ลั่วชิงยวนกลับอยากรู้ว่าซ่งเชียนฉู่ประสบอะไรมามากกว่า นางจึงถามอย่างสงสัย “หลังจากที่เจ้าหนีออกจากในถ้ำได้ เหตุใดจึงไม่จากที่นี่ไป หากหนีหมู่บ้านนั้นไปไกล คงมิมีใครนำเจ้าไปสังเวยเทวาภูผาอีก” ฟังถึงตรงนี้ หว่างคิ้วของซ่งเชียนฉู่เผยเป็นแววหวาดกลัว นางกำชายเสื้อไว้แน่นพร้อมตอบ “อันที่จริง ข้าหนีออกไปมิได้…” “ราวกับถูกเหนี่ยวรั้ง…” เมื่อซ่งเชียนฉู่พูด เสียงของนางสั่นคลอนเล็กน้อยและแฝงไปด้วยความผวา แต่สวี่ชิงหลินที่อยู่เบื้องหลังกลับกล่าว “ข้าจะพาเจ้าออกไปให้ได้!” ลั่วชิงยวนได้ยินจึงรู้สึกสงสัย นางมองซ่งเขียนฉู่พร้อมถาม “หนีออกไปมิได้งั้นรึ?” ซ่งเชียนฉู่พยักหน้า “ทุกครั้งที่ข้าออกไป เมื่อถึงเส้นทางทางออก ข้าจะกลับมาอยู่ที่เดิม คล้ายกับผีบังตา” “พวกเราจึงได้แต่หลบอยู่ในจวน” ลั่วชิงยวนไตร่ตรองและพยักหน้า นางก็ว่าตั้งแต่วันแรกที่นางมาถึงในเรือน นางก็รู้สึกถึงกลิ่นไอพิลึก นอกจากสองคนนี้ ยังมีอย่างอื่นอีกดังที่นางคิด แต่นางยังคงรู้สึกประหลาดใจ หากสิ่งนั้นคิดจะกระทำบางอย่างต่อซ่งเชียนฉู่จริง ๆ นางจะยืนอยู่ตรงนี้ได้อย่างปลอดภัยอีกงั้นหรือ? การที่พวกนางหลบอยู่ในจวนมันปลอดภัย
ลมราตรีพัดมา เสียงกุกกักเหล่านั้นได้กลับมาอีกครั้ง และเสียงในคืนนี้ ดังยิ่งกว่าคืนอื่น ๆ โดยเฉพาะฝั่งเรือนเล็ก ถึงกับมีเสียงกรีดร้องส่งมา เสียงนั้นวุ่นวายจนฟังดูมิสมจริง ต้องเกิดเรื่องขึ้นแน่ ๆ ลมแรงพัดให้ประตูห้องโยกเยก เสียงที่ดังมา ราวกับมีคนกำลังผลักประตูจากด้านนอก จือเฉากลัวจนกอดแขนลั่วชิงยวนไว้แน่น “พระชายา นี่มัน…” ลั่วชิงยวนตบมือนางเบา ๆ “ข้าออกไปตรวจดูเอง” “เจ้าอยู่ในห้องอย่าวิ่งไปที่อื่น” จือเฉารู้สึกกังวล ”พระชายา…” “ไม่เป็นไร ไม่ต้องกลัว” ลั่วชิงยวนตบบ่าของนางเป็นการปลอบ จากนั้นจึงเปิดประตูเดินออกไปคนเดียว นี่เป็นครั้งแรกที่ลั่วชิงยวนออกจากห้องตอนกลางดึกหลังมาอยู่ที่จวนนอกเมือง ลมหนาวด้านนอกแฝงไปด้วยไอมืดครึ้ม พัดให้ตะเกียงใต้ชายคาสั่นคลอนไปมา เสียงใบไม้ดังขึ้นซ่า ๆ จวนกว้างที่เปลี่ยวร้างบัดนี้ยิ่งเหมือนจวนผีสิงเข้าไปทุกที ลานหน้าจวนมิมีสิ่งใด เสียงนี้ส่งมาจากทางเรือนเล็ก ลั่วชิงยวนก้าวฝีเท้ามั่นคงไปทางเรือนเล็ก จากนั้นจึงเห็นร่องรอยคดเคี้ยวบนพื้นเป็นจำนวนมาก นางขมวดคิ้ว นี่มันงู! บัดนี้ภายในเรือน สวี่ชิงหลินกำลังปกป้องซ่งเชียนฉู่ เขาใช้ด
ลั่วชิงยวนยังไม่ทันตอบ สวี่ชิงหลินกลับลุกขึ้นอย่างแรง เขาดึงตัวซ่งเชียนฉู่ไปไว้ด้านหลังด้วยขาที่กะเผลก พร้อมกล่าว “อย่าเชื่อนาง! ผู้หญิงคนนี้มีปัญหา!” สวี่ชิงหลินระแวงลั่วชิงยวนพร้อมกล่าว “พวกเราซ่อนตัวอยู่ที่นี่หลายวัน งูเหล่านั้นมิกล้าเข้ามาสักคืน หรือเข้าก็เข้าเพียงตัวสองตัว เหตุใดคืนนี้จึงมากหลายเช่นนี้!” “และพอนางปรากฏ ฝูงงูก็สลายตัวทันที! นี่มันพิลึกเกินไป!” ลั่วชิงยวนเองก็อธิบายไม่ถูกกับเรื่องที่นางมาแล้วฝูงงูสลายตัวไป นางจึงพูดได้เพียง “หากข้าประสงค์ร้ายต่อพวกเจ้า ฝูงงูคงมิหายไปเสียหรอก” ซ่งเชียนฉู่ฟังแล้วดวงตาเป็นประกาย นางเดินขึ้นหน้า “ขอบคุณแม่นางลั่วมาก” “คืนนี้ขออภัยที่รบกวนแม่นางลั่วด้วย” ซ่งเชียนฉู่ค่อนข้างเชื่อใจลั่วชิงยวน เพียงแต่ลั่วชิงยวนนั้นลึกลับมาก เรื่องในคืนนี้เองก็ประหลาดมากจริง ๆ “ไม่เป็นไร ดึกแล้วพวกเจ้าพักผ่อนเถอะ อย่างอื่นพวกเราค่อยว่ากันวันพรุ่งนี้” ลั่วชิงยวนพูดจบจึงจากไป ซ่งเชียนฉู่รีบคุกเข่าตรวจดูข้อเท้าของสวี่ชิงหลินที่ถูกงูกัด พร้อมกล่าว “โชคดีที่งูนี้มิมีพิษ เดี๋ยวข้าทายาให้เจ้า ก็น่าจะไม่เป็นไรแล้ว” “ได้สิ” จากนั้นซ่งเชียนฉู
เปรี้ยง… เสียงฟ้าผ่าดังขึ้น เงายาวนั้นแวบผ่านกลางฟ้ามืดอย่างรวดเร็ว เข็มทิศสั่นคลอนอย่างรุนแรง มิได้สั่นคลอนเพราะต้องการตักเตือน แต่เป็นการสั่นคลอนเพราะถูกข่ม “เทวาภูผา…” สิ่งนี้ราวกับมิมีใจที่จะมาทำร้าย มิฉะนั้นจวนนอกเมืองคงมิสงบหลายวันเช่นนี้ แต่มันก็ยังไม่ล้มเลิก ราวกับต้องการตัวซ่งเชียนฉู่จริง ๆ ขณะที่นางกำลังคิด หน้าประตูมีร่างคนปรากฏขึ้น คนที่มาใบหน้าทรุดโทรม ใต้ตาดำคล้ำ สีหน้าซีดเผือดเต็มไปด้วยความผวา “แม่นางลั่ว…” ซ่งเชียนฉู่ยืนอยู่หน้าประตู หลังเสียงฟ้าผ่า สายฝนก็โหมกระหน่ำ และตกลงจากฟ้าอย่างรุนแรง ลั่วชิงยวนดึงซ่งเชียนฉู่เข้าห้อง จากนั้นปิดประตูลง “แม่นางซ่งนั่งเถอะ” ซ่งเชียนฉู่นั่งลง มองไปทางลั่วชิงยวน และจับแขนของนางไว้อย่างเกรงกลัว “แม่นางลั่ว ข้า… ข้า…” ซ่งเชียนฉู่มิรู้ว่าควรเอ่ยปากอย่างไร ลั่วชิงยวนกลับตบหลังมือของนาง มุมปากยกขึ้นเป็นรอยยิ้มมั่นใจ รอยยิ้มนั้นแฝงไปด้วยความอ่อนโยนและมั่นคง ทำให้หัวใจของซ่งเชียนฉู่สงบลงทันใด “สีหน้าของแม่นางซ่งมิดีนัก หลายวันมานี้เจ้าคงตื่นกลัวเกินเหตุ และนอนไม่หลับกระมังเจ้าแอบมาหาข้า โดยปิดบังสวี่ชิงหลินใช
นั่นเป็นถึงสมุนไพรที่หาได้ยาก เป็นสมุนไพรที่มีเงินก็หาซื้อไม่ได้! หากมีโสมเก้าบุษบันอมตะ โรคอ้วนท้วมของนางก็จะสามารถรักษาให้หายได้อย่างรวดเร็ว! มองดูสายตาที่จริงจังของซ่งเชียนฉู่ ในใจของลั่วชิงยวนยิ่งรู้สึกตกตะลึง แม่นางซ่งตรงหน้ามิได้ตื่นกลัวถึงขั้นนั้น นางเพียงใช้ความกลัวเป็นข้ออ้างเพื่อมาจับชีพจร ดูท่าวิชาแพทย์ของแม่นางซ่งจะมิธรรมดา และแม่นางซ่งคงดูออกนานแล้วว่านางติดพิษ ต้องมีข้อแลกเปลี่ยนที่มากพอ จึงจะได้รับความช่วยเหลือ แม่นางซ่งช่างฉลาดเสียจริง เล่ห์เหลี่ยมของนางมิน่าเกลียดชัง ในทางตรงกันข้าม ลั่วชิงยวนรู้สึกชอบมาก! ลั่วชิงยวนตบโต๊ะอย่างเด็ดขาด “ได้! ตกลงกันเช่นนี้!” นัยน์ตาของซ่งเชียนฉู่ประกายแสง นางลุกขึ้นคำนับลั่วชิงยวน “แม่นางลั่ว ขอบคุณท่านมาก!” ลั่วชิงยวนหรี่ตาลง ในตาของนางมีแววเลศนัย ยอมเอาโสมเก้าบุษบันอมตะมาเป็นข้อแลกเปลี่ยน ซ่งเชียนฉู่ต้องพบกับปัญหาใหญ่ขนาดไหนกันแน่ เกรงว่าอีกฝ่ายจะมีเรื่องปิดบังนางอยู่ ลั่วชิงยวนกระตุกมุมปาก “แม่นางซ่ง ข้ามีคำถามมากมาย หลังเรื่องราวถูกจัดการ ท่านตอบข้าตามความจริงได้หรือไม่?” ซ่งเชียนฉู่ชะงัก จากนั้นพยักหน้าอ
คิดได้ดังนี้ ลั่วเยวี่ยอิงจึงพูดสั่งทาสใบ้ “เจ้า ปล่อยข่าวที่ซ่อนตัวของหญิงสาวผู้นั้นให้กับชาวบ้าน หาคนยุยงให้ชาวบ้านจับตัวลั่วชิงยวนไปสังเวย” “หากหลังสังเวยแล้วนางมิตาย เจ้าก็หาทางกำจัดลั่วชิงยวนทิ้งเสีย” ถึงเวลาต่อให้มีคนสืบหาการตายของลั่วชิงยวน นั่นก็เป็นการกระทำของชาวบ้าน มิเกี่ยวข้องกับนางแม้แต่นิด ลั่วชิงยวนต้องตายอย่างสิ้นเชิง แผนการในเมืองหลวงของนางจึงจะสำเร็จ! …… ฝนตกติดกันสองวัน เสียงฝนรุนแรง กลบเสียงกุกกักเหล่านั้นจนสิ้น คืนนี้ จือเฉาหลับลึกเป็นพิเศษ เพราะที่ได้ยิน มีเพียงแค่เสียงฝนหยดลงพื้น แต่ลั่วชิงยวนกลับนอนไม่หลับ นางกำลังคิด เหตุใดผู้นั้นจึงยังไม่มาหานางอีก นางให้ยันต์กับซ่งเชียนฉู่ มิว่าจะเป็นงูหรือคนนั้น ก็น่าจะเข้าใกล้ซ่งเชียนชู่มิได้ คนนั้นมิควรจะมาหานางอย่างโกรธเคืองหรือ? เหตุใดทั้งวันผ่านไป ยังคงเงียบสงัดเช่นนี้ ยิ่งสงบ ในใจลั่วชิงยวนยิ่งรู้สึกไม่ดี นางกำลังคิด จู่ ๆ ด้านนอกกะพริบเป็นแสงสายฟ้า ส่องให้เงานอกห้องสว่างวาบ และตกอยู่ในสายตาของลั่วชิงยวนแทบจะทันที หัวใจของนางบีบรัด แต่นางก็สงบลงอย่างรวดเร็ว เห็นเพียงควันเล็ดลอดเข้ามาตามซ
พวกเขากล้าหาญมิเบา! รู้หรือว่าสิ่งที่อยู่ในเขานี้คืออะไร ถึงได้คิดจะชิงดีงู แต่คิดถึงการที่พวกเขาหลอกใช้ซ่งเชียนฉู่ในการเอาดีงูแล้ว บางทีอาจรู้อะไรจริง ๆ ก็ได้ เพียงแต่เช่นนี้ ซ่งเชียนฉู่ก็อันตรายแล้วสิ พวกเขาจะเริ่มแผนภายในสองวันนี้ นางต้องรีบบอกเรื่องนี้ให้กับซ่งเชียนฉู่! เพื่อให้ซ่งเชียนฉู่ระวังสวี่ชิงหลิน! แต่แล้ววินาทีที่นางลุกขึ้นเตรียมจะจากไป จู่ ๆ ก็มีสายฟ้าผ่าลงมา ส่องจนรอบด้านสว่าง “ใครกัน?!” คิ้วของสวี่ชิงหลินขมวดแน่น เขารีบกลับไปหยิบดาบในมุ้ง สวมใส่หมวกฟาง และลงเขาไปอย่างไว ลั่วชิงยวนเรียกได้ว่าวิ่งหนีลงเขาด้วยความเร็วสูง นางรู้ว่าสวี่ชิงหลินตามมาอยู่ด้านหลัง เมื่อสายฟ้ากะพริบ นางเห็นร่างของสวี่ชิงหลินที่ยืนอยู่บนสันเขา นางวิ่งกลับไปอย่างหอบ ๆ ในใจของนางบีบเกร็ง หากสวี่ชิงหลินรู้ว่านางแอบฟังความลับของพวกเขาไป นางต้องถูกฆ่าปิดปากแน่! นางวิ่งกลับไปในจวนอย่างเร็ว ถอดผ้าคลุมแขวนไว้บนกำแพงใต้ชายคา เพราะฝนตกหนัก สายฝนจึงถูกพัดไปโดนกำแพง ผ้าคลุมฟางจะหยดน้ำนั้นก็เป็นเรื่องปกติ จากนั้นถอดรองเท้าออก ถือไว้ในมือ เขย่งเท้าเดินเข้าห้องไป มิหลงเหลือน้ำฝนและรอย
ในจวนก็อาศัยกันแค่นี้ หรือจะเป็นซ่งเชียนฉู่? เขาเดินเข้าไปในเรือนอย่างไว มาถึงในห้องของซ่งเชียนฉู่ แง้มประตูมองผ่านช่อง คนบนเตียงยังคงหลับพริ้ม ในห้องลั่วชิงยวนมิใช่ซ่งเชียนฉู่ เช่นนี้ที่เพิ่มมาคนหนึ่ง คือใครกัน? …… ภายในห้อง ข้างหูดังขึ้นเป็นเสียงลมหายใจมั่นคง ลั่วชิงยวนรู้สึกสบายใจมากขึ้น นางพลิกตัวนอนตะแคง คิดว่ารอให้ฟ้าสว่างจึงค่อยหาโอกาสบอกซ่งเชียนฉู่ แต่จู่ ๆ นางพบว่า เหตุใดผ้าห่มที่มุมเตียงจึงตุงขึ้น นางขนหัวลุกขึ้นมาในทันที มีคนเข้ามานอนเพิ่มหรือ? นางลุกขึ้นนั่งอย่างแรง และกระชากผ้าห่มออก ที่ตกสู่สายตา มีเพียงเตียงโล่ง ๆ ที่ไม่มีอะไรทั้งนั้น! แต่กลับมีไอเหน็บหนาว ขณะเดียวกัน บนข้อมือของนางมีความรู้สึกเย็นเฉียบส่งมา เกล็ดงูค่อย ๆ ลูบผ่านผิวหนังของนาง นางมิกล้าขยับแม้แต่นิด และควักยันต์สีเหลืองออกมาจากในอ้อมอก และเปิดผ้าห่มออกอย่างแรง งูตัวนั้นอ้าปากกว้างและตะครุบเข้ามาหานาง สายตาของลั่วชิงยวนเย็นยะเยือก นางยกมือไปจับโดยมิมีความเกรงกลัวแม้แต่นิด นางจับงูไว้อย่างเด็ดขาด และแปะยันต์ลงไป ควันดำกระจายตัวออกกลางอากาศ งูตัวนั้นขัดขืนพักหนึ่ง จากนั้นบ
ดีงูที่ทำให้ฝีมือของนางเพิ่มพูนขึ้นอย่างมากนั้น นางยังคงจำได้มิลืมเลือนน่าเสียดายที่ข้างกายซ่งเชียนฉู่มีคนผู้ทรงอานุภาพคอยคุ้มครอง นางจึงพยายามด้วยวิธีการต่างๆ แต่ก็ยังล้มเหลวการใช้ความสัมพันธ์ระหว่างฉู่ลั่วกับซ่งเชียนฉู่อาจจะประสบความสำเร็จ แต่ฉู่ลั่วกลับดื้อดึงมิยอมร่วมมือกับนาง!เมื่อมิสามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้ก็จำต้องทำลายเขาเสีย!ลั่วชิงยวนกลับไปยังลานหลังร้านซ่งเชียนฉู่ถามด้วยความสงสัยว่า “ท่านมิได้ไปแล้วหรอกหรือ? เหตุใดจึงกลับมาอีก?”ลั่วชิงยวนทำท่าให้เงียบแล้วพาส่งเฉียนฉู่กลับไปยังห้อง จากนั้นบอกเล่าเรื่องราวให้ฟังเมื่อซ่งเชียนฉู่ฟังจบก็รีบกล่าวว่า “ดูเหมือนว่านางผู้นี้จะมิปล่อยท่านไป หรือว่าท่านจะเข้าวังไปดำรงตำแหน่งมหาปราชญ์ เมื่อมีตำแหน่งนี้แล้ว นางก็จะต้องเกรงใจบ้าง”ลั่วชิงยวนไตร่ตรอง แล้วพูดว่า “มหาปราชญ์ อืม... ค่อยว่ากันอีกที”จนกระทั่งล่วงเข้ายามดึก เมื่อแน่ใจแล้วว่าลั่วฉิงจากไปแล้ว ลั่วชิงยวนจึงกลับตำหนักอ๋องอย่างเงียบเชียบเมื่อกลับแล้วก็ถูกหล่างมู่ขวางทาง “พี่หญิง ท่านไปที่ใดมาขอรับ? ฟู่เฉินหวนมาหาท่านตอนค่ำ”“แล้วเจ้าบอกเขาว่าอย่างไร?”“ข้าบอกว่าพ
ลั่วชิงยวนขมวดคิ้วมองหล่างมู่อย่างช่วยมิได้“หล่างมู่ เจ้ากลับไปก่อนเถิด ข้าจะไปทำธุระก่อน” ลั่วชิงยวนหันหลังวิ่งไปหล่างมู่ถือลูกถังหูลู่สองไม้วิ่งตามไปสองสามก้าว “พี่หญิง ท่านจะไปที่ใด? ไฉนมิพาข้าไปด้วยเล่า?”ลั่วชิงยวนมิได้ใส่ใจ รีบวิ่งออกจากถนนไปแล้วเมื่อไปเปลี่ยนอาภรณ์ที่หอฝูเสวี่ยแล้ว นางจึงไปที่ร้านอย่างเงียบเชียบเมื่อไปถึงลานด้านหลังก็พบกับซ่งเชียนฉู่ที่กำลังแบกตะกร้ากลับมาจากประตูหน้า ท่าทางดูรีบร้อนนัก“ท่านมาพอดี ท่านเห็นประกาศบนถนนหรือไม่? องค์จักรพรรดิจะเชิญท่านเข้าวังเพื่อแต่งตั้งท่านเป็นมหาปราชญ์!” ซ่งเชียนฉู่ส่งประกาศให้“นี่เป็นประกาศที่ติดอยู่ที่ประตูร้านเรา”“มิกี่วันที่ผ่านมา ข้าออกไปเก็บสมุนไพร พวกเขาคงจะมาหาท่าน แต่ไม่มีใครอยู่จึงติดประกาศไว้”“จะทำอย่างไรดี?”ซ่งเชียนฉู่ก็ตกตะลึงเช่นกันลั่วชิงยวนรับประกาศมาดูอีกครั้ง ในนั้นยังเขียนด้วยว่าให้นางเข้าวังหลวงเพื่อทำนายชะตาของแคว้นเทียนเชวียแล้วแต่งตั้งเป็นมหาปราชญ์ซ่งเชียนฉู่ถอนหายใจ “ข้าคิดว่าครั้งนี้ ตัวตนของท่านคงจะปกปิดมิได้แล้ว”“คอยดูกันต่อไปเถิด” ลั่วชิงยวนยังมิรู้ว่าจะบอกฟู่เฉินหวนอย่างไร
น้ำเสียงของฟู่เฉินหวนนั้นบ่งบอกชัดเจนว่ากำลังหึงหวงอยู่ลั่วชิงยวนปอกส้มแล้วป้อนให้ฟู่เฉินหวนพลางพูดอย่างอารมณ์ดีว่า “หล่างมู่มองหม่อมฉันเป็นเพียงพี่หญิงจริง ๆ เพคะ”“เขามีความสัมพันธ์ที่ดีกับพี่หญิงมาตั้งแต่เด็ก แต่พี่หญิงของเขาเสียชีวิตเพราะเขา จึงเป็นบ่วงกรรมและความเสียใจตลอดชีวิตของเขา”“ต่อมาหล่างชิ่นกลายเป็นพี่หญิงของเขา เขาเชื่อฟังหล่างชิ่นทุกอย่าง แต่สุดท้ายหล่างชิ่นกลับต้องการให้เขาตาย”“หลังจากนั้นเมื่อหม่อมฉันไปยังเผ่านอกด่าน ราชาเผ่านอกด่านบอกว่าหม่อมฉันเป็นพี่หญิงของเขา ดังนั้นเขาจึงมองหม่อมฉันเป็นพี่หญิงแท้ ๆ มาโดยตลอด”เมื่อฟู่เฉินหวนได้ยินเช่นนั้นก็สงสัยยิ่งนัก “พูดตามตรงคือข้ายังคงมิเข้าใจเลยว่าเหตุใดราชาเผ่านอกด่านจึงมั่นใจว่าเจ้าเป็นลูกสาวของเขา”ลั่วชิงยวนพูดเสียงเบาว่า “ราชาเผ่านอกด่านกับลั่วไห่ผิงมีใบหน้าเหมือนกันราวกับแกะ! พวกเขาเป็นพี่น้องกันเพคะ!”“ก่อนที่ท่านแม่ของหม่อมฉันจะมาเมืองหลวงแล้วแต่งงานกับลั่วไห่ผิง นางเคยมีความสัมพันธ์กับราชาเผ่านอกด่าน แต่สุดท้ายก็มิได้ลงเอยกันจึงมาเมืองหลวงและแต่งงานกับลั่วไห่ผิงเพคะ”ฟู่เฉินหวนตกตะลึงยิ่งนักเมื่อได้ฟัง“
หล่างมู่ชกเข้าที่ใบหน้าของฟู่เฉินหวนจนฟู่เฉินหวนถอยหลังไปหลายก้าวหล่างมู่แสดงสีหน้าโกรธแค้น “ข้าขอเตือนท่านเลยว่าถ้าท่านทำเช่นนี้กับพี่หญิงของข้าอีก ข้าจะฆ่าท่านเสีย!”ฟู่เฉินหวนขมวดคิ้วพลางเช็ดเลือดที่มุมปาก “ลั่วชิงยวนอยู่ที่ใด ข้าจะพบกับนาง”“นางอยู่ที่ใด แล้วท่านเกี่ยวอะไรด้วย!” หล่างมู่แสดงสีหน้ามิพอใจ เขายังคงจำได้ว่าในวันคล้ายวันพระราชสมภพของจักรพรรดิ อ๋องผู้สำเร็จราชการยินดีที่จะมอบลั่วชิงยวนให้เขาชายคนนี้ช่างน่ารังเกียจ!เขามิเข้าใจว่าเหตุใดพี่หญิงจึงยังคงอยู่กับชายผู้นี้วันนี้กลับนิ่งเฉยมองดูคนอื่นทำร้ายพี่หญิงอย่างมิแยแสอีก!หล่างมู่มิพอใจอย่างยิ่งเมื่อทั้งสองสบตากัน ความเป็นปรปักษ์ก็ปะทุขึ้นบรรยากาศตึงเครียด ในวินาทีต่อมาดูเหมือนว่าจะต้องต่อสู้กันแน่แล้วลั่วชิงยวนเพิ่งเข้ามาในลานก็เห็นเหตุการณ์นี้ จึงรีบเข้าไปขวางไว้“พวกท่านกำลังทำอะไรกัน!”“แค่ก แค่ก แค่ก...” เมื่อนางร้อนใจก็กุมอกด้วยความเจ็บปวดสีหน้าของทั้งสองเปลี่ยนไปอย่างมากแล้วเข้าไปพยุงนางพร้อมกัน ลั่วชิงยวนปัดมือของทั้งสองออก แล้วหันไปมองหล่างมู่ “พี่บอกเจ้าว่าอย่างไร!”ความโกรธของหล่างมู่หา
ฟู่จิ่งหานมิได้ใส่ใจเรื่องนี้ แต่กลับรู้สึกผิดเล็กน้อยที่พระราชโองการนั้นทำให้ลั่วชิงยวนได้รับบาดเจ็บเช่นนี้ จึงพูดว่า “มิเป็นอะไร การประลองครั้งนี้ก็มิได้ห้ามมิให้แคว้นเพื่อนเรือนเคียงเข้าร่วม”“พระชายาอ๋องผู้สำเร็จราชการสามารถเอาชนะองค์ชายเผ่านอกด่าน แล้วยกให้เป็นน้องชายได้ นับว่าความสามารถเป็นที่ประจักษ์แก่ข้าแล้ว!”“พระชายามีบาดแผล อนุญาตให้พระชายาและองค์ชายหล่างมู่ออกไปก่อนได้”ลั่วชิงยวนก้มหน้าลงเล็กน้อย “ขอบพระทัยฝ่าบาทเพคะ”แล้วหล่างมู่ก็พยุงลั่วชิงยวนออกไปเนื่องจากหอฝูเสวี่ยอยู่มิไกลและสามารถมองเห็นการประลองจากชั้นสามได้ ลั่วชิงยวนจึงพาหล่างมู่ไปพักผ่อนที่หอฝูเสวี่ยก่อนซิ่งอวี่ต้มยามาให้นางกินลั่วชิงยวนนั่งข้างหน้าต่าง มองดูการประลองที่ยังคงดำเนินต่อไป เมื่อเห็นฟู่อวิ๋นโจวเอาชนะทุกคนได้ นางก็รู้ว่าเขากำลังจะเข้าสู่ราชสำนักแล้ว“พี่หญิง ยังเจ็บบาดแผลอยู่หรือไม่ขอรับ?” หล่างมู่ยกชามาให้หนึ่งถ้วยลั่วชิงยวนส่ายหน้า “มิเป็นอะไรแล้ว บาดแผลมิสาหัส พักสักสองสามวันก็หาย”“หล่างมู่ เจ้ามาเมืองหลวงได้อย่างไร? ในเผ่านอกด่านเกิดเรื่องใหญ่อันใดหรือไม่? รีบร้อนมาเช่นนี้เลยหรือ?
ฟู่อวิ๋นโจว!หล่างมู่กำหมัดแน่น แล้วกระโจนเข้าไปอีกครั้งผู้คนมากมายต่างเป็นห่วงฟู่อวิ๋นโจว หล่างมู่เป็นคนเผ่านอกด่าน ฝีมือของเขาเป็นที่ประจักษ์ของทุกคนแล้วร่างกายที่อ่อนแอของฟู่อวิ๋นโจวจะรับมือได้อย่างไรแต่ลั่วชิงยวนรู้ดีว่าเวลาที่ฟู่อวิ๋นโจวปรากฏตัวนั้นเหมาะสม นี่เป็นโอกาสที่ดีที่สุดสำหรับเขาที่จะแสดงความสามารถฟู่อวิ๋นโจวรับหมัดของหล่างมู่ได้อย่างแน่นอนจากนั้นทั้งสองก็ต่อสู้กันอย่างดุเดือดหลายสิบกระบวนท่าทำให้ผู้คนในที่นั้นต่างตกตะลึง“นี่คือองค์ชายห้าหรือ?”“ฝีมือของเขาแข็งแกร่งเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อใด?”“ใช่แล้ว มิใช่ว่าเขาป่วยอยู่หรอกหรือ?”ขณะที่ผู้คนต่างพากันวิพากษ์วิจารณ์ ฟู่อวิ๋นโจวก็พบจุดอ่อนของหล่างมู่แล้ว จึงเหวี่ยงหล่างมู่ลงไปกับพื้น แล้วชกเข้าที่ใบหน้าของหล่างมู่ลั่วชิงยวนรีบวิ่งเข้าไปห้าม “หยุดนะ!”ฟู่อวิ๋นโจวสะดุ้งแล้วลดมือลงหล่างมู่ลุกขึ้นยืนและกำลังจะตอบโต้ แต่ถูกลั่วชิงยวนดึงไว้“หล่างมู่แพ้แล้ว” ลั่วชิงยวนประกาศผลทันทีสายตาของนางมองฟู่อวิ๋นโจวด้วยอารมณ์ซับซ้อน “ขอแสดงความยินดีกับองค์ชายห้าเพคะ”เขายังคงมิได้ใช้ชีวิตอย่างอิสระและเรียบง่าย แต่กลั
ฟู่เฉินหวนใจตึงเครียดจนฝ่ามือชุ่มไปด้วยเหงื่อลั่วชิงยวนพยายามยันตัวลุกขึ้น แต่กลับไร้เรี่ยวแรงที่จะตอบโต้เหยียนผิงเซียวชกเข้าที่ท้องของลั่วชิงยวนอีกครั้ง เลือดสีแดงฉานพุ่งออกมาจากปากนางเหยียนผิงเซียวจิกผมของนางแล้วกระซิบข้างหูอย่างร้ายกาจว่า “เจ้าเก่งนักมิใช่หรือ! ทำให้ท่านพ่อของข้าต้องลาออกจากตำแหน่งกลับไปยังเมืองฉิน เจ้าเป็นผู้มีพระคุณใหญ่หลวงของตำหนักอ๋องนี่!”“เจ้าลองเดาดูสิว่าฟู่เฉินหวนจะช่วยเจ้าหรือไม่?”“แต่มิสำคัญแล้ว เพราะข้าต้องการเพียงให้เจ้าตายเท่านั้น!”เหยียนผิงเซียวใช้ร่างของลั่วชิงยวนบังสายตาของผู้คนส่วนมืออีกข้างที่กำหมัดแน่นมีแผ่นเหล็กแหลมคมติดอยู่ แล้วกระแทกลงไปที่ท้องของลั่วชิงยวนอย่างแรงลั่วชิงยวนเห็นอาวุธลับนั้นแล้วก็ตึงเครียดมากฟู่เฉินหวนแทบขาดใจ ความรู้สึกมิสบายใจอย่างรุนแรงถาโถมเข้ามาฟู่อวิ๋นโจวผู้นั่งอยู่มุมห้องใต้หลังคาก็กำมือแน่นด้วยความตึงเครียดเช่นกันแม้ว่าฝีมือของลั่วชิงยวนจะสู้เหยียนผิงเซียวมิได้ แต่ก็มิควรจะไร้เรี่ยวแรงที่จะตอบโต้เช่นนี้จะลงมือช่วยนางตอนนี้เลยดีหรือไม่!ฟู่อวิ๋นโจวลังเลอยู่ครู่หนึ่งแต่แล้วในวินาทีนั้นเองเงาร่
ในมิช้าการประลองก็เริ่มขึ้นโชคดีที่ลั่วเยวี่ยอิงมิได้ก่อเรื่องวุ่นวายอีก นางเฝ้าดูการประลองอย่างสงบลั่วชิงยวนใช้โอกาสนี้ทำความเข้าใจกฎเกณฑ์ ดาบและกระบี่นั้นไร้ตา ดังนั้นการประลองครั้งนี้จึงห้ามใช้ดาบและอาวุธลับแต่เมื่อปรมาจารย์ต่อสู้กันก็อาจจะควบคุมมือมิทัน เพื่อให้ทุกคนได้ทุ่มเทอย่างเต็มที่ การประลองครั้งนี้ ความเป็นความตายจึงเป็นเรื่องของชะตาฟ้าลิขิตชัยชนะครั้งสุดท้ายมิใช่ผลลัพธ์ที่สำคัญที่สุดสิ่งสำคัญคือการแสดงผลงานในระหว่างการประลอง ฟู่เฉินหวนจะคัดเลือกผู้ที่มีความสามารถโดดเด่นบางคนสำหรับฟู่จิ่งหาน การประลองครั้งนี้มิใช่เพียงการคัดเลือกผู้ที่มีความสามารถโดดเด่นเท่านั้น แต่ยังเป็นการชมการประลองที่น่าตื่นเต้นด้วย ดังนั้นจึงมีความอิสระสูงทุกคนสามารถขึ้นไปท้าทายได้ หนึ่งรอบมีผู้แข่งขันสิบคน ผู้ชนะจะได้พักแล้วเข้าสู่รอบที่สองดังนั้นผู้ชนะในแต่ละรอบจะสามารถท้าทายคู่ต่อสู้ที่ตนคิดว่าแข็งแกร่งกว่าได้อย่างอิสระการประลองรอบแรกจบลงอย่างรวดเร็ว ฟู่เฉินหวนกับฟู่จิ่งหานวิเคราะห์ผู้ที่เหมาะสมในรอบนี้อย่างจริงจังฟู่จิ่งหานพยักหน้าให้ขันทีที่ยืนอยู่ด้านข้างจดบันทึกชื่อทุกอย่าง
“พระชายา เหตุใดมิลงไปหามาให้ข้าเล่า? หากขุดพบรากบัวได้สองหัว ข้าจะเมตตาตกรางวัลให้อย่างงาม!”น้ำเสียงที่แฝงไปด้วยความเยาะเย้ยและหยิ่งผยองนั้น มิใช่ปฏิบัติต่อลั่วชิงยวนดุจพระชายา หากแต่ปฏิบัติเสมือนทาสบริวารเหล่าผู้คนโดยรอบต่างตกตะลึงพรึงเพริดตำแหน่งของลั่วชิงยวนในตำหนักอ๋องนั้นต่ำต้อยถึงเพียงนี้เชียวหรือ?ฟู่เฉินหวนอดรนทนมิไหวอีกต่อไป จึงพูดเสียงเย็นเยียบว่า “ฤดูกาลนี้จะมีรากบัวอยู่ได้อย่างไร มิต้องลำบากเช่นนั้นเลย”ลั่วเยวี่ยอิงกลับคว้าแขนฟู่เฉินหวนพลางทำท่าทางออดอ้อน“ไม่เพคะ ท่านอ๋อง เผื่อว่าจะมีก็ได้! โปรดให้พระชายาลงไปค้นหาดูเถิดเพคะ!”นางกล่าวจบก็ถอดกำไลหยกที่ข้อมือ แล้วขว้างลงไปในบึงจากนั้นเชิดหน้าพูดกับลั่วชิงยวนว่า “ไปสิ กำไลหยกวงนี้เป็นรางวัลของเจ้า!”ท่าทางเช่นนี้ประหนึ่งว่ากำลังสั่งการสุนัขตัวหนึ่งฟู่เฉินหวนกำมือแน่น รู้สึกปวดร้าวที่ศีรษะอย่างยิ่งลั่วชิงยวนเห็นดังนั้นก็กังวลเพราะอาการของฟู่เฉินหวน นัยน์ตานางฉายแววเย็นชาขณะมองหน้าลั่วเยวี่ยอิง แล้วหันหลังกระโดดลงไปในสระน้ำเมื่อเสียงน้ำกระเพื่อมดังขึ้น เสียงฮือฮาต่างก็ดังมาจากทั่วบริเวณ“นางกระโดดลงไปจริง ๆ