดหงิดในใจของฟู่เฉินหวนเพิ่มมากขึ้น กระทั่งเสียงลมหายใจยังรุนแรงขึ้น เขาจึงเลือกที่จะลุกและเดินออกจากห้อง “ท่านอ๋องจักเสด็จไปที่ใดหรือพ่ะย่ะค่ะ?” ฟู่เฉินหวนมิได้หันร่าง “ไปดูว่าข้าป่วยจริงหรือไม่!” ซูโหยวถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย ไปหาท่านเซียนฉู่แล้วมีประโยชน์อย่างไรกัน อีกฝ่ายก็ไม่ทำนายให้อยู่ดี ไปแล้วก็มีแต่จะถูกปิดประตูไล่ เป็นถึงอ๋องสำเร็จราชการ เหตุใดต้องทำถึงขั้นนี้กัน ฟู่เฉินหวนเดินมาถึงเรือนหน้า จู่ ๆ มีร่างหนึ
ฟู่อวิ๋นโจวได้ยิน สายตาเขาเย็นยะเยือกลง และนั่งลงข้างโต๊ะ “ลั่วชิงยวนเป็นอย่างไรบ้าง?” หมอเทวดากู้หัวเราะเสียงเบา “องค์ชายห้าเป็นห่วงนางจริงหรือพ่ะย่ะค่ะ?” “หากนางมิมีปัญญากลับจากจวนนอกเมืองมาที่ตำหนักอ๋อง เช่นนั้นนางก็คือหมากไร้ประโยชน์ องค์ไทเฮาย่อมมิเก็บนางไว้ องค์ชายห้าเลิกคิดว่าไทเฮาจะช่วยนางเถิดพ่ะย่ะค่ะ”หมอกู้พูดอย่างสงบ และวางถ้วยโอสถไว้เบื้องหน้าฟู่อวิ๋นโจว แววตาของฟู่อวิ๋นโจมครึ้มลง เขามองหมอกู้ด้วยคิ้วที่ขมวด “พวกเจ้าเป็นคนสร้างแผนให้นางและเสด็จพี่แตกหักกัน! บัดนี้เมื่อนางเกิดเรื่อง พวกเจ้ากลับทิ้งนางราวกับหมากไร้ค่างั้นรึ?” ฟู่อวิ๋นโจวร้อนรนเสียจนไอกระแอมออกมา หมอกู้ก้าวขาอย่างมิใส่ใจ พร้อมกล่าว “องค์ชายห้าลืมแล้วหรือพ่ะย่ะค่ะ? ลั่วชิงยวนเป็นเครื่องมือที่มีไว้สำหรับหลอกใช้ตั้งแต่แรกแล้ว” “ประโยชน์ของนาง คือช่วยให้ไทเฮาบรรลุเป้าหมาย มิใช่การที่ไทเฮาต้องออกตัวมาช่วยนาง” “องค์ชายห้าทำเพื่อนางมากพอแล้ว คนทั้งตำหนักต่างเห็นกัน หากนางสามารถกลับมาได้ นางย่อมต้องนึกถึงความดีของท่าน และยอมมาอยู่ฝ่ายท่านเป็นแน่พ่ะย่ะค่ะ!” “อากาศเหน็บหนาว ท่านดูแลรพระวรกายด้วยเถิด”
เมื่อผ่านป่าผืนหนึ่ง แสงรอบด้านมืดลงโดยสิ้นเชิง ไอสังหารรอบด้านฟุ้งซ่านขึ้นมาในฉับพลัน ในอากาศมีเสียงคมกริบส่งมา โซ่เหล็กเกรียวโจมตีโดนล้อรถรถม้า ภายใต้การขับเคลื่อนความเร็วสูง ล้อรถสะดุดอย่างแรง ม้าโห่ร้องเสียงดัง ทั้งรถและคนกลิ้งตกที่ไปที่เนินข้างผืนป่า วินาทีที่รถม้าหงายลงไป ลั่วชิงยวนกระโดดลงจากรถในทันที แต่นางก็ยังถูกรถม้าขูดโดน และกลิ้งลงไปตามองศาเนิน ภายใต้แสงสลัว ชายชุดดำหลายคนวิ่งพุ่งเข้าไปในผืนป่า สวีซงหย่วนมุดเข้าไปดูในรถม้า และเอ่ยเกรี้ยวกราด “นางไปไหนแล้ว!” “หาเดี๋ยวนี้!” ชายชุดดำหลายคนตามหาบริเวณรถม้าทันที ลั่วชิงยวนสำรวจรอบด้าน นางถูกล้อมเอาไว้อย่างมิดชิด หากหนีไปโต้ง ๆ นางหนีมิพ้นแน่! นางจึงหลบอยู่หลังต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง และแอบชักมีดสั้นออกมา มองดูชายหนุ่มผู้นั้นที่อยู่ใกล้นางมากที่สุด นางตั้งใจกระทืบหิมะบนพื้น เพื่อส่งเสียงดึงดูดชายหนุ่มผู้นั้น อีกฝ่ายวิ่งมาในทันที ลั่วชิงยวนอ้อมไปอยู่ด้านหลังชายคนนั้น ปิดปากเขาไว้แน่น และกรีดคอเขาจนเสียชีวิตภายในทีเดียว นางยกศพที่หนังอึ้ง วางไว้บนพื้นอย่างระมัดระวัง ค่อย ๆ เข้าใกล้ชายหนุ่มคนต่อไป และคร่าชีวิ
วินาทีที่ลั่วชิงยวนรู้สึกความตายมาเยือน จู่ ๆ มีลำแขนที่ทรงพลัง โอบเอวของนางไว้ ภาพฟ้าดินตรงหน้าเริ่มหมุน ร่างของนางแนบอีกฝ่ายไว้แน่น และยืนบนพื้นได้อย่างมั่นคง วินาทีที่เกยตามอง ลั่วชิงยวนตะลึง แม้แสงจะหรี่ลับมาก แต่นัยน์ตาของเขาราวกับประดับไปด้วยดวงดาวบนฟ้า ทำนางตะลึงไปชั่วขณะหนึ่ง เมื่อได้สติอีกที นางรีบผลักฟู่เฉินหวนออกในทันที และเว้นระยะห่างกับเขาอย่างร้อนรน ลมหนาวโบกพัด แต่ใบหน้าของนางกลับร้อนผ่าว แต่แล้วนิ้วมือยะเยือกนั้นกลับยื่นเข้ามาอย่างกะทันหัน ผ่านผ้าคลุมหน้า และแนบลงบนคอของนาง สัมผัสเย็น ๆ ที่ลั่วชิงยวนไม่คุ้นชิน ทำร่างของนางสั่นคลอน นางหักหลบในทันที “ท่านทำกระไร!” ฟู่เฉินหวนเห็นการตอบสนองของนาง จึงเลิกคิ้ว และเผยเลือดที่ปลายนิ้วให้นางดู ลั่วชิงยวนจับไปที่คอของตน สถานการณ์คับขันเมื่อครู่ทำนางมีบาดแผลจริง ๆ แต่โชคดีที่แผลไม่ลึกนัก นางรีบหยิบผ้าเช็ดหน้าห่อแผลไว้ ทิศไม่ไกล สวีซงหย่วนเห็นฟู่เฉินหวน เขาแอบด่าพึมพำทีหนึ่ง “บัดซบ!” “พวกเราถอย!” พวกเขามิใช่คู่ต่อสู้ของอ๋องผู้สำเร็จราชการ! สู้ให้ถูกจับไปสอบปากคำ พวกเขาหนีไปก่อนยังดีเสียกว่า พวกสวีซงห
เมื่อตอนลุกยังมองไปทางลั่วชิงยวนด้วยแววตาแฝงความนัย “ร่างกายของท่านเซียนฉู่ ต้องกินเนื้อให้มากจริง ๆ ผอมเกินไปแล้ว!” ลั่วชิงยวนจับข้อมือ ในใจของนางกังวล อย่าบอกหนาว่าเขารู้ว่านางเป็นสตรีแล้ว ไม่น่าเป็นอะไรใช่ไหม? หุ่นของนางในตอนนี้แตกต่างจากนางในอดีตอย่างมาก ฟู่เฉินหวนมิมีทางนึกถึงนางแน่ เมื่อรถม้ากลับถึงในเมือง แม้จะเป็นคืนฤดูเหมันต์ แต่ใกล้ปีใหม่ รอบด้านเมืองต่างประดับไปด้วยโคมไฟ ที่เพิ่มความครึกครื้นให้กับเมือง ให้คืนฤดูเหมันต์มิรู้สึกเหน็บหนาวมากเช่นนั้น เข้ามาถึงในเมือง ความกดดันจากเรื่องที่พบนอกเมืองของนางจึงสลายไปจนสิ้น กลับถึงหน้าร้าน ลั่วชิงยวนกระโดดลงจากรถม้าและวิ่งไปที่หลังเรือนทันที เห็นจือเฉาที่อยู่หลังเรือน นางรีบผลักนางออกจากประตูหลังทันที “ท่านอ๋องเสด็จมา หนำซ้ำจะเสวยมื้อดึกที่นี่อีก เจ้าไปซ่อนตัวในโรงเตี๊ยมก่อน!” จือเฉาฉงน “เจ้าคะ? ท่านอ๋องเสด็จมาหรือ?” “เช่นนั้นบ่าวจักกลับมาได้เมื่อไรหรือเจ้าคะ?” ลั่วชิงยวนเองก็ไม่รู้ว่าฟู่เฉินหวนจะอยู่นานเพียงใด นางจึงตอบ “ค่อยกลับมาพรุ่งนี้ก็ได้ แต่เจ้าต้องระวังห้ามให้คนในตำหนักอ๋องเห็นเจ้าโดยเด็ดขาด” จือเฉาพยั
สิ้นประโยคนี้ ทั้งสามที่ได้ยินต่างตกตะลึง ลั่วชิงยวนและซ่งเชียนฉู่มองไปทางเฉินเซี่ยวหานโดยมิได้นัดหมาย “ท่านนี้ คือรัฐทายาท(1)เสนาบดีฝ่ายเหนือ! มิใช่คุณชายธรรมดาทั่วไป” ฟู่เฉินหวนหรี่ตาลง และมองไปทางเฉินเซี่ยวหานด้วยแววตาแฝงความนัย เสนาบดีฝ่ายเหนือและมหาราชาจารย์เหยียนเป็นพี่น้องร่วมสาบานกัน เสนาบดีฝ่ายเหนือต้องคอยคุ้มครองเขตแดนทิศเหนือ จึงฝากรัฐทายาทแห่งตระกูลไว้กับตระกูลเหยียน การที่เฉินเซี่ยวหานปรากฏตัวที่ร้านโอสถเล็ก ๆ เพราะชื่อเสียงของท่านเซียนฉู่ เป็นเช่นนี้จริงหรือ? ใบหน้าของเฉินเซี่ยวหานแข็งทื่อ จากนั้นก็เผยยิ้ม และหันมามองทีหนึ่ง “กระหม่อมก็คิดว่าท่านอ๋องจะปิดบังความลับเล็ก ๆ นี้ให้เสียอีก ท่านพูดออกมาก็ไม่สนุกแล้วกระมัง!” สายตาล้ำลึกของฟู่เฉินหวนประเมินเฉินเซี่ยวหาน มุมปากของเขายกเป็นรอยยิ้มจาง ๆ “ได้ยินมาว่าท่านรัฐทายาทเก่งกาจด้านการกินการเที่ยว ที่ที่มีเรื่องสนุกให้เล่นภายในเมืองหลวง ท่านรัฐทายาทต่างไปมาหมดแล้ว” “มิคิดว่าท่านรัฐทายาทจะทำอาหารเป็นเสียด้วย” เฉินเซี่ยวหานตอบด้วยท่าทีธรรมชาติ “เมื่อก่อนตอนอยู่เขตแดนเหนือ เนื้อย่างเป็นสิ่งที่กินบ่อยที่สุด เ
“ทว่าหากฝ่าบาทมีสิ่งใดที่กระหม่อมสามารถช่วยได้ ฉู่ลั่วจะมิปฏิเสธพ่ะย่ะค่ะ!”“ส่วนรายละเอียดเราค่อยพูดคุยกันภายหลัง”ฟู่จิ่งหานพยักหน้า แต่ก็พูดว่า “ท่านมิต้องการเป็นมหาปราชญ์ แต่ตำแหน่งนี้ ข้ายังคงสงวนไว้ให้เป็นของท่านเสมอ! นอกจากท่านก็ไม่มีใครเหมาะสมอีกแล้ว!”ลั่วชิงยวนมิได้เอ่ยคำใดอีกผู้คนต่างก็แยกย้ายกันไปลั่วชิงยวนถูกจักรพรรดิเรียกไปยังห้องตำราจักรพรรดิถามด้วยความร้อนรน “ท่านเซียนฉู่ ภัยพิบัติที่ท่านกล่าวว่าจะเริ่มเกิดขึ้นทางทิศใต้คือ... เมืองฉินใช่หรือไม่?”ลั่วชิงยวนพยักหน้า “น่าจะเป็นเมืองฉินพ่ะย่ะค่ะ”เรื่องนี้นางได้บอกฟู่เฉินหวนแล้วเมื่อฟู่เฉินหวนที่เพิ่งเข้ามาในห้องตำราได้ยินดังนั้นก็ตกตะลึงเล็กน้อยลั่วชิงยวนก็บอกเขาเรื่องเมืองฉินเช่นกันทั้งสองทำนายว่าทางทิศใต้จะเกิดภัยพิบัติเหมือนกัน...นี่เป็นเรื่องบังเอิญหรือไม่?“ดูเหมือนว่าตระกูลเหยียนจะยังมิยอมแพ้! ท่านเซียนฉู่ ภัยพิบัติครั้งนี้สามารถหลีกเลี่ยงได้หรือไม่?”ลั่วชิงยวนส่ายหน้า “ดูเหมือนว่าจะหลีกเลี่ยงมิได้พ่ะย่ะค่ะ”นี่เป็นครั้งที่สองที่นางทำนายเห็นได้ชัดว่ามีการส่งมือสังหารไปสังหารมหาราชาจารย์เหยีย
“คิดว่าคงเป็นเพราะท่านอาจารย์นักพรตเพิ่งมาถึงเมืองหลวง ยังมิได้มีโอกาสสืบเสาะหาชื่อเสียงของข้าในเมืองหลวง หากข้าเป็นเพียงผู้หลอกลวงต้มตุ๋น คงมีผู้คนตำหนิติเตียนข้าไปนานแล้ว”เมื่ออาจารย์นักพรตเสวียนซานได้ฟังดังนั้นก็ขมวดคิ้วดูเหมือนว่าเขาจะเข้าใจผิดเสียแล้วเมื่อมองดูฉู่ลั่วที่วางตัวอย่างสง่าผ่าเผยและแสดงท่าทีมั่นใจเช่นนี้ ก็รู้ว่าย่อมมีฝีมือที่แท้จริง มิใช่เพียงคนหลอกลวงพูดจาโอ้อวดครู่หนึ่งก็รู้สึกเสียใจที่มิได้สืบเสาะหาชื่อเสียงของฉู่ลั่วเสียก่อน“ที่แท้ข้าเข้าใจผิดไป ขออภัยต่อท่านเซียนฉู่ด้วย”“แต่ข้าเห็นว่าท่านเซียนฉู่มีฝีมือที่แท้จริง มิทราบว่าเรียนวิชาจากสำนักใด? เหตุใดจึงต้องใช้ชื่อของศิษย์เสวียนซานด้วยหรือ?”ลั่วชิงยวนยกยิ้มจาง แล้วกล่าวว่า “ไร้สำนักไร้พรรค”อาจารย์นักพรตเสวียนซานขมวดคิ้วแน่นด้วยความตกตะลึง แล้วกล่าวอย่างเสียดายว่า “ไร้สำนักไร้พรรค นั่นหมายความว่าเรียนวิชาลับใช่หรือไม่? ท่านเซียนฉู่ควรเข้ามาเป็นศิษย์ในสำนักเสวียนซาน วันนี้ได้พบกันโดยบังเอิญ ข้าปรารถนาจะรับท่านเป็นศิษย์เอก!”ผู้คนโดยรอบต่างตกตะลึง เมื่อครู่ยังหาเรื่อง บัดนี้กลับจะรับฉู่ลั่วเป็นศิษย์แล
ทุกคนต่างพากันเหลียวมองไปตามเสียงแล้วเห็นนักพรตผู้สง่างามก้าวเดินเข้ามาอย่างช้าๆรัศมีอันบริสุทธิ์ปราศจากมลทินของโลกมนุษย์แผ่พลังอำนาจอันน่าเกรงขามลั่วชิงยวนตกตะลึงเล็กน้อย เมื่อเห็นเครื่องหมายบนคอเสื้อของนักพรตแล้วพูดขึ้นว่า “อาจารย์นักพรตเสวียนซาน”เครื่องหมายบนเสื้อผ้าของศิษย์แต่ละระดับของสำนักเสวียนซานจะมีสีแตกต่างกันเครื่องหมายบนคอเสื้อของคนผู้นี้เป็นสีทอง มีเพียงอาจารย์นักพรตเสวียนซานเท่านั้นที่มีสิทธิ์สวมใส่สำนักเสวียนซานที่มีระดับสูงกว่าสีม่วง ล้วนเป็นผู้ทรงคุณวุฒิ มิค่อยลงจากเขาใครกันที่สามารถเชิญอาจารย์นักพรตเสวียนซานมาที่นี่ได้อาจารย์นักพรตเสวียนซานฮึดฮัด “เจ้ารู้จักข้าบ้างก็ถือว่ายังดี!”“เจ้าดูมิเหมือนคนร้ายกาจ เหตุใดจึงแอบอ้างเป็นศิษย์ของสำนักข้า มาหลอกลวงในวังหลวงแคว้นเทียนเชวีย!”เมื่อได้ยินดังนั้น ลั่วชิงยวนก็เข้าใจทันทีนี่เป็นฝีมือของลั่วฉิงเหล่าขุนนางและข้าราชบริพารต่างตกตะลึง“หลอกลวงหรือ? คงมิใช่กระมัง?”“ความสามารถในการทำนายของท่านเซียนฉู่คงมิใช่ของปลอมกระมัง?”ผู้คนต่างเกิดความสงสัยจักรพรรดิกล่าวว่า “ท่านนักพรต ท่านพูดเช่นนั้นได้อย่างไร!”
ดีงูที่ทำให้ฝีมือของนางเพิ่มพูนขึ้นอย่างมากนั้น นางยังคงจำได้มิลืมเลือนน่าเสียดายที่ข้างกายซ่งเชียนฉู่มีคนผู้ทรงอานุภาพคอยคุ้มครอง นางจึงพยายามด้วยวิธีการต่างๆ แต่ก็ยังล้มเหลวการใช้ความสัมพันธ์ระหว่างฉู่ลั่วกับซ่งเชียนฉู่อาจจะประสบความสำเร็จ แต่ฉู่ลั่วกลับดื้อดึงมิยอมร่วมมือกับนาง!เมื่อมิสามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้ก็จำต้องทำลายเขาเสีย!ลั่วชิงยวนกลับไปยังลานหลังร้านซ่งเชียนฉู่ถามด้วยความสงสัยว่า “ท่านมิได้ไปแล้วหรอกหรือ? เหตุใดจึงกลับมาอีก?”ลั่วชิงยวนทำท่าให้เงียบแล้วพาส่งเฉียนฉู่กลับไปยังห้อง จากนั้นบอกเล่าเรื่องราวให้ฟังเมื่อซ่งเชียนฉู่ฟังจบก็รีบกล่าวว่า “ดูเหมือนว่านางผู้นี้จะมิปล่อยท่านไป หรือว่าท่านจะเข้าวังไปดำรงตำแหน่งมหาปราชญ์ เมื่อมีตำแหน่งนี้แล้ว นางก็จะต้องเกรงใจบ้าง”ลั่วชิงยวนไตร่ตรอง แล้วพูดว่า “มหาปราชญ์ อืม... ค่อยว่ากันอีกที”จนกระทั่งล่วงเข้ายามดึก เมื่อแน่ใจแล้วว่าลั่วฉิงจากไปแล้ว ลั่วชิงยวนจึงกลับตำหนักอ๋องอย่างเงียบเชียบเมื่อกลับแล้วก็ถูกหล่างมู่ขวางทาง “พี่หญิง ท่านไปที่ใดมาขอรับ? ฟู่เฉินหวนมาหาท่านตอนค่ำ”“แล้วเจ้าบอกเขาว่าอย่างไร?”“ข้าบอกว่าพ
ลั่วชิงยวนขมวดคิ้วมองหล่างมู่อย่างช่วยมิได้“หล่างมู่ เจ้ากลับไปก่อนเถิด ข้าจะไปทำธุระก่อน” ลั่วชิงยวนหันหลังวิ่งไปหล่างมู่ถือลูกถังหูลู่สองไม้วิ่งตามไปสองสามก้าว “พี่หญิง ท่านจะไปที่ใด? ไฉนมิพาข้าไปด้วยเล่า?”ลั่วชิงยวนมิได้ใส่ใจ รีบวิ่งออกจากถนนไปแล้วเมื่อไปเปลี่ยนอาภรณ์ที่หอฝูเสวี่ยแล้ว นางจึงไปที่ร้านอย่างเงียบเชียบเมื่อไปถึงลานด้านหลังก็พบกับซ่งเชียนฉู่ที่กำลังแบกตะกร้ากลับมาจากประตูหน้า ท่าทางดูรีบร้อนนัก“ท่านมาพอดี ท่านเห็นประกาศบนถนนหรือไม่? องค์จักรพรรดิจะเชิญท่านเข้าวังเพื่อแต่งตั้งท่านเป็นมหาปราชญ์!” ซ่งเชียนฉู่ส่งประกาศให้“นี่เป็นประกาศที่ติดอยู่ที่ประตูร้านเรา”“มิกี่วันที่ผ่านมา ข้าออกไปเก็บสมุนไพร พวกเขาคงจะมาหาท่าน แต่ไม่มีใครอยู่จึงติดประกาศไว้”“จะทำอย่างไรดี?”ซ่งเชียนฉู่ก็ตกตะลึงเช่นกันลั่วชิงยวนรับประกาศมาดูอีกครั้ง ในนั้นยังเขียนด้วยว่าให้นางเข้าวังหลวงเพื่อทำนายชะตาของแคว้นเทียนเชวียแล้วแต่งตั้งเป็นมหาปราชญ์ซ่งเชียนฉู่ถอนหายใจ “ข้าคิดว่าครั้งนี้ ตัวตนของท่านคงจะปกปิดมิได้แล้ว”“คอยดูกันต่อไปเถิด” ลั่วชิงยวนยังมิรู้ว่าจะบอกฟู่เฉินหวนอย่างไร
น้ำเสียงของฟู่เฉินหวนนั้นบ่งบอกชัดเจนว่ากำลังหึงหวงอยู่ลั่วชิงยวนปอกส้มแล้วป้อนให้ฟู่เฉินหวนพลางพูดอย่างอารมณ์ดีว่า “หล่างมู่มองหม่อมฉันเป็นเพียงพี่หญิงจริง ๆ เพคะ”“เขามีความสัมพันธ์ที่ดีกับพี่หญิงมาตั้งแต่เด็ก แต่พี่หญิงของเขาเสียชีวิตเพราะเขา จึงเป็นบ่วงกรรมและความเสียใจตลอดชีวิตของเขา”“ต่อมาหล่างชิ่นกลายเป็นพี่หญิงของเขา เขาเชื่อฟังหล่างชิ่นทุกอย่าง แต่สุดท้ายหล่างชิ่นกลับต้องการให้เขาตาย”“หลังจากนั้นเมื่อหม่อมฉันไปยังเผ่านอกด่าน ราชาเผ่านอกด่านบอกว่าหม่อมฉันเป็นพี่หญิงของเขา ดังนั้นเขาจึงมองหม่อมฉันเป็นพี่หญิงแท้ ๆ มาโดยตลอด”เมื่อฟู่เฉินหวนได้ยินเช่นนั้นก็สงสัยยิ่งนัก “พูดตามตรงคือข้ายังคงมิเข้าใจเลยว่าเหตุใดราชาเผ่านอกด่านจึงมั่นใจว่าเจ้าเป็นลูกสาวของเขา”ลั่วชิงยวนพูดเสียงเบาว่า “ราชาเผ่านอกด่านกับลั่วไห่ผิงมีใบหน้าเหมือนกันราวกับแกะ! พวกเขาเป็นพี่น้องกันเพคะ!”“ก่อนที่ท่านแม่ของหม่อมฉันจะมาเมืองหลวงแล้วแต่งงานกับลั่วไห่ผิง นางเคยมีความสัมพันธ์กับราชาเผ่านอกด่าน แต่สุดท้ายก็มิได้ลงเอยกันจึงมาเมืองหลวงและแต่งงานกับลั่วไห่ผิงเพคะ”ฟู่เฉินหวนตกตะลึงยิ่งนักเมื่อได้ฟัง“
หล่างมู่ชกเข้าที่ใบหน้าของฟู่เฉินหวนจนฟู่เฉินหวนถอยหลังไปหลายก้าวหล่างมู่แสดงสีหน้าโกรธแค้น “ข้าขอเตือนท่านเลยว่าถ้าท่านทำเช่นนี้กับพี่หญิงของข้าอีก ข้าจะฆ่าท่านเสีย!”ฟู่เฉินหวนขมวดคิ้วพลางเช็ดเลือดที่มุมปาก “ลั่วชิงยวนอยู่ที่ใด ข้าจะพบกับนาง”“นางอยู่ที่ใด แล้วท่านเกี่ยวอะไรด้วย!” หล่างมู่แสดงสีหน้ามิพอใจ เขายังคงจำได้ว่าในวันคล้ายวันพระราชสมภพของจักรพรรดิ อ๋องผู้สำเร็จราชการยินดีที่จะมอบลั่วชิงยวนให้เขาชายคนนี้ช่างน่ารังเกียจ!เขามิเข้าใจว่าเหตุใดพี่หญิงจึงยังคงอยู่กับชายผู้นี้วันนี้กลับนิ่งเฉยมองดูคนอื่นทำร้ายพี่หญิงอย่างมิแยแสอีก!หล่างมู่มิพอใจอย่างยิ่งเมื่อทั้งสองสบตากัน ความเป็นปรปักษ์ก็ปะทุขึ้นบรรยากาศตึงเครียด ในวินาทีต่อมาดูเหมือนว่าจะต้องต่อสู้กันแน่แล้วลั่วชิงยวนเพิ่งเข้ามาในลานก็เห็นเหตุการณ์นี้ จึงรีบเข้าไปขวางไว้“พวกท่านกำลังทำอะไรกัน!”“แค่ก แค่ก แค่ก...” เมื่อนางร้อนใจก็กุมอกด้วยความเจ็บปวดสีหน้าของทั้งสองเปลี่ยนไปอย่างมากแล้วเข้าไปพยุงนางพร้อมกัน ลั่วชิงยวนปัดมือของทั้งสองออก แล้วหันไปมองหล่างมู่ “พี่บอกเจ้าว่าอย่างไร!”ความโกรธของหล่างมู่หา
ฟู่จิ่งหานมิได้ใส่ใจเรื่องนี้ แต่กลับรู้สึกผิดเล็กน้อยที่พระราชโองการนั้นทำให้ลั่วชิงยวนได้รับบาดเจ็บเช่นนี้ จึงพูดว่า “มิเป็นอะไร การประลองครั้งนี้ก็มิได้ห้ามมิให้แคว้นเพื่อนเรือนเคียงเข้าร่วม”“พระชายาอ๋องผู้สำเร็จราชการสามารถเอาชนะองค์ชายเผ่านอกด่าน แล้วยกให้เป็นน้องชายได้ นับว่าความสามารถเป็นที่ประจักษ์แก่ข้าแล้ว!”“พระชายามีบาดแผล อนุญาตให้พระชายาและองค์ชายหล่างมู่ออกไปก่อนได้”ลั่วชิงยวนก้มหน้าลงเล็กน้อย “ขอบพระทัยฝ่าบาทเพคะ”แล้วหล่างมู่ก็พยุงลั่วชิงยวนออกไปเนื่องจากหอฝูเสวี่ยอยู่มิไกลและสามารถมองเห็นการประลองจากชั้นสามได้ ลั่วชิงยวนจึงพาหล่างมู่ไปพักผ่อนที่หอฝูเสวี่ยก่อนซิ่งอวี่ต้มยามาให้นางกินลั่วชิงยวนนั่งข้างหน้าต่าง มองดูการประลองที่ยังคงดำเนินต่อไป เมื่อเห็นฟู่อวิ๋นโจวเอาชนะทุกคนได้ นางก็รู้ว่าเขากำลังจะเข้าสู่ราชสำนักแล้ว“พี่หญิง ยังเจ็บบาดแผลอยู่หรือไม่ขอรับ?” หล่างมู่ยกชามาให้หนึ่งถ้วยลั่วชิงยวนส่ายหน้า “มิเป็นอะไรแล้ว บาดแผลมิสาหัส พักสักสองสามวันก็หาย”“หล่างมู่ เจ้ามาเมืองหลวงได้อย่างไร? ในเผ่านอกด่านเกิดเรื่องใหญ่อันใดหรือไม่? รีบร้อนมาเช่นนี้เลยหรือ?
ฟู่อวิ๋นโจว!หล่างมู่กำหมัดแน่น แล้วกระโจนเข้าไปอีกครั้งผู้คนมากมายต่างเป็นห่วงฟู่อวิ๋นโจว หล่างมู่เป็นคนเผ่านอกด่าน ฝีมือของเขาเป็นที่ประจักษ์ของทุกคนแล้วร่างกายที่อ่อนแอของฟู่อวิ๋นโจวจะรับมือได้อย่างไรแต่ลั่วชิงยวนรู้ดีว่าเวลาที่ฟู่อวิ๋นโจวปรากฏตัวนั้นเหมาะสม นี่เป็นโอกาสที่ดีที่สุดสำหรับเขาที่จะแสดงความสามารถฟู่อวิ๋นโจวรับหมัดของหล่างมู่ได้อย่างแน่นอนจากนั้นทั้งสองก็ต่อสู้กันอย่างดุเดือดหลายสิบกระบวนท่าทำให้ผู้คนในที่นั้นต่างตกตะลึง“นี่คือองค์ชายห้าหรือ?”“ฝีมือของเขาแข็งแกร่งเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อใด?”“ใช่แล้ว มิใช่ว่าเขาป่วยอยู่หรอกหรือ?”ขณะที่ผู้คนต่างพากันวิพากษ์วิจารณ์ ฟู่อวิ๋นโจวก็พบจุดอ่อนของหล่างมู่แล้ว จึงเหวี่ยงหล่างมู่ลงไปกับพื้น แล้วชกเข้าที่ใบหน้าของหล่างมู่ลั่วชิงยวนรีบวิ่งเข้าไปห้าม “หยุดนะ!”ฟู่อวิ๋นโจวสะดุ้งแล้วลดมือลงหล่างมู่ลุกขึ้นยืนและกำลังจะตอบโต้ แต่ถูกลั่วชิงยวนดึงไว้“หล่างมู่แพ้แล้ว” ลั่วชิงยวนประกาศผลทันทีสายตาของนางมองฟู่อวิ๋นโจวด้วยอารมณ์ซับซ้อน “ขอแสดงความยินดีกับองค์ชายห้าเพคะ”เขายังคงมิได้ใช้ชีวิตอย่างอิสระและเรียบง่าย แต่กลั