ร่างสูงโปร่ง! เห็นได้ชัดว่าเป็นบุรุษ! ลั่วชิงยวนรีบวิ่งเข้าห้องทันที เมื่อเห็นนางจู่ ๆ ก็รีบรีบร้อนขึ้นมา ฟู่เฉินหวนก็รู้สึกตื่นตกใจ เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่? แต่เมื่อเขารีบตามมา ลั่วชิงยวนก็ปิดประตูแล้วลั่นดาล ฟู่เฉินหวนรู้สึกตกใจแล้วตบประตู "เกิดอะไรขึ้น?" ลั่วชิงยวนมองคนที่อยู่ในห้อง จากนั้นซ่งเชียนฉู่ก็ค่อย ๆ หันหลังมา ทั้ง ๆ ที่นางมีสายตาว่างเปล่า ทว่าดวงตากลับฉายแววสังหาร ทันใดนั้นนางก็คว้าปิ่นปักผมตรงหน้าโต๊ะเครื่องแป้งแล้วพุ่งใส่ลั่วชิงยวน ลั่วชิงยวนรีบหลบหลีกแล้วตะโกนขึ้นมาว่า "ท่านอ๋อง คอยเฝ้าฟืนไฟเอาไว้ให้ดี!" เมื่อฟู่เฉินหวนได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวในห้อง สายลมที่พัดผ่านรอยแยกของหน้าต่างทำให้แสงสว่างในห้องวูบไหว ยิ่งไปกว่านั้น เขาก็เห็นทั้งสองคนกำลังต่อสู้กัน เกิดอะไรขึ้นกันแน่? ยิ่งบอกให้เขาคอยเฝ้าฟืนไฟเอาไว้ให้ดี เขาย่อมไม่วางใจที่จะจากไป ดังนั้นเขาจึงยืนเฝ้าอยู่นอกประตูแล้วคอยเฝ้าสังเกตสิ่งที่เกิดขึ้นข้างใน ตอนที่ซ่งเชียนฉู่ถือปิ่นปักผมแล้วพุ่งเข้ามาหาอีกครั้ง ลั่วชิงยวนก็รีบใช้ปลายนิ้วคีบแผ่นยันต์ขึ้นมาพลางหลบหลีกแล้วกระโดดไปอยู่ข้างหลังซ่งเชีย
หมัดเดียวก็ทำเอาเงานั้นแทบแตกฉานซ่านเซ็น เมื่อฟู่เฉินหวนที่เดินกลับไปกลับมาอยู่นอกเรือนได้ยินเสียงดังมาจากข้างใน ก็ยิ่งรู้สึกไม่สบายใจขึ้นเรื่อย ๆ แต่ชั่วครู่ต่อมา ประตูก็พลันเปิดออกอย่างแรงแล้วสายลมหม่นมัวก็พุ่งใส่หน้า ฟู่เฉินหวนยกมือขึ้นสกัดกั้น ทันใดนั้นเมื่อเขารู้สึกว่ามีบางอย่างปัดผ่านข้างตัวไป ก็ให้รู้สึกตื่นตกใจ เขาหันหลังกลับไป แต่กลับไม่เห็นสิ่งใด ทว่าจู่ ๆ ก็พลันเกิดลมกระโชกแรงขึ้นในลานเรือน แทบจะดับเปลวเพลิงในกองไฟและเชื้อฟืนไปจนสิ้น เมื่อเห็นเงาดำพยายามที่จะหลบหนีไป ลั่วชิงยวนรีบไล่ตามทันที นางใช้โลหิตวาดอักขระเวทแล้วขว้างออกไปทั่วทั้งหกทิศ พวกมันพลันลอยไปทั่วทุกสารทิศในลานเรือน ก่อให้เกิดปราการสีทองที่ปิดล้อมทุกอย่างในลานเรือนเอาไว้จนหมดสิ้น ฟู่เฉินหวนมองไม่เห็นสิ่งใด แต่เขากลับสัมผัสได้ถึงบางสิ่งบางอย่าง นี่เป็นสถานการณ์ที่เขาไม่คุ้นเคย เขาจึงเอ่ยถามด้วยความกังวลใจขึ้นมาว่า "ข้าควรจักทำกระไร?" ลั่วชิงยวนกล่าวด้วยความยากลำบากขึ้นมาว่า "ท่านอ๋อง คอยเฝ้าเนื้อเอาไว้ให้ดี! อย่าให้ตกพื้นเพคะ!" หลังจากย่างเนื้อมาตลอดทั้งคืน ตอนนี้อาหารอันโอชะกำลังยั่วน้ำล
หุ่นเชิด! เหมือนกับวิญญาณร้ายที่เฝิงซีพบเจอไม่มีผิดเพี้ยน! แต่หุ่นเชิดตัวนี้กลับอยู่ในรูปของบุรุษผู้หนึ่ง พวกมันอยู่ด้วยกัน! พวกมันล้วนเป็นพวกเดียวกัน! ความหนาวเหน็บคืบคลานเข้าสู่จิตใจของนางราวกับอสรพิษตนหนึ่ง นางสงบจิตใจแล้วเริ่มครุ่นคิด ประการแรกคือ ของสิ่งนั้นอยู่ในจวนมหาราชครู แล้วก็มาอยู่ที่ถ้ำอสรพิษ แล้วมาอยู่กับเฝิงซี กระทั่งปรากฏอยู่ในเหตุการณ์วันนี้ เห็นอยู่ชัด ๆ ว่าทุกอย่างไม่เกี่ยวข้องกัน ทว่าผู้ที่ชักใยอยู่เบื้องหลังเหตุการณ์เหล่านี้กลับดูเหมือนจะเชื่อมโยงกันอย่างไม่อาจแยกออกจากกันได้ เฝิงซีเป็นพระสนมซึ่งเป็นสตรีของจักรพรรดิ ผู้ที่คิดจะทำร้ายเฝิงซีจะต้องเป็นคนจากวังหลวง ตอนนี้มีหลายสิ่งหลายอย่างพัวพันกันอยู่ ผู้ที่ชักใยอยู่เบื้องหลังเรื่องนี้เป็นผู้ใดกัน! พวกมันคิดจะทำอะไรกันแน่? ซ่งเชียนฉู่อธิบายให้ฟังว่า "ของชิ้นนี้หล่นจากตัวพวกอันธพาลที่มาหาเรื่องข้าวันนี้ ข้าก็เลยเก็บมาด้วย" "ข้าคิดว่าถ้ามีคนคิดจะทำร้ายข้า เจ้าสิ่งนี้ก็น่าจะเป็นเงื่อนงำในการค้นหาตัวตนของผู้อื่นได้ ฉะนั้นข้าจึงนำกลับมาด้วย" ลั่วชิงยวนขมวดคิ้ว "ใช่ เอามาซ่อนไว้ในนี้ก็เลยทำให้ข้
"บางทีเขาอาจกลับจวนไปแล้ว หรือไม่ก็เจออะไรสักอย่างกระมัง?" ลั่วชิงยวนคาดเดา อย่างไรเสียพวกเขาก็ไม่รู้เรื่องรัฐทายาทเฉินผู้นี้มากนัก ซ่งเชียนฉู่วางจานลงแล้วลุกขึ้นด้วยความไม่สบายใจ "จะเกิดเรื่องขึ้นหรือไม่?" "วันนี้เขาช่วยชีวิตข้าไว้ หากคนพวกนั้นตามแก้แค้นเขาเล่า?" ซ่งเชียนฉู่รู้สึกกังวลใจขึ้นมาทันที เมื่อลั่วชิงยวนได้ยินเช่นนี้เข้าก็ขมวดคิ้ว "ก็มีความเป็นไปได้!" เมื่อฟู่เฉินหวนได้ยินเช่นนี้ เขาก็หรี่ตาแล้วเริ่มครุ่นคิด เขามีความคาดเดาในใจอยู่บ้าง เรื่องประหลาดในคืนนี้จะเกี่ยวข้องกับการที่เฉินเซี่ยวหานช่วยชีวิตของซ่งเชียนฉู่หรือไม่? เรื่องนั้นเกี่ยวพันกับการลอบสังหารฉู่ลั่วหรือไม่? "ข้าจักออกไปตามหาเขา!" ซ่งเชียนฉู่ลุกขึ้นแล้วเดินออกไปทันที "ข้าไปกับเจ้าด้วย!" ลั่วชิงยวนรีบตามไป เมื่อเห็นว่าค่ำมืดดึกดื่นมากแล้ว ฟู่เฉินหวนก็ไม่อาจนิ่งดูดาย ดังนั้นเขาจึงไปกับพวกนางด้วย ในยามนี้เอง เฉินเซี่ยวหานกำลังเดินกลับไปกลับมาอยู่ในตรอกที่แลดูคุ้นเคยแต่ก็ไม่คุ้นเคยอยู่ในที โดยมีหลุมดำอยู่ทั้งข้างหน้าและข้างหลัง ราวกับว่าเขาจะไม่มีทางหลุดพ้นความมืดมิดเช่นนี้ไปได้เลย เขาหาทางไปท
"รัฐทายาทเฉิน..." ซ่งเชียนฉู่รู้สึกตื่นตกใจ คนทั้งกลุ่มรีบเดินเข้าไปหาและพบว่าม่านตาของเฉินเซี่ยวหานเปลี่ยนเป็นทึมเทา คนก็แน่นิ่งไม่ไหวติงราวกับว่าได้สูญเสียวิญญาณของตัวเองไปแล้ว "พาเขากลับไปก่อน!" ลั่วชิงยวนรีบคว้าแขนของเฉินเซี่ยวหานเอาไว้ทันที "เซียนฉู่ เมื่อนึกถึงสภาพร่างกายของเขาแล้ว ให้ข้าแบกเขาไปดีกว่า" ฟู่เฉินหวนก้าวออกมาแบกเฉินเซี่ยวหานแล้วก้าวยาว ๆ เพื่อมุ่งหน้ากลับไป ลั่วชิงยวนกับซ่งเชียนฉู่ก็รีบตามไปด้วย หลังจากกลับมาถึงเรือน ซ่งเชียนฉู่ก็รู้สึกเป็นกังวลใจยิ่ง "รัฐทายาทเฉินจะเป็นอันใดหรือไม่?" "บอกได้ยาก!" ลั่วชิงยวนรีบเตรียมการบางอย่างแล้ววิ่งออกไปอีกครั้ง ฟู่เฉินหวนมองนางวิ่งออกมาแล้วรีบตามไป เมื่อกลับมา ณ ตำแหน่งที่พบเฉินเซี่ยวหาน ลั่วชิงยวนก็หยิบพู่กันมาจุ่มน้ำแล้ววาดเขียนลงกับพื้นดิน ฟู่เฉินหวนที่ตามมาด้วยจึงถามขึ้นด้วยความสงสัยว่า "เจ้ากำลังทำอันใดหรือ?" "นำทางให้รัฐทายาทเฉิน" ลั่วชิงยวนยังคงขยับพู่กันต่อไปโดยไม่เงยหน้าสักนิด นางวาดอักขระไปตลอดทางกลับสู่ร้าน "เจ้าเอาแต่วาดไปทั่วทั้งถนน พรุ่งนี้ถ้ามีคนถามจะทำอย่างไรเล่า" ฟู่เฉินหวนอดมิได้ที่จะถามขึ
เมื่อลั่วชิงยวนกลับมาที่ร้านก็เห็นซ่งเชียนฉู่กำลังดูแลเฉินเซี่ยวหานที่อยู่บนเตียงนอน "ชิงยวน รัฐทายาทเฉินผู้นี้..." ซ่งเชียนฉู่รู้สึกกังวลใจยิ่งนัก ลั่วชิงยวนจึงปลอบโยนนางว่า "น่าจะไม่เป็นอันใดหรอก ข้าไม่คิดว่าผู้ที่อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้จะวางแผนเล่นงานเขา เพราะเขาหาได้มีส่วนพัวพันกับเรื่องของเจ้าอย่างลึกซึ้ง เขาแค่บังเอิญยื่นมือเข้าช่วยเหลือ มิน่าจะเกิดเรื่องขึ้นหรอก" นางไม่เข้าใจเลย จากนั้นนางก็ดึงตัวซ่งเชียนฉู่ออกมานอกห้องแล้วถามว่า "ข้ามีเรื่องอยากถามเจ้า วันนี้เกิดเรื่องอันใดขึ้นระหว่างเจ้ากับเขากันแน่? เจ้าชอบเขาจริง ๆ รึ?" เรื่องนี้ออกจะรวดเร็วเกินไปแล้ว! ซ่งเชียนฉู่ก้มหน้าพลางเอ่ยขึ้นด้วยท่าทีขัดเขินว่า "ข้ามิรู้ว่าเป็นความชอบหรือไม่ แต่... ข้าก็รู้สึกชอบเขามากอยู่ดี" ลั่วชิงยวนเหลือบมองนางด้วยท่าทีจนใจ "ข้าเข้าใจแล้ว เจ้าก็แค่ชอบคนที่สามารถปกป้องเจ้าได้! สาเหตุที่ทำให้เจ้าถูกสวี่ชิงหลินหลอกเอาก็เพราะเขามักปกป้องเจ้าอยู่เสมอ จากนั้นเจ้าก็เกิดความรู้สึกไว้เนื้อเชื่อใจ!" "ไฉนท่านต้องเอ่ยถึงมันด้วย! ข้าถูกมันหลอกลวงก็จริง แต่เมื่อข้ารู้ว่ามันเป็นคนเช่นไร ข้าก็ตัดข
ลั่วชิงยวนรู้สึกตื่นตะลึง เกิดอะไรขึ้นกับเฉินเซี่ยวหานกันแน่? ทางการทราบเรื่องเร็วขนาดนั้นได้อย่างไรกัน? ต้องเป็นอุบายที่ผู้บงการเบื้องหลังสวีซงหย่วนวางเอาไว้เป็นแน่! พวกเขารีบมากันอย่างรวดเร็วเช่นนั้น ทว่ารัฐทายาทเฉินยังไม่ฟื้นเลย! "ใต้เท้า ข้อกล่าวหานี้มาจากที่ใดหรือ? พวกเราเป็นแค่ร้านขายโอสถเล็ก ๆ จะกล้าวางแผนสังหารรัฐทายาทเสนาบดีฝ่ายเหนือได้อย่างไรกัน? ข้าไม่รู้ว่ารัฐทายาทเป็นผู้ใดเสียด้วยซ้ำไป" ลั่วชิงยวนเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งและใจเย็นยิ่งนัก หลังจากชายชราที่มีท่าทางเหมือนพ่อบ้านได้ยินเช่นนี้ เขาก็รีบเดินเข้ามาหา "เมื่อวานนี้มีคนเห็นว่ารัฐทายาทเข้ามาในร้านของเจ้าอยู่ชัด ๆ! จนป่านนี้รัฐทายาทก็ยังไม่กลับมาเลย ถ้าหากไม่ถูกเจ้ากักขังเอาไว้ จะหายไปได้อย่างไรกันเล่า?!" ในยามนี้เอง น้ำเสียงอันแสนคุ้นเคยก็ดังขึ้น "เซียนฉู่ ข้าขอแนะนำให้เจ้ามอบตัวรัฐทายาทออกมาเสีย มิฉะนั้นเจ้าจะไม่เหลืออะไรให้กินแล้วนะ!" ลั่วชิงยวนเสาะหามาตามเสียง ก็เห็นลั่วอวิ๋นสี่อยู่ด้านหลังฝูงชนที่ห่างออกไปไม่ไกลนัก! ลั่วชิงยวนพลันขมวดคิ้วขึ้นมาทันที ไฉนจึงเป็นนางอีกแล้ว! หรือว่าเรื่องนี้ลั่วอวิ๋นส
เมื่อใต้เท้าผู้นั้นได้ยินเช่นนี้เข้าก็ออกคำสั่งทันทีว่า "ไปจับตัวเขามาให้ข้า!" ทุกคนล้อมรอบตัวนางเอาไว้ด้วยหมายจะจับกุมตัวนางเอาไว้ทันที ลั่วชิงยวนพลันป้องกันตัวเองแล้วเริ่มต่อสู้กับเจ้าหน้าที่ของทางการ ความชุลมุนวุ่นวายก่อให้เกิดเสียงดังมากเสียจนดึงดูดความสนใจของผู้สัญจรไปมาให้เข้ามาชมดู วรยุทธของลั่วชิงยวนในตอนนี้ไม่นับว่าเป็นยอดฝีมือ ต่อให้รับมือกับกลุ่มนักฆ่าของสวีซงหย่วนได้ยากลำบากอยู่บ้าง แต่เมื่อต้องรับมือกับเจ้าหน้าที่ทางการฝีมือธรรมดาสามัญพวกนี้กลับหาได้เป็นปัญหาสักนิด เพียงแต่ว่าอีกฝ่ายมีคนมาก มิหนำซ้ำพวกเขายังโอบล้อมและจู่โจมเข้ามาไม่หยุดหย่อน ลั่วชิงยวนมิกล้าทำร้ายพวกเขาจริง ๆ ดังนั้นนางจึงได้แต่รับมือเพื่อถ่วงเวลาเอาไว้ให้ได้นานมากที่สุดเท่าที่พอจะเป็นไปได้ "กล้าดีอย่างไรมาขัดขวางการดำเนินคดีของทางการ! วันนี้หากข้าจับตัวเจ้าได้ล่ะก็ เจ้าจะต้องได้รับโทษหนัก!" ใต้เท้าผู้นั้นกระโดดเตะลั่วชิงยวนอย่างแรง ลั่วชิงยวนยกแขนขึ้นมาสกัดกั้น แต่พลังเตะก็แรงมากพอที่จะทำให้เซถอยหลังไปสองสามก้าวก่อนที่นางจะทรงตัวได้มั่น เมื่อฟู่เฉินหวนที่นั่งอยู่ในร้านเห็นเข้าก็ขมวดคิ้ว
ขณะพูด เฉินชีก็รีบหยิบขวดโอสถขวดหนึ่งออกมา พลางเทโอสถลูกกลอนหนึ่งเม็ดส่งให้ลั่วชิงยวนกินมันสามารถปกป้องหัวใจของนางได้รถม้าโคลงเคลงไปตลอดทาง เร่งมุ่งหน้าไปยังจวนของเฉินซีอย่างรวดเร็วหลานจีได้ยินเสียงจึงเดินมาที่ลาน นางสงสัยมากว่ามีเรื่องอะไรที่ทำให้ท่านแม่ทัพต้องรีบร้อนออกไปอย่างกะทันหันทว่านางกลับเห็นเฉินชีลงจากรถม้าพร้อมกับอุ้มลั่วชิงยวนที่ได้รับบาดเจ็บ“ท่านแม่ทัพ… นางคือ...” หลานจีรีบสาวเท้าเข้ามาแต่นางกลับถูกเฉินชีผลักออกไปอย่างไร้ความเมตตา “อย่ามาขวางข้า!”หลานจีต้องถอยหลังไปสองก้าวถึงจะทรงตัวไว้ได้เมื่อได้สติ เฉินชีก็เดินไปไกลพร้อมกับสตรีในอ้อมแขนแล้วหลานจีตกตะลึงเหตุใดท่านแม่ทัพถึงต้องเป็นห่วงสตรีนางนั้นถึงเพียงนี้?นางเป็นใครกัน?หลานจีเกิดอาการตื่นตระหนกขึ้นมาอย่างกะทันหันนางตามไปดูด้วยความมิพอใจเฉินชีอุ้มลั่วชิงยวนเข้ามาที่ห้องของตน เขาวางนางลงบนเตียงแล้วเรียกนางรับใช้มาเปลี่ยนอาภรณ์ให้ลั่วชิงยวนนางรับใช้พากันสาละวนเข้า ๆ ออก ๆ เรือนกันยกใหญ่ยามนี้หลั่วชิงยวนหลับไปแล้วจากนั้นเฉินชีก็ออกจากห้องไป และมิรู้ว่าเขาไปที่ใดหลังจากที่นางรับใช้เปลี่ยนอา
"ตอนนี้มิว่าท่านจะตรัสอะไรไปก็ไร้ประโยชน์”“ไม่มีใครสนใจหรอกเพคะ”ทันทีที่พูดคำเหล่านี้ออกมา สีหน้าของฉินอี้และฮองเฮาเกาก็เปลี่ยนไปฮองเฮาเกาจ้องนางด้วยสายตาดุร้ายนางยิ้มเยาะ “ในที่สุดก็ยอมเอ่ยปากแล้วรึ? อย่าลืมที่ข้าพูดไว้สิว่า หากเจ้าพูดข้าจะตัดลิ้นเจ้าทิ้งเสีย!”จากนั้นนางก็ส่งสายตาเป็นนัยให้องครักษ์องครักษ์สองคนก้าวไปข้างหน้า คนหนึ่งจับไหล่ของลั่วชิงยวน อีกคนหยิบมีดขึ้นมาเตรียมตัวพร้อมลงมือฉินอี้ตกใจและครุ่นคิดอย่างรวดเร็วว่าจะทำอย่างไรดีลั่วชิงยวนยังมิยอมแพ้ รอยยิ้มเย็นชาผุดขึ้นบนใบหน้าของนาง “องค์ชายใหญ่ทรงเคยคิดหรือไม่เพคะว่าเหตุใดวรยุทธ์ของท่านถึงหยุดนิ่งมิพัฒนาไปไหน?”“เหตุใดถึงเรียนรู้ได้ช้า แม้จะทุ่มเทความพยายามมากกว่าคนทั่วไปหลายสิบเท่า แต่ก็ยังมิสามารถเรียนรู้ได้เท่ากับที่คนอื่นทำได้”“นั่นมีเหตุผลอยู่เพคะ”“ที่จริงแล้ว ทั้งหมดมิใช่เป็นเพราะพรสวรรค์ที่ธรรมดาเพคะ”“แต่มีพิษชนิดหนึ่งที่ชื่อว่า…”เมื่อเขาได้ยินเช่นนั้น ฉินอี้ก็ตกใจเป็นอย่างมากฮองเฮาเการีบกระชับเสื้อของนางด้วยความกังวล สีหน้าของนางเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงและขณะที่ลั่วชิงยวนกำลังจะพูดออกมาน
ทันทีที่คำกล่าวเหล่านี้หลุดออกมาร่างกายของฟู่เฉินหวนก็แข็งทื่อดวงตาของฉินอี้เต็มไปด้วยความคาดหวังอันร้อนแรงตั้งแต่เล็กจนโต แม้เขาจะเป็นองค์ชาย แต่ก็มีเพียงมิกี่คนที่ให้ความเคารพเขาแม้กระทั่งน้องสาวของเขาเองก็มักจะลงมือทำร้ายเขาบ่อย ๆ โดยมิไว้หน้ากันเลยแม้แต่น้อยส่วนคนที่อยู่ตรงหน้าเขาคืออ๋องผู้เป็นเทพสงครามเทพแห่งแคว้นเทียนเชวียและผู้สำเร็จราชการผู้ยิ่งใหญ่ในใต้หล้าเขาจึงตั้งตารอที่จะได้เห็นฟู่เฉินหวนคุกเข่าด้วยความเคารพฟู่เฉินหวนกำหมัดแน่นซ้ำแล้วซ้ำเล่าที่จริงเขาสามารถเจรจากับฉินอี้ได้ และมีเงื่อนไขต่าง ๆ มากมายที่เขาสามารถพูดคุยกับอีกฝ่ายได้ทว่าการเจรจาต้องอาศัยยุทธวิธีและที่สำคัญกว่านั้นคือ ต้องมีจิตใจที่สงบมั่นคงแต่ในเวลานี้ ฟู่เฉินหวนมิสามารถทำเช่นนั้นได้เขาแทบจะรอมิไหวแล้วดวงตาของเขาขรึมลง พลางยกเสื้อคลุมขึ้นและคุกเข่าลงเสียงดังตึงเมื่อเข่ากระทบพื้นนั้นเจือไปด้วยความอึดอัดกลัดกลุ้ม แต่เป็นเสียงที่ฉินอี้ฟังแล้วรู้สึกสบายหูเป็นอย่างยิ่งมิอาจปฏิเสธได้ว่าตอนนี้เขาพอใจอย่างถึงที่สุดนี่เป็นความรู้สึกที่เขาพยายามเสาะหามาตลอดหลายปีแต่ก็มิเคยได้มันมาโดยเฉพา
ในห้องขังอันเงียบงัน เสียงเฆี่ยนตีดังชัดเจนจนเหมือนได้ยินเสียงผิวหนังฉีกออกเป็นชิ้น ๆทำเอาคนที่ได้ยินรู้สึกใจสั่นที่มุมตรงทางเดิน บุรุษสวมหน้ากากที่อยู่ข้างหลังฉินอี้กำหมัดแน่นในทันทีฝ่ามือถูกจิกจนเกือบจะเลือดออกฟู่เฉินหวนที่ได้ยินเสียงนั้นก็รู้สึกเป็นห่วงและอดมิได้ที่จะพุ่งไปหาแต่ฉินอี้คว้าข้อมือของเขาเอาไว้“เฉินชีจะมาช่วยนางเอง”“หากตอนนี้เจ้าถูกจับได้ก็ช่วยนางออกไปมิได้ แล้วพวกเจ้าก็จะต้องตายอยู่ที่นี่”“ด้วยตัวตนของเจ้า มีแต่จะต้องเผชิญกับจุดจบที่น่าอนาถยิ่งกว่าเดิม”ฟู่เฉินหวนกำหมัดแน่น เขาก้าวถอยหลังมาหนึ่งก้าวและอดทนต่อไปฝ่ามือของเขาเหงื่อออกเมื่อได้ยินเสียงเฆี่ยนตีอย่างต่อเนื่องแต่ไม่มีเสียงร้องของความเจ็บปวด ก็สามารถบอกได้ว่า ลั่วชิงยวนกำลังทุกข์ทรมานกับความเจ็บปวดมากเพียงใดนั่นทำให้ฟู่เฉินหวนรู้สึกปวดใจเป็นอย่างมากทว่าเขาทำได้เพียงเฝ้ามองจากที่ไกล ๆ มิสามารถเข้าไปใกล้หรือช่วยนางได้เสียงแส้ดังขึ้นอย่างมิหยุดหย่อน และเสียงแส้ในแต่ละครั้งนั้นดูเหมือนจะฟาดลงไปที่หัวใจของฟู่เฉินหวนจนเลือดสด ๆ ไหลออกมาเป็นทางเวลาเหมือนจะผ่านไปอย่างเชื่องช้า และเสียงแส้น
ภายในห้องบรรทมอันโอ่อ่าฉินอี้เดินมาที่ข้างเตียงด้วยร่างกายที่เต็มไปด้วยบาดแผลยามนี้เกาเหมียวเหมี่ยวได้ทำแผลและกินโอสถเรียบร้อยแล้ว แต่ใบหน้าของนางยังคงซีดอยู่เล็กน้อยเมื่อเห็นฉินอี้เดินมาหาด้วยใบหน้าฟกช้ำและเปื้อนเลือด เกาเหมียวเหมี่ยวจึงมองเขาด้วยความมิอยากเชื่อ“ท่านแพ้ลั่วชิงยวนรึ?”ฉินอี้ขมวดคิ้วเป็นปม พลางมองบาดแผลของเกาเหมียวเหมี่ยวด้วยความกังวลและพูดว่า “เหมียวเหมี่ยว บาดแผลเจ้าสาหัสมาก ช่วงสองวันนี้เจ้าควรพักผ่อนให้ดีก่อน อย่าเพิ่งเดินไปไหนมาไหนเลย”ทว่าเกาเหมียวเหมี่ยวกลับมิได้สนใจในความห่วงใยของฉินอี้นางจ้องมองฉินอี้ด้วยความโมโหแล้วยกฝ่ามือฟาดไปหนึ่งฉาดฉินอี้มิประหลาดใจแม้แต่น้อย แต่กลับมองเกาเหมียวเหมี่ยวด้วยสีหน้าจริงจังและเป็นห่วง“เหมียวเหมี่ยว...”เกาเหมียวเหมี่ยวโมโหมากจนเอามือฟาดเขาสองครั้งติดต่อกันและแสดงความเกรี้ยวกราดออกมา “ขยะไร้ค่า! ขยะไร้ค่า!”“ท่านเป็นถึงองค์ชายผู้สูงส่ง แต่กลับถูกลั่วชิงยวนจัดการจนมีสภาพเช่นนี้ อับอายจนมิรู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ใด!”เกาเหมียวเหมี่ยวโกรธจนแทบอยากจะฉีกลั่วชิงยวนเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยดวงตาของฉินอี้หรี่ลง แต่กลับมิได
แต่ขณะที่ทั้งสองคนกำลังต่อสู้กันอย่างสูสีวิชาฝ่ามือที่จู่โจมเข้ามาอย่างฉับพลันของลั่วชิงยวนทำให้ฉินอี้มิทันตั้งตัว เขาถูกรัวหมัดใส่อย่างต่อเนื่องจนลอยกระเด็นออกไป และกระอักเลือดออกมาการต่อสู้สิ้นจบลงในพริบตาเดียวหลายคนที่อยู่รอบด้านล้วนเห็นมิชัด“เมื่อครู่เกิดกระไรขึ้น?”“ต่อสู้กันอยู่มิใช่หรือ? เหตุใดจู่ ๆ ฉินอี้ถึงแพ้ได้เล่า?”ลั่วชิงยวนมองฉินอี้ด้วยสายตาเย็นชา “ดูเหมือนวรยุทธ์ขององค์ชายใหญ่จะเป็นอย่างที่คนเขาลือกันนะเพคะ”เทียบกับคนทั่วไปแล้ว วรยุทธ์ของฉินอี้ก็ถือว่ามิได้อ่อนด้อยเลยแต่สำหรับคนที่เป็นถึงองค์ชายนั้นช่างดูอ่อนแอนักเมื่อครู่ที่ลั่วชิงยวนลองทดสอบ ดูเหมือนว่าเขายังคงมีทักษะวรยุทธ์แบบเดียวกับที่เคยเรียนมาเมื่อก่อน และมิได้มีความก้าวหน้ามากนักเป็นเช่นนี้ได้อย่างไรหากฉินอี้เพียรพยายามมากกว่านี้ ผลลัพธ์ก็คงมิเป็นเช่นนี้ฉินอีจ้องนางด้วยโทสะ ดูเหมือนจะเจ็บใจที่วรยุทธ์ของตนอ่อนด้อยเกินไป ทำให้เสียงวิพากษ์วิจารณ์รอบข้างยิ่งบาดหูมากขึ้นไปอีกเขากัดฟันพลางกำหมัดแน่น และพุ่งเข้าหาลั่วชิงยวนอย่างดุร้ายเขามิยอมพ่ายแพ้เช่นนี้หรอกแต่เขากลับมิสามารถเอาชนะลั่วชิงย
ลั่วชิงยวนตกตะลึง อารมณ์ความรู้สึกของนางดำดิ่งเป็นไปตามที่นางคาดเดาเอาไว้ว่ามิเหลือแม้แต่ศพอย่างนั้นหรือ?“มิพบศพด้วยซ้ำ” อวี๋โหรวกล่าวเสียงขรึมดวงตาของลั่วชิงยวนหม่นลง ดูเหมือนว่าร่างนั้นจะถูกกำจัดไปแล้วจริง ๆ ส่วนจะกำจัดอย่างไรและทิ้งไว้ที่ไหน บางทีอาจมีเพียงฆาตกรเท่านั้นที่รู้“น่าเสียดายจริง ๆ” ลั่วชิงยวนทอดถอนใจด้วยความเสียดายอวี๋โหรวจ้องนางด้วยสายตาจริงจังและพูดอย่างหนักแน่น “มิน่าเสียดายหรอก ข้าเชื่อว่าเจ้าจะกลายเป็นนางคนต่อไป!”ทันใดนั้น สายตาที่จริงจังของอวี๋โหรวก็ทำให้ลั่วชิงยวนรู้สึกเย็นวาบไปถึงสันหลังและยังสงสัยด้วยว่าอวี๋โหรวจะสังเกตเห็นอะไรบางอย่างหรือไม่ทว่าแม้แต่ศิษย์น้องหญิงก็จำนางมิได้ อีกทั้งอวี๋โหรวก็มิได้สนิทสนมกับนาง แล้วจะจำนางได้อย่างไรลั่วชิงยวนยิ้มและกล่าวว่า “ข้าจะถือว่านั่นคือคำปลอบใจก็แล้วกัน”อวี๋โหรวพูดอย่างจริงจัง “ข้ามิได้ปลอบใจเจ้า ข้าพูดจริง”หลังจากนั้น อวี๋โหรวก็ยิ้มอีกครั้งและพูดว่า “ทางข้ายังพอมียาอยู่บ้าง หากเจ้าต้องการอะไรก็บอกข้าได้เลย”ลั่วชิงยวนมิค่อยเข้าใจว่า เหตุใดอวี๋โหรวถึงทำดีกับนางนางมิค่อยรู้จักอวี๋โหรวมากนัก ในภาพจ
หรือเป็นเพราะเขาเชื่อมั่นในพลังความแข็งแกร่งของลั่วชิงยวน?แต่เมื่อมาครุ่นคิดดูตอนนี้ สตรีที่สามารถทำให้เซินฉีหลงใหลได้ถึงเพียงนี้คงไม่มีทางที่จะเป็นขยะไร้ค่าแม้จะมิได้แข็งแกร่งกว่าเฉินชี แต่ก็เป็นคนที่สามารถต่อกรกับเขาได้อย่างสูสีเพราะเช่นนี้เขาจึงมิแลเกาเหมียวเหมี่ยวเลยด้วยซ้ำ……เมื่อกลับมาถึงห้องลั่วชิงยวนก็นั่งลงพักผ่อนเฉินชีเดินตามเข้ามาและนั่งลงข้าง ๆ นาง พร้อมกับรินชาสองจอก“สมแล้วที่เป็นอาเหลา มีเพียงเจ้าเท่านั้นที่กล้าทำให้เกาเหมียวเหมี่ยวตกอยู่ในสภาพเช่นนั้น! ข้าชอบ!” มีแสงประกายเจิดจ้าส่องสว่างในดวงตาของเฉินชีสายตาของเขาดูเหมือนอยากจะกลืนกินลั่วชิงยวนเข้าไปทั้งตัวลั่วชิงยวนพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา “เกาเหมียวเหมี่ยวได้รับบาดเจ็บสาหัส ฝ่าบาทกับฮองเฮาคงมิยอมปล่อยข้าไปแน่ คงต้องให้เจ้าช่วยออกหน้าให้แล้ว”เฉินชียิ้มมุมปาก “วางใจได้ มีข้าอยู่ทั้งคน”ลั่วชิงยวนที่ยังกังวลอยู่เล็กน้อยกำชับด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “เฉินชี ครั้งนี้เจ้าจะยืนนิ่งดูดายอีกมิได้แล้ว เพราะหากข้าตาย แผนทั้งหมดของเจ้าก็จะสูญเปล่า”“ใต้หล้านี้ไม่มีลั่วเหลาคนที่สองหรอกนะ”เฉินชีพยักหน้าอย่างจริงจ
เลือดสด ๆ ยังคงไหลมิหยุด ไหลนองไปตามร่องลึกของลวดลายวงเวทบนพื้นดินคาดมิถึงว่ามันจะค่อย ๆ ทำให้อักษรเวทของวงเวทส่องแสงขึ้นจากนั้นหมอกสีเขียวจาง ๆ ก็กระจายฟุ้งอยู่รอบตัวลั่วชิงยวนสิ่งเหล่านั้นล้วนเป็นไอโอสถทั้งสิ้นหอรักษ์ดาราแห่งนี้ยังเป็นสถานที่ที่สามารถกลั่นไอโอสถจากเลือดได้ และไอโอสถเหล่านี้ก็สามารถรักษาร่างกายที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสได้ลั่วชิงยวนหลับตาและสูดลมหายใจด้วยความเพลิดเพลิน ทำให้ร่างกายที่ปวดร้าวของนางดูเหมือนจะผ่อนคลายลงนี่อาจจะเป็นความหมายของการมีอยู่ของแท่นประลองหอรักษ์ดาราแต่ไอโอสถนี้ก็จางลงอย่างรวดเร็วลั่วชิงยวนปล่อยเกาเหมียวเหมี่ยว นางยืนขึ้นพร้อมกับยืดเส้นยืดสาย และเดินลงจากแท่นประลองคนอื่นที่อยู่รอบ ๆ ต่างมองมาที่นางด้วยสายตาที่หวาดกลัวมากขึ้น และพวกเขาก็มิกล้าพูดจาดูถูกเหยียดหยามนางเหมือนก่อนหน้านี้อีกต่อไปแล้วลั่วชิงยวนกวาดตามองอย่างเรียบเฉย จากนั้นก็มองไปที่เฉินชีด้วยสายตาลึกซึ้งแล้วเดินจากไปเกาเหมียวเหมี่ยวที่ได้รับบาดเจ็บถูกปลดแส้ออกอย่างรวดเร็วและถูกช่วยลงจากแท่นประลอง นางกัดฟันแน่นพลางจ้องตามหลังลั่วชิงยวนที่กำลังเดินออกไปครู่ต่อมา นางก็เห