เมื่อใต้เท้าผู้นั้นได้ยินเช่นนี้เข้าก็ออกคำสั่งทันทีว่า "ไปจับตัวเขามาให้ข้า!" ทุกคนล้อมรอบตัวนางเอาไว้ด้วยหมายจะจับกุมตัวนางเอาไว้ทันที ลั่วชิงยวนพลันป้องกันตัวเองแล้วเริ่มต่อสู้กับเจ้าหน้าที่ของทางการ ความชุลมุนวุ่นวายก่อให้เกิดเสียงดังมากเสียจนดึงดูดความสนใจของผู้สัญจรไปมาให้เข้ามาชมดู วรยุทธของลั่วชิงยวนในตอนนี้ไม่นับว่าเป็นยอดฝีมือ ต่อให้รับมือกับกลุ่มนักฆ่าของสวีซงหย่วนได้ยากลำบากอยู่บ้าง แต่เมื่อต้องรับมือกับเจ้าหน้าที่ทางการฝีมือธรรมดาสามัญพวกนี้กลับหาได้เป็นปัญหาสักนิด เพียงแต่ว่าอีกฝ่ายมีคนมาก มิหนำซ้ำพวกเขายังโอบล้อมและจู่โจมเข้ามาไม่หยุดหย่อน ลั่วชิงยวนมิกล้าทำร้ายพวกเขาจริง ๆ ดังนั้นนางจึงได้แต่รับมือเพื่อถ่วงเวลาเอาไว้ให้ได้นานมากที่สุดเท่าที่พอจะเป็นไปได้ "กล้าดีอย่างไรมาขัดขวางการดำเนินคดีของทางการ! วันนี้หากข้าจับตัวเจ้าได้ล่ะก็ เจ้าจะต้องได้รับโทษหนัก!" ใต้เท้าผู้นั้นกระโดดเตะลั่วชิงยวนอย่างแรง ลั่วชิงยวนยกแขนขึ้นมาสกัดกั้น แต่พลังเตะก็แรงมากพอที่จะทำให้เซถอยหลังไปสองสามก้าวก่อนที่นางจะทรงตัวได้มั่น เมื่อฟู่เฉินหวนที่นั่งอยู่ในร้านเห็นเข้าก็ขมวดคิ้ว
ลั่วอวิ๋นสี่รอคอยให้ซ่งเชียนฉู่เอาดีงูออกมา หลังจากได้ดีงูมา นางย่อมไม่สนใจเรื่องของรัฐทายาทเฉินอยู่แล้ว ทว่าก่อนที่ลั่วอวิ๋นสี่จะทันได้มีความสุข นางก็เห็นซ่งเชียนฉู่ออกมาจากห้อง "ส่งมาให้ข้าซะ!" ลั่วอวิ๋นสี่แบมือด้วยท่าทีเฉยเมย คาดไม่ถึงเลยว่าชั่วครู่ต่อมา จะมีไม้เรียวฟาดใส่มือของลั่วอวิ๋นสี่อย่างแรง ลั่วอวิ๋นสี่กรีดร้องด้วยความเจ็บปวด "เจ้า!" นางกำหมัดแน่นแล้วจ้องหน้าซ่งเชียนฉู่ด้วยความโกรธจัด ซ่งเชียนฉู่ที่มีสีหน้ากรุ่นโกรธถึงกับเงื้อไม้ขึ้นด้วยท่าทีดุดัน "แม้แต่มารดาของเจ้าก็ยังไม่ทำให้เจ้าได้สติขึ้นมา เจ้ามันโง่เง่าเกินเยียวยาแล้วจริง ๆ!" "สวีซงหย่วนเป็นคนดีเช่นนั้นหรือ? มันสั่งให้เจ้าทำเรื่องแบบนี้ให้มันครั้งแล้วครั้งเล่า หากข้าเป็นมารดาของเจ้า คงได้โมโหตายเป็นแน่!" ซ่งเชียนฉู่มิใคร่จะคุ้นเคยกับลั่วอวิ๋นสี่นัก แต่นางก็รู้เรื่องของลั่วอวิ๋นสี่กับสวีซงหย่วนมาจากลั่วชิงยวน ยามนี้ซ่งเชียนฉู่เห็นลั่วอวิ๋นสี่ถูกหลอกใช้ นางก็รู้สึกโกรธจัดเช่นเดียวกัน คุณหนูผู้สูงศักดิ์จากจวนมหาราชครูกลับตกหลุมพรางจนถูกนักฆ่าหลอกลวงเอาเสียได้ กลายเป็นมีดเล่มหนึ่งในมือของผู้อื่น! ช่า
"เจ้าข้าเอ๊ย! ฉู่ลั่วผู้นี้กักขังรัฐทายาทและทำให้พ่อบ้านชราโมโหจนหมดสติไป มันเป็นคนชั่วช้าหน้าซื่อใจคด!" ผู้คนต่างลือกันเสียงเอ็ดอึง "ใต้เท้าจับกุมตัวมันซะ! มันบังอาจกักขังรัฐทายาท จับกุมตัวมันไปเสียให้สิ้นเรื่องสิ้นราว!" "บังอาจกักขังรัฐทายาท เซียนฉู่ผู้นี้ทำนายโชคชะตาแม่นยำเสียขนาดนั้น หรือเบื้องหลังเหตุการณ์ครั้งนี้ มันจะใช้มนต์ดำ? มิฉะนั้นมันจะกักขังรัฐทายาทไปเพื่อกระไรกันเล่า?" "โธ่ สวรรค์ ไม่มีทางเสียหรอก!" ในยามนี้เอง เมื่อทางการทราบเรื่องที่เกิดขึ้นก็ส่งกำลังเสริมเข้ามา ลั่วชิงยวนถูกล้อมเอาไว้ทันที ส่วนคนอื่น ๆ ต่างรีบกรูกันเข้ามาในร้าน ลั่วชิงยวนรีบวิ่งเข้าไปห้ามพวกเขาไว้ "มีคนป่วยอยู่ข้างใน พวกเจ้าห้ามบุกเข้าไปโดยมิได้รับอนุญาต! มิฉะนั้นอาจจะคร่าชีวิตคนได้!" นางไม่มีทางยอมให้พวกเขาเอาตัวเฉินเซี่ยวหานไปได้หรอก มิฉะนั้นเฉินเซี่ยวหานจะต้องตาย! "หลีกไปให้พ้น!" เจ้าหน้าที่ของทางการผลักเธอออกไป ขณะที่ลั่วชิงยวนกำลังจะลงมืออีกครั้ง จู่ ๆ ก็มีเสียงไอหลายครั้งดังขึ้นมาจากข้างใน "แค่ก แค่ก แค่ก..." ลั่วชิงยวนรู้สึกตื่นตะลึง ตอนที่ทุกคนกำลังจะวิ่งเข้าไปในร้
น้ำเสียงพลันอ่อนลงทันที "ท่านแม่..." ลั่วอวิ๋นสี่คิดจะวิ่งหนี แต่นางเพิ่งจะเดินไปได้เพียงแค่สองก้าว ลั่วหรงก็คว้าคอเสื้อของนางเอาไว้ "ยังจะหนีอีกรึ? เจ้าจักหนีไปที่ใดกันเล่า?" ในยามนี้เอง ลั่วหลางหลางก็ตามมาด้วยความร้อนใจแล้วรีบคว้าแขนของลั่วหรงเอาไว้ "ท่านแม่ ที่นี่มีคนมากเกินไป ได้โปรดไว้หน้าอวิ๋นสี่ด้วยเถิด" "ได้สิ ข้าจักไว้หน้าเจ้าเอง!" ลั่วหรงบิดหูของลั่วอวิ๋นสี่แล้วลากอีกฝ่ายเข้ามาในร้าน นางกล่าวกับลั่วชิงยวนว่า "คุณชายฉู่ ขออภัยที่รบกวน วันนี้ข้าคงต้องขอยืมร้านของท่านเพื่อลงโทษบุตรีแล้ว!" เมื่อพูดจบ ลั่วอวิ๋นสี่ก็ถูกลากเข้ามาในลานเรือนแล้วออกคำสั่งเสียงขรึมว่า "คุกเข่าลง!" ในร้านของฉู่ลั่วมีหลายคนกำลังเฝ้ามองดู ลั่วอวิ๋นสี่จึงไม่ยอมคุกเข่าลงพลางกล่าวด้วยท่าทีดื้อรั้นว่า "ข้าไม่ทำ!" "เมื่อคราวที่แล้วข้าบอกเจ้าว่าอย่างไร? เจ้ามิได้เรียนรู้อันใดเลยใช่หรือไม่! สวีซงหย่วนเอายาอันใดให้เจ้ากิน ถึงทำให้เจ้ายอมขายตัวเองเพื่อมันเช่นนี้?" "ไม่ช้าก็เร็วทั้งตระกูลคงต้องย่อยยับด้วยน้ำมือของเจ้าเป็นแน่!" ลั่วหรงเองก็ล่วงรู้เรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้เช่นกัน ลั่วอวิ๋นสี่เถียงก
นางหวังว่าการตายของตนจะทำให้เรื่องทั้งหมดนี้จบสิ้นลง นางหลับตาลงด้วยความสิ้นหวัง …… ภายในร้าน ฟู่เฉินหวนพิงพนักเก้าอี้อย่างเกียจคร้าน พลางมองเฉินเซี่ยวหานที่อยู่ฝั่งตรงกันข้ามแล้วเอ่ยเสียงทุ้มว่า "รัฐทายาทเฉินล่วงเกินผู้ใดบางคนเข้าหรือไม่? ยามที่เห็นความอยุติธรรมเพียงแค่ยื่นมือเข้าช่วยเหลือ กลับตกเป็นเป้าหมายเช่นนี้จนเกือบต้องตายเสียแล้ว" เฉินเซี่ยวหานขมวดคิ้วและมีท่าทางไม่พอใจอยู่บ้าง "ท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการถามกระหม่อมแล้วกระหม่อมจักรู้ได้อย่างไรพ่ะย่ะค่ะ? เรื่องนี้คงมิใช่เคราะห์ร้ายที่เกิดขึ้นปุบปับกระมัง?" เฉินเซี่ยวหานจัดเสื้อผ้าอาภรณ์ให้เรียบร้อย ทว่าจู่ ๆ ก็รู้สึกว่าตรงเอวมีบางอย่างหายไป เขาจึงรีบลุกขึ้นแล้วไปค้นหาที่กลับลานเรือน ในลานเรือน ลั่วหรงยังคงสั่งสอนลั่วอวิ๋นสี่ที่กำลังเช็ดน้ำตาขนาดเท่าเมล็ดถั่ว แต่นางก็ยังไม่ยอมแพ้ เฉินเซี่ยวหานมิได้สนใจนัก ตอนที่เขากำลังจะกลับมาเอาของที่ห้อง เขาก็เดินผ่านห้องที่ลั่วหลางหลางกำลังพักอยู่แล้วเห็นบางอย่างกำลังแกว่งไกวอยู่ข้างใน เขาตะลึงงันไปชั่วขณะ เมื่อรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นก็รีบวิ่งเข้าไปในห้อง สิ่งที่ดึงดูดสายตาก็คือ ล
"มาที่ตำหนักอ๋องสิ ข้าจักปกป้องเจ้าเอง!" วาจาหนักแน่นเหล่านี้ทำเอาลั่วชิงยวนใจเต้นอยู่สองสามครั้ง อารมณ์อันยากจะอธิบายพลันปะทุขึ้นมา ผสานเข้ากับความรู้สึกมากมายเหลือคณานับครั้นนางอยู่ในตำหนักอ๋องในฐานะของลั่วชิงยวน นางกลับมิเคยได้ยินคำพูดเช่นนี้จากปากของเขามาก่อน ต่อให้มีความสามารถเฉกเช่นเดียวกัน แต่นางได้เปลี่ยนตัวตนเป็นเทพพยากรณ์ไปแล้ว แต่เขากลับมาบอกว่าจะปกป้องนาง นางควรจะยินดีเช่นนั้นหรือ? ไม่ การไว้เนื้อเชื่อใจบุรุษเชื่อถือมิได้ และคำสัญญาของบุรุษยิ่งเชื่อถือมิได้เข้าไปกันใหญ่ "ท่านเอ่ยตรัสเช่นนี้กับผู้อื่นมามากมายเท่าใดแล้ว?" "มันอาจจะได้ผลกับสตรี ทว่ากลับหาได้ผลกับกระหม่อมแต่อย่างใดไม่พ่ะย่ะค่ะ" ลั่วชิงยวนเอ่ยเสียงเรียบนิ่งโดยไม่เก็บมาใส่ใจ เมื่อฟู่เฉินหวนได้ยินเช่นนี้เข้าก็อดมิได้ที่จะหัวเราะออกมา "ข้าสาบานต่อสวรรค์ได้ว่าเพิ่งจะเคยพูดเช่นนี้กับเจ้า" “ข้ามิคาดคิดว่าจะถูกปฏิเสธตั้งแต่ครั้งแรก” "ฉู่ลั่ว เจ้าเป็นคนแรกที่ทำให้ข้าคาดเดาไม่ออกถึงเพียงนั้น" เมื่อฟู่เฉินกล่าวจบ ภาพของลั่วชิงยวนก็พลันผุดขึ้นในหัวของเขา จากนั้นเขาก็เอ่ยเสริมขึ้นมาว่า "น่า… จะเป็
เมื่อลั่วหรงได้ยินเช่นนี้เข้าก็มองด้วยความรู้สึกไม่พอใจอยู่บ้าง "ท่านเองก็คิดว่าข้ายุ่งไม่เข้าเรื่องและดึงดันที่จะแต่งบุตรีผู้แสนล้ำค่าของตนออกไปให้ได้ใช่หรือไม่?" "ถึงแม้ว่าอวิ๋นสี่จะดื้อรั้นและก่อปัญหาให้ท่านตั้งมากมาย แต่เรื่องนี้หาได้มีสาเหตุมาจากการแต่งงานของหลางหลางแต่อย่างใดไม่ อวิ๋นสี่เป็นเช่นนี้มาตั้งแต่ยังเล็ก นางชอบต่อต้านข้าอยู่เสมอ!" เมื่อได้ยินวาจาของลั่วหรง อีกฝ่ายคงเข้าใจผิดคิดว่านางเจตนาที่จะเกลี้ยกล่อมมิให้เข้าไปยุ่งเรื่องการแต่งงานของลั่วหลางหลาง น้ำเสียงของลั่วชิงยวนฉายแววจนใจ "ข้าหาได้โกรธผู้ใดไม่ เพียงแต่ว่าเทียบแปดอักษรที่ฮูหยินมอบให้ข้า หามีผู้ใดที่ดวงสมพงศ์กันแต่อย่างใดไม่" ลั่วหรงเอ่ยด้วยความไม่พอใจขึ้นมาว่า "เช่นนั้นถ้าให้ท่านเลือกที่ดีที่สุดมาสักคนเล่า?!" ลั่วชิงยวนตกที่นั่งลำบากเสียแล้ว "ข้าเลือกมิได้ขอรับ" เมื่อลั่วหรงได้ยินเช่นนี้ก็แค่นเสียงเย็นชา จากนั้นก็เก็บเทียบแปดอักษรกลับคืนมา "ช่างเถิด ข้าคงมิรบกวนเซียนฉู่อีกแล้ว ข้าจักไปหาผู้ที่มีความสามารถมากกว่านี้แทนก็แล้วกัน!" ลั่วชิงยวนทอดถอนใจ การที่ลั่วอวิ๋นสี่มีอุปนิสัยดื้อรั้นดูเหมือนจะได้รั
ลั่วชิงยวนตะลึงงันแล้วมองนางอย่างไม่เชื่อสายตา "นี่คือเทียบแปดอักษรระหว่างเจ้ากับรัฐทายาทเฉินเช่นนั้นหรือ?" ซ่งเชียนฉู่ผงกศีรษะด้วยความเขินอาย "เขามอบให้ข้าก่อนที่จะจากไป ทั้งยังบอกให้ข้าเอามาให้ท่านตรวจดูด้วย" เมื่อได้ยินเช่นนี้เข้า ลั่วชิงยวนก็รู้สึกตื่นตะลึง เหมือนกันไม่มีผิดเพี้ยนเลย คงมิใช่เรื่องบังเอิญขนาดนั้นกระมัง? หรือว่าคนในใจของลั่วหลางหลางก็คือรัฐทายาทเฉิน? นางมีใจให้รัฐทายาทเฉินตั้งแต่เมื่อไหร่กัน... "เป็นกระไรหรือ? ถึงแม้ข้าจะรู้ว่าออกจะเสียมารยาทไปบ้าง แต่ท่านเชี่ยวชาญเรื่องนี้ ทางที่ดีช่วยตรวจดูให้ทีว่าพวกเราสองคนดวงสมพงศ์กันหรือไม่ หากพวกเรามิใช่คู่รักกัน ข้าจะได้เลิกราเสียแต่เนิ่น ๆ" เมื่อซ่งเชียนฉู่เห็นลั่วชิงยวนหาได้กล่าววาจาใด นางก็อดมิได้ที่จะต้องอธิบายออกมา ลั่วชิงยวนส่ายหน้าด้วยความจนใจ "ขอข้าดูหน่อยเถิด" นางค่อย ๆ ตรวจดูความเข้ากันได้ของเทียบแปดอักษรทั้งสองแผ่น จากนั้นนางก็เอ่ยขึ้นมาว่า "ถึงแม้จะไม่อาจเรียกได้ว่าคู่สวรรค์สร้าง แต่เทียบแปดอักษรกลับเข้ากันได้ดี" "เพียงแต่ไม่รู้ว่าการแต่งงานนี้จะดีหรือร้ายกันแน่ อย่างไรเสียเจ้าก็ต้องเดินไปตาม
ขณะพูด เฉินชีก็รีบหยิบขวดโอสถขวดหนึ่งออกมา พลางเทโอสถลูกกลอนหนึ่งเม็ดส่งให้ลั่วชิงยวนกินมันสามารถปกป้องหัวใจของนางได้รถม้าโคลงเคลงไปตลอดทาง เร่งมุ่งหน้าไปยังจวนของเฉินซีอย่างรวดเร็วหลานจีได้ยินเสียงจึงเดินมาที่ลาน นางสงสัยมากว่ามีเรื่องอะไรที่ทำให้ท่านแม่ทัพต้องรีบร้อนออกไปอย่างกะทันหันทว่านางกลับเห็นเฉินชีลงจากรถม้าพร้อมกับอุ้มลั่วชิงยวนที่ได้รับบาดเจ็บ“ท่านแม่ทัพ… นางคือ...” หลานจีรีบสาวเท้าเข้ามาแต่นางกลับถูกเฉินชีผลักออกไปอย่างไร้ความเมตตา “อย่ามาขวางข้า!”หลานจีต้องถอยหลังไปสองก้าวถึงจะทรงตัวไว้ได้เมื่อได้สติ เฉินชีก็เดินไปไกลพร้อมกับสตรีในอ้อมแขนแล้วหลานจีตกตะลึงเหตุใดท่านแม่ทัพถึงต้องเป็นห่วงสตรีนางนั้นถึงเพียงนี้?นางเป็นใครกัน?หลานจีเกิดอาการตื่นตระหนกขึ้นมาอย่างกะทันหันนางตามไปดูด้วยความมิพอใจเฉินชีอุ้มลั่วชิงยวนเข้ามาที่ห้องของตน เขาวางนางลงบนเตียงแล้วเรียกนางรับใช้มาเปลี่ยนอาภรณ์ให้ลั่วชิงยวนนางรับใช้พากันสาละวนเข้า ๆ ออก ๆ เรือนกันยกใหญ่ยามนี้หลั่วชิงยวนหลับไปแล้วจากนั้นเฉินชีก็ออกจากห้องไป และมิรู้ว่าเขาไปที่ใดหลังจากที่นางรับใช้เปลี่ยนอา
"ตอนนี้มิว่าท่านจะตรัสอะไรไปก็ไร้ประโยชน์”“ไม่มีใครสนใจหรอกเพคะ”ทันทีที่พูดคำเหล่านี้ออกมา สีหน้าของฉินอี้และฮองเฮาเกาก็เปลี่ยนไปฮองเฮาเกาจ้องนางด้วยสายตาดุร้ายนางยิ้มเยาะ “ในที่สุดก็ยอมเอ่ยปากแล้วรึ? อย่าลืมที่ข้าพูดไว้สิว่า หากเจ้าพูดข้าจะตัดลิ้นเจ้าทิ้งเสีย!”จากนั้นนางก็ส่งสายตาเป็นนัยให้องครักษ์องครักษ์สองคนก้าวไปข้างหน้า คนหนึ่งจับไหล่ของลั่วชิงยวน อีกคนหยิบมีดขึ้นมาเตรียมตัวพร้อมลงมือฉินอี้ตกใจและครุ่นคิดอย่างรวดเร็วว่าจะทำอย่างไรดีลั่วชิงยวนยังมิยอมแพ้ รอยยิ้มเย็นชาผุดขึ้นบนใบหน้าของนาง “องค์ชายใหญ่ทรงเคยคิดหรือไม่เพคะว่าเหตุใดวรยุทธ์ของท่านถึงหยุดนิ่งมิพัฒนาไปไหน?”“เหตุใดถึงเรียนรู้ได้ช้า แม้จะทุ่มเทความพยายามมากกว่าคนทั่วไปหลายสิบเท่า แต่ก็ยังมิสามารถเรียนรู้ได้เท่ากับที่คนอื่นทำได้”“นั่นมีเหตุผลอยู่เพคะ”“ที่จริงแล้ว ทั้งหมดมิใช่เป็นเพราะพรสวรรค์ที่ธรรมดาเพคะ”“แต่มีพิษชนิดหนึ่งที่ชื่อว่า…”เมื่อเขาได้ยินเช่นนั้น ฉินอี้ก็ตกใจเป็นอย่างมากฮองเฮาเการีบกระชับเสื้อของนางด้วยความกังวล สีหน้าของนางเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงและขณะที่ลั่วชิงยวนกำลังจะพูดออกมาน
ทันทีที่คำกล่าวเหล่านี้หลุดออกมาร่างกายของฟู่เฉินหวนก็แข็งทื่อดวงตาของฉินอี้เต็มไปด้วยความคาดหวังอันร้อนแรงตั้งแต่เล็กจนโต แม้เขาจะเป็นองค์ชาย แต่ก็มีเพียงมิกี่คนที่ให้ความเคารพเขาแม้กระทั่งน้องสาวของเขาเองก็มักจะลงมือทำร้ายเขาบ่อย ๆ โดยมิไว้หน้ากันเลยแม้แต่น้อยส่วนคนที่อยู่ตรงหน้าเขาคืออ๋องผู้เป็นเทพสงครามเทพแห่งแคว้นเทียนเชวียและผู้สำเร็จราชการผู้ยิ่งใหญ่ในใต้หล้าเขาจึงตั้งตารอที่จะได้เห็นฟู่เฉินหวนคุกเข่าด้วยความเคารพฟู่เฉินหวนกำหมัดแน่นซ้ำแล้วซ้ำเล่าที่จริงเขาสามารถเจรจากับฉินอี้ได้ และมีเงื่อนไขต่าง ๆ มากมายที่เขาสามารถพูดคุยกับอีกฝ่ายได้ทว่าการเจรจาต้องอาศัยยุทธวิธีและที่สำคัญกว่านั้นคือ ต้องมีจิตใจที่สงบมั่นคงแต่ในเวลานี้ ฟู่เฉินหวนมิสามารถทำเช่นนั้นได้เขาแทบจะรอมิไหวแล้วดวงตาของเขาขรึมลง พลางยกเสื้อคลุมขึ้นและคุกเข่าลงเสียงดังตึงเมื่อเข่ากระทบพื้นนั้นเจือไปด้วยความอึดอัดกลัดกลุ้ม แต่เป็นเสียงที่ฉินอี้ฟังแล้วรู้สึกสบายหูเป็นอย่างยิ่งมิอาจปฏิเสธได้ว่าตอนนี้เขาพอใจอย่างถึงที่สุดนี่เป็นความรู้สึกที่เขาพยายามเสาะหามาตลอดหลายปีแต่ก็มิเคยได้มันมาโดยเฉพา
ในห้องขังอันเงียบงัน เสียงเฆี่ยนตีดังชัดเจนจนเหมือนได้ยินเสียงผิวหนังฉีกออกเป็นชิ้น ๆทำเอาคนที่ได้ยินรู้สึกใจสั่นที่มุมตรงทางเดิน บุรุษสวมหน้ากากที่อยู่ข้างหลังฉินอี้กำหมัดแน่นในทันทีฝ่ามือถูกจิกจนเกือบจะเลือดออกฟู่เฉินหวนที่ได้ยินเสียงนั้นก็รู้สึกเป็นห่วงและอดมิได้ที่จะพุ่งไปหาแต่ฉินอี้คว้าข้อมือของเขาเอาไว้“เฉินชีจะมาช่วยนางเอง”“หากตอนนี้เจ้าถูกจับได้ก็ช่วยนางออกไปมิได้ แล้วพวกเจ้าก็จะต้องตายอยู่ที่นี่”“ด้วยตัวตนของเจ้า มีแต่จะต้องเผชิญกับจุดจบที่น่าอนาถยิ่งกว่าเดิม”ฟู่เฉินหวนกำหมัดแน่น เขาก้าวถอยหลังมาหนึ่งก้าวและอดทนต่อไปฝ่ามือของเขาเหงื่อออกเมื่อได้ยินเสียงเฆี่ยนตีอย่างต่อเนื่องแต่ไม่มีเสียงร้องของความเจ็บปวด ก็สามารถบอกได้ว่า ลั่วชิงยวนกำลังทุกข์ทรมานกับความเจ็บปวดมากเพียงใดนั่นทำให้ฟู่เฉินหวนรู้สึกปวดใจเป็นอย่างมากทว่าเขาทำได้เพียงเฝ้ามองจากที่ไกล ๆ มิสามารถเข้าไปใกล้หรือช่วยนางได้เสียงแส้ดังขึ้นอย่างมิหยุดหย่อน และเสียงแส้ในแต่ละครั้งนั้นดูเหมือนจะฟาดลงไปที่หัวใจของฟู่เฉินหวนจนเลือดสด ๆ ไหลออกมาเป็นทางเวลาเหมือนจะผ่านไปอย่างเชื่องช้า และเสียงแส้น
ภายในห้องบรรทมอันโอ่อ่าฉินอี้เดินมาที่ข้างเตียงด้วยร่างกายที่เต็มไปด้วยบาดแผลยามนี้เกาเหมียวเหมี่ยวได้ทำแผลและกินโอสถเรียบร้อยแล้ว แต่ใบหน้าของนางยังคงซีดอยู่เล็กน้อยเมื่อเห็นฉินอี้เดินมาหาด้วยใบหน้าฟกช้ำและเปื้อนเลือด เกาเหมียวเหมี่ยวจึงมองเขาด้วยความมิอยากเชื่อ“ท่านแพ้ลั่วชิงยวนรึ?”ฉินอี้ขมวดคิ้วเป็นปม พลางมองบาดแผลของเกาเหมียวเหมี่ยวด้วยความกังวลและพูดว่า “เหมียวเหมี่ยว บาดแผลเจ้าสาหัสมาก ช่วงสองวันนี้เจ้าควรพักผ่อนให้ดีก่อน อย่าเพิ่งเดินไปไหนมาไหนเลย”ทว่าเกาเหมียวเหมี่ยวกลับมิได้สนใจในความห่วงใยของฉินอี้นางจ้องมองฉินอี้ด้วยความโมโหแล้วยกฝ่ามือฟาดไปหนึ่งฉาดฉินอี้มิประหลาดใจแม้แต่น้อย แต่กลับมองเกาเหมียวเหมี่ยวด้วยสีหน้าจริงจังและเป็นห่วง“เหมียวเหมี่ยว...”เกาเหมียวเหมี่ยวโมโหมากจนเอามือฟาดเขาสองครั้งติดต่อกันและแสดงความเกรี้ยวกราดออกมา “ขยะไร้ค่า! ขยะไร้ค่า!”“ท่านเป็นถึงองค์ชายผู้สูงส่ง แต่กลับถูกลั่วชิงยวนจัดการจนมีสภาพเช่นนี้ อับอายจนมิรู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ใด!”เกาเหมียวเหมี่ยวโกรธจนแทบอยากจะฉีกลั่วชิงยวนเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยดวงตาของฉินอี้หรี่ลง แต่กลับมิได
แต่ขณะที่ทั้งสองคนกำลังต่อสู้กันอย่างสูสีวิชาฝ่ามือที่จู่โจมเข้ามาอย่างฉับพลันของลั่วชิงยวนทำให้ฉินอี้มิทันตั้งตัว เขาถูกรัวหมัดใส่อย่างต่อเนื่องจนลอยกระเด็นออกไป และกระอักเลือดออกมาการต่อสู้สิ้นจบลงในพริบตาเดียวหลายคนที่อยู่รอบด้านล้วนเห็นมิชัด“เมื่อครู่เกิดกระไรขึ้น?”“ต่อสู้กันอยู่มิใช่หรือ? เหตุใดจู่ ๆ ฉินอี้ถึงแพ้ได้เล่า?”ลั่วชิงยวนมองฉินอี้ด้วยสายตาเย็นชา “ดูเหมือนวรยุทธ์ขององค์ชายใหญ่จะเป็นอย่างที่คนเขาลือกันนะเพคะ”เทียบกับคนทั่วไปแล้ว วรยุทธ์ของฉินอี้ก็ถือว่ามิได้อ่อนด้อยเลยแต่สำหรับคนที่เป็นถึงองค์ชายนั้นช่างดูอ่อนแอนักเมื่อครู่ที่ลั่วชิงยวนลองทดสอบ ดูเหมือนว่าเขายังคงมีทักษะวรยุทธ์แบบเดียวกับที่เคยเรียนมาเมื่อก่อน และมิได้มีความก้าวหน้ามากนักเป็นเช่นนี้ได้อย่างไรหากฉินอี้เพียรพยายามมากกว่านี้ ผลลัพธ์ก็คงมิเป็นเช่นนี้ฉินอีจ้องนางด้วยโทสะ ดูเหมือนจะเจ็บใจที่วรยุทธ์ของตนอ่อนด้อยเกินไป ทำให้เสียงวิพากษ์วิจารณ์รอบข้างยิ่งบาดหูมากขึ้นไปอีกเขากัดฟันพลางกำหมัดแน่น และพุ่งเข้าหาลั่วชิงยวนอย่างดุร้ายเขามิยอมพ่ายแพ้เช่นนี้หรอกแต่เขากลับมิสามารถเอาชนะลั่วชิงย
ลั่วชิงยวนตกตะลึง อารมณ์ความรู้สึกของนางดำดิ่งเป็นไปตามที่นางคาดเดาเอาไว้ว่ามิเหลือแม้แต่ศพอย่างนั้นหรือ?“มิพบศพด้วยซ้ำ” อวี๋โหรวกล่าวเสียงขรึมดวงตาของลั่วชิงยวนหม่นลง ดูเหมือนว่าร่างนั้นจะถูกกำจัดไปแล้วจริง ๆ ส่วนจะกำจัดอย่างไรและทิ้งไว้ที่ไหน บางทีอาจมีเพียงฆาตกรเท่านั้นที่รู้“น่าเสียดายจริง ๆ” ลั่วชิงยวนทอดถอนใจด้วยความเสียดายอวี๋โหรวจ้องนางด้วยสายตาจริงจังและพูดอย่างหนักแน่น “มิน่าเสียดายหรอก ข้าเชื่อว่าเจ้าจะกลายเป็นนางคนต่อไป!”ทันใดนั้น สายตาที่จริงจังของอวี๋โหรวก็ทำให้ลั่วชิงยวนรู้สึกเย็นวาบไปถึงสันหลังและยังสงสัยด้วยว่าอวี๋โหรวจะสังเกตเห็นอะไรบางอย่างหรือไม่ทว่าแม้แต่ศิษย์น้องหญิงก็จำนางมิได้ อีกทั้งอวี๋โหรวก็มิได้สนิทสนมกับนาง แล้วจะจำนางได้อย่างไรลั่วชิงยวนยิ้มและกล่าวว่า “ข้าจะถือว่านั่นคือคำปลอบใจก็แล้วกัน”อวี๋โหรวพูดอย่างจริงจัง “ข้ามิได้ปลอบใจเจ้า ข้าพูดจริง”หลังจากนั้น อวี๋โหรวก็ยิ้มอีกครั้งและพูดว่า “ทางข้ายังพอมียาอยู่บ้าง หากเจ้าต้องการอะไรก็บอกข้าได้เลย”ลั่วชิงยวนมิค่อยเข้าใจว่า เหตุใดอวี๋โหรวถึงทำดีกับนางนางมิค่อยรู้จักอวี๋โหรวมากนัก ในภาพจ
หรือเป็นเพราะเขาเชื่อมั่นในพลังความแข็งแกร่งของลั่วชิงยวน?แต่เมื่อมาครุ่นคิดดูตอนนี้ สตรีที่สามารถทำให้เซินฉีหลงใหลได้ถึงเพียงนี้คงไม่มีทางที่จะเป็นขยะไร้ค่าแม้จะมิได้แข็งแกร่งกว่าเฉินชี แต่ก็เป็นคนที่สามารถต่อกรกับเขาได้อย่างสูสีเพราะเช่นนี้เขาจึงมิแลเกาเหมียวเหมี่ยวเลยด้วยซ้ำ……เมื่อกลับมาถึงห้องลั่วชิงยวนก็นั่งลงพักผ่อนเฉินชีเดินตามเข้ามาและนั่งลงข้าง ๆ นาง พร้อมกับรินชาสองจอก“สมแล้วที่เป็นอาเหลา มีเพียงเจ้าเท่านั้นที่กล้าทำให้เกาเหมียวเหมี่ยวตกอยู่ในสภาพเช่นนั้น! ข้าชอบ!” มีแสงประกายเจิดจ้าส่องสว่างในดวงตาของเฉินชีสายตาของเขาดูเหมือนอยากจะกลืนกินลั่วชิงยวนเข้าไปทั้งตัวลั่วชิงยวนพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา “เกาเหมียวเหมี่ยวได้รับบาดเจ็บสาหัส ฝ่าบาทกับฮองเฮาคงมิยอมปล่อยข้าไปแน่ คงต้องให้เจ้าช่วยออกหน้าให้แล้ว”เฉินชียิ้มมุมปาก “วางใจได้ มีข้าอยู่ทั้งคน”ลั่วชิงยวนที่ยังกังวลอยู่เล็กน้อยกำชับด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “เฉินชี ครั้งนี้เจ้าจะยืนนิ่งดูดายอีกมิได้แล้ว เพราะหากข้าตาย แผนทั้งหมดของเจ้าก็จะสูญเปล่า”“ใต้หล้านี้ไม่มีลั่วเหลาคนที่สองหรอกนะ”เฉินชีพยักหน้าอย่างจริงจ
เลือดสด ๆ ยังคงไหลมิหยุด ไหลนองไปตามร่องลึกของลวดลายวงเวทบนพื้นดินคาดมิถึงว่ามันจะค่อย ๆ ทำให้อักษรเวทของวงเวทส่องแสงขึ้นจากนั้นหมอกสีเขียวจาง ๆ ก็กระจายฟุ้งอยู่รอบตัวลั่วชิงยวนสิ่งเหล่านั้นล้วนเป็นไอโอสถทั้งสิ้นหอรักษ์ดาราแห่งนี้ยังเป็นสถานที่ที่สามารถกลั่นไอโอสถจากเลือดได้ และไอโอสถเหล่านี้ก็สามารถรักษาร่างกายที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสได้ลั่วชิงยวนหลับตาและสูดลมหายใจด้วยความเพลิดเพลิน ทำให้ร่างกายที่ปวดร้าวของนางดูเหมือนจะผ่อนคลายลงนี่อาจจะเป็นความหมายของการมีอยู่ของแท่นประลองหอรักษ์ดาราแต่ไอโอสถนี้ก็จางลงอย่างรวดเร็วลั่วชิงยวนปล่อยเกาเหมียวเหมี่ยว นางยืนขึ้นพร้อมกับยืดเส้นยืดสาย และเดินลงจากแท่นประลองคนอื่นที่อยู่รอบ ๆ ต่างมองมาที่นางด้วยสายตาที่หวาดกลัวมากขึ้น และพวกเขาก็มิกล้าพูดจาดูถูกเหยียดหยามนางเหมือนก่อนหน้านี้อีกต่อไปแล้วลั่วชิงยวนกวาดตามองอย่างเรียบเฉย จากนั้นก็มองไปที่เฉินชีด้วยสายตาลึกซึ้งแล้วเดินจากไปเกาเหมียวเหมี่ยวที่ได้รับบาดเจ็บถูกปลดแส้ออกอย่างรวดเร็วและถูกช่วยลงจากแท่นประลอง นางกัดฟันแน่นพลางจ้องตามหลังลั่วชิงยวนที่กำลังเดินออกไปครู่ต่อมา นางก็เห