น้ำเสียงพลันอ่อนลงทันที "ท่านแม่..." ลั่วอวิ๋นสี่คิดจะวิ่งหนี แต่นางเพิ่งจะเดินไปได้เพียงแค่สองก้าว ลั่วหรงก็คว้าคอเสื้อของนางเอาไว้ "ยังจะหนีอีกรึ? เจ้าจักหนีไปที่ใดกันเล่า?" ในยามนี้เอง ลั่วหลางหลางก็ตามมาด้วยความร้อนใจแล้วรีบคว้าแขนของลั่วหรงเอาไว้ "ท่านแม่ ที่นี่มีคนมากเกินไป ได้โปรดไว้หน้าอวิ๋นสี่ด้วยเถิด" "ได้สิ ข้าจักไว้หน้าเจ้าเอง!" ลั่วหรงบิดหูของลั่วอวิ๋นสี่แล้วลากอีกฝ่ายเข้ามาในร้าน นางกล่าวกับลั่วชิงยวนว่า "คุณชายฉู่ ขออภัยที่รบกวน วันนี้ข้าคงต้องขอยืมร้านของท่านเพื่อลงโทษบุตรีแล้ว!" เมื่อพูดจบ ลั่วอวิ๋นสี่ก็ถูกลากเข้ามาในลานเรือนแล้วออกคำสั่งเสียงขรึมว่า "คุกเข่าลง!" ในร้านของฉู่ลั่วมีหลายคนกำลังเฝ้ามองดู ลั่วอวิ๋นสี่จึงไม่ยอมคุกเข่าลงพลางกล่าวด้วยท่าทีดื้อรั้นว่า "ข้าไม่ทำ!" "เมื่อคราวที่แล้วข้าบอกเจ้าว่าอย่างไร? เจ้ามิได้เรียนรู้อันใดเลยใช่หรือไม่! สวีซงหย่วนเอายาอันใดให้เจ้ากิน ถึงทำให้เจ้ายอมขายตัวเองเพื่อมันเช่นนี้?" "ไม่ช้าก็เร็วทั้งตระกูลคงต้องย่อยยับด้วยน้ำมือของเจ้าเป็นแน่!" ลั่วหรงเองก็ล่วงรู้เรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้เช่นกัน ลั่วอวิ๋นสี่เถียงก
นางหวังว่าการตายของตนจะทำให้เรื่องทั้งหมดนี้จบสิ้นลง นางหลับตาลงด้วยความสิ้นหวัง …… ภายในร้าน ฟู่เฉินหวนพิงพนักเก้าอี้อย่างเกียจคร้าน พลางมองเฉินเซี่ยวหานที่อยู่ฝั่งตรงกันข้ามแล้วเอ่ยเสียงทุ้มว่า "รัฐทายาทเฉินล่วงเกินผู้ใดบางคนเข้าหรือไม่? ยามที่เห็นความอยุติธรรมเพียงแค่ยื่นมือเข้าช่วยเหลือ กลับตกเป็นเป้าหมายเช่นนี้จนเกือบต้องตายเสียแล้ว" เฉินเซี่ยวหานขมวดคิ้วและมีท่าทางไม่พอใจอยู่บ้าง "ท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการถามกระหม่อมแล้วกระหม่อมจักรู้ได้อย่างไรพ่ะย่ะค่ะ? เรื่องนี้คงมิใช่เคราะห์ร้ายที่เกิดขึ้นปุบปับกระมัง?" เฉินเซี่ยวหานจัดเสื้อผ้าอาภรณ์ให้เรียบร้อย ทว่าจู่ ๆ ก็รู้สึกว่าตรงเอวมีบางอย่างหายไป เขาจึงรีบลุกขึ้นแล้วไปค้นหาที่กลับลานเรือน ในลานเรือน ลั่วหรงยังคงสั่งสอนลั่วอวิ๋นสี่ที่กำลังเช็ดน้ำตาขนาดเท่าเมล็ดถั่ว แต่นางก็ยังไม่ยอมแพ้ เฉินเซี่ยวหานมิได้สนใจนัก ตอนที่เขากำลังจะกลับมาเอาของที่ห้อง เขาก็เดินผ่านห้องที่ลั่วหลางหลางกำลังพักอยู่แล้วเห็นบางอย่างกำลังแกว่งไกวอยู่ข้างใน เขาตะลึงงันไปชั่วขณะ เมื่อรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นก็รีบวิ่งเข้าไปในห้อง สิ่งที่ดึงดูดสายตาก็คือ ล
"มาที่ตำหนักอ๋องสิ ข้าจักปกป้องเจ้าเอง!" วาจาหนักแน่นเหล่านี้ทำเอาลั่วชิงยวนใจเต้นอยู่สองสามครั้ง อารมณ์อันยากจะอธิบายพลันปะทุขึ้นมา ผสานเข้ากับความรู้สึกมากมายเหลือคณานับครั้นนางอยู่ในตำหนักอ๋องในฐานะของลั่วชิงยวน นางกลับมิเคยได้ยินคำพูดเช่นนี้จากปากของเขามาก่อน ต่อให้มีความสามารถเฉกเช่นเดียวกัน แต่นางได้เปลี่ยนตัวตนเป็นเทพพยากรณ์ไปแล้ว แต่เขากลับมาบอกว่าจะปกป้องนาง นางควรจะยินดีเช่นนั้นหรือ? ไม่ การไว้เนื้อเชื่อใจบุรุษเชื่อถือมิได้ และคำสัญญาของบุรุษยิ่งเชื่อถือมิได้เข้าไปกันใหญ่ "ท่านเอ่ยตรัสเช่นนี้กับผู้อื่นมามากมายเท่าใดแล้ว?" "มันอาจจะได้ผลกับสตรี ทว่ากลับหาได้ผลกับกระหม่อมแต่อย่างใดไม่พ่ะย่ะค่ะ" ลั่วชิงยวนเอ่ยเสียงเรียบนิ่งโดยไม่เก็บมาใส่ใจ เมื่อฟู่เฉินหวนได้ยินเช่นนี้เข้าก็อดมิได้ที่จะหัวเราะออกมา "ข้าสาบานต่อสวรรค์ได้ว่าเพิ่งจะเคยพูดเช่นนี้กับเจ้า" “ข้ามิคาดคิดว่าจะถูกปฏิเสธตั้งแต่ครั้งแรก” "ฉู่ลั่ว เจ้าเป็นคนแรกที่ทำให้ข้าคาดเดาไม่ออกถึงเพียงนั้น" เมื่อฟู่เฉินกล่าวจบ ภาพของลั่วชิงยวนก็พลันผุดขึ้นในหัวของเขา จากนั้นเขาก็เอ่ยเสริมขึ้นมาว่า "น่า… จะเป็
เมื่อลั่วหรงได้ยินเช่นนี้เข้าก็มองด้วยความรู้สึกไม่พอใจอยู่บ้าง "ท่านเองก็คิดว่าข้ายุ่งไม่เข้าเรื่องและดึงดันที่จะแต่งบุตรีผู้แสนล้ำค่าของตนออกไปให้ได้ใช่หรือไม่?" "ถึงแม้ว่าอวิ๋นสี่จะดื้อรั้นและก่อปัญหาให้ท่านตั้งมากมาย แต่เรื่องนี้หาได้มีสาเหตุมาจากการแต่งงานของหลางหลางแต่อย่างใดไม่ อวิ๋นสี่เป็นเช่นนี้มาตั้งแต่ยังเล็ก นางชอบต่อต้านข้าอยู่เสมอ!" เมื่อได้ยินวาจาของลั่วหรง อีกฝ่ายคงเข้าใจผิดคิดว่านางเจตนาที่จะเกลี้ยกล่อมมิให้เข้าไปยุ่งเรื่องการแต่งงานของลั่วหลางหลาง น้ำเสียงของลั่วชิงยวนฉายแววจนใจ "ข้าหาได้โกรธผู้ใดไม่ เพียงแต่ว่าเทียบแปดอักษรที่ฮูหยินมอบให้ข้า หามีผู้ใดที่ดวงสมพงศ์กันแต่อย่างใดไม่" ลั่วหรงเอ่ยด้วยความไม่พอใจขึ้นมาว่า "เช่นนั้นถ้าให้ท่านเลือกที่ดีที่สุดมาสักคนเล่า?!" ลั่วชิงยวนตกที่นั่งลำบากเสียแล้ว "ข้าเลือกมิได้ขอรับ" เมื่อลั่วหรงได้ยินเช่นนี้ก็แค่นเสียงเย็นชา จากนั้นก็เก็บเทียบแปดอักษรกลับคืนมา "ช่างเถิด ข้าคงมิรบกวนเซียนฉู่อีกแล้ว ข้าจักไปหาผู้ที่มีความสามารถมากกว่านี้แทนก็แล้วกัน!" ลั่วชิงยวนทอดถอนใจ การที่ลั่วอวิ๋นสี่มีอุปนิสัยดื้อรั้นดูเหมือนจะได้รั
ลั่วชิงยวนตะลึงงันแล้วมองนางอย่างไม่เชื่อสายตา "นี่คือเทียบแปดอักษรระหว่างเจ้ากับรัฐทายาทเฉินเช่นนั้นหรือ?" ซ่งเชียนฉู่ผงกศีรษะด้วยความเขินอาย "เขามอบให้ข้าก่อนที่จะจากไป ทั้งยังบอกให้ข้าเอามาให้ท่านตรวจดูด้วย" เมื่อได้ยินเช่นนี้เข้า ลั่วชิงยวนก็รู้สึกตื่นตะลึง เหมือนกันไม่มีผิดเพี้ยนเลย คงมิใช่เรื่องบังเอิญขนาดนั้นกระมัง? หรือว่าคนในใจของลั่วหลางหลางก็คือรัฐทายาทเฉิน? นางมีใจให้รัฐทายาทเฉินตั้งแต่เมื่อไหร่กัน... "เป็นกระไรหรือ? ถึงแม้ข้าจะรู้ว่าออกจะเสียมารยาทไปบ้าง แต่ท่านเชี่ยวชาญเรื่องนี้ ทางที่ดีช่วยตรวจดูให้ทีว่าพวกเราสองคนดวงสมพงศ์กันหรือไม่ หากพวกเรามิใช่คู่รักกัน ข้าจะได้เลิกราเสียแต่เนิ่น ๆ" เมื่อซ่งเชียนฉู่เห็นลั่วชิงยวนหาได้กล่าววาจาใด นางก็อดมิได้ที่จะต้องอธิบายออกมา ลั่วชิงยวนส่ายหน้าด้วยความจนใจ "ขอข้าดูหน่อยเถิด" นางค่อย ๆ ตรวจดูความเข้ากันได้ของเทียบแปดอักษรทั้งสองแผ่น จากนั้นนางก็เอ่ยขึ้นมาว่า "ถึงแม้จะไม่อาจเรียกได้ว่าคู่สวรรค์สร้าง แต่เทียบแปดอักษรกลับเข้ากันได้ดี" "เพียงแต่ไม่รู้ว่าการแต่งงานนี้จะดีหรือร้ายกันแน่ อย่างไรเสียเจ้าก็ต้องเดินไปตาม
ถามจบ พ่อบ้านเวิงเผยยิ้ม จากนั้นกุมมือคำนับ “ขอบพระทัยท่านอ๋องที่ช่วยชี้แนะกระหม่อม จนกู้ชื่อเสียงของเซียนฉู่กลับมาได้พ่ะย่ะค่ะ” “มิเช่นนั้นในใจกระหม่อมคงรู้สึกผิดมากจริงๆ ” ฟู่เฉินหวนพยักหน้าอย่างสงบ “เรื่องเล็กน้อย มิต้องเก็บไปใส่ใจ และมิต้องนำไปบอกผู้อื่น” พ่อบ้านเวิงยิ้มตอบ “กระหม่อมเข้าใจพ่ะย่ะค่ะ!” ท่านอ๋องมิอยากให้พ่อบ้านเวิงบอกเซียนฉู่เสียมากกว่า ไม่รู้ว่าท่านอ๋องคิดอะไรอยู่กัน อยากช่วย แต่ไม่อยากให้อีกฝ่ายรู้ว่าเขาช่วย …… อย่างที่คิด วันต่อมา ก็เริ่มมีตระกูลร่ำรวย มาให้นางทำนายหรือขับไล่สิ่งไม่ดี ชื่อเสียงเซียนฉู่ ยิ่งอยู่ยิ่งโด่งดังในเมืองหลวง ย่อมเป็นเรื่องดีสำหรับลั่วชิงยวน งานที่มีเข้ามาทุกวันทำนางยุ่งเหยิงขึ้น ฟู่เฉินหวนยังคงมาเป็นบางครั้ง และนั่งทีก็นั่งเกือบวัน หากไม่มีเรื่อง ก้นของเขาแทบไม่ขยับออกจากเก้าอี้เลย แต่ส่วนมากลั่วชิงยวนก็ยุ่งกับงาน จนไม่มีเวลามาสนใจเขา บางคนมีความสุขในขณะที่บางคนโศกเศร้า ลั่วเยวี่ยอิงในตำหนักร้อนรนจนย่ำเท้ากับที่ โดยเฉพาะหลังนางเปิดผ้าคลุมหน้าออก และพบว่าแผลที่ข้างปากของตนยังไม่หาย กลางอกของนางก็รู้สึกอึดอัดเป็นที
วินาทีที่เสียงนี้ดังขึ้น ในหน้าของฉู่ลั่วสลายหายไปในพริบตา เสียงที่แสนไม่เข้ากันนี้ หญิงสาวตรงหน้าไร้ซึ่งใบหน้าอีกครั้ง หว่างคิ้วของฟู่เฉินหวนถูกกลบไปด้วยไออาฆาต เขาหยิบแก้วน้ำชาขึ้นมาโยนลงบนโต๊ะอย่างแรง เศษแก้วที่แตกสลายบาดผ่านฝ่ามือของเขา “ท่านอ๋อง!” ฟู่เฉินหวนบดขยี้ฝ่ามือลงไปบนเศษแก้ว ความเจ็บปวดทำให้เขาได้สติ จู่ ๆ เขาก็มองเห็นหญิงสาวตรงหน้าอย่างชัดเจน ลั่วเยวี่ยอิง! ในใจเขาลุกเป็นไฟโทสะ เขาจึงสะบัดมือออกไปอย่างแรง ลั่วเยวี่ยอิงถูกตบจนเลือดออกปาก และล้มอยู่บนพื้นอย่างแรง วินาทีนั้นในหัวของนางดังวืด ๆ และไม่ได้สติเป็นเวลานาน จนกระทั่งรองเท้าลวดลายอำพันปรากฏต่อสายตานาง นางจึงได้สติ และรีบคุกเข่าดึงชายอาภรณ์ของฟู่เฉินหวนไว้ “ท่านอ๋อง หรือท่าน… มิรักหม่อมฉันแล้วจริง ๆ หรือเพคะ?” ดวงตาของนางแดงก่ำ น้ำตาเอ่อล้นอยู่ภายใน พยายามอดทนไม่ให้มันไหลลงมา น่าสงสารเป็นที่สุด หน้าอกของฟู่เฉินหวนรู้สึกอึดอัด ทรมานเป็นอย่างมาก ราวกับฝ่ามือที่เขาฟาดออกไปนั้นเป็นเรื่องผิดมหันต์ เขากดหน้าอกไว้ และรีบละสายตาออกไป เป็นเช่นนี้ได้อย่างไร! “ท่านอ๋อง… ช่วงนี้ เวลาที่ท่านมาหาหม่
เหยียนผิงเซียวขมวดคิ้ว “อย่าเอาแต่เอ่ยถึงคำว่าตาย มิเป็นมงคล” นางผู้นั้นยิ้มอ่อนโยน และเอ่ยอ้อนเสียงแผ่ว “รู้แล้วเจ้าค่ะ” เวลานี้เอง ด้านนอกดังเป็นเสียงเคาะประตูร้อนรน ท่าทีราวกับจะทุบให้ประตูพัง “ข้าไปดูเอง” เหยียนผิงเซียววางถ้วยยาลง ห่มผ้าห่มให้นาง จากนั้นลุกไปที่หน้าประตู เมื่อเหยียนผิงเซียวเปิดประตู ก็มีร่างบางตะครุบใส่อ้อมอกของเขาอย่างแรง เหยียนผิงเซียวตกใจ เขารีบมองไปด้านนอก ลากคนเข้ามาในห้องและปิดประตูลง “เจ้ามาได้อย่างไรกัน ดึกดื่นเช่นนี้ มิกลัวคนเห็นรึ?” เหยียนผิงเซียวติคนตรงหน้าด้วยคิ้วที่ขมวด ใบหน้าอึดอัดของลั่วเยวี่ยอิงเต็มไปด้วยคราบน้ำตา นางตะครุบใส่อ้อมอกเขาอีกครั้ง “ผิงเซียว ข้าทำมิได้ ข้าทำมิได้จริง ๆ” “เจ้าเลิกให้ข้าไปยั่วยวนเขาได้หรือไม่ มิใช่ว่าเจ้ามิรู้เสียหน่อยว่าเขาเป็นคนยังไง ข้าจักทำสำเร็จง่าย ๆ ได้อย่างไร” เหยียนผิงเซียวมองบนใบหน้านางที่เห็นได้ชัดว่าโดนตบมา จึงถอนหายใจพร้อมกล่าว “ข้ามิได้ให้เจ้านอนกับเขาจริง ๆ เจ้าวางยาเขาแล้ว เพียงถอดอาภรณ์ของเขาออกก็พอ” “ให้เขาคิดว่าเขาเป็นผู้ช่วงชิงความบริสุทธิ์ของเจ้า เช่นนั้นเจ้าจักคงตำแหน่งในใจของเขา
นางเอ่ยปากอย่างอ่อนแรง “ได้”ลั่วฉิงพยุงนางขึ้น แล้วโยนนางลงบนเก้าอี้ลั่วชิงยวนไร้เรี่ยวแรงจะพูด “ข้าต้องการสมุนไพร”มือทั้งสองข้างของนางวางอยู่บนที่วางแขน แท่งเหล็กยังคงปักอยู่ เลือดไหลอาบมิหยุด ขยับร่างกายมิได้เลยลั่วฉิงมองนางอย่างเย็นชา ก่อนจะกดมือของนางไว้แล้วดึงแท่งเหล็กออกอย่างรวดเร็ว“กรี๊ด”ลั่วชิงยวนร้องลั่นด้วยความเจ็บปวดลั่วฉิงโน้มตัวลงมองนางด้วยสายตาเย็นชา “ก่อนหน้านี้เจ้ามิเคยกลัวความเจ็บปวดเช่นนี้ ลั่วเหลา”ลั่วชิงยวนตัวสั่น มองนางด้วยความตกใจ“นี่ก็เป็นสิ่งที่ฟู่เฉินหวนบอกเจ้าเช่นนั้นหรือ?” ลั่วชิงยวนรู้สึกทั้งโกรธและสิ้นหวังในใจลั่วฉิงนำยามาทำแผลให้พลางหัวเราะอย่างดูถูก “มินึกเลยว่านักบวชระดับสูงลั่วเหลาผู้มีพรสวรรค์มาตั้งแต่เด็ก ถูกอาจารย์เอ็นดูทะนุถนอมมาโดยตลอด สุดท้ายกลับพ่ายแพ้ให้กับบุรุษ”ในน้ำเสียงของลั่วฉิงแฝงไปด้วยความอิจฉาริษยาลั่วชิงยวนมองนางด้วยแววตาเย็นชา “ข้ากับเจ้ามิเคยมีเรื่องบาดหมางกันมิใช่หรือ”แววตาของลั่วฉิงเต็มไปด้วยความเกลียดชัง มองนางอย่างเย็นชา “ในสายตาของเจ้า อาจจะไม่มีเรื่องบาดหมาง”“แต่สำหรับข้า เรื่องบาดหมางนั้นใหญ่หลวงนัก
“กรี๊ด” ลั่วชิงยวนกรีดร้องด้วยความเจ็บปวด ได้แต่ขดตัวอยู่บนพื้น ตัวสั่นเทาด้วยความเจ็บปวดรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่า แท่งเหล็กถูกแทงลึกลงไปอีก ความรู้สึกที่กระดูกถูกแยกออกจากกันนั้นทำให้เจ็บปวดจนอยากตาย“ดี ยังมิยอมบอกอีกใช่หรือไม่”ลั่วฉิงหยิบแท่งเหล็กอีกอันแทงเข้าไปในมืออีกข้างของลั่วชิงยวนอย่างแรงตลอดทั้งคืน ลั่วชิงยวนถูกทรมานจนเหมือนตายแล้วเกิดขึ้นใหม่ หลายครั้งที่สลบไปเพราะความเจ็บปวด แล้วก็ถูกปลุกให้ตื่นขึ้นมาด้วยความเจ็บปวดจนในที่สุด คอของนางก็แหบแห้งจนส่งเสียงร้องมิได้ด้วยซ้ำฟ้าสางแล้ว แสงแดดสาดส่องเข้ามา ลั่วชิงยวนนอนแน่นิ่งอยู่บนพื้นราวกับแอ่งโคลนเปียก มิขยับเขยื้อนเลยแม้แต่น้อยเลือดเปรอะเปื้อนอาภรณ์ของนางจนเป็นสีแดงฉาน แสงแดดส่องกระทบกองเลือดจนเป็นประกาย......ตำหนักอ๋องมีเสียงคำรามด้วยความโกรธดังมาจากห้องตำรา“ยังไม่มีใครมารายงานข้าสักคน! รีบไปหา! ออกไปหาให้หมด!”ฟู่เฉินหวนโกรธจัด มึนหัวจนต้องเอามือยันโต๊ะไว้ถึงแม้จะนั่งลงเพื่อจัดการเรื่องต่าง ๆ แต่ก็ยังมิสามารถสงบสติอารมณ์ได้ ร้อนรุ่มใจยิ่งนักได้แต่หวังว่านางจะออกจากตำหนักไปเองจือเฉายังคงอยู่ที่หน้าประ
ในชั่วขณะนั้น นางเกือบจะคิดว่าตัวเองกำลังฝันไป เหตุใดนางจึงเห็นลั่วฉิงแต่คำพูดของลั่วฉิงในวินาทีต่อมา ทำให้นางรู้สึกราวกับตกอยู่ในหุบเหวลึก“แม้แต่ท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการก็ยังจัดการคนดื้อรั้นเช่นเจ้ามิได้ ต้องให้ข้ามาเองเลยหรือ”ร่างของลั่วชิงยวนสั่นเทามิหยุด หนาวเหน็บจนแทบจะไร้ความรู้สึกน้ำตาที่ไหลอาบใบหน้าซีดเซียวหยดลงบนพื้นทีละหยดลั่วชิงยวนมองไปรอบ ๆ แล้วพบว่าที่นี่คือห้องห้องหนึ่งแต่มิใช่ในตำหนักอ๋อง“เหตุใดข้าจึงมาอยู่ที่นี่” นางจำได้ว่าหลังจากที่จือเฉาทายาให้แล้วนางก็หลับไปลั่วฉิงหัวเราะเบา ๆ “แน่นอนว่าฟู่เฉินหวนส่งเจ้ามาให้ข้า”“เขาเค้นคำตอบจากเจ้ามิได้ จึงต้องให้ข้ามาจัดการเอง”ได้ยินดังนั้น หัวใจของลั่วชิงยวนก็แตกสลายเป็นเสี่ยง ๆ อีกครั้งเขายังคิดว่าตัวเองยังโหดร้ายมิพออีกหรือ จึงส่งนางให้ลั่วฉิงเช่นนี้นี่ต้องการทรมานนางจนตายจึงจะหายแค้นหรืออย่างไรลั่วฉิงหยิบกล่องใบหนึ่งมาเปิดออก ข้างในเต็มไปด้วยแท่งเหล็กขนาดเท่าหัวแม่มือแล้วกล่าวอย่างแผ่วเบา “เจ้าน่าจะรู้ว่าข้าต้องการอะไร”“หากตอนนี้เจ้าบอกวิธีใช้เข็มทิศอาณัติสวรรค์ ข้าจะไว้ชีวิตเจ้า”“หากพลาดโอกาสนี้
ในวินาทีต่อมา องครักษ์ก็กรูกันเข้ามาลากลั่วชิงยวนออกไปที่ลานหลังจากกดนางลงกับพื้นก็ใช้หวายฟาดลงบนร่างของนางอย่างมิปรานีความเจ็บปวดแล่นริ้ว ลั่วชิงยวนจิกเล็บลงบนพื้นหิมะจนเป็นรอยลึกจือเฉากระโจนเข้ามาจากนอกลาน “หยุด! หยุด!”“ท่านอ๋อง เหตุใดจึงทำกับพระชายาเช่นนี้ พระชายาทำผิดอันใดหรือเพคะ!”“ท่านอ๋อง ขอได้โปรดปล่อยพระชายาเถิดเพคะ! ตั้งแต่เข้าเหมันตฤดู แผลบนร่างของพระชายาก็ยังมิหาย! หากโบยเช่นนี้ต่อไปคงจะสิ้นใจเป็นแน่เพคะ!”“ท่านอ๋องทรงพระกรุณาด้วยเพคะ!” จือเฉาโผเข้ากอดลั่วชิงยวนเพื่อรับหวายแทนแต่กลับถูกองครักษ์ดึงตัวออกไปจือเฉาร้องขอความเมตตาสุดเสียง แต่บุรุษที่ยืนอยู่ใต้ชายคากลับมีสีหน้าเรียบเฉย นัยน์ตาฉายแววเย็นชาไร้ซึ่งความอบอุ่น“พระชายา...” จือเฉาร้อนใจ แทบจะเป็นลมเพราะร้องไห้หนักลั่วชิงยวนเจ็บปวดจนแทบมิได้ยินเสียงของจือเฉา มีเพียงความเจ็บปวดมิรู้จบ ยาวนานราวกับไม่มีที่สิ้นสุดหลังจากที่ลั่วชิงยวนสลบไป ฟู่เฉินหวนจึงสั่งให้หยุดแล้วจากไปด้วยความโกรธจือเฉาโผเข้าหาลั่วชิงยวน เมื่อเอื้อมมือไปสัมผัสก็พบว่ามือเปื้อนไปด้วยเลือด นางรีบชักมือกลับมองเลือดที่ไหลนองเต็มพื
ฟู่เฉินหวนกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา แววตาที่น่ารังเกียจนั้นทำให้หัวใจของลั่วชิงยวนเจ็บปวดราวกับถูกเข็มทิ่มแทงลั่วชิงยวนกัดฟันพลางกลั้นน้ำตาไว้ “ท่านมิได้บอกว่าจะเชื่อหม่อมฉันหรอกหรือเพคะ?”“หากหม่อมฉันบอกท่านทั้งหมด ท่านก็จะเชื่อหม่อมฉันมิใช่หรือเพคะ!”ฟู่เฉินหวนมีแววตาเย็นชา มองนางอย่างเฉยเมย “แต่เจ้าบอกข้าทั้งหมดแล้วหรือยังเล่า? เจ้ายังคงปิดบัง ยังคงหลอกลวง!”เสียงตำหนินั้นเต็มไปด้วยความโกรธทำให้หัวใจของลั่วชิงยวนแทบแตกสลาย“ฟู่เฉินหวน วันนี้ท่านมาก็เพื่อหลอกลวงหม่อมฉันอีกแล้วใช่หรือไม่”“จุดประสงค์สุดท้ายของท่านคือ หลอกล่อให้หม่อมฉันบอกวิธีใช้เข็มทิศอาณัติสวรรค์ เพราะลั่วฉิงใช้มันมิได้ ใช่หรือไม่!”ลั่วชิงยวนตะโกนด้วยความโกรธ“หม่อมฉันช่างโง่เขลาที่เชื่อใจท่าน บอกความลับทั้งหมดให้ท่านฟัง แต่ท่านก็หลอกลวงหม่อมฉันอีกครั้ง...”พูดไปน้ำตาของลั่วชิงยวนก็ไหลรินในเวลานี้ หัวใจของลั่วชิงยวนราวกับถูกควักออกมาผ่าเป็นสองซีกเจ็บปวดเจียนตายแต่ฟู่เฉินหวนกลับมิเปลี่ยนสีหน้า แววตายิ่งเย็นชาขึ้นเขาบีบคอของนางด้วยความโกรธ“ในเมื่อเจ้ารู้แล้ว ข้าก็ขี้เกียจเสแสร้งกับเจ้าแล้ว”“เข็มท
ฟู่เฉินหวนตกใจมองนางด้วยความประหลาดใจก่อนจะตอบว่า “ได้”“หากเจ้าอธิบายได้ชัดเจน ข้ายินดีเชื่อเจ้าเป็นครั้งสุดท้าย”ได้ยินดังนั้นลั่วชิงยวนก็รู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อยรีบกล่าวทันที “หม่อมฉันชื่อลั่วเหลา แท้จริงแล้วลั่วอิงคืออาจารย์ของหม่อมฉัน หม่อมฉันตายไปแล้วมาเกิดใหม่ในร่างของลั่วชิงยวน”“วันรุ่งขึ้นหลังจากวันแต่งงาน ลั่วชิงยวนก็ปลิดชีพตัวเอง หลังจากนั้นร่างนี้ก็มิใช่ลั่วชิงยวนอีกต่อไป แต่เป็นหม่อมฉัน ลั่วเหลา”“หม่อมฉันเป็นชาวแคว้นหลี”“ดังนั้นความสามารถที่หม่อมฉันมีจึงเป็นสิ่งที่ลั่วชิงยวนไม่มี”“เรื่องน้ำศักดิ์สิทธิ์ของแคว้นหลี หม่อมฉันก็เพิ่งค้นพบตอนที่ไปเผ่านอกด่าน หลังจากที่อาจารย์ค้นพบความลับนี้ ก็พยายามค้นหาวิธีแก้ไขเรื่องน้ำศักดิ์สิทธิ์”“เพราะหากความลับนี้รั่วไหลออกไป จะมีคนมากมายเกิดความโลภ จะทำให้ทั้งใต้หล้าประสบพบความวุ่นวาย เลือดนองแผ่นดิน”“...”ลั่วชิงยวนเล่าความลับทั้งหมดของนางให้เขาฟังโดยมิปิดบังนางรู้สึกว่าคนที่เคยเปิดใจให้กันคงจะมิทรยศกันง่าย ๆตราบใดที่นางจริงใจ มิปิดบังสิ่งใด นางก็จะได้รับการตอบสนองเช่นเดียวกันหลังจากที่นางพูดจบ ฟู่เฉินหวนก็ตกตะลึ
เหตุใดแคว้นหลีจึงส่งกองทัพมากะทันหันฟู่อวิ๋นโจวเอ่ยถาม “ท่านมหาปราชญ์ ท่านเชี่ยวชาญด้านนี้ พอจะทำนายผลลัพธ์ได้หรือไม่?”“ควรจะรับมืออย่างไร”ขุนนางทั้งหลายต่างมองไปที่ลั่วฉิง ลั่วฉิงไม่มีทางเลือก จึงได้แต่กัดฟันกล่าวว่า “เรื่องนี้... ทำนายได้ แต่หม่อมฉันต้องการเวลาเพคะ”ฟู่อวิ๋นโจวมีสีหน้ากังวล และถามว่า “ท่านมหาปราชญ์ต้องการเวลานานเพียงใด?”ลั่วฉิงลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จึงกล่าวว่า “สามวันเพคะ!”สิ้นคำพูดของนาง หลายคนก็แสดงความมิพอใจ“สามวันหรือ? ซีหลิงอยู่ห่างจากเมืองหลวงราวพันลี้ สามวันกว่าจะบอกผลลัพธ์ จะทันการณ์ได้อย่างไร”“ก่อนหน้านี้พระชายาอ๋องผู้สำเร็จราชการก็มิได้ใช้เวลานานถึงเพียงนั้น”“ใช่ ท่านมหาปราชญ์คงจะมิค่อยมีความสามารถมากถึงเพียงนั้นกระมัง”คำพูดนี้ทำให้ลั่วฉิงหน้าซีดเผือด“สองวัน อย่างเร็วที่สุดก็ต้องสองวัน!” ลั่วฉิงกัดฟันกล่าวในตอนนี้ ฟู่เฉินหวนกล่าวอย่างใจเย็น “แคว้นหลีส่งกองทัพมาโดยมิทราบสาเหตุ ข้าคิดว่าตอนนี้ควรส่งคนไปเจรจากับแคว้นหลีโดยด่วน”“ระหว่างนั้นก็ส่งกองกำลังไปเสริมอย่างลับ ๆ ด้วย อย่าได้พึ่งพาแต่ผลการทำนายของท่านมหาปราชญ์”“หากผลลัพธ์ออกมาแล้ว
เมื่อเฉินชีได้ยินดังนั้นก็หยุดชะงักแล้วยกยิ้มมุมปาก เดินมาที่หน้าต่าง พิงกำแพงพลางกอดอก “เจ้าจะให้ข้าช่วยเจ้าในฐานะที่เจ้าเป็นใคร?”ลั่วชิงยวนมองเขาด้วยสายตาเย็นชา “นักบวชระดับสูง”ดวงตาของเฉินชีลุกโชนด้วยประกายร้อนแรง “อาเหลา ในที่สุดเจ้าก็ตัดสินใจจะไปกับข้าแล้วหรือ?”ลั่วชิงยวนมองเขาด้วยสายตาเย็นชาและเย่อหยิ่ง “กลับแคว้นหลีก็ได้ ข้าบอกแล้วว่าให้เจ้าช่วยข้าเรื่องหนึ่ง”“แคว้นหลีจะมีนักบวชระดับสูงได้เพียงผู้เดียวเท่านั้น”เฉินชียกยิ้มมุมปากแล้วหัวเราะอย่างเจ้าเล่ห์ ก่อนจะคุกเข่าลงข้างหนึ่งอย่างนอบน้อม “อย่าว่าแต่เรื่องเดียวเลย สิบเรื่อง ร้อยเรื่อง เฉินชีก็ยินดีทำเพื่อนักบวชระดับสูงทั้งสิ้น!”ลั่วชิงยวนหรี่ตามองเขาด้วยแววตาที่ลึกล้ำถึงแม้เฉินชีจะบ้าแต่ก็มิใช้คนโง่เขลา เขาทำอะไรตามอำเภอใจแต่ก็คงมิยอมสยบต่อนางง่าย ๆ เช่นนี้การเปลี่ยนท่าทีเช่นนี้ทำให้นางมิค่อยเชื่อถือ“เจ้าฟังเรื่องที่ข้าจะให้เจ้าทำก่อนค่อยตอบรับก็ยังมิสาย”เฉินชีลุกขึ้นมองนางด้วยแววตาเป็นประกาย “ท่านนักบวชต้องการให้ข้าทำสิ่งใด?”“ข้าต้องการให้เจ้ายกทัพไปตีซีหลิง”“แต่ห้ามสู้รบกันจริง ๆ ห้ามทำร้ายราษฎร”เฉ
ใจของลั่วชิงยวนร้อนรุ่มดั่งไฟสุม นางพยายามดิ้นรนสุดแรง “ปล่อยข้านะ!”“ฟู่เฉินหวน ท่านช่างไร้หัวใจอะไรเยี่ยงนี้!”ทว่าฟู่เฉินหวนยังคงมีสีหน้าเรียบเฉย มิสะทกสะท้านแม้แต่น้อยเมื่อเห็นแม่นมเติ้งใกล้จะทนมิไหวแล้ว น้ำตาลั่วชิงยวนก็เอ่อคลอ“หม่อมฉันจะมิออกจากเรือนแล้ว หม่อมฉันจะมิออกจากห้องแล้ว ได้หรือไม่!”นางมองฟู่เฉินหวนด้วยดวงตาแดงก่ำ พยายามวิงวอนขอร้องในที่สุดนางก็ยอมก้มหน้าลง“ขอท่านไว้ชีวิตนางด้วยเถิดเพคะ!” ลั่วชิงยวนคุกเข่าลงอย่างอ่อนแรงแววตาฟู่เฉินหวนมืดมนเดิมทีลั่วชิงยวนคิดว่าเมื่อนางขอร้องแล้ว ฟู่เฉินหวนคงจะไว้ชีวิตแม่นมเติ้งแต่ฟู่เฉินหวนกลับมีแววตาเย็นชา “นางเป็นบ่าวของตำหนัก มิใช่บ่าวของเจ้า นางขัดคำสั่งข้า สำหรับข้าแล้ว ไม่มีคำว่ายกโทษ”น้ำเสียงเย็นเยียบของเขาเป็นดั่งหนามแหลมทิ่มแทงหัวใจของลั่วชิงยวนลั่วชิงยวนตกตะลึงนางโกรธจนตะโกนลั่น “ฟู่เฉินหวน!”ฟู่เฉินหวนขมวดคิ้ว นัยน์ตาฉายแววหงุดหงิดขณะกล่าวเสียงเย็น “พาตัวนางไป”องครักษ์จับตัวลั่วชิงยวนแล้วลากออกไปฟู่เฉินหวนมองนางเป็นครั้งสุดท้ายด้วยสายตาเย็นชา “หากเจ้ายังท้าทายข้าอีก จะต้องมีคนตายมา่กกว่านี้แน่”แ