ลั่วหลางหลางตะลึง “เพื่อข้าหรือ?” ขอบตาของลั่วอวิ๋นสี่แดงก่ำ นางพยายามกลั้นน้ำตาที่เอ่อล้นในดวงตา “ท่านพี่มิชอบงานแต่งที่ท่านแม่จัดให้ เจ้าก็พูดสิ! เจ้าต่อต้านสิ! ไฉนเจ้ามิยอมพูดอันใดทั้งนั้น แต่มาแอบเสียใจคนเดียวเล่า!” “เป็นเช่นนี้ตั้งแต่เด็กจนโต! เจ้ารู้หรือไม่ในใจข้าเสียใจเพียงใด! ครั้งนี้ท่านแม่ยืนหยัดที่จะหาคู่แต่งงานให้เจ้า ข้าจึงได้แต่ต้องสร้างเรื่อง เพื่อที่ท่านแม่จะได้มิมีเวลามาสนใจเจ้า!” ในใจลั่วอวิ๋นสี่รู้สึกอึดอัดเป็นที่สุด แต่เล็กจนโต นางเห็นภาพที่ท่านพี่ถูกท่านแม่ติเตียนมามาก ท่านพี่ขวัญอ่อนขี้กลัว มิว่าท่านแม่จะให้ทำสิ่งใดท่านพี่ก็มิต่อต้าน นางมิอยากต้องเป็นคนอย่างท่านพี่ ดังนั้นมิว่าท่านแม่จะพูดสิ่งใด นางก็จะทำสิ่งตรงข้ามเสมอ! เรื่องของฉู่ลั่วครั้งนี้ นางมิจำเป็นต้องทำล้ำเส้นเช่นนี้ ที่หาคนไปก่อเรื่องทุกวัน แต่ท่านแม่จะจัดหาคู่แต่งงานให้ท่านพี่ นางมองท่านพี่ที่น้ำตาอาบหน้าทุกวัน นางจึงตั้งใจไปก่อเรื่อง สร้างให้เรื่องมันใหญ่ เช่นนี้ท่านแม่จะได้มิไปจัดการเรื่องงานแต่งท่านพี่อีก นางเพียงแค่อยากใช้วิธีของตนในการปกป้องพี่สาว! แต่นางได้รับสิ่งใดกัน? การถูก
“เจ้านี่นะ ข้าพูดไปตั้งมาก มิเข้าหูของเจ้าแต่นิดเลยรึ? เจ้าเป็นเหมือนน้องเจ้าตั้งแต่เมื่อใดกัน จักทำข้าโกรธตายให้ได้เลยใช่หรือไม่?” ลั่วหรงลุกพรวดขึ้นมา สะบัดแขนเสื้อจากไปอย่างขุ่นเคือง มองดูแผ่นหลังที่จากไปอย่างโกรธเคืองของลั่วหรง นางกัดปาก นัยน์ตาเอ่อล้นด้วยน้ำตา ...... ณ ตำหนักอ๋องผู้สำเร็จราชการ ซูโหยวเดินเข้าห้องตำราอย่างเร็วรี่ พร้อมมอบจดหมายลับฉบับหนึ่ง “ท่านอ๋อง มีเบาะแสแล้วพ่ะย่ะค่ะ” ฟู่เฉินหวนไม่แม้แต่จะเงยหน้า เขาฝึกลายมือต่ออย่างสงบ “เจ้าว่ามาตรง ๆ เถอะ” ซูโหยวจึงเปิดจดหมายอ่าน และเอ่ยอย่างเคารพ “ท่านอ๋อง นักฆ่าที่ปรากฏในถ้ำอสรพิษ น่าจะเป็นคนของสำนักอู๋จี๋” เมื่อได้ยินคำตอบนี้ ฟู่เฉินหวนมิตะลึงแม้แต่นิด เขาเอ่ยเสียงเย็น “ข้าคิดไว้แล้ว” “ผู้ที่คลุกคลีกับลั่วชิงยวนได้ นอกจากตระกูลเหยียนจะมีผู้ใดได้อีก” น้ำเสียงของเขาแฝงความเย้ยหยัน ทั้งที่รู้ว่าลั่วชิงยวนเป็นคนที่ตระกูลเหยียนส่งมาสอดแนม แต่เขากลับใจอ่อนต่อนางครั้งแล้วครั้งเล่า คิดได้ดังนี้ สายตาของเขาเยือกเย็นมากยิ่งขึ้น เขาเอ่ยถาม “รู้จุดประสงค์ของผู้ที่เข้าไปในถ้ำอสรพิษหรือยัง?” ซูโหยวพยักหน้า “ทราบแ
“แม้จะมิได้ปวดหัว แต่กับคุณหนูรองลั่วท่านยิ่ง...” ซูโหยวพูดถึงตรงนี้ ก็มิกล้าพูดต่อ ฟู่เฉินหวนลืมตาขึ้น “ยิ่งอะไร?” “ยิ่งใส่ใจพ่ะย่ะค่ะ! แม้ท่านจะหลบหน้าคุณหนูรองลั่ว แต่เมื่อเฉียงเวยมารายงานความต้องการของคุณหนูรอง ท่านต่างสนองนางหมด!” “นางรับใช้ของนางเพิ่มมากถึงหกคน ขอประทานอภัยที่กระหม่อมพูดตรง ๆ พ่ะย่ะค่ะ กระทั่งพระชายายังมิเคยมีนางรับใช้มากมายถึงเพียงนี้” ได้ยินถึงตรงนี้ ฟู่เฉินหวนเอ่ยเสียงเย็น “ข้าเพียงกลัวนางจะมาตอแย จึงสนองความต้องการของนางเท่าที่ทำได้” “ใส่ใจหรือ? เจ้าดูจากตรงไหนว่าข้าใส่ใจกัน?” ซูโหยวจึงหุบปาก และมิกล้าเอ่ยพูดต่อ ความหงุดหงิดในใจของฟู่เฉินหวนเพิ่มมากขึ้น กระทั่งเสียงลมหายใจยังรุนแรงขึ้น เขาจึงเลือกที่จะลุกและเดินออกจากห้อง “ท่านอ๋องจักเสด็จไปที่ใดหรือพ่ะย่ะค่ะ?” ฟู่เฉินหวนมิได้หันร่าง “ไปดูว่าข้าป่วยจริงหรือไม่!” ซูโหยวถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย ไปหาท่านเซียนฉู่แล้วมีประโยชน์อย่างไรกัน อีกฝ่ายก็ไม่ทำนายให้อยู่ดี ไปแล้วก็มีแต่จะถูกปิดประตูไล่ เป็นถึงอ๋องสำเร็จราชการ เหตุใดต้องทำถึงขั้นนี้กัน ฟู่เฉินหวนเดินมาถึงเรือนหน้า จู่ ๆ มีร่างหนึ
ฟู่อวิ๋นโจวได้ยิน สายตาเขาเย็นยะเยือกลง และนั่งลงข้างโต๊ะ “ลั่วชิงยวนเป็นอย่างไรบ้าง?” หมอเทวดากู้หัวเราะเสียงเบา “องค์ชายห้าเป็นห่วงนางจริงหรือพ่ะย่ะค่ะ?” “หากนางมิมีปัญญากลับจากจวนนอกเมืองมาที่ตำหนักอ๋อง เช่นนั้นนางก็คือหมากไร้ประโยชน์ องค์ไทเฮาย่อมมิเก็บนางไว้ องค์ชายห้าเลิกคิดว่าไทเฮาจะช่วยนางเถิดพ่ะย่ะค่ะ”หมอกู้พูดอย่างสงบ และวางถ้วยโอสถไว้เบื้องหน้าฟู่อวิ๋นโจว แววตาของฟู่อวิ๋นโจมครึ้มลง เขามองหมอกู้ด้วยคิ้วที่ขมวด “พวกเจ้าเป็นคนสร้างแผนให้นางและเสด็จพี่แตกหักกัน! บัดนี้เมื่อนางเกิดเรื่อง พวกเจ้ากลับทิ้งนางราวกับหมากไร้ค่างั้นรึ?” ฟู่อวิ๋นโจวร้อนรนเสียจนไอกระแอมออกมา หมอกู้ก้าวขาอย่างมิใส่ใจ พร้อมกล่าว “องค์ชายห้าลืมแล้วหรือพ่ะย่ะค่ะ? ลั่วชิงยวนเป็นเครื่องมือที่มีไว้สำหรับหลอกใช้ตั้งแต่แรกแล้ว” “ประโยชน์ของนาง คือช่วยให้ไทเฮาบรรลุเป้าหมาย มิใช่การที่ไทเฮาต้องออกตัวมาช่วยนาง” “องค์ชายห้าทำเพื่อนางมากพอแล้ว คนทั้งตำหนักต่างเห็นกัน หากนางสามารถกลับมาได้ นางย่อมต้องนึกถึงความดีของท่าน และยอมมาอยู่ฝ่ายท่านเป็นแน่พ่ะย่ะค่ะ!” “อากาศเหน็บหนาว ท่านดูแลรพระวรกายด้วยเถิด”
เมื่อผ่านป่าผืนหนึ่ง แสงรอบด้านมืดลงโดยสิ้นเชิง ไอสังหารรอบด้านฟุ้งซ่านขึ้นมาในฉับพลัน ในอากาศมีเสียงคมกริบส่งมา โซ่เหล็กเกรียวโจมตีโดนล้อรถรถม้า ภายใต้การขับเคลื่อนความเร็วสูง ล้อรถสะดุดอย่างแรง ม้าโห่ร้องเสียงดัง ทั้งรถและคนกลิ้งตกที่ไปที่เนินข้างผืนป่า วินาทีที่รถม้าหงายลงไป ลั่วชิงยวนกระโดดลงจากรถในทันที แต่นางก็ยังถูกรถม้าขูดโดน และกลิ้งลงไปตามองศาเนิน ภายใต้แสงสลัว ชายชุดดำหลายคนวิ่งพุ่งเข้าไปในผืนป่า สวีซงหย่วนมุดเข้าไปดูในรถม้า และเอ่ยเกรี้ยวกราด “นางไปไหนแล้ว!” “หาเดี๋ยวนี้!” ชายชุดดำหลายคนตามหาบริเวณรถม้าทันที ลั่วชิงยวนสำรวจรอบด้าน นางถูกล้อมเอาไว้อย่างมิดชิด หากหนีไปโต้ง ๆ นางหนีมิพ้นแน่! นางจึงหลบอยู่หลังต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง และแอบชักมีดสั้นออกมา มองดูชายหนุ่มผู้นั้นที่อยู่ใกล้นางมากที่สุด นางตั้งใจกระทืบหิมะบนพื้น เพื่อส่งเสียงดึงดูดชายหนุ่มผู้นั้น อีกฝ่ายวิ่งมาในทันที ลั่วชิงยวนอ้อมไปอยู่ด้านหลังชายคนนั้น ปิดปากเขาไว้แน่น และกรีดคอเขาจนเสียชีวิตภายในทีเดียว นางยกศพที่หนังอึ้ง วางไว้บนพื้นอย่างระมัดระวัง ค่อย ๆ เข้าใกล้ชายหนุ่มคนต่อไป และคร่าชีวิ
วินาทีที่ลั่วชิงยวนรู้สึกความตายมาเยือน จู่ ๆ มีลำแขนที่ทรงพลัง โอบเอวของนางไว้ ภาพฟ้าดินตรงหน้าเริ่มหมุน ร่างของนางแนบอีกฝ่ายไว้แน่น และยืนบนพื้นได้อย่างมั่นคง วินาทีที่เกยตามอง ลั่วชิงยวนตะลึง แม้แสงจะหรี่ลับมาก แต่นัยน์ตาของเขาราวกับประดับไปด้วยดวงดาวบนฟ้า ทำนางตะลึงไปชั่วขณะหนึ่ง เมื่อได้สติอีกที นางรีบผลักฟู่เฉินหวนออกในทันที และเว้นระยะห่างกับเขาอย่างร้อนรน ลมหนาวโบกพัด แต่ใบหน้าของนางกลับร้อนผ่าว แต่แล้วนิ้วมือยะเยือกนั้นกลับยื่นเข้ามาอย่างกะทันหัน ผ่านผ้าคลุมหน้า และแนบลงบนคอของนาง สัมผัสเย็น ๆ ที่ลั่วชิงยวนไม่คุ้นชิน ทำร่างของนางสั่นคลอน นางหักหลบในทันที “ท่านทำกระไร!” ฟู่เฉินหวนเห็นการตอบสนองของนาง จึงเลิกคิ้ว และเผยเลือดที่ปลายนิ้วให้นางดู ลั่วชิงยวนจับไปที่คอของตน สถานการณ์คับขันเมื่อครู่ทำนางมีบาดแผลจริง ๆ แต่โชคดีที่แผลไม่ลึกนัก นางรีบหยิบผ้าเช็ดหน้าห่อแผลไว้ ทิศไม่ไกล สวีซงหย่วนเห็นฟู่เฉินหวน เขาแอบด่าพึมพำทีหนึ่ง “บัดซบ!” “พวกเราถอย!” พวกเขามิใช่คู่ต่อสู้ของอ๋องผู้สำเร็จราชการ! สู้ให้ถูกจับไปสอบปากคำ พวกเขาหนีไปก่อนยังดีเสียกว่า พวกสวีซงห
เมื่อตอนลุกยังมองไปทางลั่วชิงยวนด้วยแววตาแฝงความนัย “ร่างกายของท่านเซียนฉู่ ต้องกินเนื้อให้มากจริง ๆ ผอมเกินไปแล้ว!” ลั่วชิงยวนจับข้อมือ ในใจของนางกังวล อย่าบอกหนาว่าเขารู้ว่านางเป็นสตรีแล้ว ไม่น่าเป็นอะไรใช่ไหม? หุ่นของนางในตอนนี้แตกต่างจากนางในอดีตอย่างมาก ฟู่เฉินหวนมิมีทางนึกถึงนางแน่ เมื่อรถม้ากลับถึงในเมือง แม้จะเป็นคืนฤดูเหมันต์ แต่ใกล้ปีใหม่ รอบด้านเมืองต่างประดับไปด้วยโคมไฟ ที่เพิ่มความครึกครื้นให้กับเมือง ให้คืนฤดูเหมันต์มิรู้สึกเหน็บหนาวมากเช่นนั้น เข้ามาถึงในเมือง ความกดดันจากเรื่องที่พบนอกเมืองของนางจึงสลายไปจนสิ้น กลับถึงหน้าร้าน ลั่วชิงยวนกระโดดลงจากรถม้าและวิ่งไปที่หลังเรือนทันที เห็นจือเฉาที่อยู่หลังเรือน นางรีบผลักนางออกจากประตูหลังทันที “ท่านอ๋องเสด็จมา หนำซ้ำจะเสวยมื้อดึกที่นี่อีก เจ้าไปซ่อนตัวในโรงเตี๊ยมก่อน!” จือเฉาฉงน “เจ้าคะ? ท่านอ๋องเสด็จมาหรือ?” “เช่นนั้นบ่าวจักกลับมาได้เมื่อไรหรือเจ้าคะ?” ลั่วชิงยวนเองก็ไม่รู้ว่าฟู่เฉินหวนจะอยู่นานเพียงใด นางจึงตอบ “ค่อยกลับมาพรุ่งนี้ก็ได้ แต่เจ้าต้องระวังห้ามให้คนในตำหนักอ๋องเห็นเจ้าโดยเด็ดขาด” จือเฉาพยั
สิ้นประโยคนี้ ทั้งสามที่ได้ยินต่างตกตะลึง ลั่วชิงยวนและซ่งเชียนฉู่มองไปทางเฉินเซี่ยวหานโดยมิได้นัดหมาย “ท่านนี้ คือรัฐทายาท(1)เสนาบดีฝ่ายเหนือ! มิใช่คุณชายธรรมดาทั่วไป” ฟู่เฉินหวนหรี่ตาลง และมองไปทางเฉินเซี่ยวหานด้วยแววตาแฝงความนัย เสนาบดีฝ่ายเหนือและมหาราชาจารย์เหยียนเป็นพี่น้องร่วมสาบานกัน เสนาบดีฝ่ายเหนือต้องคอยคุ้มครองเขตแดนทิศเหนือ จึงฝากรัฐทายาทแห่งตระกูลไว้กับตระกูลเหยียน การที่เฉินเซี่ยวหานปรากฏตัวที่ร้านโอสถเล็ก ๆ เพราะชื่อเสียงของท่านเซียนฉู่ เป็นเช่นนี้จริงหรือ? ใบหน้าของเฉินเซี่ยวหานแข็งทื่อ จากนั้นก็เผยยิ้ม และหันมามองทีหนึ่ง “กระหม่อมก็คิดว่าท่านอ๋องจะปิดบังความลับเล็ก ๆ นี้ให้เสียอีก ท่านพูดออกมาก็ไม่สนุกแล้วกระมัง!” สายตาล้ำลึกของฟู่เฉินหวนประเมินเฉินเซี่ยวหาน มุมปากของเขายกเป็นรอยยิ้มจาง ๆ “ได้ยินมาว่าท่านรัฐทายาทเก่งกาจด้านการกินการเที่ยว ที่ที่มีเรื่องสนุกให้เล่นภายในเมืองหลวง ท่านรัฐทายาทต่างไปมาหมดแล้ว” “มิคิดว่าท่านรัฐทายาทจะทำอาหารเป็นเสียด้วย” เฉินเซี่ยวหานตอบด้วยท่าทีธรรมชาติ “เมื่อก่อนตอนอยู่เขตแดนเหนือ เนื้อย่างเป็นสิ่งที่กินบ่อยที่สุด เ
“เจ้ารีบอะไรนักหนา รอมาตั้งนานแล้ว รออีกสักหน่อยจะเป็นกระไร”เมื่อได้ยินดังนั้น อวี๋ตันเฟิ่งก็หยุดมือลั่วชิงยวนเดินเข้าไปคว้าตัวโหยวเซียงไว้ให้โฉวสือชีมัดนางไว้แน่นหนา จากนั้นจึงปลุกโหยวเซียงให้ฟื้นขึ้นมาเมื่อฟื้นคืนสติ โหยวเซียงก็จ้องหน้าลั่วชิงยวนเขม็งอย่างโกรธแค้น “เจ้ากล้าจับข้า เจ้าคอยดูเถอะว่าจะตายอย่างไร!”ลั่วชิงยวนย่อตัวลงนั่งตรงหน้านาง แล้วหัวเราะเบา ๆ “ใช่แล้ว ใครจะกล้าแตะต้องคุณหนูใหญ่เมืองแห่งภูตผีเล่า”“น่าเสียดาย เมืองแห่งภูตผีแห่งนี้ บิดามารดาของเจ้าไปปล้นเขามา มิใช่ของพวกเขามาแต่เดิม ย่อมมิใช่ของเจ้าเช่นกัน”“ถึงเวลาคืนเจ้าของตัวจริงแล้ว”โหยวเซียงจ้องเขม็งนางอย่างโกรธแค้น “เจ้าพูดจาเหลวไหลอะไร! เมืองแห่งภูตผีแห่งนี้เป็นของบิดามารดาข้ามาแต่เดิม!”เมื่อได้ยินดังนั้น ลั่วชิงยวนก็ประหลาดใจ “หรือว่าต่งอวิ๋นซิ่วมิได้บอกความจริงแก่เจ้า”“ก็ถูกแล้ว เรื่องน่าอับอายเช่นนี้ นางจะบอกลูกสาวได้อย่างไร”“เมืองแห่งภูตผีแห่งนี้มิใช่เพียงถูกบิดามารดาเจ้ายึดมาเท่านั้น แต่ยังใช้วิธีการที่น่ารังเกียจในการยึดครองด้วย!”“เดาว่าจนถึงตอนนี้เจ้าก็คงยังมิรู้เลยว่าศัตรูของเจ้าคือผ
โหยวเซียงกัดฟันพูดด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบลั่วชิงยวนมองไปที่อวี๋โหรว หลายวันมานี้อวี๋โหรวผอมซูบไปมาก“เจ้าจับตัวอวี๋โหรวมาเพื่อล่อข้ามาที่นี่รึ?”ลั่วชิงยวนหรี่ตามองโหยวเซียง“แต่เจ้ามิน่าจะมีความสามารถพอที่จะพาอวี๋โหรวออกจากวังหลวงไปได้”“เวินซินถงเป็นคนทำใช่หรือไม่?”“เจ้าทำข้อตกลงอะไรกับนางไว้?”โหยวเซียงหัวเราะเยาะ “อยากรู้รึ?”“คุกเข่าอ้อนวอนข้าสิ”“เจ้าอ้อนวอนข้า ข้าถึงจะบอกเจ้าว่าผู้ใดจับตัวอวี๋โหรวมา และผู้ใดร่วมมือกับข้าวางแผนให้เจ้ามาที่เมืองแห่งภูตผี”ลั่วชิงยวนมองท่าทีหยิ่งยโสของโหยวเซียงแล้วก็อดมิได้ที่จะหัวเราะเบา ๆ นางกวาดสายตามองไปรอบ ๆ แล้วถามว่า “ต่งอวิ๋นซิ่วมิมาด้วยรึ?”“เมื่อครู่นี้คนที่ต่อสู้กับข้าก็คือนางใช่หรือไม่?”เมื่อได้ยินน้ำเสียงเยาะเย้ยของลั่วชิงยวน โหยวเซียงก็โกรธจัด ในใจนางตกใจ ลั่วชิงยวนรู้แล้วหรือว่ามารดาของนางเป็นใคร“สารเลว!”นางบีบคออวี๋โหรวอย่างแรงเพื่อข่มขู่ลั่วชิงยวน “จะคุกเข่าหรือไม่?!”“ลั่วชิงยวน เจ้ามีโอกาสแค่ครั้งเดียว!”“หากเจ้ามิยอมคุกเข่ายอมจำนนแต่โดยดี ข้าจะหักคอนางเดี๋ยวนี้!”กล่าวจบ โหยวเซียงก็ออกแรงบีบบีบจนอวี๋โหรวหาย
ทันทีที่คนใบ้หันมาเห็นจึงรีบเข้ามาย่อตัวลงข้างนางแล้วช่วยประคองนางไว้ลั่วชิงยวนเช็ดเลือดที่มุมปาก ใบหน้าซีดเผือดกว่าเดิม“ข้ามิเป็นอะไร”นางเงยหน้าขึ้นมองอวี๋ตันเฟิ่งที่อยู่กลางอากาศ ในที่สุดจิตวิญญาณของนางก็สมบูรณ์แล้วบนใบหน้าซีดขาวนั้นปรากฏรอยยิ้ม รอยยิ้มนั้นทั้งพึงพอใจและเย่อหยิ่ง“ในที่สุดข้าก็ได้… เป็นอิสระแล้ว! ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า...”อวี๋ตันเฟิ่งหัวเราะลั่น ทำเอาป่าทั้งผืนเกิดพายุโหมกระหน่ำคนใบ้รีบยกมือขึ้นช่วยลั่วชิงยวนปัดป้องฝุ่นและใบไม้ที่ปลิวว่อน......จู่ ๆ ต่งอวิ๋นซิ่วก็กระอักเลือดออกมาเต็มปาก จากนั้นหมดสติล้มลงบนพื้น“ท่านแม่!”โหยวเซียงตกใจ รีบเข้าไปประคองนาง “ท่านแม่! ท่านแม่! ท่านเป็นอะไรไป!”หลังจากตะโกนเรียกอยู่นาน มารดาของนางก็มิฟื้นโหยวเซียงโกรธจนกัดฟันพูด “ลั่วชิงยวน สารเลว!”“เจ้าคอยดูเถอะ!”......ผ่านไปครู่ใหญ่ อวี๋ตันเฟิ่งถึงจะสงบสติอารมณ์ลงได้ลมพายุในป่าก็สงบลงเช่นกันถูหมิงที่อยู่ข้าง ๆ จึงค่อย ๆ ขยับเข้ามาใกล้ฉีเสวี่ยเวยที่ยังคงตกตะลึงมองภาพเหตุการณ์เมื่อครู่ด้วยความมิอยากเชื่อ “เมื่อกี้เกิดอะไรขึ้น?”“ต่อไปพวกเราต้องทำอะไร?”ลั่วชิงยวน
คนของถูหมิงตายไปหมดแล้ว เหลือเพียงฉีเสวี่ยเวยเท่านั้นในขณะที่พวกเขาเดินทางไปยังถ้ำแห่งที่หกในคืนนั้นผลลัพธ์ที่ได้กลับน่าผิดหวังเพราะในถ้ำว่างเปล่า“ดูเหมือนว่าพวกเราจะมาช้าไปก้าวหนึ่ง”ถูหมิงขมวดคิ้ว “เหลืออีกหนึ่งชิ้น ทำอย่างไรดี? หรือว่าความพยายามทั้งหมดของเราจะสูญเปล่า?”พวกเขาวุ่นวายมาหลายวัน เดินทางไปเกือบทั่วทั้งภูเขาแล้วหากสมบัติหายไปเช่นนี้ เขาคงต้องฆ่าสตรีผู้นี้เป็นแน่!ลั่วชิงยวนขมวดคิ้วครุ่นคิด แล้วกล่าวว่า “เหลืออีกหนึ่งชิ้นก็เหลืออีกหนึ่งชิ้น”“หาที่ปลอดภัยก่อน”จากนั้นพวกเขาก็มายังป่าที่ค่อนข้างสะอาด ไม่มีพุ่มไม้หรือวัชพืชหนาแน่นบนพื้นมากนัก ค่อนข้างโปร่งโล่งหีบทั้งห้าใบวางอยู่บนพื้นลั่วชิงยวนกล่าวว่า “เปิดหีบกันเถิด”ทันใดนั้นดวงตาของถูหมิงก็เป็นประกาย “เปิดได้หรือ?”เขาเห็นว่าบนหีบมีแต่อักขระสีเลือดปกคลุมอยู่ จึงยั้งมือไว้หลายครั้งแม้จะอยากเปิดก็ตามเมื่อได้ยินเช่นนี้จึงรีบเปิดหีบทันทีแต่เมื่อเปิดออกแล้ว ร่างกายของเขาก็แข็งทื่อไปศพ?!ทั้งยังเป็นศพที่ถูกชำแหละอีกด้วย?ฉีเสวี่ยเวยก็ตกใจกลัวลั่วชิงยวนกลับสงบสติอารมณ์ สั่งให้โฉวสือชีและคนใบ้ช่วย
“ใครกัน?!”ลั่วชิงยวนหรี่ตาลงเล็กน้อย แล้วตอบเสียงแผ่ว “ซูเซียง”“แต่ตอนนี้ควรเรียกนางว่าโหยวเซียง”“ภารกิจที่พวกเจ้าได้รับก็เป็นเพียงการละเล่นของนางเท่านั้น”“นางต้องการให้พวกเจ้าฆ่ากันเอง”และภารกิจหนังหน้าของหญิงงามที่ฉีเสวี่ยเวยได้รับ ก็คงเป็นการล่อลวงให้ฉีเสวี่ยเวยมาฆ่านางหากสามารถยืมมือคนอื่นฆ่าคนได้ โหยวเซียงก็มิจำเป็นต้องเปิดเผยตัวตนเพียงแต่โหยวเซียงคาดมิถึงว่าฉีเสวี่ยเวยจะฆ่านางมิได้ กระทั่งโหยวเซียงเองก็ฆ่านางมิได้“โหยวเซียงหรือ? นางเป็นคนของเมืองแห่งภูตผีแห่งนี้หรือ?” ฉีเสวี่ยเวยมองนางอย่างมิเชื่อสายตา“มิแปลกใจเลย… นางท้องแก่ถึงเพียงนั้นยังกล้ามาที่นี่ได้”ลั่วชิงยวนเห็นว่าใกล้รุ่งสางแล้ว จึงให้โฉวสือชีแก้เชือกที่มัดฉีเสวี่ยเวยไว้“ข้าจะยังมิฆ่าเจ้าตอนนี้”“มิว่าเรื่องที่เจ้ากล่าวมาจะเป็นจริงหรือไม่ก็มิสำคัญ ข้าก็มิกลัวว่าเจ้าจะไปบอกเรื่องนี้กับถูหมิง”“หากเจ้าไปบอก เรื่องเดียวที่จะเป็นผลเสียต่อพวกข้าก็คือต้องแบกหีบเพิ่มอีกมิกี่ใบ”“เพียงเท่านั้น”มิใช่เรื่องคอขาดบาดตายที่นางทำเป็นร่วมมือกับถูหมิง ก็เพียงต้องการใช้คนของเขาไปขวางทางศพชายที่ถูกผนึกไว้ในถ้ำ
“แม้จะต้องยอมตายไปพร้อมกับถูหมิง ข้าก็ยินดี!”เมื่อได้ยินดังนั้น ลั่วชิงยวนก็ตกตะลึง แต่ก็ยังคงสงสัยอยู่บ้าง“แต่เจ้าสนิทสนมกับถูหมิงถึงเพียงนั้น น่าจะมีโอกาสฆ่าเขาได้นับครั้งมิถ้วน”ฉีเสวี่ยเวยขมวดคิ้วแน่น ดวงตาแดงก่ำ “แท้จริงแล้วคนผู้นั้นระแวดระวังตัวมาก หากมิใช่เพราะต้องการลดความระแวดระวังของเขา ข้ากับชายมากหน้าหลายตาก็คงมิ...”เมื่อกล่าวถึงตรงนี้ ฉีเสวี่ยเวยก็เม้มริมฝีปากแน่นหลังจากกล้ำกลืนความรู้สึกแล้ว จึงกล่าวต่อ “ในป่าครั้งนั้นเป็นครั้งแรกที่เขาใกล้ชิดข้า เดิมทีตอนนั้นข้ามีโอกาสที่จะฆ่าเขาได้!”“แต่เจ้าปีศาจฝูเหมิ่งนั่นบังเอิญมาขวาง!”“หากมิใช่เพราะเขา ข้าคงทำสำเร็จไปแล้ว!”ฉีเสวี่ยเวยกัดฟันพูด เต็มไปด้วยความเคียดแค้นลั่วชิงยวนรู้สึกประหลาดใจ เมื่อเห็นสีหน้าของฉีเสวี่ยเวย ในดวงตาของนางเต็มไปด้วยความแค้น ดูมิเหมือนคนโกหกทำให้นางเปลี่ยนทัศนคติที่มีต่อฉีเสวี่ยเวยไปบ้างขณะที่ลั่วชิงยวนยังคงครุ่นคิด ฉีเสวี่ยเวยก็มองมาที่นาง “เจ้ายังมิเชื่อข้าหรือ?”“ขอเพียงเจ้าฆ่าถูหมิงได้ ข้าจะทำทุกอย่างเพื่อเจ้า! ข้าจะบอกสิ่งที่เจ้าอยากรู้ทุกอย่าง!”ลั่วชิงยวนครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง
ลั่วชิงยวนนอนนิ่งอยู่บนเตียง มิกล้าขยับกายทว่างูตัวนั้นกลับกัดข้อเท้านางอย่างแรงหนึ่งครั้ง จากนั้นก็รีบเลื้อยหนีไปรออยู่ครู่หนึ่ง ฉีเสวี่ยเวยเห็นว่าคนที่นอนอยู่บนเตียงไม่มีความเคลื่อนไหวใด ๆ จึงเปิดประตูเข้ามานางมิอาจมั่นใจได้ว่าพวกคนใบ้จะกลับมาเมื่อใด จึงมิกล้าเสียเวลานานหลังจากปิดประตูอย่างระแวดระวังแล้ว นางก็มายังปลายเตียง จ้องมองข้อเท้าของลั่วชิงยวนอย่างละเอียด ปรากฏว่าถูกงูกัดจริง ๆ นางต้องตายเพราะพิษนี้แน่นอน!ทันใดนั้นเอง ฉีเสวี่ยเวยก็ชักกริชออกมาแล้วเดินไปยังหัวเตียง ค่อย ๆ จรดใบมีดลงบนใบหน้าของลั่วชิงยวนแต่ในพริบตานั้นเอง ลั่วชิงยวนก็ลืมตาขึ้นมาจ้องมองนางด้วยสายตาอาฆาตแค้นฉีเสวี่ยเวยพลันตกใจ แต่ก็มิได้หนีในทันที เพราะนางคิดว่าลั่วชิงยวนโดนพิษงูเข้าไปแล้ว อย่างไรก็ต้องตายอยู่ดีลั่วชิงยวนรีบคว้าข้อมือของฉีเสวี่ยเวยไว้เพื่อแย่งชิงกริชมาจากนางฉีเสวี่ยเวยก็ลงมือโจมตีเช่นกัน เพียงแต่นางคาดมิถึงว่าสตรีผู้นี้ที่ถูกพิษแล้วจะยังมีพละกำลังมากมายถึงเพียงนี้หลังจากทั้งสองต่อสู้กันครู่หนึ่งในห้อง ฉีเสวี่ยเวยก็พ่ายแพ้ ถูกลั่วชิงยวนจับกดไว้บนโต๊ะฉีเสวี่ยเวยตกใจมาก “เจ้า
“แน่นอน”“อีกอย่าง เมื่อหาของเหล่านี้ครบแล้วเมืองแห่งภูตผีทั้งเมืองก็จะเป็นของพวกเรา แล้วยังต้องขึ้นเขาไปเอาของเล็ก ๆ น้อย ๆ นั่นหาปะไร”คำพูดนี้กระตุ้นความโลภในใจของทุกคนที่อยู่ตรงนั้นอย่างมิต้องสงสัยพวกเขาจึงมิลังเลอีกต่อไป รีบติดตามลั่วชิงยวนไปยังเส้นทางเดิมตลอดทางยังมีงูมากมาย ลั่วชิงยวนก็หาสมุนไพรบางชนิดตลอดทางแล้วมอบให้ทุกคนผูกติดไว้บนตัวและทาตามเท้า เพื่อให้กลิ่นของสมุนไพรนั้นช่วยไล่งูดังนั้นการเดินทางของพวกเขาจึงราบรื่นดี เมื่อยามค่ำคืนมาเยือนพวกเขาก็ออกมาจากบ่อน้ำพุร้อนนั้นอีกครั้งพวกเขากลับมายังหมู่บ้านเดิมในช่วงกลางดึกสงัดในหมู่บ้านยังมีอาหารหลงเหลืออยู่ ดังนั้นทุกคนจึงหยุดพักกินอาหารกันก่อนเมื่อฟื้นฟูพละกำลังได้แล้วคนทั้งหมดก็ออกเดินทางต่อมาถึงสุสานเดิม ยามนี้วิญญาณอาฆาตเต็มไปทั่วทั้งภูเขา พลังหยินแผ่ซ่านไปทั่วเมื่อลั่วชิงยวนมาถึงที่แห่งนั้นก็พบว่าปากถ้ำเปิดออกแล้วมีคนกล่าวขึ้นว่า “วันนั้นฝูเหมิ่งก็มาที่นี่!”ลั่วชิงยวนตกใจเล็กน้อยเมื่อเข้าไปในถ้ำแล้ว ภาพที่ปรากฏด้านในนั้นมิเปลี่ยนแปลงมากนัก สิ่งที่เปลี่ยนไปเพียงอย่างเดียวคือโลงศพที่ถูกล่ามโซ่นั้นระเบ
เมื่อได้ยินดังนั้น ความโลภก็ปรากฏในดวงตาของถูหมิง ใครเล่าจะมิปรารถนาสมบัติของเมืองแห่งภูตผี เขาตอบตกลงในทันที “ได้”ลั่วชิงยวนกล่าวต่อว่า “แต่การนำของสิ่งนี้มาจะต้องเผชิญกับอันตรายบ้าง ดังนั้นอาจจะต้องมีคนของเจ้าสละชีวิต”“แต่คนมากก็แบ่งกันได้น้อย คนตายไปบ้างก็มิจำเป็นต้องสนใจความเป็นความตายของพวกเขา”“ความลับนี้ข้าบอกเพียงเจ้าเท่านั้น เจ้าอย่าได้แพร่งพรายให้ผู้ใดรู้เชียว”“โดยเฉพาะฉีเสวี่ยเวย”เมื่อได้ยินดังนั้นถูหมิงก็หันกลับไปมอง แต่ไหนแต่ไรมาเขาก็มิเคยสนใจความเป็นความตายของคนเหล่านั้นอยู่แล้ว“หาได้มีปัญหาไม่!”ถูหมิงรับปากอย่างง่ายดาย แต่ลั่วชิงยวนกลับยังคงระแวดระวัง “ยังมีเรื่องที่ต้องบอกเจ้าอีกอย่าง กองทัพของเมืองแห่งภูตผีถูกพวกข้าปลุกปั่นแล้ว คาดว่าอีกมินานคงไล่ตามมา”“ก่อนที่จะหาของทั้งหกชิ้นพบ อย่าได้คิดที่จะทำสิ่งใดนอกเหนือจากนี้ ท้ายที่สุดแล้ว พวกเราต้องร่วมมือกันต่อสู้กับศัตรู หากถูกพวกมันจับได้คงไม่มีใครมีจุดจบที่ดี”สีหน้าของถูหมิงเปลี่ยนไปเล็กน้อย มิคาดคิดว่าสตรีผู้นี้จะเก่งกาจมากถึงเพียงนี้ กระทั่งปลุกกองทัพของเมืองแห่งภูตผีขึ้นมาได้ดูเหมือนว่าสิ่งที่นางต้