“แม้จะมิได้ปวดหัว แต่กับคุณหนูรองลั่วท่านยิ่ง...” ซูโหยวพูดถึงตรงนี้ ก็มิกล้าพูดต่อ ฟู่เฉินหวนลืมตาขึ้น “ยิ่งอะไร?” “ยิ่งใส่ใจพ่ะย่ะค่ะ! แม้ท่านจะหลบหน้าคุณหนูรองลั่ว แต่เมื่อเฉียงเวยมารายงานความต้องการของคุณหนูรอง ท่านต่างสนองนางหมด!” “นางรับใช้ของนางเพิ่มมากถึงหกคน ขอประทานอภัยที่กระหม่อมพูดตรง ๆ พ่ะย่ะค่ะ กระทั่งพระชายายังมิเคยมีนางรับใช้มากมายถึงเพียงนี้” ได้ยินถึงตรงนี้ ฟู่เฉินหวนเอ่ยเสียงเย็น “ข้าเพียงกลัวนางจะมาตอแย จึงสนองความต้องการของนางเท่าที่ทำได้” “ใส่ใจหรือ? เจ้าดูจากตรงไหนว่าข้าใส่ใจกัน?” ซูโหยวจึงหุบปาก และมิกล้าเอ่ยพูดต่อ ความหงุดหงิดในใจของฟู่เฉินหวนเพิ่มมากขึ้น กระทั่งเสียงลมหายใจยังรุนแรงขึ้น เขาจึงเลือกที่จะลุกและเดินออกจากห้อง “ท่านอ๋องจักเสด็จไปที่ใดหรือพ่ะย่ะค่ะ?” ฟู่เฉินหวนมิได้หันร่าง “ไปดูว่าข้าป่วยจริงหรือไม่!” ซูโหยวถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย ไปหาท่านเซียนฉู่แล้วมีประโยชน์อย่างไรกัน อีกฝ่ายก็ไม่ทำนายให้อยู่ดี ไปแล้วก็มีแต่จะถูกปิดประตูไล่ เป็นถึงอ๋องสำเร็จราชการ เหตุใดต้องทำถึงขั้นนี้กัน ฟู่เฉินหวนเดินมาถึงเรือนหน้า จู่ ๆ มีร่างหนึ
ฟู่อวิ๋นโจวได้ยิน สายตาเขาเย็นยะเยือกลง และนั่งลงข้างโต๊ะ “ลั่วชิงยวนเป็นอย่างไรบ้าง?” หมอเทวดากู้หัวเราะเสียงเบา “องค์ชายห้าเป็นห่วงนางจริงหรือพ่ะย่ะค่ะ?” “หากนางมิมีปัญญากลับจากจวนนอกเมืองมาที่ตำหนักอ๋อง เช่นนั้นนางก็คือหมากไร้ประโยชน์ องค์ไทเฮาย่อมมิเก็บนางไว้ องค์ชายห้าเลิกคิดว่าไทเฮาจะช่วยนางเถิดพ่ะย่ะค่ะ”หมอกู้พูดอย่างสงบ และวางถ้วยโอสถไว้เบื้องหน้าฟู่อวิ๋นโจว แววตาของฟู่อวิ๋นโจมครึ้มลง เขามองหมอกู้ด้วยคิ้วที่ขมวด “พวกเจ้าเป็นคนสร้างแผนให้นางและเสด็จพี่แตกหักกัน! บัดนี้เมื่อนางเกิดเรื่อง พวกเจ้ากลับทิ้งนางราวกับหมากไร้ค่างั้นรึ?” ฟู่อวิ๋นโจวร้อนรนเสียจนไอกระแอมออกมา หมอกู้ก้าวขาอย่างมิใส่ใจ พร้อมกล่าว “องค์ชายห้าลืมแล้วหรือพ่ะย่ะค่ะ? ลั่วชิงยวนเป็นเครื่องมือที่มีไว้สำหรับหลอกใช้ตั้งแต่แรกแล้ว” “ประโยชน์ของนาง คือช่วยให้ไทเฮาบรรลุเป้าหมาย มิใช่การที่ไทเฮาต้องออกตัวมาช่วยนาง” “องค์ชายห้าทำเพื่อนางมากพอแล้ว คนทั้งตำหนักต่างเห็นกัน หากนางสามารถกลับมาได้ นางย่อมต้องนึกถึงความดีของท่าน และยอมมาอยู่ฝ่ายท่านเป็นแน่พ่ะย่ะค่ะ!” “อากาศเหน็บหนาว ท่านดูแลรพระวรกายด้วยเถิด”
เมื่อผ่านป่าผืนหนึ่ง แสงรอบด้านมืดลงโดยสิ้นเชิง ไอสังหารรอบด้านฟุ้งซ่านขึ้นมาในฉับพลัน ในอากาศมีเสียงคมกริบส่งมา โซ่เหล็กเกรียวโจมตีโดนล้อรถรถม้า ภายใต้การขับเคลื่อนความเร็วสูง ล้อรถสะดุดอย่างแรง ม้าโห่ร้องเสียงดัง ทั้งรถและคนกลิ้งตกที่ไปที่เนินข้างผืนป่า วินาทีที่รถม้าหงายลงไป ลั่วชิงยวนกระโดดลงจากรถในทันที แต่นางก็ยังถูกรถม้าขูดโดน และกลิ้งลงไปตามองศาเนิน ภายใต้แสงสลัว ชายชุดดำหลายคนวิ่งพุ่งเข้าไปในผืนป่า สวีซงหย่วนมุดเข้าไปดูในรถม้า และเอ่ยเกรี้ยวกราด “นางไปไหนแล้ว!” “หาเดี๋ยวนี้!” ชายชุดดำหลายคนตามหาบริเวณรถม้าทันที ลั่วชิงยวนสำรวจรอบด้าน นางถูกล้อมเอาไว้อย่างมิดชิด หากหนีไปโต้ง ๆ นางหนีมิพ้นแน่! นางจึงหลบอยู่หลังต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง และแอบชักมีดสั้นออกมา มองดูชายหนุ่มผู้นั้นที่อยู่ใกล้นางมากที่สุด นางตั้งใจกระทืบหิมะบนพื้น เพื่อส่งเสียงดึงดูดชายหนุ่มผู้นั้น อีกฝ่ายวิ่งมาในทันที ลั่วชิงยวนอ้อมไปอยู่ด้านหลังชายคนนั้น ปิดปากเขาไว้แน่น และกรีดคอเขาจนเสียชีวิตภายในทีเดียว นางยกศพที่หนังอึ้ง วางไว้บนพื้นอย่างระมัดระวัง ค่อย ๆ เข้าใกล้ชายหนุ่มคนต่อไป และคร่าชีวิ
วินาทีที่ลั่วชิงยวนรู้สึกความตายมาเยือน จู่ ๆ มีลำแขนที่ทรงพลัง โอบเอวของนางไว้ ภาพฟ้าดินตรงหน้าเริ่มหมุน ร่างของนางแนบอีกฝ่ายไว้แน่น และยืนบนพื้นได้อย่างมั่นคง วินาทีที่เกยตามอง ลั่วชิงยวนตะลึง แม้แสงจะหรี่ลับมาก แต่นัยน์ตาของเขาราวกับประดับไปด้วยดวงดาวบนฟ้า ทำนางตะลึงไปชั่วขณะหนึ่ง เมื่อได้สติอีกที นางรีบผลักฟู่เฉินหวนออกในทันที และเว้นระยะห่างกับเขาอย่างร้อนรน ลมหนาวโบกพัด แต่ใบหน้าของนางกลับร้อนผ่าว แต่แล้วนิ้วมือยะเยือกนั้นกลับยื่นเข้ามาอย่างกะทันหัน ผ่านผ้าคลุมหน้า และแนบลงบนคอของนาง สัมผัสเย็น ๆ ที่ลั่วชิงยวนไม่คุ้นชิน ทำร่างของนางสั่นคลอน นางหักหลบในทันที “ท่านทำกระไร!” ฟู่เฉินหวนเห็นการตอบสนองของนาง จึงเลิกคิ้ว และเผยเลือดที่ปลายนิ้วให้นางดู ลั่วชิงยวนจับไปที่คอของตน สถานการณ์คับขันเมื่อครู่ทำนางมีบาดแผลจริง ๆ แต่โชคดีที่แผลไม่ลึกนัก นางรีบหยิบผ้าเช็ดหน้าห่อแผลไว้ ทิศไม่ไกล สวีซงหย่วนเห็นฟู่เฉินหวน เขาแอบด่าพึมพำทีหนึ่ง “บัดซบ!” “พวกเราถอย!” พวกเขามิใช่คู่ต่อสู้ของอ๋องผู้สำเร็จราชการ! สู้ให้ถูกจับไปสอบปากคำ พวกเขาหนีไปก่อนยังดีเสียกว่า พวกสวีซงห
เมื่อตอนลุกยังมองไปทางลั่วชิงยวนด้วยแววตาแฝงความนัย “ร่างกายของท่านเซียนฉู่ ต้องกินเนื้อให้มากจริง ๆ ผอมเกินไปแล้ว!” ลั่วชิงยวนจับข้อมือ ในใจของนางกังวล อย่าบอกหนาว่าเขารู้ว่านางเป็นสตรีแล้ว ไม่น่าเป็นอะไรใช่ไหม? หุ่นของนางในตอนนี้แตกต่างจากนางในอดีตอย่างมาก ฟู่เฉินหวนมิมีทางนึกถึงนางแน่ เมื่อรถม้ากลับถึงในเมือง แม้จะเป็นคืนฤดูเหมันต์ แต่ใกล้ปีใหม่ รอบด้านเมืองต่างประดับไปด้วยโคมไฟ ที่เพิ่มความครึกครื้นให้กับเมือง ให้คืนฤดูเหมันต์มิรู้สึกเหน็บหนาวมากเช่นนั้น เข้ามาถึงในเมือง ความกดดันจากเรื่องที่พบนอกเมืองของนางจึงสลายไปจนสิ้น กลับถึงหน้าร้าน ลั่วชิงยวนกระโดดลงจากรถม้าและวิ่งไปที่หลังเรือนทันที เห็นจือเฉาที่อยู่หลังเรือน นางรีบผลักนางออกจากประตูหลังทันที “ท่านอ๋องเสด็จมา หนำซ้ำจะเสวยมื้อดึกที่นี่อีก เจ้าไปซ่อนตัวในโรงเตี๊ยมก่อน!” จือเฉาฉงน “เจ้าคะ? ท่านอ๋องเสด็จมาหรือ?” “เช่นนั้นบ่าวจักกลับมาได้เมื่อไรหรือเจ้าคะ?” ลั่วชิงยวนเองก็ไม่รู้ว่าฟู่เฉินหวนจะอยู่นานเพียงใด นางจึงตอบ “ค่อยกลับมาพรุ่งนี้ก็ได้ แต่เจ้าต้องระวังห้ามให้คนในตำหนักอ๋องเห็นเจ้าโดยเด็ดขาด” จือเฉาพยั
สิ้นประโยคนี้ ทั้งสามที่ได้ยินต่างตกตะลึง ลั่วชิงยวนและซ่งเชียนฉู่มองไปทางเฉินเซี่ยวหานโดยมิได้นัดหมาย “ท่านนี้ คือรัฐทายาท(1)เสนาบดีฝ่ายเหนือ! มิใช่คุณชายธรรมดาทั่วไป” ฟู่เฉินหวนหรี่ตาลง และมองไปทางเฉินเซี่ยวหานด้วยแววตาแฝงความนัย เสนาบดีฝ่ายเหนือและมหาราชาจารย์เหยียนเป็นพี่น้องร่วมสาบานกัน เสนาบดีฝ่ายเหนือต้องคอยคุ้มครองเขตแดนทิศเหนือ จึงฝากรัฐทายาทแห่งตระกูลไว้กับตระกูลเหยียน การที่เฉินเซี่ยวหานปรากฏตัวที่ร้านโอสถเล็ก ๆ เพราะชื่อเสียงของท่านเซียนฉู่ เป็นเช่นนี้จริงหรือ? ใบหน้าของเฉินเซี่ยวหานแข็งทื่อ จากนั้นก็เผยยิ้ม และหันมามองทีหนึ่ง “กระหม่อมก็คิดว่าท่านอ๋องจะปิดบังความลับเล็ก ๆ นี้ให้เสียอีก ท่านพูดออกมาก็ไม่สนุกแล้วกระมัง!” สายตาล้ำลึกของฟู่เฉินหวนประเมินเฉินเซี่ยวหาน มุมปากของเขายกเป็นรอยยิ้มจาง ๆ “ได้ยินมาว่าท่านรัฐทายาทเก่งกาจด้านการกินการเที่ยว ที่ที่มีเรื่องสนุกให้เล่นภายในเมืองหลวง ท่านรัฐทายาทต่างไปมาหมดแล้ว” “มิคิดว่าท่านรัฐทายาทจะทำอาหารเป็นเสียด้วย” เฉินเซี่ยวหานตอบด้วยท่าทีธรรมชาติ “เมื่อก่อนตอนอยู่เขตแดนเหนือ เนื้อย่างเป็นสิ่งที่กินบ่อยที่สุด เ
เมื่อไฟลุกแรงขึ้น พวกเขาจึงเริ่มย่างเนื้อ ไม่นานนัก กลิ่นหอมก็ลอยออกมา หนังที่ถูกย่างจนน้ำมันเดือดเป็นเสียงฟู่ ๆ น่ากินจนน้ำลายสอ “หอมนัก ที่นี่มิมีเหล้าได้อย่างไรกัน ข้าไปซื้อเหล้าก่อน!” เฉินเซี่ยวหานลุกจากไปในทันที เฉินเซี่ยวหานจากไป แต่แก้มของซ่งเชียนฉู่ยังคงร้อนผ่าว ๆ นางจึงใช้ข้ออ้างดูกับแกล้มในครัวว่าเย็นหรือยังเพื่อลุกจากไป ในลานเหลือเพียงฟู่เฉินหวนและลั่วชิงยวนที่นั่งกันอยู่สองคน รอบด้านเงียบเสียจนสามารถได้ยินเสียงของฟืนที่กำลังถูกไฟแผดเผา จู่ ๆ ในหัวของลั่วชิงยวนก็คิดถึงภาพคืนนั้นหลังจากที่นางถูกดิ่งลงแม่น้ำ ก็เงียบสงัดเช่นนี้เช่นกัน ช่วงที่นางอยู่กับฟู่เฉินหวนได้แบบสงบนั้น สามารถนับครั้งได้เลย จู่ ๆ ด้านข้างนางก็มีเสียงทุ้มต่ำดังขึ้น “รัฐทายาทเฉินปรากฏตัวบังเอิญเกินไป ระวังเขาจะมีจุดประสงค์อื่นต่อแม่นางซ่ง” ลั่วชิงยวนชะงักเล็กน้อย นางหันหน้าไปมองท่าทีจริงจังของฟู่เฉินหวน แสงไฟกระพรืออยู่นัยน์ตาของเขา ใบหน้าของเขางดงามเสียจนผู้คนต้องมองซ้ำอย่างอดมิได้ “ขอบพระทัยที่เตือนพ่ะย่ะค่ะ” ลั่วชิงยวนเองก็รู้สึกว่าการปรากฏตัวของรัฐทายาทนั้นแปลก ท่าทีในวันนี้ของสวีซง
ร่างสูงโปร่ง! เห็นได้ชัดว่าเป็นบุรุษ! ลั่วชิงยวนรีบวิ่งเข้าห้องทันที เมื่อเห็นนางจู่ ๆ ก็รีบรีบร้อนขึ้นมา ฟู่เฉินหวนก็รู้สึกตื่นตกใจ เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่? แต่เมื่อเขารีบตามมา ลั่วชิงยวนก็ปิดประตูแล้วลั่นดาล ฟู่เฉินหวนรู้สึกตกใจแล้วตบประตู "เกิดอะไรขึ้น?" ลั่วชิงยวนมองคนที่อยู่ในห้อง จากนั้นซ่งเชียนฉู่ก็ค่อย ๆ หันหลังมา ทั้ง ๆ ที่นางมีสายตาว่างเปล่า ทว่าดวงตากลับฉายแววสังหาร ทันใดนั้นนางก็คว้าปิ่นปักผมตรงหน้าโต๊ะเครื่องแป้งแล้วพุ่งใส่ลั่วชิงยวน ลั่วชิงยวนรีบหลบหลีกแล้วตะโกนขึ้นมาว่า "ท่านอ๋อง คอยเฝ้าฟืนไฟเอาไว้ให้ดี!" เมื่อฟู่เฉินหวนได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวในห้อง สายลมที่พัดผ่านรอยแยกของหน้าต่างทำให้แสงสว่างในห้องวูบไหว ยิ่งไปกว่านั้น เขาก็เห็นทั้งสองคนกำลังต่อสู้กัน เกิดอะไรขึ้นกันแน่? ยิ่งบอกให้เขาคอยเฝ้าฟืนไฟเอาไว้ให้ดี เขาย่อมไม่วางใจที่จะจากไป ดังนั้นเขาจึงยืนเฝ้าอยู่นอกประตูแล้วคอยเฝ้าสังเกตสิ่งที่เกิดขึ้นข้างใน ตอนที่ซ่งเชียนฉู่ถือปิ่นปักผมแล้วพุ่งเข้ามาหาอีกครั้ง ลั่วชิงยวนก็รีบใช้ปลายนิ้วคีบแผ่นยันต์ขึ้นมาพลางหลบหลีกแล้วกระโดดไปอยู่ข้างหลังซ่งเชีย
ในชั่วขณะนั้น นางเกือบจะคิดว่าตัวเองกำลังฝันไป เหตุใดนางจึงเห็นลั่วฉิงแต่คำพูดของลั่วฉิงในวินาทีต่อมา ทำให้นางรู้สึกราวกับตกอยู่ในหุบเหวลึก“แม้แต่ท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการก็ยังจัดการคนดื้อรั้นเช่นเจ้ามิได้ ต้องให้ข้ามาเองเลยหรือ”ร่างของลั่วชิงยวนสั่นเทามิหยุด หนาวเหน็บจนแทบจะไร้ความรู้สึกน้ำตาที่ไหลอาบใบหน้าซีดเซียวหยดลงบนพื้นทีละหยดลั่วชิงยวนมองไปรอบ ๆ แล้วพบว่าที่นี่คือห้องห้องหนึ่งแต่มิใช่ในตำหนักอ๋อง“เหตุใดข้าจึงมาอยู่ที่นี่” นางจำได้ว่าหลังจากที่จือเฉาทายาให้แล้วนางก็หลับไปลั่วฉิงหัวเราะเบา ๆ “แน่นอนว่าฟู่เฉินหวนส่งเจ้ามาให้ข้า”“เขาเค้นคำตอบจากเจ้ามิได้ จึงต้องให้ข้ามาจัดการเอง”ได้ยินดังนั้น หัวใจของลั่วชิงยวนก็แตกสลายเป็นเสี่ยง ๆ อีกครั้งเขายังคิดว่าตัวเองยังโหดร้ายมิพออีกหรือ จึงส่งนางให้ลั่วฉิงเช่นนี้นี่ต้องการทรมานนางจนตายจึงจะหายแค้นหรืออย่างไรลั่วฉิงหยิบกล่องใบหนึ่งมาเปิดออก ข้างในเต็มไปด้วยแท่งเหล็กขนาดเท่าหัวแม่มือแล้วกล่าวอย่างแผ่วเบา “เจ้าน่าจะรู้ว่าข้าต้องการอะไร”“หากตอนนี้เจ้าบอกวิธีใช้เข็มทิศอาณัติสวรรค์ ข้าจะไว้ชีวิตเจ้า”“หากพลาดโอกาสนี้
ในวินาทีต่อมา องครักษ์ก็กรูกันเข้ามาลากลั่วชิงยวนออกไปที่ลานหลังจากกดนางลงกับพื้นก็ใช้หวายฟาดลงบนร่างของนางอย่างมิปรานีความเจ็บปวดแล่นริ้ว ลั่วชิงยวนจิกเล็บลงบนพื้นหิมะจนเป็นรอยลึกจือเฉากระโจนเข้ามาจากนอกลาน “หยุด! หยุด!”“ท่านอ๋อง เหตุใดจึงทำกับพระชายาเช่นนี้ พระชายาทำผิดอันใดหรือเพคะ!”“ท่านอ๋อง ขอได้โปรดปล่อยพระชายาเถิดเพคะ! ตั้งแต่เข้าเหมันตฤดู แผลบนร่างของพระชายาก็ยังมิหาย! หากโบยเช่นนี้ต่อไปคงจะสิ้นใจเป็นแน่เพคะ!”“ท่านอ๋องทรงพระกรุณาด้วยเพคะ!” จือเฉาโผเข้ากอดลั่วชิงยวนเพื่อรับหวายแทนแต่กลับถูกองครักษ์ดึงตัวออกไปจือเฉาร้องขอความเมตตาสุดเสียง แต่บุรุษที่ยืนอยู่ใต้ชายคากลับมีสีหน้าเรียบเฉย นัยน์ตาฉายแววเย็นชาไร้ซึ่งความอบอุ่น“พระชายา...” จือเฉาร้อนใจ แทบจะเป็นลมเพราะร้องไห้หนักลั่วชิงยวนเจ็บปวดจนแทบมิได้ยินเสียงของจือเฉา มีเพียงความเจ็บปวดมิรู้จบ ยาวนานราวกับไม่มีที่สิ้นสุดหลังจากที่ลั่วชิงยวนสลบไป ฟู่เฉินหวนจึงสั่งให้หยุดแล้วจากไปด้วยความโกรธจือเฉาโผเข้าหาลั่วชิงยวน เมื่อเอื้อมมือไปสัมผัสก็พบว่ามือเปื้อนไปด้วยเลือด นางรีบชักมือกลับมองเลือดที่ไหลนองเต็มพื
ฟู่เฉินหวนกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา แววตาที่น่ารังเกียจนั้นทำให้หัวใจของลั่วชิงยวนเจ็บปวดราวกับถูกเข็มทิ่มแทงลั่วชิงยวนกัดฟันพลางกลั้นน้ำตาไว้ “ท่านมิได้บอกว่าจะเชื่อหม่อมฉันหรอกหรือเพคะ?”“หากหม่อมฉันบอกท่านทั้งหมด ท่านก็จะเชื่อหม่อมฉันมิใช่หรือเพคะ!”ฟู่เฉินหวนมีแววตาเย็นชา มองนางอย่างเฉยเมย “แต่เจ้าบอกข้าทั้งหมดแล้วหรือยังเล่า? เจ้ายังคงปิดบัง ยังคงหลอกลวง!”เสียงตำหนินั้นเต็มไปด้วยความโกรธทำให้หัวใจของลั่วชิงยวนแทบแตกสลาย“ฟู่เฉินหวน วันนี้ท่านมาก็เพื่อหลอกลวงหม่อมฉันอีกแล้วใช่หรือไม่”“จุดประสงค์สุดท้ายของท่านคือ หลอกล่อให้หม่อมฉันบอกวิธีใช้เข็มทิศอาณัติสวรรค์ เพราะลั่วฉิงใช้มันมิได้ ใช่หรือไม่!”ลั่วชิงยวนตะโกนด้วยความโกรธ“หม่อมฉันช่างโง่เขลาที่เชื่อใจท่าน บอกความลับทั้งหมดให้ท่านฟัง แต่ท่านก็หลอกลวงหม่อมฉันอีกครั้ง...”พูดไปน้ำตาของลั่วชิงยวนก็ไหลรินในเวลานี้ หัวใจของลั่วชิงยวนราวกับถูกควักออกมาผ่าเป็นสองซีกเจ็บปวดเจียนตายแต่ฟู่เฉินหวนกลับมิเปลี่ยนสีหน้า แววตายิ่งเย็นชาขึ้นเขาบีบคอของนางด้วยความโกรธ“ในเมื่อเจ้ารู้แล้ว ข้าก็ขี้เกียจเสแสร้งกับเจ้าแล้ว”“เข็มท
ฟู่เฉินหวนตกใจมองนางด้วยความประหลาดใจก่อนจะตอบว่า “ได้”“หากเจ้าอธิบายได้ชัดเจน ข้ายินดีเชื่อเจ้าเป็นครั้งสุดท้าย”ได้ยินดังนั้นลั่วชิงยวนก็รู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อยรีบกล่าวทันที “หม่อมฉันชื่อลั่วเหลา แท้จริงแล้วลั่วอิงคืออาจารย์ของหม่อมฉัน หม่อมฉันตายไปแล้วมาเกิดใหม่ในร่างของลั่วชิงยวน”“วันรุ่งขึ้นหลังจากวันแต่งงาน ลั่วชิงยวนก็ปลิดชีพตัวเอง หลังจากนั้นร่างนี้ก็มิใช่ลั่วชิงยวนอีกต่อไป แต่เป็นหม่อมฉัน ลั่วเหลา”“หม่อมฉันเป็นชาวแคว้นหลี”“ดังนั้นความสามารถที่หม่อมฉันมีจึงเป็นสิ่งที่ลั่วชิงยวนไม่มี”“เรื่องน้ำศักดิ์สิทธิ์ของแคว้นหลี หม่อมฉันก็เพิ่งค้นพบตอนที่ไปเผ่านอกด่าน หลังจากที่อาจารย์ค้นพบความลับนี้ ก็พยายามค้นหาวิธีแก้ไขเรื่องน้ำศักดิ์สิทธิ์”“เพราะหากความลับนี้รั่วไหลออกไป จะมีคนมากมายเกิดความโลภ จะทำให้ทั้งใต้หล้าประสบพบความวุ่นวาย เลือดนองแผ่นดิน”“...”ลั่วชิงยวนเล่าความลับทั้งหมดของนางให้เขาฟังโดยมิปิดบังนางรู้สึกว่าคนที่เคยเปิดใจให้กันคงจะมิทรยศกันง่าย ๆตราบใดที่นางจริงใจ มิปิดบังสิ่งใด นางก็จะได้รับการตอบสนองเช่นเดียวกันหลังจากที่นางพูดจบ ฟู่เฉินหวนก็ตกตะลึ
เหตุใดแคว้นหลีจึงส่งกองทัพมากะทันหันฟู่อวิ๋นโจวเอ่ยถาม “ท่านมหาปราชญ์ ท่านเชี่ยวชาญด้านนี้ พอจะทำนายผลลัพธ์ได้หรือไม่?”“ควรจะรับมืออย่างไร”ขุนนางทั้งหลายต่างมองไปที่ลั่วฉิง ลั่วฉิงไม่มีทางเลือก จึงได้แต่กัดฟันกล่าวว่า “เรื่องนี้... ทำนายได้ แต่หม่อมฉันต้องการเวลาเพคะ”ฟู่อวิ๋นโจวมีสีหน้ากังวล และถามว่า “ท่านมหาปราชญ์ต้องการเวลานานเพียงใด?”ลั่วฉิงลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จึงกล่าวว่า “สามวันเพคะ!”สิ้นคำพูดของนาง หลายคนก็แสดงความมิพอใจ“สามวันหรือ? ซีหลิงอยู่ห่างจากเมืองหลวงราวพันลี้ สามวันกว่าจะบอกผลลัพธ์ จะทันการณ์ได้อย่างไร”“ก่อนหน้านี้พระชายาอ๋องผู้สำเร็จราชการก็มิได้ใช้เวลานานถึงเพียงนั้น”“ใช่ ท่านมหาปราชญ์คงจะมิค่อยมีความสามารถมากถึงเพียงนั้นกระมัง”คำพูดนี้ทำให้ลั่วฉิงหน้าซีดเผือด“สองวัน อย่างเร็วที่สุดก็ต้องสองวัน!” ลั่วฉิงกัดฟันกล่าวในตอนนี้ ฟู่เฉินหวนกล่าวอย่างใจเย็น “แคว้นหลีส่งกองทัพมาโดยมิทราบสาเหตุ ข้าคิดว่าตอนนี้ควรส่งคนไปเจรจากับแคว้นหลีโดยด่วน”“ระหว่างนั้นก็ส่งกองกำลังไปเสริมอย่างลับ ๆ ด้วย อย่าได้พึ่งพาแต่ผลการทำนายของท่านมหาปราชญ์”“หากผลลัพธ์ออกมาแล้ว
เมื่อเฉินชีได้ยินดังนั้นก็หยุดชะงักแล้วยกยิ้มมุมปาก เดินมาที่หน้าต่าง พิงกำแพงพลางกอดอก “เจ้าจะให้ข้าช่วยเจ้าในฐานะที่เจ้าเป็นใคร?”ลั่วชิงยวนมองเขาด้วยสายตาเย็นชา “นักบวชระดับสูง”ดวงตาของเฉินชีลุกโชนด้วยประกายร้อนแรง “อาเหลา ในที่สุดเจ้าก็ตัดสินใจจะไปกับข้าแล้วหรือ?”ลั่วชิงยวนมองเขาด้วยสายตาเย็นชาและเย่อหยิ่ง “กลับแคว้นหลีก็ได้ ข้าบอกแล้วว่าให้เจ้าช่วยข้าเรื่องหนึ่ง”“แคว้นหลีจะมีนักบวชระดับสูงได้เพียงผู้เดียวเท่านั้น”เฉินชียกยิ้มมุมปากแล้วหัวเราะอย่างเจ้าเล่ห์ ก่อนจะคุกเข่าลงข้างหนึ่งอย่างนอบน้อม “อย่าว่าแต่เรื่องเดียวเลย สิบเรื่อง ร้อยเรื่อง เฉินชีก็ยินดีทำเพื่อนักบวชระดับสูงทั้งสิ้น!”ลั่วชิงยวนหรี่ตามองเขาด้วยแววตาที่ลึกล้ำถึงแม้เฉินชีจะบ้าแต่ก็มิใช้คนโง่เขลา เขาทำอะไรตามอำเภอใจแต่ก็คงมิยอมสยบต่อนางง่าย ๆ เช่นนี้การเปลี่ยนท่าทีเช่นนี้ทำให้นางมิค่อยเชื่อถือ“เจ้าฟังเรื่องที่ข้าจะให้เจ้าทำก่อนค่อยตอบรับก็ยังมิสาย”เฉินชีลุกขึ้นมองนางด้วยแววตาเป็นประกาย “ท่านนักบวชต้องการให้ข้าทำสิ่งใด?”“ข้าต้องการให้เจ้ายกทัพไปตีซีหลิง”“แต่ห้ามสู้รบกันจริง ๆ ห้ามทำร้ายราษฎร”เฉ
ใจของลั่วชิงยวนร้อนรุ่มดั่งไฟสุม นางพยายามดิ้นรนสุดแรง “ปล่อยข้านะ!”“ฟู่เฉินหวน ท่านช่างไร้หัวใจอะไรเยี่ยงนี้!”ทว่าฟู่เฉินหวนยังคงมีสีหน้าเรียบเฉย มิสะทกสะท้านแม้แต่น้อยเมื่อเห็นแม่นมเติ้งใกล้จะทนมิไหวแล้ว น้ำตาลั่วชิงยวนก็เอ่อคลอ“หม่อมฉันจะมิออกจากเรือนแล้ว หม่อมฉันจะมิออกจากห้องแล้ว ได้หรือไม่!”นางมองฟู่เฉินหวนด้วยดวงตาแดงก่ำ พยายามวิงวอนขอร้องในที่สุดนางก็ยอมก้มหน้าลง“ขอท่านไว้ชีวิตนางด้วยเถิดเพคะ!” ลั่วชิงยวนคุกเข่าลงอย่างอ่อนแรงแววตาฟู่เฉินหวนมืดมนเดิมทีลั่วชิงยวนคิดว่าเมื่อนางขอร้องแล้ว ฟู่เฉินหวนคงจะไว้ชีวิตแม่นมเติ้งแต่ฟู่เฉินหวนกลับมีแววตาเย็นชา “นางเป็นบ่าวของตำหนัก มิใช่บ่าวของเจ้า นางขัดคำสั่งข้า สำหรับข้าแล้ว ไม่มีคำว่ายกโทษ”น้ำเสียงเย็นเยียบของเขาเป็นดั่งหนามแหลมทิ่มแทงหัวใจของลั่วชิงยวนลั่วชิงยวนตกตะลึงนางโกรธจนตะโกนลั่น “ฟู่เฉินหวน!”ฟู่เฉินหวนขมวดคิ้ว นัยน์ตาฉายแววหงุดหงิดขณะกล่าวเสียงเย็น “พาตัวนางไป”องครักษ์จับตัวลั่วชิงยวนแล้วลากออกไปฟู่เฉินหวนมองนางเป็นครั้งสุดท้ายด้วยสายตาเย็นชา “หากเจ้ายังท้าทายข้าอีก จะต้องมีคนตายมา่กกว่านี้แน่”แ
ครั้นลั่วชิงยวนถูกพากลับมายังเรือนพวกองครักษ์ก็ปล่อยตัวนาง นางจึงทรุดกายลงคุกเข่ากับพื้นด้วยความอ่อนล้า“พระชายา! พระชายา!”จือเฉารีบรุดเข้ามาประคอง แต่พลั้งมือไปโดนแขนนางเข้า จึงสะดุ้งโหยงรีบชักมือกลับ “พระชายา แขนของท่าน...”ลั่วชิงยวนยันกายลุกขึ้นโดยอาศัยจือเฉาพยุงเดินเข้าห้องไปอย่างเชื่องช้าเมื่อนั่งลงบนเก้าอี้ นางก็จับแขนข้างที่หักนั้นไว้พลางกัดฟันแน่นก่อนจะออกแรงดันกระดูกให้เข้าที่ความเจ็บปวดแล่นริ้วราวกับจะขาดใจ น้ำตาของนางแทบไหลรินจือเฉากลั้นน้ำตาไว้มิอยู่ “พระชายา... เหตุใดท่านอ๋องจึงโหดเหี้ยมเช่นนี้ ลงพระหัตถ์หนักหนาเกินไปแล้ว...”ทันใดนั้นลั่วชิงยวนก็รู้สึกเจ็บแปลบที่อกพลันไอออกมามิหยุด จือเฉารีบยื่นผ้าเช็ดหน้าให้ เมื่อไอเสร็จ ลั่วชิงยวนก็พบว่าผ้าเช็ดหน้าเต็มไปด้วยเลือด...จือเฉาตกใจมาก “บ่าวจะไปตามซูโหยวให้ไปเชิญหมอหลวงมาเจ้าค่ะ”แต่ลั่วชิงยวนกลับบอกว่า “มิต้อง อย่าทำให้เขาเดือดร้อนเลย”หากฟู่เฉินหวนรู้ว่าซูโหยวช่วยนางคงจะโกรธมากเป็นแน่“แล้วแผลของพระชายาเล่าเจ้าคะ?”ลั่วชิงยวนรินน้ำชา “ยังมีสมุนไพรเหลืออยู่มิใช่หรือ แค่นั้นก็เพียงพอแล้ว”จากนั้นนางก็หยิบส
ในชั่วพริบตา ลั่วชิงยวนก็รู้สึกเจ็บแปลบที่หลังเพราะถูกกดลงบนกำแพงเท้าของนางลอยขึ้นจากพื้นความรู้สึกหายใจมิออกทำให้นางดิ้นรนสุดกำลัง“ใครอนุญาตให้เจ้าเข้ามา! ใครอนุญาตให้เจ้าแตะต้องของของข้า!”ลั่วชิงยวนพยายามพูด “ฟู่เฉินหวน...”นางหายใจมิออกแล้วนัยน์ตาของฟู่เฉินหวนฉายแววเย็นชาขณะจับนางเหวี่ยงออกไปร่างลั่วชิงยวนตกกระแทกพื้นเสียงดังสนั่นกลิ้งไปหลายตลบแล้วกระอักเลือดออกมาอวัยวะภายในสั่นสะเทือน ปวดร้าวไปทั่วร่าง“ฟู่เฉินหวน ลั่วฉิงกับไทเฮาร่วมมือกัน สิ่งที่ไทเฮาให้ท่านอาจถูกลั่วฉิงปลอมแปลง จดหมายนั้นอาจเป็นของปลอมก็ได้!”ลั่วชิงยวนรีบอธิบายความคิดของตนเองฟู่เฉินหวนเดินเข้ามาด้วยความโกรธ เขาจับนางขึ้นมาแล้วมองนางด้วยสายตาเหี้ยมโหด “ถึงตอนนี้แล้วยังจะมาหลอกลวงข้าอีกรึ?”“ลายมือท่านแม่ของข้า ข้าจะจำมิได้เชียวหรือ!”พูดจบ ลั่วชิงยวนก็ถูกเหวี่ยงออกจากห้องร่างกระแทกพื้นหิมะแขนข้างหนึ่งถูกทับจนเกิดเสียงดังกร๊อบแขนหลุดจากข้อต่อแล้ว“โอ๊ย...” ลั่วชิงยวนร้องเสียงหลง หน้าซีดเผือดด้วยความเจ็บปวด เหงื่อเย็นผุดขึ้นเต็มไปหน้านางใช้มือข้างเดียวพยุงตัว พยายามลุกขึ้นอย่างยากล