ลมหนาวเสียดกระดูก กลุ่มคนชุดดำกำลังหลบหนีอยู่ในท้องถนนอันเงียบสงัด บุรุษผู้มีแผลเป็นกำลังวิ่งไปทั่ว เมื่อเห็นว่าตนถูกล้อมกระหนาบไว้จากทั้งสองด้าน เขาก็กระโดดขึ้นรถม้าแล้วพยายามที่จะปีนขึ้นหลังคาเพื่อหนีไป แต่ทันทีที่เขากระโดดขึ้นมาบนหลังคาเพื่อจะหนีไป จู่ ๆ ก็มีคนชุดดำปรากฏตัวขึ้นตรงหน้าเขา ก่อนที่บุรุษผู้มีแผลเป็นจะทันได้มองให้ชัด ๆ เขาก็โดนถีบเข้าที่หน้าอก เขาโดนถีบจนร่วงตกลงมาจากหลังคาทันที เขาหล่นลงมาที่พื้นอย่างแรงแล้วคนชุดดำก็เข้ามารุมเล่นงานเขา กระบี่เยียบเย็นกลับยิ่งเฉียบคมในสายลมหนาวแล้วกดลงมาที่ลำคอของเขา “กราบทูลท่านอ๋อง! จับตัวได้แล้วพ่ะย่ะค่ะ!" องครักษ์ชุดดำรายงานด้วยความเคารพนบนอบ ฟู่เฉินหวนยืนเอามือไพล่หลังอยู่บนหลังคาด้วยสายตาเฉียบขาดและเย็นชา "รีบเอาตัวมันไปไต่สวน" หลังจากไล่ตามไม่หยุดหย่อนมาหลายวัน ในที่สุดจับปลาไม่กี่ตัวที่หลุดลอดแหไปได้สักที คนพวกนี้คือไม่กี่คนที่สืบหาได้จากเงื่อนงำที่คนในหอชิงเฟิงเคยให้ไว้ คราวนี้พวกเขาจะต้องไต่สวนหาผู้บงการอยู่เบื้องหลังเหตุการณ์ได้แน่! …… เมื่อรถม้าในวังหลวงหยุดลงตรงหน้าตำหนักอ๋อง จิ่นชูก็ส่งนางแล้วกลับไป
…… เมื่อลั่วชิงยวนกลับมาที่เรือน นางก็ยังครุ่นคิดเรื่องคนที่ฟู่เฉินหวนจับตัวมาได้ เขาไม่ได้พักฟื้นอยู่ในห้องหรอกหรือ? เขาออกไปตั้งแต่เมื่อใดกัน? คนพวกนั้นที่ถูกจับตัวมาเป็นผู้ใดกัน? สายลมหนาวหอบหนึ่งปะทะใส่นางจนไอขึ้นมาทันที แม่นมเติ้งรีบช่วยพานางเข้าห้องไป "วันนี้อากาศหนาวมากทีเดียว ขอพระชายาโปรดเข้าไปข้างในแล้วรีบนอนลงเถิดเจ้าค่ะ" หลังจากนางพูดจบก็รีบสั่งจือเฉาให้เติมถ่านหินลงไปในกองไฟ ทั้ง ๆ ที่ห้องอบอุ่น แต่ลั่วชิงยวนกลับรู้สึกหนาวเหน็บไปทั้งจิตใจแล้วค่อยล้มตัวลงนอน กว่าจะหายป่วยต้องใช้เวลากี่วันกันนะ? ตอนที่นางไม่มีอะไรจะทำนางจะสั่งให้แม่นมเติ้งกักตุนเครื่องยาสมุนไพรส่วนที่เหลือ นางอยากจะรักษาโรคอ้วนและไม่อาจหยุดยาได้ เนื่องจากแม่นมเติ้งคำนวณดูแล้วพบว่ามีเหลือไม่มากนัก "พรุ่งนี้เจ้าเอาเงินไปซื้อเครื่องยาสมุนไพรเสียเถอะ" "เจ้าค่ะ" เมื่อนางนึกขึ้นได้ว่าทำเงินรางวัลหนึ่งพันตำลึงที่ได้จากแม่ทัพใหญ่ฉินสูญหายไปท่ามกลางความโกลาหล นางก็รู้สึกปวดใจมากเสียจนไม่อาจปล่อยให้เรื่องราวเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าได้ …… ในคุกแห่งหนึ่ง มีเสียงแผดร้องดังขึ้น ทว่าก็มาพร้
"ท่านอ๋อง ใต้เท้าเฝิงแห่งจวนผู้ว่าราชการมณฑลมาแล้วพ่ะย่ะค่ะ" เมื่อฟู่เฉินหวนได้ยินเช่นนี้เข้าก็หน้าเปลี่ยนสี ซูโหยวเองก็ขมวดคิ้ว "ใต้เท้าเฝิงมาที่นี่ด้วยเหตุใดกัน..." ฟู่เฉินหวนก้าวเท้าเดินออกไป จากนั้นก็เห็นใต้เท้าเฝิงอยู่หน้าห้องโถง ใต้เท้าเฝิงตลบแขนเสื้อแล้วเดินยิ้มเข้ามาหา "ท่านอ๋อง พักนี้เป็นอย่างไรบ้าง? อาการของท่านเป็นอย่างไรบ้างแล้วพ่ะย่ะค่ะ?" ฟู่เฉินหวนค่อย ๆ นั่งลงแล้วเอ่ยขึ้นด้วยท่าทีสงบนิ่ง "ใต้เท้าเฝิงมาถึงที่นี่คงไม่ใช่เพราะเป็นห่วงอาการของข้ากระมัง?" ใต้เท้าเฝิงยืนอยู่ตรงหน้าฟู่เฉินหวนด้วยสีหน้ายิ้มแย้มแล้วเอ่ยพลางยิ้ม "่ท่านอ๋อง กระหม่อมมิได้ปิดบังท่านเลย!" "กระหม่อมหาได้เอ่ยวาจาอ้อมค้อมแต่อย่างใดไม่ กระหม่อมมาคราวนี้เพราะท่านอ๋องจับคนไป" ฟู่เฉินหวนนั่งนิ่งด้วยสีหน้าเย็นชา ใต้เท้าเฝิงกล่าวต่อไปอีกว่า "คนในครอบครัวของพวกเขามาแจ้งกับทางการว่า พวกเขาโดนจับตัวไปโดยไร้เหตุผล" "อีกอย่าง... ก็มีข่าวจากวังหลวงว่าคดีฆาตกรรมของพระชายาปิดลงแล้ว ไม่อนุญาตให้มีการไต่สวนอีกต่อไป เพราะฉะนั้นขอท่านอ๋องได้โปรดปล่อยคนพวกนี้ไปด้วยพ่ะย่ะค่ะ" น้ำเสียงของใต้เท้าเฝิงออกจ
มีแววอำมหิตผุดขึ้นในดวงตาแดงฉานของลั่วเยวี่ยอิง ใช่! ถูกต้องแล้ว! ลั่วชิงยวนต่างหากที่เป็นตัวต้นเหตุ! ลั่วเยวี่ยอิงโกรธมากเสียจนเปิดตู้มีลิ้นชักใบเล็ก จากนั้นก็หยิบถุงหอมที่อยู่ในนั้นปาลงพื้นแล้วกระทืบลงไป ทำราวกับว่ามันคือลั่วชิงยวนแล้วระบายโทสะออกมา "ล้วนเป็นความผิดของลั่วชิงยวน! นังแพศยาผู้นี้!" เฉียงเวยเจตนาสุมไฟจึงเอ่ยขึ้นมาว่า "คงไม่มีใครเห็นคุณหนูรองอาละวาดที่นี่หรอกเจ้าค่ะ เช่นนั้นไฉนเลยไม่เหยียบมันต่อหน้าพระชายาเล่าเจ้าคะ?" เมื่อลั่วเยวี่ยอิงได้ยินเช่นนี้ นางก็พลันตื่นตกใจขึ้นมาทันที พอนึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นในงานฉลองไหว้พระจันทร์ในวังหลวง ตอนนั้นท่านอ๋องตั้งใจปกป้องนาง ลองดูอีกครั้งดีกว่า ถ้าหากท่านอ๋องเปลี่ยนท่าทีที่มีต่อนางแล้วจริง ๆ นางก็จะออกจากตำหนักอ๋อง! จากนั้นค่อยคิดหาแผนการอื่น! ดังนั้นลั่วเยวี่ยอิงจึงหยิบถุงหอมขึ้นมาแล้วไปหาลั่วชิงยวน …… ลั่วชิงยวนที่นอนหลับอยู่ ได้ยินเสียงดังขึ้นในเรือน "ท่านพี่ ข้ามาหาท่าน ท่านคิดว่าข้าจะหายหน้าหายตาไปจริง ๆ หรือ? คราวนี้น้องสาวเอาถุงหอมมาส่งให้ท่านเชียวนะ ท่านอยากได้หรือไม่เล่า?" ลั่วเยวี่ยอิงถูกแม่นมเ
เพียะ ความปวดแสบปวดร้อนทำให้ลั่วชิงยวนรู้สึกเวียนศีรษะ นางล้มลงกับพื้นพร้อมศีรษะที่ส่งเสียงอื้ออึง "พระชายา!" แม้แต่เสียงตะโกนของแม่นมเติ้งก็ดังไกลออกไป โทสะปะทุขึ้นในใจของลั่วชิงยวน นางมองบุรุษผู้นั้นด้วยสีหน้าหม่นคล้ำพร้อมดวงตาแดงฉาน ฟู่เฉินหวนรู้สึกฝ่ามือชาหนึบและในขณะนั้นก็รู้สึกตื่นตกใจอยู่บ้าง ไฉนเขาถึงได้หุนหันพลันแล่นเช่นนั้นเล่า? เมื่อเห็นแววตาโกรธแค้นของลั่วชิงยวน ฟู่เฉินหวนรีบเบือนหน้าหนีไป "ท่านอ๋อง… ฮือฮือฮือ..." เสียงร่ำไห้ของลั่วเยวี่ยอิงดังก้องโสตของฟู่เฉินหวน เส้นโลหิตตรงหน้าผากของฟู่เฉินหวนกระตุกพลางหน้าเปลี่ยนสี จากนั้นเขาก็เดินเข้าไปช่วยประคองลั่วเยวี่ยอิงให้ลุกขึ้นทันที "ท่านอ๋องเพคะ หม่อมฉันเพียงแค่ยกน้ำแกงโสมมาให้พี่สาว แต่ท่านพี่กลับคิดจะช่วงชิงข้าวของของหม่อมฉัน นี่เป็นสิ่งที่มารดาของหม่อมฉันหลงเหลือเอาไว้ให้นะเพคะ..." ลั่วเยวี่ยอิงปิดหน้าร้องไห้ด้วยความขมขื่นใจ เพราะรู้สึกเจ็บปวดเป็นอย่างยิ่ง. . ท่าทางแบบนั้นทำให้ฟู่เฉินหวนรู้สึกร้อนใจอย่างบอกไม่ถูก จากนั้นเขาก็อดมิได้ที่จะเอื้อมมือไปเช็ดน้ำตาบนใบหน้าของนาง การเคลื่อนไหวอันแสนอ่อนโยนเช่
"อยู่ก็เป็นคนของตำหนักอ๋อง ตายก็เป็นผีของตำหนักอ๋อง" "เพียงแต่ว่านับแต่บัดนี้เป็นต้นไป เจ้าจะไม่มีฐานันดรศักดิ์เป็นพระชายาอ๋องอีกต่อไปแล้ว มิหนำซ้ำเจ้ายังไม่ต่างอันใดจากบ่าวไพร่ในตำหนักแห่งนี้" เมื่อลั่วเยวี่ยอิงได้ยินเช่นนี้ นางก็รู้สึกทั้งยินดีและประหลาดใจ ดียิ่งนัก! ในที่สุดวันที่นางรอคอยก็มาถึงเสียที! ลั่วชิงยวนกำหมัดแน่น แววตาเต็มเปี่ยมไปด้วยโทสะและ หลังจากผ่านพ้นเรื่องราวมาตั้งมากมาย ก็ราวกับว่านางหวนคืนสู่จุดเริ่มต้นอีกครั้ง กลับคืนสู่สถานะแรกเริ่มอันต่ำต้อยราวกับเดรัจฉานตัวหนึ่ง บุรุษผู้นี้ช่างโหดเหี้ยมจริง ๆ เขาทำกับนางราวกับข้าทาสและไม่ยอมปล่อยให้นางเป็นอิสระ! แม่นมเติ้งคุกเข่าลงกับพื้นเป็นคนแรกพลางกล่าวว่า "ท่านอ๋องเพคะ เรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้เห็นได้ชัดว่าเป็นเพราะคุณหนูรองมาหาเรื่อง หาได้เกี่ยวข้องอันใดกับพระชายาแต่อย่างใดไม่เพคะ" ฟู่เฉินหวนเหลือบมองแม่นมเติ้งด้วยสายตาเย็นชา "ถ้าเจ้าไม่อยากเป็นแม่บ้าน ก็ยังมีคนอีกมากมายที่ยินดีจะทำ" "ท่านอ๋อง..." แม่นมเติ้งคิดจะไปกับลั่วชิงยวน แต่ลั่วชิงยวนกลับกดหัวไหล่ของแม่นมเติ้งเอาไว้ได้ทันเวลา "ไม่จำเป็นต้องไป
วันที่นางออกจากตำหนักอ๋อง สายลมกระโชกแรงยิ่งนัก ลั่วชิงยวนยืนอยู่นอกประตูจวนสักพักหนึ่งจนผมเผ้ายุ่งเป็นกระเซิง มีนางรับใช้ท่าทางน่าสงสารเพียงคนเดียวคอยอยู่เคียงข้าง ทว่ายามนี้กลับมีเงาร่างสายหนึ่งกำลังวิ่งออกมาจากเรือนด้วยท่าทีร้อนใจ "ชิงยวน!" ฟู่อวิ๋นโจวที่มีสีหน้าซีดขาววิ่งออกมาด้วยความเป็นห่วงกังวล ร่างแบบบางของเขาราวกับจะปลิวหายไปกับสายลมได้อยู่แล้ว แต่เมื่อฟู่อวิ๋นโจววิ่งมาที่ประตู กลับถูกคนรับใช้ของตนขวางเอาไว้ "องค์ชายห้า ข้างนอกลมแรง อย่าออกไปจะดีกว่าพ่ะย่ะค่ะ" "ปล่อยข้า!" ฟู่อวิ๋นโจวดิ้นรนอยู่สักพัก แต่ก็สลัดไม่หลุดสักที คนรับใช้จับแขนของเขาไว้เพื่อกันมิให้เข้าก้าวไปข้างหน้า "ชิงยวน… แค่ก แค่ก แค่ก แค่ก..." เมื่อเห็นสีหน้าเป็นกังวลของฟู่อวิ๋นโจวแดงก่ำจนกระอักกระไอ ลั่วชิงยวนก็อดมิได้ที่จะขมวดคิ้วหมายจะพูดอะไรสักอย่าง แต่ประตูก็ค่อย ๆ ปิดลง เหตุการณ์ฉากนี้ดูราวกับละครฉากที่กำลังพรากจากกันเสียจริง ๆ เมื่อเห็นฟู่อวิ๋นโจวถูกสกัดเอาไว้ในตำหนักลั่วชิงยวนก็รู้สึกจนใจที่ไม่อาจเอ่ยสิ่งที่นางอยากพูดออกมาได้ ยามที่ประตูปิดสนิท ก็ได้ยินแค่น้ำเสียงเป็นกังวลของฟู่อ
“เรือนนี้ไม่มีคนอาศัยมานานเสียเท่าไรกัน สกปรกเหลือเกิน พระชายา ท่านมานั่งในเรือนครู่หนึ่ง บ่าวทำความสะอาดห้องเสียก่อน!” จือเฉาพูดไปพร้อมวางของลง และถือไม้กวาดเดินเข้าไปทำความสะอาดห้อง ลั่วชิงยวนนั่งบนเก้าอี้หินในสวนมองจือเฉาที่วิ่งเข้าออกยุ่งเหยิง ที่ที่จือเฉามิเคยเหยียบย่ำ บนพื้นก็มีรอยเท้าลึกตื้นอยู่เช่นกัน ลั่วชิงยวนหรี่ตาลง หยิบเข็มทิศขึ้นมาวางบนโต๊ะ เมื่อลมหนาวพัดผ่าน เข็มทิศจึงหมุนวนช้า ๆ จือเฉาทำความสะอาดจนฟ้ามืด และทำความสะอาดไปได้กว่าครึ่งเรือน ลั่วชิงยวนจึงเดินเข้าห้อง จุดเทียน และจัดเตียง จือเฉายกอาหารที่ทำง่าย ๆ อย่างโจ๊กเข้ามา นายบ่าวทานอาหารรองท้อง เมื่อวางช้อนลง ลั่วชิงยวนกล่าว “วันนี้เจ้านอนในห้องข้าเถอะ ที่นี่ไม่มีไฟถ่าน กลางคืนจะหนาวเอาได้” “เจ้าค่ะ” จือเฉาพยักหน้า นางเองก็กลัวเรือนใหญ่ที่แสนอ้างว้างนี่เช่นกัน หลังทานข้าวเย็นเสร็จ ลั่วชิงยวนจึงพูดสั่งงานในวันพรุ่งนี้ให้กับจือเฉา พรุ่งนี้นางจะขึ้นเขาไปหาเสบียง และขุดหายาสมุนไพร จึงให้จือเฉาไปซื้อถ่าน แป้งและข้าวสารที่หมู่บ้านใกล้ ๆ ฤดูเหมันต์ฟ้ามืดค่อนข้างเร็ว หนำซ้ำอากาศก็เย็น ทั้งคู่จึงเข้าน
เหตุใดแคว้นหลีจึงส่งกองทัพมากะทันหันฟู่อวิ๋นโจวเอ่ยถาม “ท่านมหาปราชญ์ ท่านเชี่ยวชาญด้านนี้ พอจะทำนายผลลัพธ์ได้หรือไม่?”“ควรจะรับมืออย่างไร”ขุนนางทั้งหลายต่างมองไปที่ลั่วฉิง ลั่วฉิงไม่มีทางเลือก จึงได้แต่กัดฟันกล่าวว่า “เรื่องนี้... ทำนายได้ แต่หม่อมฉันต้องการเวลาเพคะ”ฟู่อวิ๋นโจวมีสีหน้ากังวล และถามว่า “ท่านมหาปราชญ์ต้องการเวลานานเพียงใด?”ลั่วฉิงลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จึงกล่าวว่า “สามวันเพคะ!”สิ้นคำพูดของนาง หลายคนก็แสดงความมิพอใจ“สามวันหรือ? ซีหลิงอยู่ห่างจากเมืองหลวงราวพันลี้ สามวันกว่าจะบอกผลลัพธ์ จะทันการณ์ได้อย่างไร”“ก่อนหน้านี้พระชายาอ๋องผู้สำเร็จราชการก็มิได้ใช้เวลานานถึงเพียงนั้น”“ใช่ ท่านมหาปราชญ์คงจะมิค่อยมีความสามารถมากถึงเพียงนั้นกระมัง”คำพูดนี้ทำให้ลั่วฉิงหน้าซีดเผือด“สองวัน อย่างเร็วที่สุดก็ต้องสองวัน!” ลั่วฉิงกัดฟันกล่าวในตอนนี้ ฟู่เฉินหวนกล่าวอย่างใจเย็น “แคว้นหลีส่งกองทัพมาโดยมิทราบสาเหตุ ข้าคิดว่าตอนนี้ควรส่งคนไปเจรจากับแคว้นหลีโดยด่วน”“ระหว่างนั้นก็ส่งกองกำลังไปเสริมอย่างลับ ๆ ด้วย อย่าได้พึ่งพาแต่ผลการทำนายของท่านมหาปราชญ์”“หากผลลัพธ์ออกมาแล้ว
เมื่อเฉินชีได้ยินดังนั้นก็หยุดชะงักแล้วยกยิ้มมุมปาก เดินมาที่หน้าต่าง พิงกำแพงพลางกอดอก “เจ้าจะให้ข้าช่วยเจ้าในฐานะที่เจ้าเป็นใคร?”ลั่วชิงยวนมองเขาด้วยสายตาเย็นชา “นักบวชระดับสูง”ดวงตาของเฉินชีลุกโชนด้วยประกายร้อนแรง “อาเหลา ในที่สุดเจ้าก็ตัดสินใจจะไปกับข้าแล้วหรือ?”ลั่วชิงยวนมองเขาด้วยสายตาเย็นชาและเย่อหยิ่ง “กลับแคว้นหลีก็ได้ ข้าบอกแล้วว่าให้เจ้าช่วยข้าเรื่องหนึ่ง”“แคว้นหลีจะมีนักบวชระดับสูงได้เพียงผู้เดียวเท่านั้น”เฉินชียกยิ้มมุมปากแล้วหัวเราะอย่างเจ้าเล่ห์ ก่อนจะคุกเข่าลงข้างหนึ่งอย่างนอบน้อม “อย่าว่าแต่เรื่องเดียวเลย สิบเรื่อง ร้อยเรื่อง เฉินชีก็ยินดีทำเพื่อนักบวชระดับสูงทั้งสิ้น!”ลั่วชิงยวนหรี่ตามองเขาด้วยแววตาที่ลึกล้ำถึงแม้เฉินชีจะบ้าแต่ก็มิใช้คนโง่เขลา เขาทำอะไรตามอำเภอใจแต่ก็คงมิยอมสยบต่อนางง่าย ๆ เช่นนี้การเปลี่ยนท่าทีเช่นนี้ทำให้นางมิค่อยเชื่อถือ“เจ้าฟังเรื่องที่ข้าจะให้เจ้าทำก่อนค่อยตอบรับก็ยังมิสาย”เฉินชีลุกขึ้นมองนางด้วยแววตาเป็นประกาย “ท่านนักบวชต้องการให้ข้าทำสิ่งใด?”“ข้าต้องการให้เจ้ายกทัพไปตีซีหลิง”“แต่ห้ามสู้รบกันจริง ๆ ห้ามทำร้ายราษฎร”เฉ
ใจของลั่วชิงยวนร้อนรุ่มดั่งไฟสุม นางพยายามดิ้นรนสุดแรง “ปล่อยข้านะ!”“ฟู่เฉินหวน ท่านช่างไร้หัวใจอะไรเยี่ยงนี้!”ทว่าฟู่เฉินหวนยังคงมีสีหน้าเรียบเฉย มิสะทกสะท้านแม้แต่น้อยเมื่อเห็นแม่นมเติ้งใกล้จะทนมิไหวแล้ว น้ำตาลั่วชิงยวนก็เอ่อคลอ“หม่อมฉันจะมิออกจากเรือนแล้ว หม่อมฉันจะมิออกจากห้องแล้ว ได้หรือไม่!”นางมองฟู่เฉินหวนด้วยดวงตาแดงก่ำ พยายามวิงวอนขอร้องในที่สุดนางก็ยอมก้มหน้าลง“ขอท่านไว้ชีวิตนางด้วยเถิดเพคะ!” ลั่วชิงยวนคุกเข่าลงอย่างอ่อนแรงแววตาฟู่เฉินหวนมืดมนเดิมทีลั่วชิงยวนคิดว่าเมื่อนางขอร้องแล้ว ฟู่เฉินหวนคงจะไว้ชีวิตแม่นมเติ้งแต่ฟู่เฉินหวนกลับมีแววตาเย็นชา “นางเป็นบ่าวของตำหนัก มิใช่บ่าวของเจ้า นางขัดคำสั่งข้า สำหรับข้าแล้ว ไม่มีคำว่ายกโทษ”น้ำเสียงเย็นเยียบของเขาเป็นดั่งหนามแหลมทิ่มแทงหัวใจของลั่วชิงยวนลั่วชิงยวนตกตะลึงนางโกรธจนตะโกนลั่น “ฟู่เฉินหวน!”ฟู่เฉินหวนขมวดคิ้ว นัยน์ตาฉายแววหงุดหงิดขณะกล่าวเสียงเย็น “พาตัวนางไป”องครักษ์จับตัวลั่วชิงยวนแล้วลากออกไปฟู่เฉินหวนมองนางเป็นครั้งสุดท้ายด้วยสายตาเย็นชา “หากเจ้ายังท้าทายข้าอีก จะต้องมีคนตายมา่กกว่านี้แน่”แ
ครั้นลั่วชิงยวนถูกพากลับมายังเรือนพวกองครักษ์ก็ปล่อยตัวนาง นางจึงทรุดกายลงคุกเข่ากับพื้นด้วยความอ่อนล้า“พระชายา! พระชายา!”จือเฉารีบรุดเข้ามาประคอง แต่พลั้งมือไปโดนแขนนางเข้า จึงสะดุ้งโหยงรีบชักมือกลับ “พระชายา แขนของท่าน...”ลั่วชิงยวนยันกายลุกขึ้นโดยอาศัยจือเฉาพยุงเดินเข้าห้องไปอย่างเชื่องช้าเมื่อนั่งลงบนเก้าอี้ นางก็จับแขนข้างที่หักนั้นไว้พลางกัดฟันแน่นก่อนจะออกแรงดันกระดูกให้เข้าที่ความเจ็บปวดแล่นริ้วราวกับจะขาดใจ น้ำตาของนางแทบไหลรินจือเฉากลั้นน้ำตาไว้มิอยู่ “พระชายา... เหตุใดท่านอ๋องจึงโหดเหี้ยมเช่นนี้ ลงพระหัตถ์หนักหนาเกินไปแล้ว...”ทันใดนั้นลั่วชิงยวนก็รู้สึกเจ็บแปลบที่อกพลันไอออกมามิหยุด จือเฉารีบยื่นผ้าเช็ดหน้าให้ เมื่อไอเสร็จ ลั่วชิงยวนก็พบว่าผ้าเช็ดหน้าเต็มไปด้วยเลือด...จือเฉาตกใจมาก “บ่าวจะไปตามซูโหยวให้ไปเชิญหมอหลวงมาเจ้าค่ะ”แต่ลั่วชิงยวนกลับบอกว่า “มิต้อง อย่าทำให้เขาเดือดร้อนเลย”หากฟู่เฉินหวนรู้ว่าซูโหยวช่วยนางคงจะโกรธมากเป็นแน่“แล้วแผลของพระชายาเล่าเจ้าคะ?”ลั่วชิงยวนรินน้ำชา “ยังมีสมุนไพรเหลืออยู่มิใช่หรือ แค่นั้นก็เพียงพอแล้ว”จากนั้นนางก็หยิบส
ในชั่วพริบตา ลั่วชิงยวนก็รู้สึกเจ็บแปลบที่หลังเพราะถูกกดลงบนกำแพงเท้าของนางลอยขึ้นจากพื้นความรู้สึกหายใจมิออกทำให้นางดิ้นรนสุดกำลัง“ใครอนุญาตให้เจ้าเข้ามา! ใครอนุญาตให้เจ้าแตะต้องของของข้า!”ลั่วชิงยวนพยายามพูด “ฟู่เฉินหวน...”นางหายใจมิออกแล้วนัยน์ตาของฟู่เฉินหวนฉายแววเย็นชาขณะจับนางเหวี่ยงออกไปร่างลั่วชิงยวนตกกระแทกพื้นเสียงดังสนั่นกลิ้งไปหลายตลบแล้วกระอักเลือดออกมาอวัยวะภายในสั่นสะเทือน ปวดร้าวไปทั่วร่าง“ฟู่เฉินหวน ลั่วฉิงกับไทเฮาร่วมมือกัน สิ่งที่ไทเฮาให้ท่านอาจถูกลั่วฉิงปลอมแปลง จดหมายนั้นอาจเป็นของปลอมก็ได้!”ลั่วชิงยวนรีบอธิบายความคิดของตนเองฟู่เฉินหวนเดินเข้ามาด้วยความโกรธ เขาจับนางขึ้นมาแล้วมองนางด้วยสายตาเหี้ยมโหด “ถึงตอนนี้แล้วยังจะมาหลอกลวงข้าอีกรึ?”“ลายมือท่านแม่ของข้า ข้าจะจำมิได้เชียวหรือ!”พูดจบ ลั่วชิงยวนก็ถูกเหวี่ยงออกจากห้องร่างกระแทกพื้นหิมะแขนข้างหนึ่งถูกทับจนเกิดเสียงดังกร๊อบแขนหลุดจากข้อต่อแล้ว“โอ๊ย...” ลั่วชิงยวนร้องเสียงหลง หน้าซีดเผือดด้วยความเจ็บปวด เหงื่อเย็นผุดขึ้นเต็มไปหน้านางใช้มือข้างเดียวพยุงตัว พยายามลุกขึ้นอย่างยากล
ลั่วฉิงใช้เข็มทิศอาณัติสวรรค์มิเป็นด้วยฐานะของนาง เป็นไปมิได้ที่จะใช้มิเป็นลั่วชิงยวนเบิกตากว้างลั่วฉิงมิได้ใช้มิเป็น แต่ใช้มิได้ต่างหาก!นางพกเข็มทิศนี้ติดตัวมาตั้งแต่เด็ก อาจารย์บอกว่าเป็นของที่ตกทอดมาจากบรรพบุรุษของนางหลังจากที่นางตายแล้วเกิดใหม่เข็มทิศนี้ก็ยังคงติดตัวนางมา ย่อมมิใช่ของธรรมดาสามัญแน่นอนดังนั้น เข็มทิศนี้อาจจะยอมรับนางเป็นเจ้าของแล้ว คนอื่นจึงใช้มิได้เมื่อคิดได้ดังนั้น ลั่วชิงยวนก็รู้สึกโล่งใจขึ้นมาบ้างลั่วฉิงได้เข็มทิศไปก็ไร้ประโยชน์ฟู่เฉินหวนถาม “หากไม่มีเข็มทิศนี้ เจ้าก็ทำนายอะไรมิได้เลยหรือ?”ลั่วฉิงยกยิ้ม “แน่นอนว่ามิใช่เช่นนั้น”“เช่นนั้นก็มิเห็นเป็นอะไร เจ้าแค่ทำนายสิ่งที่เจ้าทำนายได้ แล้วก็จะค่อย ๆ ได้รับความไว้วางใจเอง”ฟู่เฉินหวนมีสีหน้าเคร่งขรึม ขณะกล่าวเสียงเย็น “ข้าทะเลาะกับนางไปแล้ว หากจะหลอกลวงนางอีกก็ต้องแสร้งทำดีด้วย”“ข้ามิอยากทำเรื่องน่ารังเกียจเช่นนั้น”หัวใจของลั่วชิงยวนพลันเจ็บแปลบเขาบอกว่าการทำดีกับนางเป็นเรื่องน่ารังเกียจ...ลั่วชิงยวนรู้สึกเจ็บปวด นางกำเสื้อแน่น มิกล้าส่งเสียงแล้วค่อย ๆ เดินจากไปคำพูดเหล่านั้นดังก้อ
ลั่วชิงยวนที่ถูกขังไว้สองวันเริ่มรู้สึกอึดอัดราวกับถูกจองจำในคุกหิมะตกหนักติดต่อกันหลายวันยิ่งทำให้นางรู้สึกหดหู่เมื่อหิมะเริ่มเบาบางลงนางจึงออกมานั่งที่เก้าอี้ในเรือนสัมผัสกับความเย็นยะเยือกที่โปรยปรายลงบนใบหน้า“พระชายา ระวังจะเป็นหวัดนะเจ้าคะ”จือเฉานำกาน้ำชาอุ่นมาวางไว้บนโต๊ะข้าง ๆ แล้วรินใส่ถ้วยให้นางไอร้อนจากน้ำชาช่วยเพิ่มความอบอุ่นในวันหิมะตกอันหนาวเหน็บจือเฉานั่งอยู่ข้าง ๆ เหม่อมองท้องฟ้าด้วยความกังวล “พระชายา เหตุใดท่านอ๋องจึงใจร้ายกับท่านเช่นนี้เจ้าคะ”“ก่อนหน้านี้เป็นเพราะมีลั่วเยวี่ยอิงที่คอยยุแยง บัดนี้ลั่วเยวี่ยอิงก็ตายไปแล้ว เหตุใดท่านอ๋องจึงยังเป็นเช่นนี้ ระหว่างท่านอ๋องกับพระชายามีเรื่องเข้าใจผิดกันหรือเจ้าคะ?”ลั่วชิงยวนก็มิอาจเข้าใจได้เริ่มเปลี่ยนไปตั้งแต่เมื่อใดกันตั้งแต่ที่นางถูกเฉินชีจับตัวไปบนเขาหรือไม่สิ น่าจะเริ่มตั้งแต่เรื่องของฟู่จิ่งหานตอนที่ฟู่เฉินหวนตัดสินใจจัดการกับฟู่อวิ๋นโจว เขาเข้าวังไปหลายวันแล้วเมื่อกลับมาก็หย่ากับนางแต่เกิดเรื่องอะไรขึ้นในวัง แม้แต่จักรพรรดิสูงสุดก็มิยอมบอกนางหรือบางทีอาจจะมิรู้เหมือนกันวันนี้แม่นมเติ้งเป
เขามีสีหน้าเย็นชาขณะกล่าวเสียงเรียบ “กลับตำหนักกับข้า”ลั่วชิงยวนนิ่งอึ้งไปครู่หนึ่งแล้วจึงให้จือเฉาเก็บข้าวของตามฟู่เฉินหวนออกจากวังเมื่อขึ้นรถม้า ฟู่เฉินหวนก็สั่งสารถีให้กลับตำหนักทันทีทั้งยังเร่งให้รีบกลับด้วยคิ้วที่ขมวดเข้าหากันเล็กน้อยดูเหมือนจะหงุดหงิดอยู่รถม้าแล่นไปอย่างรวดเร็ว ลั่วชิงยวนถูกเขย่าโคลงเคลงจนตัวแทบปลิว แต่ก็ยังพยายามทรงตัว มิเอ่ยคำใดจนกระทั่งรถม้ามาถึงหน้าตำหนักลั่วชิงยวนจึงสังเกตเห็นรอยแดงบนใบหน้าของฟู่เฉินหวนนางยกมือขึ้น แตะใบหน้าเขาเบา ๆ “ใบหน้าของท่านเป็นอะไรไป?”ฟู่เฉินหวนคว้าข้อมือของนางไว้แล้วจ้องมองด้วยสายตาคมกริบ “มิใช่เพราะเจ้าหรอกรึ!”ลั่วชิงยวนชะงักไปชั่วพริบตานั้น ฟู่เฉินหวนก็กระชากนางลงจากรถม้าอย่างแรง ทำให้นางเกือบล้มนางเดินเซ แต่ก็ยังถูกฟู่เฉินหวนลากเข้าไปในตำหนักฟู่เฉินหวนเดินอย่างรวดเร็ว ทั้งร่างเต็มไปด้วยโทสะราวกับพยายามอดกลั้นมานานลั่วชิงยวนจึงตระหนักได้ว่าเขาคงถูกจักรพรรดิสูงสุดลงโทษมิเช่นนั้นรอยแดงบนใบหน้าเขาจะมาจากไหนเมื่อมาถึงลานด้านใน นางก็สะบัดตัวหลุดจากฟู่เฉินหวน“ท่านจะทำอะไร!”ทันใดนั้น ฟู่เฉินหวนก็บีบคางน
ผ่านไปครู่หนึ่ง เซิ่งไป่ชวนก็มาถึงลั่วชิงยวนพยุงตัวลุกขึ้นนั่งเซิ่งไป่ชวนเห็นเหงื่อเม็ดเล็ก ๆ บนหน้าผากนาง จึงเอ่ยถามด้วยความแปลกใจ “พระชายารู้สึกหนาวหรือไม่ขอรับ?”ลั่วชิงยวนกล่าวอย่างแผ่วเบา “ข้ามิเป็นอะไร มิต้องตรวจชีพจรแล้ว ข้าจะเขียนใบเทียบยาให้ เจ้าช่วยไปหยิบยาให้หน่อย”เซิ่งไป่ชวนพยักหน้า เขาย่อมเชื่อมั่นในฝีมือแพทย์ของลั่วชิงยวนจึงมิฝืนใจเพียงแต่กล่าวว่า “เห็นอาการของพระชายาทรงทรุดลงทุกวัน เกรงว่าจะเป็นเพราะความวิตกกังวล พระชายาควรปล่อยวางบ้าง”“เพื่อรักษาพระวรกายให้แข็งแรงขอรับ”ลั่วชิงยวนพยักหน้า “ขอบคุณหมอหลวงเซิ่ง”“ข้าจะระมัดระวัง”ขณะที่กำลังสนทนากัน ก็พลันได้ยินเสียงตวาดดังมาจากด้านนอก“ว่ากระไรนะ! สั่งลงไป ผู้ใดกล้าพูดถึงเรื่องนี้อีกให้ตัดหัวได้เลย!”ลั่วชิงยวนตกใจเล็กน้อยด้วยความสงสัย นางจึงสวมรองเท้าเดินออกไปจือเฉานำผ้าคลุมมาสวมให้นางเห็นจักรพรรดิสูงสุดกำลังโมโหอยู่ใต้ชายคา“เกิดเรื่องอันใดขึ้นหรือเพคะ?” ลั่วชิงยวนถามด้วยความอยากรู้จักรพรรดิสูงสุดกล่าวว่า “ไม่มีอะไร เจ้าไปพักผ่อนเถิด ข้ามิได้ดุใครมานานแล้วเลยลองฝึกฝนดู”จากนั้นจักรพรรดิสูงสุด