เมื่อใต้เท้าผู้นั้นได้ยินเช่นนี้เข้าก็ออกคำสั่งทันทีว่า "ไปจับตัวเขามาให้ข้า!" ทุกคนล้อมรอบตัวนางเอาไว้ด้วยหมายจะจับกุมตัวนางเอาไว้ทันที ลั่วชิงยวนพลันป้องกันตัวเองแล้วเริ่มต่อสู้กับเจ้าหน้าที่ของทางการ ความชุลมุนวุ่นวายก่อให้เกิดเสียงดังมากเสียจนดึงดูดความสนใจของผู้สัญจรไปมาให้เข้ามาชมดู วรยุทธของลั่วชิงยวนในตอนนี้ไม่นับว่าเป็นยอดฝีมือ ต่อให้รับมือกับกลุ่มนักฆ่าของสวีซงหย่วนได้ยากลำบากอยู่บ้าง แต่เมื่อต้องรับมือกับเจ้าหน้าที่ทางการฝีมือธรรมดาสามัญพวกนี้กลับหาได้เป็นปัญหาสักนิด เพียงแต่ว่าอีกฝ่ายมีคนมาก มิหนำซ้ำพวกเขายังโอบล้อมและจู่โจมเข้ามาไม่หยุดหย่อน ลั่วชิงยวนมิกล้าทำร้ายพวกเขาจริง ๆ ดังนั้นนางจึงได้แต่รับมือเพื่อถ่วงเวลาเอาไว้ให้ได้นานมากที่สุดเท่าที่พอจะเป็นไปได้ "กล้าดีอย่างไรมาขัดขวางการดำเนินคดีของทางการ! วันนี้หากข้าจับตัวเจ้าได้ล่ะก็ เจ้าจะต้องได้รับโทษหนัก!" ใต้เท้าผู้นั้นกระโดดเตะลั่วชิงยวนอย่างแรง ลั่วชิงยวนยกแขนขึ้นมาสกัดกั้น แต่พลังเตะก็แรงมากพอที่จะทำให้เซถอยหลังไปสองสามก้าวก่อนที่นางจะทรงตัวได้มั่น เมื่อฟู่เฉินหวนที่นั่งอยู่ในร้านเห็นเข้าก็ขมวดคิ้ว
ลั่วอวิ๋นสี่รอคอยให้ซ่งเชียนฉู่เอาดีงูออกมา หลังจากได้ดีงูมา นางย่อมไม่สนใจเรื่องของรัฐทายาทเฉินอยู่แล้ว ทว่าก่อนที่ลั่วอวิ๋นสี่จะทันได้มีความสุข นางก็เห็นซ่งเชียนฉู่ออกมาจากห้อง "ส่งมาให้ข้าซะ!" ลั่วอวิ๋นสี่แบมือด้วยท่าทีเฉยเมย คาดไม่ถึงเลยว่าชั่วครู่ต่อมา จะมีไม้เรียวฟาดใส่มือของลั่วอวิ๋นสี่อย่างแรง ลั่วอวิ๋นสี่กรีดร้องด้วยความเจ็บปวด "เจ้า!" นางกำหมัดแน่นแล้วจ้องหน้าซ่งเชียนฉู่ด้วยความโกรธจัด ซ่งเชียนฉู่ที่มีสีหน้ากรุ่นโกรธถึงกับเงื้อไม้ขึ้นด้วยท่าทีดุดัน "แม้แต่มารดาของเจ้าก็ยังไม่ทำให้เจ้าได้สติขึ้นมา เจ้ามันโง่เง่าเกินเยียวยาแล้วจริง ๆ!" "สวีซงหย่วนเป็นคนดีเช่นนั้นหรือ? มันสั่งให้เจ้าทำเรื่องแบบนี้ให้มันครั้งแล้วครั้งเล่า หากข้าเป็นมารดาของเจ้า คงได้โมโหตายเป็นแน่!" ซ่งเชียนฉู่มิใคร่จะคุ้นเคยกับลั่วอวิ๋นสี่นัก แต่นางก็รู้เรื่องของลั่วอวิ๋นสี่กับสวีซงหย่วนมาจากลั่วชิงยวน ยามนี้ซ่งเชียนฉู่เห็นลั่วอวิ๋นสี่ถูกหลอกใช้ นางก็รู้สึกโกรธจัดเช่นเดียวกัน คุณหนูผู้สูงศักดิ์จากจวนมหาราชครูกลับตกหลุมพรางจนถูกนักฆ่าหลอกลวงเอาเสียได้ กลายเป็นมีดเล่มหนึ่งในมือของผู้อื่น! ช่า
"เจ้าข้าเอ๊ย! ฉู่ลั่วผู้นี้กักขังรัฐทายาทและทำให้พ่อบ้านชราโมโหจนหมดสติไป มันเป็นคนชั่วช้าหน้าซื่อใจคด!" ผู้คนต่างลือกันเสียงเอ็ดอึง "ใต้เท้าจับกุมตัวมันซะ! มันบังอาจกักขังรัฐทายาท จับกุมตัวมันไปเสียให้สิ้นเรื่องสิ้นราว!" "บังอาจกักขังรัฐทายาท เซียนฉู่ผู้นี้ทำนายโชคชะตาแม่นยำเสียขนาดนั้น หรือเบื้องหลังเหตุการณ์ครั้งนี้ มันจะใช้มนต์ดำ? มิฉะนั้นมันจะกักขังรัฐทายาทไปเพื่อกระไรกันเล่า?" "โธ่ สวรรค์ ไม่มีทางเสียหรอก!" ในยามนี้เอง เมื่อทางการทราบเรื่องที่เกิดขึ้นก็ส่งกำลังเสริมเข้ามา ลั่วชิงยวนถูกล้อมเอาไว้ทันที ส่วนคนอื่น ๆ ต่างรีบกรูกันเข้ามาในร้าน ลั่วชิงยวนรีบวิ่งเข้าไปห้ามพวกเขาไว้ "มีคนป่วยอยู่ข้างใน พวกเจ้าห้ามบุกเข้าไปโดยมิได้รับอนุญาต! มิฉะนั้นอาจจะคร่าชีวิตคนได้!" นางไม่มีทางยอมให้พวกเขาเอาตัวเฉินเซี่ยวหานไปได้หรอก มิฉะนั้นเฉินเซี่ยวหานจะต้องตาย! "หลีกไปให้พ้น!" เจ้าหน้าที่ของทางการผลักเธอออกไป ขณะที่ลั่วชิงยวนกำลังจะลงมืออีกครั้ง จู่ ๆ ก็มีเสียงไอหลายครั้งดังขึ้นมาจากข้างใน "แค่ก แค่ก แค่ก..." ลั่วชิงยวนรู้สึกตื่นตะลึง ตอนที่ทุกคนกำลังจะวิ่งเข้าไปในร้
น้ำเสียงพลันอ่อนลงทันที "ท่านแม่..." ลั่วอวิ๋นสี่คิดจะวิ่งหนี แต่นางเพิ่งจะเดินไปได้เพียงแค่สองก้าว ลั่วหรงก็คว้าคอเสื้อของนางเอาไว้ "ยังจะหนีอีกรึ? เจ้าจักหนีไปที่ใดกันเล่า?" ในยามนี้เอง ลั่วหลางหลางก็ตามมาด้วยความร้อนใจแล้วรีบคว้าแขนของลั่วหรงเอาไว้ "ท่านแม่ ที่นี่มีคนมากเกินไป ได้โปรดไว้หน้าอวิ๋นสี่ด้วยเถิด" "ได้สิ ข้าจักไว้หน้าเจ้าเอง!" ลั่วหรงบิดหูของลั่วอวิ๋นสี่แล้วลากอีกฝ่ายเข้ามาในร้าน นางกล่าวกับลั่วชิงยวนว่า "คุณชายฉู่ ขออภัยที่รบกวน วันนี้ข้าคงต้องขอยืมร้านของท่านเพื่อลงโทษบุตรีแล้ว!" เมื่อพูดจบ ลั่วอวิ๋นสี่ก็ถูกลากเข้ามาในลานเรือนแล้วออกคำสั่งเสียงขรึมว่า "คุกเข่าลง!" ในร้านของฉู่ลั่วมีหลายคนกำลังเฝ้ามองดู ลั่วอวิ๋นสี่จึงไม่ยอมคุกเข่าลงพลางกล่าวด้วยท่าทีดื้อรั้นว่า "ข้าไม่ทำ!" "เมื่อคราวที่แล้วข้าบอกเจ้าว่าอย่างไร? เจ้ามิได้เรียนรู้อันใดเลยใช่หรือไม่! สวีซงหย่วนเอายาอันใดให้เจ้ากิน ถึงทำให้เจ้ายอมขายตัวเองเพื่อมันเช่นนี้?" "ไม่ช้าก็เร็วทั้งตระกูลคงต้องย่อยยับด้วยน้ำมือของเจ้าเป็นแน่!" ลั่วหรงเองก็ล่วงรู้เรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้เช่นกัน ลั่วอวิ๋นสี่เถียงก
นางหวังว่าการตายของตนจะทำให้เรื่องทั้งหมดนี้จบสิ้นลง นางหลับตาลงด้วยความสิ้นหวัง …… ภายในร้าน ฟู่เฉินหวนพิงพนักเก้าอี้อย่างเกียจคร้าน พลางมองเฉินเซี่ยวหานที่อยู่ฝั่งตรงกันข้ามแล้วเอ่ยเสียงทุ้มว่า "รัฐทายาทเฉินล่วงเกินผู้ใดบางคนเข้าหรือไม่? ยามที่เห็นความอยุติธรรมเพียงแค่ยื่นมือเข้าช่วยเหลือ กลับตกเป็นเป้าหมายเช่นนี้จนเกือบต้องตายเสียแล้ว" เฉินเซี่ยวหานขมวดคิ้วและมีท่าทางไม่พอใจอยู่บ้าง "ท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการถามกระหม่อมแล้วกระหม่อมจักรู้ได้อย่างไรพ่ะย่ะค่ะ? เรื่องนี้คงมิใช่เคราะห์ร้ายที่เกิดขึ้นปุบปับกระมัง?" เฉินเซี่ยวหานจัดเสื้อผ้าอาภรณ์ให้เรียบร้อย ทว่าจู่ ๆ ก็รู้สึกว่าตรงเอวมีบางอย่างหายไป เขาจึงรีบลุกขึ้นแล้วไปค้นหาที่กลับลานเรือน ในลานเรือน ลั่วหรงยังคงสั่งสอนลั่วอวิ๋นสี่ที่กำลังเช็ดน้ำตาขนาดเท่าเมล็ดถั่ว แต่นางก็ยังไม่ยอมแพ้ เฉินเซี่ยวหานมิได้สนใจนัก ตอนที่เขากำลังจะกลับมาเอาของที่ห้อง เขาก็เดินผ่านห้องที่ลั่วหลางหลางกำลังพักอยู่แล้วเห็นบางอย่างกำลังแกว่งไกวอยู่ข้างใน เขาตะลึงงันไปชั่วขณะ เมื่อรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นก็รีบวิ่งเข้าไปในห้อง สิ่งที่ดึงดูดสายตาก็คือ ล
"มาที่ตำหนักอ๋องสิ ข้าจักปกป้องเจ้าเอง!" วาจาหนักแน่นเหล่านี้ทำเอาลั่วชิงยวนใจเต้นอยู่สองสามครั้ง อารมณ์อันยากจะอธิบายพลันปะทุขึ้นมา ผสานเข้ากับความรู้สึกมากมายเหลือคณานับครั้นนางอยู่ในตำหนักอ๋องในฐานะของลั่วชิงยวน นางกลับมิเคยได้ยินคำพูดเช่นนี้จากปากของเขามาก่อน ต่อให้มีความสามารถเฉกเช่นเดียวกัน แต่นางได้เปลี่ยนตัวตนเป็นเทพพยากรณ์ไปแล้ว แต่เขากลับมาบอกว่าจะปกป้องนาง นางควรจะยินดีเช่นนั้นหรือ? ไม่ การไว้เนื้อเชื่อใจบุรุษเชื่อถือมิได้ และคำสัญญาของบุรุษยิ่งเชื่อถือมิได้เข้าไปกันใหญ่ "ท่านเอ่ยตรัสเช่นนี้กับผู้อื่นมามากมายเท่าใดแล้ว?" "มันอาจจะได้ผลกับสตรี ทว่ากลับหาได้ผลกับกระหม่อมแต่อย่างใดไม่พ่ะย่ะค่ะ" ลั่วชิงยวนเอ่ยเสียงเรียบนิ่งโดยไม่เก็บมาใส่ใจ เมื่อฟู่เฉินหวนได้ยินเช่นนี้เข้าก็อดมิได้ที่จะหัวเราะออกมา "ข้าสาบานต่อสวรรค์ได้ว่าเพิ่งจะเคยพูดเช่นนี้กับเจ้า" “ข้ามิคาดคิดว่าจะถูกปฏิเสธตั้งแต่ครั้งแรก” "ฉู่ลั่ว เจ้าเป็นคนแรกที่ทำให้ข้าคาดเดาไม่ออกถึงเพียงนั้น" เมื่อฟู่เฉินกล่าวจบ ภาพของลั่วชิงยวนก็พลันผุดขึ้นในหัวของเขา จากนั้นเขาก็เอ่ยเสริมขึ้นมาว่า "น่า… จะเป็
เมื่อลั่วหรงได้ยินเช่นนี้เข้าก็มองด้วยความรู้สึกไม่พอใจอยู่บ้าง "ท่านเองก็คิดว่าข้ายุ่งไม่เข้าเรื่องและดึงดันที่จะแต่งบุตรีผู้แสนล้ำค่าของตนออกไปให้ได้ใช่หรือไม่?" "ถึงแม้ว่าอวิ๋นสี่จะดื้อรั้นและก่อปัญหาให้ท่านตั้งมากมาย แต่เรื่องนี้หาได้มีสาเหตุมาจากการแต่งงานของหลางหลางแต่อย่างใดไม่ อวิ๋นสี่เป็นเช่นนี้มาตั้งแต่ยังเล็ก นางชอบต่อต้านข้าอยู่เสมอ!" เมื่อได้ยินวาจาของลั่วหรง อีกฝ่ายคงเข้าใจผิดคิดว่านางเจตนาที่จะเกลี้ยกล่อมมิให้เข้าไปยุ่งเรื่องการแต่งงานของลั่วหลางหลาง น้ำเสียงของลั่วชิงยวนฉายแววจนใจ "ข้าหาได้โกรธผู้ใดไม่ เพียงแต่ว่าเทียบแปดอักษรที่ฮูหยินมอบให้ข้า หามีผู้ใดที่ดวงสมพงศ์กันแต่อย่างใดไม่" ลั่วหรงเอ่ยด้วยความไม่พอใจขึ้นมาว่า "เช่นนั้นถ้าให้ท่านเลือกที่ดีที่สุดมาสักคนเล่า?!" ลั่วชิงยวนตกที่นั่งลำบากเสียแล้ว "ข้าเลือกมิได้ขอรับ" เมื่อลั่วหรงได้ยินเช่นนี้ก็แค่นเสียงเย็นชา จากนั้นก็เก็บเทียบแปดอักษรกลับคืนมา "ช่างเถิด ข้าคงมิรบกวนเซียนฉู่อีกแล้ว ข้าจักไปหาผู้ที่มีความสามารถมากกว่านี้แทนก็แล้วกัน!" ลั่วชิงยวนทอดถอนใจ การที่ลั่วอวิ๋นสี่มีอุปนิสัยดื้อรั้นดูเหมือนจะได้รั
ลั่วชิงยวนตะลึงงันแล้วมองนางอย่างไม่เชื่อสายตา "นี่คือเทียบแปดอักษรระหว่างเจ้ากับรัฐทายาทเฉินเช่นนั้นหรือ?" ซ่งเชียนฉู่ผงกศีรษะด้วยความเขินอาย "เขามอบให้ข้าก่อนที่จะจากไป ทั้งยังบอกให้ข้าเอามาให้ท่านตรวจดูด้วย" เมื่อได้ยินเช่นนี้เข้า ลั่วชิงยวนก็รู้สึกตื่นตะลึง เหมือนกันไม่มีผิดเพี้ยนเลย คงมิใช่เรื่องบังเอิญขนาดนั้นกระมัง? หรือว่าคนในใจของลั่วหลางหลางก็คือรัฐทายาทเฉิน? นางมีใจให้รัฐทายาทเฉินตั้งแต่เมื่อไหร่กัน... "เป็นกระไรหรือ? ถึงแม้ข้าจะรู้ว่าออกจะเสียมารยาทไปบ้าง แต่ท่านเชี่ยวชาญเรื่องนี้ ทางที่ดีช่วยตรวจดูให้ทีว่าพวกเราสองคนดวงสมพงศ์กันหรือไม่ หากพวกเรามิใช่คู่รักกัน ข้าจะได้เลิกราเสียแต่เนิ่น ๆ" เมื่อซ่งเชียนฉู่เห็นลั่วชิงยวนหาได้กล่าววาจาใด นางก็อดมิได้ที่จะต้องอธิบายออกมา ลั่วชิงยวนส่ายหน้าด้วยความจนใจ "ขอข้าดูหน่อยเถิด" นางค่อย ๆ ตรวจดูความเข้ากันได้ของเทียบแปดอักษรทั้งสองแผ่น จากนั้นนางก็เอ่ยขึ้นมาว่า "ถึงแม้จะไม่อาจเรียกได้ว่าคู่สวรรค์สร้าง แต่เทียบแปดอักษรกลับเข้ากันได้ดี" "เพียงแต่ไม่รู้ว่าการแต่งงานนี้จะดีหรือร้ายกันแน่ อย่างไรเสียเจ้าก็ต้องเดินไปตาม
ในชั่วขณะนั้น นางเกือบจะคิดว่าตัวเองกำลังฝันไป เหตุใดนางจึงเห็นลั่วฉิงแต่คำพูดของลั่วฉิงในวินาทีต่อมา ทำให้นางรู้สึกราวกับตกอยู่ในหุบเหวลึก“แม้แต่ท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการก็ยังจัดการคนดื้อรั้นเช่นเจ้ามิได้ ต้องให้ข้ามาเองเลยหรือ”ร่างของลั่วชิงยวนสั่นเทามิหยุด หนาวเหน็บจนแทบจะไร้ความรู้สึกน้ำตาที่ไหลอาบใบหน้าซีดเซียวหยดลงบนพื้นทีละหยดลั่วชิงยวนมองไปรอบ ๆ แล้วพบว่าที่นี่คือห้องห้องหนึ่งแต่มิใช่ในตำหนักอ๋อง“เหตุใดข้าจึงมาอยู่ที่นี่” นางจำได้ว่าหลังจากที่จือเฉาทายาให้แล้วนางก็หลับไปลั่วฉิงหัวเราะเบา ๆ “แน่นอนว่าฟู่เฉินหวนส่งเจ้ามาให้ข้า”“เขาเค้นคำตอบจากเจ้ามิได้ จึงต้องให้ข้ามาจัดการเอง”ได้ยินดังนั้น หัวใจของลั่วชิงยวนก็แตกสลายเป็นเสี่ยง ๆ อีกครั้งเขายังคิดว่าตัวเองยังโหดร้ายมิพออีกหรือ จึงส่งนางให้ลั่วฉิงเช่นนี้นี่ต้องการทรมานนางจนตายจึงจะหายแค้นหรืออย่างไรลั่วฉิงหยิบกล่องใบหนึ่งมาเปิดออก ข้างในเต็มไปด้วยแท่งเหล็กขนาดเท่าหัวแม่มือแล้วกล่าวอย่างแผ่วเบา “เจ้าน่าจะรู้ว่าข้าต้องการอะไร”“หากตอนนี้เจ้าบอกวิธีใช้เข็มทิศอาณัติสวรรค์ ข้าจะไว้ชีวิตเจ้า”“หากพลาดโอกาสนี้
ในวินาทีต่อมา องครักษ์ก็กรูกันเข้ามาลากลั่วชิงยวนออกไปที่ลานหลังจากกดนางลงกับพื้นก็ใช้หวายฟาดลงบนร่างของนางอย่างมิปรานีความเจ็บปวดแล่นริ้ว ลั่วชิงยวนจิกเล็บลงบนพื้นหิมะจนเป็นรอยลึกจือเฉากระโจนเข้ามาจากนอกลาน “หยุด! หยุด!”“ท่านอ๋อง เหตุใดจึงทำกับพระชายาเช่นนี้ พระชายาทำผิดอันใดหรือเพคะ!”“ท่านอ๋อง ขอได้โปรดปล่อยพระชายาเถิดเพคะ! ตั้งแต่เข้าเหมันตฤดู แผลบนร่างของพระชายาก็ยังมิหาย! หากโบยเช่นนี้ต่อไปคงจะสิ้นใจเป็นแน่เพคะ!”“ท่านอ๋องทรงพระกรุณาด้วยเพคะ!” จือเฉาโผเข้ากอดลั่วชิงยวนเพื่อรับหวายแทนแต่กลับถูกองครักษ์ดึงตัวออกไปจือเฉาร้องขอความเมตตาสุดเสียง แต่บุรุษที่ยืนอยู่ใต้ชายคากลับมีสีหน้าเรียบเฉย นัยน์ตาฉายแววเย็นชาไร้ซึ่งความอบอุ่น“พระชายา...” จือเฉาร้อนใจ แทบจะเป็นลมเพราะร้องไห้หนักลั่วชิงยวนเจ็บปวดจนแทบมิได้ยินเสียงของจือเฉา มีเพียงความเจ็บปวดมิรู้จบ ยาวนานราวกับไม่มีที่สิ้นสุดหลังจากที่ลั่วชิงยวนสลบไป ฟู่เฉินหวนจึงสั่งให้หยุดแล้วจากไปด้วยความโกรธจือเฉาโผเข้าหาลั่วชิงยวน เมื่อเอื้อมมือไปสัมผัสก็พบว่ามือเปื้อนไปด้วยเลือด นางรีบชักมือกลับมองเลือดที่ไหลนองเต็มพื
ฟู่เฉินหวนกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา แววตาที่น่ารังเกียจนั้นทำให้หัวใจของลั่วชิงยวนเจ็บปวดราวกับถูกเข็มทิ่มแทงลั่วชิงยวนกัดฟันพลางกลั้นน้ำตาไว้ “ท่านมิได้บอกว่าจะเชื่อหม่อมฉันหรอกหรือเพคะ?”“หากหม่อมฉันบอกท่านทั้งหมด ท่านก็จะเชื่อหม่อมฉันมิใช่หรือเพคะ!”ฟู่เฉินหวนมีแววตาเย็นชา มองนางอย่างเฉยเมย “แต่เจ้าบอกข้าทั้งหมดแล้วหรือยังเล่า? เจ้ายังคงปิดบัง ยังคงหลอกลวง!”เสียงตำหนินั้นเต็มไปด้วยความโกรธทำให้หัวใจของลั่วชิงยวนแทบแตกสลาย“ฟู่เฉินหวน วันนี้ท่านมาก็เพื่อหลอกลวงหม่อมฉันอีกแล้วใช่หรือไม่”“จุดประสงค์สุดท้ายของท่านคือ หลอกล่อให้หม่อมฉันบอกวิธีใช้เข็มทิศอาณัติสวรรค์ เพราะลั่วฉิงใช้มันมิได้ ใช่หรือไม่!”ลั่วชิงยวนตะโกนด้วยความโกรธ“หม่อมฉันช่างโง่เขลาที่เชื่อใจท่าน บอกความลับทั้งหมดให้ท่านฟัง แต่ท่านก็หลอกลวงหม่อมฉันอีกครั้ง...”พูดไปน้ำตาของลั่วชิงยวนก็ไหลรินในเวลานี้ หัวใจของลั่วชิงยวนราวกับถูกควักออกมาผ่าเป็นสองซีกเจ็บปวดเจียนตายแต่ฟู่เฉินหวนกลับมิเปลี่ยนสีหน้า แววตายิ่งเย็นชาขึ้นเขาบีบคอของนางด้วยความโกรธ“ในเมื่อเจ้ารู้แล้ว ข้าก็ขี้เกียจเสแสร้งกับเจ้าแล้ว”“เข็มท
ฟู่เฉินหวนตกใจมองนางด้วยความประหลาดใจก่อนจะตอบว่า “ได้”“หากเจ้าอธิบายได้ชัดเจน ข้ายินดีเชื่อเจ้าเป็นครั้งสุดท้าย”ได้ยินดังนั้นลั่วชิงยวนก็รู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อยรีบกล่าวทันที “หม่อมฉันชื่อลั่วเหลา แท้จริงแล้วลั่วอิงคืออาจารย์ของหม่อมฉัน หม่อมฉันตายไปแล้วมาเกิดใหม่ในร่างของลั่วชิงยวน”“วันรุ่งขึ้นหลังจากวันแต่งงาน ลั่วชิงยวนก็ปลิดชีพตัวเอง หลังจากนั้นร่างนี้ก็มิใช่ลั่วชิงยวนอีกต่อไป แต่เป็นหม่อมฉัน ลั่วเหลา”“หม่อมฉันเป็นชาวแคว้นหลี”“ดังนั้นความสามารถที่หม่อมฉันมีจึงเป็นสิ่งที่ลั่วชิงยวนไม่มี”“เรื่องน้ำศักดิ์สิทธิ์ของแคว้นหลี หม่อมฉันก็เพิ่งค้นพบตอนที่ไปเผ่านอกด่าน หลังจากที่อาจารย์ค้นพบความลับนี้ ก็พยายามค้นหาวิธีแก้ไขเรื่องน้ำศักดิ์สิทธิ์”“เพราะหากความลับนี้รั่วไหลออกไป จะมีคนมากมายเกิดความโลภ จะทำให้ทั้งใต้หล้าประสบพบความวุ่นวาย เลือดนองแผ่นดิน”“...”ลั่วชิงยวนเล่าความลับทั้งหมดของนางให้เขาฟังโดยมิปิดบังนางรู้สึกว่าคนที่เคยเปิดใจให้กันคงจะมิทรยศกันง่าย ๆตราบใดที่นางจริงใจ มิปิดบังสิ่งใด นางก็จะได้รับการตอบสนองเช่นเดียวกันหลังจากที่นางพูดจบ ฟู่เฉินหวนก็ตกตะลึ
เหตุใดแคว้นหลีจึงส่งกองทัพมากะทันหันฟู่อวิ๋นโจวเอ่ยถาม “ท่านมหาปราชญ์ ท่านเชี่ยวชาญด้านนี้ พอจะทำนายผลลัพธ์ได้หรือไม่?”“ควรจะรับมืออย่างไร”ขุนนางทั้งหลายต่างมองไปที่ลั่วฉิง ลั่วฉิงไม่มีทางเลือก จึงได้แต่กัดฟันกล่าวว่า “เรื่องนี้... ทำนายได้ แต่หม่อมฉันต้องการเวลาเพคะ”ฟู่อวิ๋นโจวมีสีหน้ากังวล และถามว่า “ท่านมหาปราชญ์ต้องการเวลานานเพียงใด?”ลั่วฉิงลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จึงกล่าวว่า “สามวันเพคะ!”สิ้นคำพูดของนาง หลายคนก็แสดงความมิพอใจ“สามวันหรือ? ซีหลิงอยู่ห่างจากเมืองหลวงราวพันลี้ สามวันกว่าจะบอกผลลัพธ์ จะทันการณ์ได้อย่างไร”“ก่อนหน้านี้พระชายาอ๋องผู้สำเร็จราชการก็มิได้ใช้เวลานานถึงเพียงนั้น”“ใช่ ท่านมหาปราชญ์คงจะมิค่อยมีความสามารถมากถึงเพียงนั้นกระมัง”คำพูดนี้ทำให้ลั่วฉิงหน้าซีดเผือด“สองวัน อย่างเร็วที่สุดก็ต้องสองวัน!” ลั่วฉิงกัดฟันกล่าวในตอนนี้ ฟู่เฉินหวนกล่าวอย่างใจเย็น “แคว้นหลีส่งกองทัพมาโดยมิทราบสาเหตุ ข้าคิดว่าตอนนี้ควรส่งคนไปเจรจากับแคว้นหลีโดยด่วน”“ระหว่างนั้นก็ส่งกองกำลังไปเสริมอย่างลับ ๆ ด้วย อย่าได้พึ่งพาแต่ผลการทำนายของท่านมหาปราชญ์”“หากผลลัพธ์ออกมาแล้ว
เมื่อเฉินชีได้ยินดังนั้นก็หยุดชะงักแล้วยกยิ้มมุมปาก เดินมาที่หน้าต่าง พิงกำแพงพลางกอดอก “เจ้าจะให้ข้าช่วยเจ้าในฐานะที่เจ้าเป็นใคร?”ลั่วชิงยวนมองเขาด้วยสายตาเย็นชา “นักบวชระดับสูง”ดวงตาของเฉินชีลุกโชนด้วยประกายร้อนแรง “อาเหลา ในที่สุดเจ้าก็ตัดสินใจจะไปกับข้าแล้วหรือ?”ลั่วชิงยวนมองเขาด้วยสายตาเย็นชาและเย่อหยิ่ง “กลับแคว้นหลีก็ได้ ข้าบอกแล้วว่าให้เจ้าช่วยข้าเรื่องหนึ่ง”“แคว้นหลีจะมีนักบวชระดับสูงได้เพียงผู้เดียวเท่านั้น”เฉินชียกยิ้มมุมปากแล้วหัวเราะอย่างเจ้าเล่ห์ ก่อนจะคุกเข่าลงข้างหนึ่งอย่างนอบน้อม “อย่าว่าแต่เรื่องเดียวเลย สิบเรื่อง ร้อยเรื่อง เฉินชีก็ยินดีทำเพื่อนักบวชระดับสูงทั้งสิ้น!”ลั่วชิงยวนหรี่ตามองเขาด้วยแววตาที่ลึกล้ำถึงแม้เฉินชีจะบ้าแต่ก็มิใช้คนโง่เขลา เขาทำอะไรตามอำเภอใจแต่ก็คงมิยอมสยบต่อนางง่าย ๆ เช่นนี้การเปลี่ยนท่าทีเช่นนี้ทำให้นางมิค่อยเชื่อถือ“เจ้าฟังเรื่องที่ข้าจะให้เจ้าทำก่อนค่อยตอบรับก็ยังมิสาย”เฉินชีลุกขึ้นมองนางด้วยแววตาเป็นประกาย “ท่านนักบวชต้องการให้ข้าทำสิ่งใด?”“ข้าต้องการให้เจ้ายกทัพไปตีซีหลิง”“แต่ห้ามสู้รบกันจริง ๆ ห้ามทำร้ายราษฎร”เฉ
ใจของลั่วชิงยวนร้อนรุ่มดั่งไฟสุม นางพยายามดิ้นรนสุดแรง “ปล่อยข้านะ!”“ฟู่เฉินหวน ท่านช่างไร้หัวใจอะไรเยี่ยงนี้!”ทว่าฟู่เฉินหวนยังคงมีสีหน้าเรียบเฉย มิสะทกสะท้านแม้แต่น้อยเมื่อเห็นแม่นมเติ้งใกล้จะทนมิไหวแล้ว น้ำตาลั่วชิงยวนก็เอ่อคลอ“หม่อมฉันจะมิออกจากเรือนแล้ว หม่อมฉันจะมิออกจากห้องแล้ว ได้หรือไม่!”นางมองฟู่เฉินหวนด้วยดวงตาแดงก่ำ พยายามวิงวอนขอร้องในที่สุดนางก็ยอมก้มหน้าลง“ขอท่านไว้ชีวิตนางด้วยเถิดเพคะ!” ลั่วชิงยวนคุกเข่าลงอย่างอ่อนแรงแววตาฟู่เฉินหวนมืดมนเดิมทีลั่วชิงยวนคิดว่าเมื่อนางขอร้องแล้ว ฟู่เฉินหวนคงจะไว้ชีวิตแม่นมเติ้งแต่ฟู่เฉินหวนกลับมีแววตาเย็นชา “นางเป็นบ่าวของตำหนัก มิใช่บ่าวของเจ้า นางขัดคำสั่งข้า สำหรับข้าแล้ว ไม่มีคำว่ายกโทษ”น้ำเสียงเย็นเยียบของเขาเป็นดั่งหนามแหลมทิ่มแทงหัวใจของลั่วชิงยวนลั่วชิงยวนตกตะลึงนางโกรธจนตะโกนลั่น “ฟู่เฉินหวน!”ฟู่เฉินหวนขมวดคิ้ว นัยน์ตาฉายแววหงุดหงิดขณะกล่าวเสียงเย็น “พาตัวนางไป”องครักษ์จับตัวลั่วชิงยวนแล้วลากออกไปฟู่เฉินหวนมองนางเป็นครั้งสุดท้ายด้วยสายตาเย็นชา “หากเจ้ายังท้าทายข้าอีก จะต้องมีคนตายมา่กกว่านี้แน่”แ
ครั้นลั่วชิงยวนถูกพากลับมายังเรือนพวกองครักษ์ก็ปล่อยตัวนาง นางจึงทรุดกายลงคุกเข่ากับพื้นด้วยความอ่อนล้า“พระชายา! พระชายา!”จือเฉารีบรุดเข้ามาประคอง แต่พลั้งมือไปโดนแขนนางเข้า จึงสะดุ้งโหยงรีบชักมือกลับ “พระชายา แขนของท่าน...”ลั่วชิงยวนยันกายลุกขึ้นโดยอาศัยจือเฉาพยุงเดินเข้าห้องไปอย่างเชื่องช้าเมื่อนั่งลงบนเก้าอี้ นางก็จับแขนข้างที่หักนั้นไว้พลางกัดฟันแน่นก่อนจะออกแรงดันกระดูกให้เข้าที่ความเจ็บปวดแล่นริ้วราวกับจะขาดใจ น้ำตาของนางแทบไหลรินจือเฉากลั้นน้ำตาไว้มิอยู่ “พระชายา... เหตุใดท่านอ๋องจึงโหดเหี้ยมเช่นนี้ ลงพระหัตถ์หนักหนาเกินไปแล้ว...”ทันใดนั้นลั่วชิงยวนก็รู้สึกเจ็บแปลบที่อกพลันไอออกมามิหยุด จือเฉารีบยื่นผ้าเช็ดหน้าให้ เมื่อไอเสร็จ ลั่วชิงยวนก็พบว่าผ้าเช็ดหน้าเต็มไปด้วยเลือด...จือเฉาตกใจมาก “บ่าวจะไปตามซูโหยวให้ไปเชิญหมอหลวงมาเจ้าค่ะ”แต่ลั่วชิงยวนกลับบอกว่า “มิต้อง อย่าทำให้เขาเดือดร้อนเลย”หากฟู่เฉินหวนรู้ว่าซูโหยวช่วยนางคงจะโกรธมากเป็นแน่“แล้วแผลของพระชายาเล่าเจ้าคะ?”ลั่วชิงยวนรินน้ำชา “ยังมีสมุนไพรเหลืออยู่มิใช่หรือ แค่นั้นก็เพียงพอแล้ว”จากนั้นนางก็หยิบส
ในชั่วพริบตา ลั่วชิงยวนก็รู้สึกเจ็บแปลบที่หลังเพราะถูกกดลงบนกำแพงเท้าของนางลอยขึ้นจากพื้นความรู้สึกหายใจมิออกทำให้นางดิ้นรนสุดกำลัง“ใครอนุญาตให้เจ้าเข้ามา! ใครอนุญาตให้เจ้าแตะต้องของของข้า!”ลั่วชิงยวนพยายามพูด “ฟู่เฉินหวน...”นางหายใจมิออกแล้วนัยน์ตาของฟู่เฉินหวนฉายแววเย็นชาขณะจับนางเหวี่ยงออกไปร่างลั่วชิงยวนตกกระแทกพื้นเสียงดังสนั่นกลิ้งไปหลายตลบแล้วกระอักเลือดออกมาอวัยวะภายในสั่นสะเทือน ปวดร้าวไปทั่วร่าง“ฟู่เฉินหวน ลั่วฉิงกับไทเฮาร่วมมือกัน สิ่งที่ไทเฮาให้ท่านอาจถูกลั่วฉิงปลอมแปลง จดหมายนั้นอาจเป็นของปลอมก็ได้!”ลั่วชิงยวนรีบอธิบายความคิดของตนเองฟู่เฉินหวนเดินเข้ามาด้วยความโกรธ เขาจับนางขึ้นมาแล้วมองนางด้วยสายตาเหี้ยมโหด “ถึงตอนนี้แล้วยังจะมาหลอกลวงข้าอีกรึ?”“ลายมือท่านแม่ของข้า ข้าจะจำมิได้เชียวหรือ!”พูดจบ ลั่วชิงยวนก็ถูกเหวี่ยงออกจากห้องร่างกระแทกพื้นหิมะแขนข้างหนึ่งถูกทับจนเกิดเสียงดังกร๊อบแขนหลุดจากข้อต่อแล้ว“โอ๊ย...” ลั่วชิงยวนร้องเสียงหลง หน้าซีดเผือดด้วยความเจ็บปวด เหงื่อเย็นผุดขึ้นเต็มไปหน้านางใช้มือข้างเดียวพยุงตัว พยายามลุกขึ้นอย่างยากล