คิดได้ดังนี้ ลั่วเยวี่ยอิงจึงพูดสั่งทาสใบ้ “เจ้า ปล่อยข่าวที่ซ่อนตัวของหญิงสาวผู้นั้นให้กับชาวบ้าน หาคนยุยงให้ชาวบ้านจับตัวลั่วชิงยวนไปสังเวย” “หากหลังสังเวยแล้วนางมิตาย เจ้าก็หาทางกำจัดลั่วชิงยวนทิ้งเสีย” ถึงเวลาต่อให้มีคนสืบหาการตายของลั่วชิงยวน นั่นก็เป็นการกระทำของชาวบ้าน มิเกี่ยวข้องกับนางแม้แต่นิด ลั่วชิงยวนต้องตายอย่างสิ้นเชิง แผนการในเมืองหลวงของนางจึงจะสำเร็จ! …… ฝนตกติดกันสองวัน เสียงฝนรุนแรง กลบเสียงกุกกักเหล่านั้นจนสิ้น คืนนี้ จือเฉาหลับลึกเป็นพิเศษ เพราะที่ได้ยิน มีเพียงแค่เสียงฝนหยดลงพื้น แต่ลั่วชิงยวนกลับนอนไม่หลับ นางกำลังคิด เหตุใดผู้นั้นจึงยังไม่มาหานางอีก นางให้ยันต์กับซ่งเชียนฉู่ มิว่าจะเป็นงูหรือคนนั้น ก็น่าจะเข้าใกล้ซ่งเชียนชู่มิได้ คนนั้นมิควรจะมาหานางอย่างโกรธเคืองหรือ? เหตุใดทั้งวันผ่านไป ยังคงเงียบสงัดเช่นนี้ ยิ่งสงบ ในใจลั่วชิงยวนยิ่งรู้สึกไม่ดี นางกำลังคิด จู่ ๆ ด้านนอกกะพริบเป็นแสงสายฟ้า ส่องให้เงานอกห้องสว่างวาบ และตกอยู่ในสายตาของลั่วชิงยวนแทบจะทันที หัวใจของนางบีบรัด แต่นางก็สงบลงอย่างรวดเร็ว เห็นเพียงควันเล็ดลอดเข้ามาตามซ
พวกเขากล้าหาญมิเบา! รู้หรือว่าสิ่งที่อยู่ในเขานี้คืออะไร ถึงได้คิดจะชิงดีงู แต่คิดถึงการที่พวกเขาหลอกใช้ซ่งเชียนฉู่ในการเอาดีงูแล้ว บางทีอาจรู้อะไรจริง ๆ ก็ได้ เพียงแต่เช่นนี้ ซ่งเชียนฉู่ก็อันตรายแล้วสิ พวกเขาจะเริ่มแผนภายในสองวันนี้ นางต้องรีบบอกเรื่องนี้ให้กับซ่งเชียนฉู่! เพื่อให้ซ่งเชียนฉู่ระวังสวี่ชิงหลิน! แต่แล้ววินาทีที่นางลุกขึ้นเตรียมจะจากไป จู่ ๆ ก็มีสายฟ้าผ่าลงมา ส่องจนรอบด้านสว่าง “ใครกัน?!” คิ้วของสวี่ชิงหลินขมวดแน่น เขารีบกลับไปหยิบดาบในมุ้ง สวมใส่หมวกฟาง และลงเขาไปอย่างไว ลั่วชิงยวนเรียกได้ว่าวิ่งหนีลงเขาด้วยความเร็วสูง นางรู้ว่าสวี่ชิงหลินตามมาอยู่ด้านหลัง เมื่อสายฟ้ากะพริบ นางเห็นร่างของสวี่ชิงหลินที่ยืนอยู่บนสันเขา นางวิ่งกลับไปอย่างหอบ ๆ ในใจของนางบีบเกร็ง หากสวี่ชิงหลินรู้ว่านางแอบฟังความลับของพวกเขาไป นางต้องถูกฆ่าปิดปากแน่! นางวิ่งกลับไปในจวนอย่างเร็ว ถอดผ้าคลุมแขวนไว้บนกำแพงใต้ชายคา เพราะฝนตกหนัก สายฝนจึงถูกพัดไปโดนกำแพง ผ้าคลุมฟางจะหยดน้ำนั้นก็เป็นเรื่องปกติ จากนั้นถอดรองเท้าออก ถือไว้ในมือ เขย่งเท้าเดินเข้าห้องไป มิหลงเหลือน้ำฝนและรอย
ในจวนก็อาศัยกันแค่นี้ หรือจะเป็นซ่งเชียนฉู่? เขาเดินเข้าไปในเรือนอย่างไว มาถึงในห้องของซ่งเชียนฉู่ แง้มประตูมองผ่านช่อง คนบนเตียงยังคงหลับพริ้ม ในห้องลั่วชิงยวนมิใช่ซ่งเชียนฉู่ เช่นนี้ที่เพิ่มมาคนหนึ่ง คือใครกัน? …… ภายในห้อง ข้างหูดังขึ้นเป็นเสียงลมหายใจมั่นคง ลั่วชิงยวนรู้สึกสบายใจมากขึ้น นางพลิกตัวนอนตะแคง คิดว่ารอให้ฟ้าสว่างจึงค่อยหาโอกาสบอกซ่งเชียนฉู่ แต่จู่ ๆ นางพบว่า เหตุใดผ้าห่มที่มุมเตียงจึงตุงขึ้น นางขนหัวลุกขึ้นมาในทันที มีคนเข้ามานอนเพิ่มหรือ? นางลุกขึ้นนั่งอย่างแรง และกระชากผ้าห่มออก ที่ตกสู่สายตา มีเพียงเตียงโล่ง ๆ ที่ไม่มีอะไรทั้งนั้น! แต่กลับมีไอเหน็บหนาว ขณะเดียวกัน บนข้อมือของนางมีความรู้สึกเย็นเฉียบส่งมา เกล็ดงูค่อย ๆ ลูบผ่านผิวหนังของนาง นางมิกล้าขยับแม้แต่นิด และควักยันต์สีเหลืองออกมาจากในอ้อมอก และเปิดผ้าห่มออกอย่างแรง งูตัวนั้นอ้าปากกว้างและตะครุบเข้ามาหานาง สายตาของลั่วชิงยวนเย็นยะเยือก นางยกมือไปจับโดยมิมีความเกรงกลัวแม้แต่นิด นางจับงูไว้อย่างเด็ดขาด และแปะยันต์ลงไป ควันดำกระจายตัวออกกลางอากาศ งูตัวนั้นขัดขืนพักหนึ่ง จากนั้นบ
ลั่วชิงยวนกำลังเดินเล่น เพื่ออยากหาโอกาสเจอซ่งเชียนฉู่ ซ่งเชียนฉู่มิออกมา แต่กลับมีผู้คนมากมายปรากฏในสายตาของนางแทน การแต่งตัวที่เหมือนชาวบ้าน ในมือถือจอบและเสียมที่เอาไว้ทำนา ท่าทีของพวกเขาดุดัน จือเฉาได้ยินเสียง จึงรีบวิ่งออกมาดู นางตะลึงในทันที “เหตุใดจู่ ๆ ชาวบ้านเหล่านี้จึงมาเล่า? ดูแล้วเหมือนจะมาหาเรื่องเลยเจ้าค่ะ” จือเฉาพูดอย่างกังวล ลั่วชิงยวนขมวดคิ้ว “น่าจะเพราะรู้ว่าซ่งเชียนฉู่ซ่อนตัวอยู่ที่นี่” มิฉะนั้นคงมิมากันกลุ่มใหญ่เช่นนี้ ในมือของทุกคนยังถืออาวุธเอาไว้ ชาวบ้านทุกเพศทุกวัยต่างมากันหมด ผู้คนมหาศาลเป็นร้อยคน ปรากฏอยู่ตรงเบื้องหน้าของลั่วชิงยวน “ซ่งเชียนฉู่! ไสหัวมา!” “เจ้าริอ่านหลบหนีจนทำเทวาภูผาพิโรธ หากปีนี้หมู่บ้านของเราเจอภัยใด ๆ นั่นเป็นเพราะเจ้าทั้งนั้น!” ชาวบ้านหลายคนตะโกนขึ้น ชายหนุ่มที่อยู่ตรงกลางดูแล้วค่อนข้างมีอำนาจ เขามองไปทางลั่วชิงยวน น้ำเสียงขุ่นเคืองเล็กน้อย “แม่นางท่านนี้ ท่านเป็นคนซ่อนตัวซ่งเชียนฉู่งั้นหรือ? ท่านรู้หรือไม่ การกระทำเช่นนี้ของท่านจะเดือดร้อนพวกเราทั้งหมู่บ้าน!” ลั่วชิงยวนกล่าวอย่างสงบนิ่ง “ซ่งเชียนฉู่กระไรกัน ข้ามิร
ให้นางเข้าป่าไปเจอท่านนั้นก่อน ในตอนที่ซ่งเชียนฉู่กำลังจะไปกับชาวบ้าน ลั่วชิงยวนกลับรั้งนางไว้ และเอ่ยเสียงเย็น “ข้าไปแทนเอง!” ทันทีที่สิ้นประโยคนี้ ใบหน้าทุกคนต่างเต็มไปด้วยความตะลึง ซ่งเชียนฉู่มองนางอย่างไม่น่าเชื่อ “ว่ากระไรนะ? ท่านบ้าไปแล้วหรือ?” ลั่วชิงยวนลากซ่งเชียนฉู่ให้ถอยหลัง นางหันหน้าไปทางชาวบ้าน “ข้ามิมีทางส่งซ่งเชียนฉู่ให้พวกเจ้าแน่!” มีชาวบ้านพูดยุยง “เหตุใดนางผู้นี้จึงตั้งใจต่อกรกับพวกเรา เช่นนั้นเราจับเจ้าไปสังเวยเทวาภูผา!” ฝูงชนกรูกันขึ้นไป จับไหล่และแขนของลั่วชิงยวนเอาไว้ทันที พวกเขากดนางเอาไว้อย่างแน่น จนนางขยับตัวมิได้ จือเฉาตะครุบขึ้นมาด้วยจิตใจที่ร้อนรนเป็นฟืนเป็นไฟ “พวกเจ้ารู้หรือไม่ว่านางคือใคร? ปล่อย!” ลั่วชิงยวนกลับมองไปทางจือเฉา ส่ายหัว และส่งสายตาวางใจให้นาง จือเฉาชะงัก พระชายาเป็นฝ่ายอยากไปเองงั้นหรือ? หรือพระชายามีแผนอย่างอื่นกัน? จือเฉาสติหลุดเพียงครู่หนึ่ง ก็ถูกชาวบ้านผลักจนล้มลงพื้นอย่างแรงทันที เหล่าชาวบ้านจับตัวลั่วชิงยวนไป ซ่งเชียนฉู่อยากจะกีดกันแต่สวี่ชิงหลินห้ามไว้ “นางผู้นี้ประสงค์ร้าย ใครจะรู้ว่านางเล่นเล่ห์กระไรอยู่
ผ่านผืนป่าทมิฬ ที่ถูกแนวผาด้านหน้าปกคลุมเป็นเงามืด เมื่อมาถึง ที่นี่มีลมหนาวพัดโบก ทำให้คนรู้สึกเสียวสันหลังทุกครั้งที่โดนลม ชายหนุ่มหลายคนต่างเหงื่อเย็นไหลซิบ พวกเขารีบยกเกี้ยวไปไว้หน้าถ้ำ และหนีไปอย่างร้อนรน ลั่วชิงยวนมองดูปากถ้ำที่มืดสนิท มีงูอาศัยที่นี่ นางแกะเชือกที่ข้อมือออกนานแล้ว รอบด้านดังขึ้นเป็นเสียงฟ่อ ๆ ฝูงงูปรากฏ และแลบลิ้นออกมาเพื่อตรวจหากลิ่นของสิ่งมีชีวิตต่างเผ่า ลั่วชิงยวนกำผงไล่งูขึ้นมาสาดอย่างสงบ ฝูงงูที่เตรียมจะเข้าใกล้กระจายตัวออก ภายในถ้ำนั้นลึกมาก หลังเดินผ่านอุโมงค์มืดมิด สิ่งตรงหน้าดูเริงร่าขึ้นมา มันเป็นพื้นที่โล่งเตียนอันกว้างขวาง บนผาหินเต็มไปด้วยเถาวัลย์ และยังมีเสียงของน้ำตกส่งมา ในขณะที่นางกำลังอยากเดินไปทางเสียงน้ำตก จู่ ๆ กลับมีลมหนาวพัดมา เสียงน้ำดังฉ่า หยดกระเด็นลงบนร่างของลั่วชิงยวน นางยกมือบดบัง วินาทีต่อมา เสียงน้ำหายไปจนสิ้น แต่เมื่อหันหน้าอีกที งูตัวหนึ่งกำลังอ้าปากกว้างและกระโจนเข้ามาหานาง “ราชันอสรพิษ มีอะไรคุยกันดี ๆ ก่อน!” ลั่วชิงยวนหยิบเข็มทิศออกมาอย่างรวดเร็ว เพื่อบดบังการลอบโจมตีของอีกฝ่าย ทันทีเข็มทิศถูกเอาออกมา แ
เป็นทาสใบ้นั่นเอง! ทาสใบ้อยู่ข้าง ๆ ลั่วเยวี่ยอิง! ลั่วชิงยวนสัมผัสได้ถึงโทสะที่พลุ่งขึ้นอีกระลอกหนึ่ง มิน่าชาวบ้านสองคนที่แบกเกี้ยวถึงได้บอกว่าพวกเขาก็แค่รับเงินมาจากหัวหน้าหมู่บ้าน ที่แท้พวกเขาก็รับเงินที่ลั่วเยวี่ยอิงให้มา! การที่ทาสใบ้ตามเข้าไปในถ้ำบนภูเขาน่าจะเป็นเพราะอยากรู้ว่านางตายไปแล้วหรือไม่ เพื่อจะได้กลับไปรายงานให้ลั่วเยวี่ยอิงทราบ หลังจากค้นหาอยู่ในถ้ำได้สักพัก เมื่อทาสใบ้ไม่พบใครก็รีบจากไป นางไม่มีผงไล่งู มันเป็นผงไล่งูที่ลั่วชิงยวนเคยใช้ตอนที่เข้ามาเพื่อไล่งู ดังนั้นนางจึงไม่กล้าอยู่ให้นานเกินไปนัก หลังจากทาสใบ้จากไปแล้ว ลั่วชิงยวนก็โผล่ออกมาจากหลังเถาวัลย์แล้วเดินมาจนถึงน้ำตก นางไม่กล้าเข้าใกล้มากเท่าไหร่นัก ทั้ง ๆ ที่นางแทบไม่เห็นว่าข้างล่างมีสระน้ำลึกขนาดใหญ่มากอยู่ แค่เข้าใกล้ก็รู้สึกกลัวแล้ว นางรู้สึกกายาสั่นสะท้านแล้วรีบก้าวถอยหลังไป ไม่นานก็มีงูยักษ์โผล่ออกมาแล้วส่งเสียงแหบพร่าขึ้นมาว่า "มอบตัวซ่งเชียนฉู่มาให้ข้า" ลั่วชิงยวนขมวดคิ้ว "เพราะเหตุใดกัน? เมื่อสักครู่นี้เจ้าว่าซ่งเชียนฉู่เป็นกระไร?" แต่คำพูดต่อมาของงูยักษ์กลับทำให้นางต้องตื่นตะลึง
ลั่วชิงยวนรู้สึกประหลาดใจ "บัวมรกตเหมันต์" นี่คือพิษประหลาดที่ยากจะพบในใต้หล้าซึ่งบันทึกอยู่ในตำราโบราณเท่านั้น นางไม่เคยเห็นบัวมรกตเหมันต์ของจริงมาก่อนเลย "แลกเปลี่ยนกับการที่เจ้ากำจัดสวี่ชิงหลินกับคนของมันเพื่อให้แน่ใจได้ว่าซ่งเชียนฉู่จะปลอดภัย จากนั้นก็มอบตัวนางให้ข้าโดยไร้ซึ่งรอยขีดข่วน" ช่างใจคอกว้างขวางนัก! ลั่วชิงยวนรู้สึกแปลกใจนัก พิษจากกลีบดอกเหล่านี้เพียงพอให้จัดการกับสวี่ชิงหลินและคนของมันได้แล้ว! "ได้เลย ตกลงตามนั้น!" ของล้ำค่าเช่นนั้น ยิ่งมีมากเท่าไหร่ก็ยิ่งดี ลั่วชิงยวนห่อบัวมรกตเหมันต์เอาไว้ในผ้าเช็ดมือแล้วออกไปจากถ้ำ ตามที่บันทึกเอาไว้ในตำราโบราณ บัวมรกตเหมันต์จะเบ่งบานเพียงครั้งเดียว เมื่อดอกบานและสร้างฝักบัวขึ้นมาแล้ว เม็ดบัวที่อยู่ข้างในนั้นก็จะเป็นโอสถหายากในใต้หล้า ต่อให้เป็นผู้ที่มีชีวิตแขวนอยู่บนเส้นด้ายก็สามารถเอากลับมาจากประตูนรกได้ ดูเหมือนว่าบัวมรกตเหมันต์ดอกนี้จะสร้างฝักบัวในช่วงคิมหันตฤดู ทว่าตอนนี้กลับถูกเด็ดออกมาเสียก่อน แต่การที่ได้รับบัวมรกตเหมันต์มาก็นับว่าโชคดีมากแล้ว! คนเราไม่ควรละโมบเกินไป ลั่วชิงยวนเดินลงมาจากเขาที่แวดล้อม
ทันทีที่คำกล่าวเหล่านี้หลุดออกมาร่างกายของฟู่เฉินหวนก็แข็งทื่อดวงตาของฉินอี้เต็มไปด้วยความคาดหวังอันร้อนแรงตั้งแต่เล็กจนโต แม้เขาจะเป็นองค์ชาย แต่ก็มีเพียงมิกี่คนที่ให้ความเคารพเขาแม้กระทั่งน้องสาวของเขาเองก็มักจะลงมือทำร้ายเขาบ่อย ๆ โดยมิไว้หน้ากันเลยแม้แต่น้อยส่วนคนที่อยู่ตรงหน้าเขาคืออ๋องผู้เป็นเทพสงครามเทพแห่งแคว้นเทียนเชวียและผู้สำเร็จราชการผู้ยิ่งใหญ่ในใต้หล้าเขาจึงตั้งตารอที่จะได้เห็นฟู่เฉินหวนคุกเข่าด้วยความเคารพฟู่เฉินหวนกำหมัดแน่นซ้ำแล้วซ้ำเล่าที่จริงเขาสามารถเจรจากับฉินอี้ได้ และมีเงื่อนไขต่าง ๆ มากมายที่เขาสามารถพูดคุยกับอีกฝ่ายได้ทว่าการเจรจาต้องอาศัยยุทธวิธีและที่สำคัญกว่านั้นคือ ต้องมีจิตใจที่สงบมั่นคงแต่ในเวลานี้ ฟู่เฉินหวนมิสามารถทำเช่นนั้นได้เขาแทบจะรอมิไหวแล้วดวงตาของเขาขรึมลง พลางยกเสื้อคลุมขึ้นและคุกเข่าลงเสียงดังตึงเมื่อเข่ากระทบพื้นนั้นเจือไปด้วยความอึดอัดกลัดกลุ้ม แต่เป็นเสียงที่ฉินอี้ฟังแล้วรู้สึกสบายหูเป็นอย่างยิ่งมิอาจปฏิเสธได้ว่าตอนนี้เขาพอใจอย่างถึงที่สุดนี่เป็นความรู้สึกที่เขาพยายามเสาะหามาตลอดหลายปีแต่ก็มิเคยได้มันมาโดยเฉพา
ในห้องขังอันเงียบงัน เสียงเฆี่ยนตีดังชัดเจนจนเหมือนได้ยินเสียงผิวหนังฉีกออกเป็นชิ้น ๆทำเอาคนที่ได้ยินรู้สึกใจสั่นที่มุมตรงทางเดิน บุรุษสวมหน้ากากที่อยู่ข้างหลังฉินอี้กำหมัดแน่นในทันทีฝ่ามือถูกจิกจนเกือบจะเลือดออกฟู่เฉินหวนที่ได้ยินเสียงนั้นก็รู้สึกเป็นห่วงและอดมิได้ที่จะพุ่งไปหาแต่ฉินอี้คว้าข้อมือของเขาเอาไว้“เฉินชีจะมาช่วยนางเอง”“หากตอนนี้เจ้าถูกจับได้ก็ช่วยนางออกไปมิได้ แล้วพวกเจ้าก็จะต้องตายอยู่ที่นี่”“ด้วยตัวตนของเจ้า มีแต่จะต้องเผชิญกับจุดจบที่น่าอนาถยิ่งกว่าเดิม”ฟู่เฉินหวนกำหมัดแน่น เขาก้าวถอยหลังมาหนึ่งก้าวและอดทนต่อไปฝ่ามือของเขาเหงื่อออกเมื่อได้ยินเสียงเฆี่ยนตีอย่างต่อเนื่องแต่ไม่มีเสียงร้องของความเจ็บปวด ก็สามารถบอกได้ว่า ลั่วชิงยวนกำลังทุกข์ทรมานกับความเจ็บปวดมากเพียงใดนั่นทำให้ฟู่เฉินหวนรู้สึกปวดใจเป็นอย่างมากทว่าเขาทำได้เพียงเฝ้ามองจากที่ไกล ๆ มิสามารถเข้าไปใกล้หรือช่วยนางได้เสียงแส้ดังขึ้นอย่างมิหยุดหย่อน และเสียงแส้ในแต่ละครั้งนั้นดูเหมือนจะฟาดลงไปที่หัวใจของฟู่เฉินหวนจนเลือดสด ๆ ไหลออกมาเป็นทางเวลาเหมือนจะผ่านไปอย่างเชื่องช้า และเสียงแส้น
ภายในห้องบรรทมอันโอ่อ่าฉินอี้เดินมาที่ข้างเตียงด้วยร่างกายที่เต็มไปด้วยบาดแผลยามนี้เกาเหมียวเหมี่ยวได้ทำแผลและกินโอสถเรียบร้อยแล้ว แต่ใบหน้าของนางยังคงซีดอยู่เล็กน้อยเมื่อเห็นฉินอี้เดินมาหาด้วยใบหน้าฟกช้ำและเปื้อนเลือด เกาเหมียวเหมี่ยวจึงมองเขาด้วยความมิอยากเชื่อ“ท่านแพ้ลั่วชิงยวนรึ?”ฉินอี้ขมวดคิ้วเป็นปม พลางมองบาดแผลของเกาเหมียวเหมี่ยวด้วยความกังวลและพูดว่า “เหมียวเหมี่ยว บาดแผลเจ้าสาหัสมาก ช่วงสองวันนี้เจ้าควรพักผ่อนให้ดีก่อน อย่าเพิ่งเดินไปไหนมาไหนเลย”ทว่าเกาเหมียวเหมี่ยวกลับมิได้สนใจในความห่วงใยของฉินอี้นางจ้องมองฉินอี้ด้วยความโมโหแล้วยกฝ่ามือฟาดไปหนึ่งฉาดฉินอี้มิประหลาดใจแม้แต่น้อย แต่กลับมองเกาเหมียวเหมี่ยวด้วยสีหน้าจริงจังและเป็นห่วง“เหมียวเหมี่ยว...”เกาเหมียวเหมี่ยวโมโหมากจนเอามือฟาดเขาสองครั้งติดต่อกันและแสดงความเกรี้ยวกราดออกมา “ขยะไร้ค่า! ขยะไร้ค่า!”“ท่านเป็นถึงองค์ชายผู้สูงส่ง แต่กลับถูกลั่วชิงยวนจัดการจนมีสภาพเช่นนี้ อับอายจนมิรู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ใด!”เกาเหมียวเหมี่ยวโกรธจนแทบอยากจะฉีกลั่วชิงยวนเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยดวงตาของฉินอี้หรี่ลง แต่กลับมิได
แต่ขณะที่ทั้งสองคนกำลังต่อสู้กันอย่างสูสีวิชาฝ่ามือที่จู่โจมเข้ามาอย่างฉับพลันของลั่วชิงยวนทำให้ฉินอี้มิทันตั้งตัว เขาถูกรัวหมัดใส่อย่างต่อเนื่องจนลอยกระเด็นออกไป และกระอักเลือดออกมาการต่อสู้สิ้นจบลงในพริบตาเดียวหลายคนที่อยู่รอบด้านล้วนเห็นมิชัด“เมื่อครู่เกิดกระไรขึ้น?”“ต่อสู้กันอยู่มิใช่หรือ? เหตุใดจู่ ๆ ฉินอี้ถึงแพ้ได้เล่า?”ลั่วชิงยวนมองฉินอี้ด้วยสายตาเย็นชา “ดูเหมือนวรยุทธ์ขององค์ชายใหญ่จะเป็นอย่างที่คนเขาลือกันนะเพคะ”เทียบกับคนทั่วไปแล้ว วรยุทธ์ของฉินอี้ก็ถือว่ามิได้อ่อนด้อยเลยแต่สำหรับคนที่เป็นถึงองค์ชายนั้นช่างดูอ่อนแอนักเมื่อครู่ที่ลั่วชิงยวนลองทดสอบ ดูเหมือนว่าเขายังคงมีทักษะวรยุทธ์แบบเดียวกับที่เคยเรียนมาเมื่อก่อน และมิได้มีความก้าวหน้ามากนักเป็นเช่นนี้ได้อย่างไรหากฉินอี้เพียรพยายามมากกว่านี้ ผลลัพธ์ก็คงมิเป็นเช่นนี้ฉินอีจ้องนางด้วยโทสะ ดูเหมือนจะเจ็บใจที่วรยุทธ์ของตนอ่อนด้อยเกินไป ทำให้เสียงวิพากษ์วิจารณ์รอบข้างยิ่งบาดหูมากขึ้นไปอีกเขากัดฟันพลางกำหมัดแน่น และพุ่งเข้าหาลั่วชิงยวนอย่างดุร้ายเขามิยอมพ่ายแพ้เช่นนี้หรอกแต่เขากลับมิสามารถเอาชนะลั่วชิงย
ลั่วชิงยวนตกตะลึง อารมณ์ความรู้สึกของนางดำดิ่งเป็นไปตามที่นางคาดเดาเอาไว้ว่ามิเหลือแม้แต่ศพอย่างนั้นหรือ?“มิพบศพด้วยซ้ำ” อวี๋โหรวกล่าวเสียงขรึมดวงตาของลั่วชิงยวนหม่นลง ดูเหมือนว่าร่างนั้นจะถูกกำจัดไปแล้วจริง ๆ ส่วนจะกำจัดอย่างไรและทิ้งไว้ที่ไหน บางทีอาจมีเพียงฆาตกรเท่านั้นที่รู้“น่าเสียดายจริง ๆ” ลั่วชิงยวนทอดถอนใจด้วยความเสียดายอวี๋โหรวจ้องนางด้วยสายตาจริงจังและพูดอย่างหนักแน่น “มิน่าเสียดายหรอก ข้าเชื่อว่าเจ้าจะกลายเป็นนางคนต่อไป!”ทันใดนั้น สายตาที่จริงจังของอวี๋โหรวก็ทำให้ลั่วชิงยวนรู้สึกเย็นวาบไปถึงสันหลังและยังสงสัยด้วยว่าอวี๋โหรวจะสังเกตเห็นอะไรบางอย่างหรือไม่ทว่าแม้แต่ศิษย์น้องหญิงก็จำนางมิได้ อีกทั้งอวี๋โหรวก็มิได้สนิทสนมกับนาง แล้วจะจำนางได้อย่างไรลั่วชิงยวนยิ้มและกล่าวว่า “ข้าจะถือว่านั่นคือคำปลอบใจก็แล้วกัน”อวี๋โหรวพูดอย่างจริงจัง “ข้ามิได้ปลอบใจเจ้า ข้าพูดจริง”หลังจากนั้น อวี๋โหรวก็ยิ้มอีกครั้งและพูดว่า “ทางข้ายังพอมียาอยู่บ้าง หากเจ้าต้องการอะไรก็บอกข้าได้เลย”ลั่วชิงยวนมิค่อยเข้าใจว่า เหตุใดอวี๋โหรวถึงทำดีกับนางนางมิค่อยรู้จักอวี๋โหรวมากนัก ในภาพจ
หรือเป็นเพราะเขาเชื่อมั่นในพลังความแข็งแกร่งของลั่วชิงยวน?แต่เมื่อมาครุ่นคิดดูตอนนี้ สตรีที่สามารถทำให้เซินฉีหลงใหลได้ถึงเพียงนี้คงไม่มีทางที่จะเป็นขยะไร้ค่าแม้จะมิได้แข็งแกร่งกว่าเฉินชี แต่ก็เป็นคนที่สามารถต่อกรกับเขาได้อย่างสูสีเพราะเช่นนี้เขาจึงมิแลเกาเหมียวเหมี่ยวเลยด้วยซ้ำ……เมื่อกลับมาถึงห้องลั่วชิงยวนก็นั่งลงพักผ่อนเฉินชีเดินตามเข้ามาและนั่งลงข้าง ๆ นาง พร้อมกับรินชาสองจอก“สมแล้วที่เป็นอาเหลา มีเพียงเจ้าเท่านั้นที่กล้าทำให้เกาเหมียวเหมี่ยวตกอยู่ในสภาพเช่นนั้น! ข้าชอบ!” มีแสงประกายเจิดจ้าส่องสว่างในดวงตาของเฉินชีสายตาของเขาดูเหมือนอยากจะกลืนกินลั่วชิงยวนเข้าไปทั้งตัวลั่วชิงยวนพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา “เกาเหมียวเหมี่ยวได้รับบาดเจ็บสาหัส ฝ่าบาทกับฮองเฮาคงมิยอมปล่อยข้าไปแน่ คงต้องให้เจ้าช่วยออกหน้าให้แล้ว”เฉินชียิ้มมุมปาก “วางใจได้ มีข้าอยู่ทั้งคน”ลั่วชิงยวนที่ยังกังวลอยู่เล็กน้อยกำชับด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “เฉินชี ครั้งนี้เจ้าจะยืนนิ่งดูดายอีกมิได้แล้ว เพราะหากข้าตาย แผนทั้งหมดของเจ้าก็จะสูญเปล่า”“ใต้หล้านี้ไม่มีลั่วเหลาคนที่สองหรอกนะ”เฉินชีพยักหน้าอย่างจริงจ
เลือดสด ๆ ยังคงไหลมิหยุด ไหลนองไปตามร่องลึกของลวดลายวงเวทบนพื้นดินคาดมิถึงว่ามันจะค่อย ๆ ทำให้อักษรเวทของวงเวทส่องแสงขึ้นจากนั้นหมอกสีเขียวจาง ๆ ก็กระจายฟุ้งอยู่รอบตัวลั่วชิงยวนสิ่งเหล่านั้นล้วนเป็นไอโอสถทั้งสิ้นหอรักษ์ดาราแห่งนี้ยังเป็นสถานที่ที่สามารถกลั่นไอโอสถจากเลือดได้ และไอโอสถเหล่านี้ก็สามารถรักษาร่างกายที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสได้ลั่วชิงยวนหลับตาและสูดลมหายใจด้วยความเพลิดเพลิน ทำให้ร่างกายที่ปวดร้าวของนางดูเหมือนจะผ่อนคลายลงนี่อาจจะเป็นความหมายของการมีอยู่ของแท่นประลองหอรักษ์ดาราแต่ไอโอสถนี้ก็จางลงอย่างรวดเร็วลั่วชิงยวนปล่อยเกาเหมียวเหมี่ยว นางยืนขึ้นพร้อมกับยืดเส้นยืดสาย และเดินลงจากแท่นประลองคนอื่นที่อยู่รอบ ๆ ต่างมองมาที่นางด้วยสายตาที่หวาดกลัวมากขึ้น และพวกเขาก็มิกล้าพูดจาดูถูกเหยียดหยามนางเหมือนก่อนหน้านี้อีกต่อไปแล้วลั่วชิงยวนกวาดตามองอย่างเรียบเฉย จากนั้นก็มองไปที่เฉินชีด้วยสายตาลึกซึ้งแล้วเดินจากไปเกาเหมียวเหมี่ยวที่ได้รับบาดเจ็บถูกปลดแส้ออกอย่างรวดเร็วและถูกช่วยลงจากแท่นประลอง นางกัดฟันแน่นพลางจ้องตามหลังลั่วชิงยวนที่กำลังเดินออกไปครู่ต่อมา นางก็เห
“โอ้สวรรค์ ข้าคงมิได้ตาลายใช่หรือไม่?”“นางไปเอาความกล้ามาจากที่ใดกัน!”ทุกคนในเมืองหลวงต่างรู้ดีว่าเกาเหมียวเหมี่ยวคือใครนางมิเพียงมีสถานะองค์หญิงที่สูงส่งเท่านั้น แต่ยังมีโอกาสที่จะได้สืบราชบัลลังก์ในภายภาคหน้าอีกด้วยเนื่องจากองค์ชายใหญ่มีความสามารถปานกลาง จึงมิเป็นที่โปรดปรานขององค์จักรพรรดิและฮองเฮา ทว่าองค์หญิงผู้นี้กลับแข็งแกร่งและไร้ความปรานี จึงได้รับความโปรดปรานจากพวกเขาไม่มีใครในเมืองหลวงกล้าขัดใจนางเว้นเสียแต่ เฉินชีเพราะนางชอบเขาทว่าแม้จะเป็นเฉินชี แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าคนอื่นเขาก็ให้เกียรตินางมากลั่วชิงยวนผู้นี้กล้ามากถึงขั้นเหยียบย่ำองค์หญิงต่อหน้าธารกำนัลมากมายเช่นนี้!เกาเหมียวเหมี่ยวพยายามดิ้นพร้อมกับก่นด่าไปด้วย “ลั่วชิงยวน ปล่อยข้าเดี๋ยวนี้! หากเจ้ามิปล่อยข้า ข้าจะทำให้เจ้าตายจนหาที่ฝังมิได้เลยคอยดู!”“ท่านนี่พูดมากนัก เงียบเสีย!”ลั่วชิงยวนมองนางด้วยสายตาเย็นชา พลางคว้าแส้แล้วดึงมันอย่างแรงทันใดนั้นแส้ที่คอของเกาเหมียวเหมี่ยวก็รัดแน่นขึ้นบังคับให้เกาเหมียวเหมี่ยวต้องเชิดหน้าขึ้นสูงแต่ยังคงถูกแส้รั้งไว้จนหน้าแดงนางหายใจมิออกจนเส้นเลือดแตกและตา
ลั่วชิงยวนถูกแส้ฟาดจนกระอักเลือด ทำให้อาภรณ์ชุดขาวของนางมีรอยเปื้อนสีแดงมีรอยแส้ที่น่าสะเทือนใจพาดอยู่บนหลังของนางเป็นเส้น ๆทุกคนที่อยู่รอบนอกต่างรู้สึกหวาดกลัวมีคนที่อดมิได้ที่จะกระซิบขึ้นว่า “มิยุติธรรมเลย คนหนึ่งมีอาวุธ แต่อีกคนไม่มี นี่มันจงใจแกล้งกันชัด ๆ มิใช่หรือ”“ชู่! พระนางเป็นองค์หญิง ถึงพระนางจะจงใจฆ่าลั่วชิงยวน แล้วใครจะพูดอะไรได้ ระวังไว้เถิด หากนางจับได้ เจ้าได้เดือดร้อนแน่”ทุกทิศมีแต่ความเงียบงันไม่มีใครกล้าพูดอะไรใครใช้ให้เกาเหมียวเหมี่ยวเป็นองค์หญิงเล่า?นางคือองค์หญิงที่ได้รับความโปรดปรานมาตั้งแต่ยังเล็กนางกลายเป็นคนเย่อหยิ่งบ้าอำนาจ และวิธีการของนางเลวทรามมิน้อยไปกว่าเฉินชีเลยทุกคนในที่นี้ล้วนไม่มีใครกล้าขัดทว่ามีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่สามารถช่วยลั่วชิงยวนได้ แต่คนผู้นั้นกลับนั่งนิ่งอยู่บนเก้าอี้ พลางมองลั่วชิงยวนที่ถูกฟาดบนพื้นจนร่างกายเต็มไปด้วยเลือดมีแสงประกายเจิดจ้าอยู่ในดวงตาของเขาและเจือไปด้วยความยินดีปรีดาลั่วชิงยวนกลิ้งไปบนพื้นและทันใดนั้นก็กระอักเลือดออกมาเต็มปากนางเงยหน้าขึ้นมาและเห็นสายตาที่แสดงถึงความตื่นเต้นดีใจของเฉินชี เขาม