เพียะ ความปวดแสบปวดร้อนทำให้ลั่วชิงยวนรู้สึกเวียนศีรษะ นางล้มลงกับพื้นพร้อมศีรษะที่ส่งเสียงอื้ออึง "พระชายา!" แม้แต่เสียงตะโกนของแม่นมเติ้งก็ดังไกลออกไป โทสะปะทุขึ้นในใจของลั่วชิงยวน นางมองบุรุษผู้นั้นด้วยสีหน้าหม่นคล้ำพร้อมดวงตาแดงฉาน ฟู่เฉินหวนรู้สึกฝ่ามือชาหนึบและในขณะนั้นก็รู้สึกตื่นตกใจอยู่บ้าง ไฉนเขาถึงได้หุนหันพลันแล่นเช่นนั้นเล่า? เมื่อเห็นแววตาโกรธแค้นของลั่วชิงยวน ฟู่เฉินหวนรีบเบือนหน้าหนีไป "ท่านอ๋อง… ฮือฮือฮือ..." เสียงร่ำไห้ของลั่วเยวี่ยอิงดังก้องโสตของฟู่เฉินหวน เส้นโลหิตตรงหน้าผากของฟู่เฉินหวนกระตุกพลางหน้าเปลี่ยนสี จากนั้นเขาก็เดินเข้าไปช่วยประคองลั่วเยวี่ยอิงให้ลุกขึ้นทันที "ท่านอ๋องเพคะ หม่อมฉันเพียงแค่ยกน้ำแกงโสมมาให้พี่สาว แต่ท่านพี่กลับคิดจะช่วงชิงข้าวของของหม่อมฉัน นี่เป็นสิ่งที่มารดาของหม่อมฉันหลงเหลือเอาไว้ให้นะเพคะ..." ลั่วเยวี่ยอิงปิดหน้าร้องไห้ด้วยความขมขื่นใจ เพราะรู้สึกเจ็บปวดเป็นอย่างยิ่ง. . ท่าทางแบบนั้นทำให้ฟู่เฉินหวนรู้สึกร้อนใจอย่างบอกไม่ถูก จากนั้นเขาก็อดมิได้ที่จะเอื้อมมือไปเช็ดน้ำตาบนใบหน้าของนาง การเคลื่อนไหวอันแสนอ่อนโยนเช่
"อยู่ก็เป็นคนของตำหนักอ๋อง ตายก็เป็นผีของตำหนักอ๋อง" "เพียงแต่ว่านับแต่บัดนี้เป็นต้นไป เจ้าจะไม่มีฐานันดรศักดิ์เป็นพระชายาอ๋องอีกต่อไปแล้ว มิหนำซ้ำเจ้ายังไม่ต่างอันใดจากบ่าวไพร่ในตำหนักแห่งนี้" เมื่อลั่วเยวี่ยอิงได้ยินเช่นนี้ นางก็รู้สึกทั้งยินดีและประหลาดใจ ดียิ่งนัก! ในที่สุดวันที่นางรอคอยก็มาถึงเสียที! ลั่วชิงยวนกำหมัดแน่น แววตาเต็มเปี่ยมไปด้วยโทสะและ หลังจากผ่านพ้นเรื่องราวมาตั้งมากมาย ก็ราวกับว่านางหวนคืนสู่จุดเริ่มต้นอีกครั้ง กลับคืนสู่สถานะแรกเริ่มอันต่ำต้อยราวกับเดรัจฉานตัวหนึ่ง บุรุษผู้นี้ช่างโหดเหี้ยมจริง ๆ เขาทำกับนางราวกับข้าทาสและไม่ยอมปล่อยให้นางเป็นอิสระ! แม่นมเติ้งคุกเข่าลงกับพื้นเป็นคนแรกพลางกล่าวว่า "ท่านอ๋องเพคะ เรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้เห็นได้ชัดว่าเป็นเพราะคุณหนูรองมาหาเรื่อง หาได้เกี่ยวข้องอันใดกับพระชายาแต่อย่างใดไม่เพคะ" ฟู่เฉินหวนเหลือบมองแม่นมเติ้งด้วยสายตาเย็นชา "ถ้าเจ้าไม่อยากเป็นแม่บ้าน ก็ยังมีคนอีกมากมายที่ยินดีจะทำ" "ท่านอ๋อง..." แม่นมเติ้งคิดจะไปกับลั่วชิงยวน แต่ลั่วชิงยวนกลับกดหัวไหล่ของแม่นมเติ้งเอาไว้ได้ทันเวลา "ไม่จำเป็นต้องไป
วันที่นางออกจากตำหนักอ๋อง สายลมกระโชกแรงยิ่งนัก ลั่วชิงยวนยืนอยู่นอกประตูจวนสักพักหนึ่งจนผมเผ้ายุ่งเป็นกระเซิง มีนางรับใช้ท่าทางน่าสงสารเพียงคนเดียวคอยอยู่เคียงข้าง ทว่ายามนี้กลับมีเงาร่างสายหนึ่งกำลังวิ่งออกมาจากเรือนด้วยท่าทีร้อนใจ "ชิงยวน!" ฟู่อวิ๋นโจวที่มีสีหน้าซีดขาววิ่งออกมาด้วยความเป็นห่วงกังวล ร่างแบบบางของเขาราวกับจะปลิวหายไปกับสายลมได้อยู่แล้ว แต่เมื่อฟู่อวิ๋นโจววิ่งมาที่ประตู กลับถูกคนรับใช้ของตนขวางเอาไว้ "องค์ชายห้า ข้างนอกลมแรง อย่าออกไปจะดีกว่าพ่ะย่ะค่ะ" "ปล่อยข้า!" ฟู่อวิ๋นโจวดิ้นรนอยู่สักพัก แต่ก็สลัดไม่หลุดสักที คนรับใช้จับแขนของเขาไว้เพื่อกันมิให้เข้าก้าวไปข้างหน้า "ชิงยวน… แค่ก แค่ก แค่ก แค่ก..." เมื่อเห็นสีหน้าเป็นกังวลของฟู่อวิ๋นโจวแดงก่ำจนกระอักกระไอ ลั่วชิงยวนก็อดมิได้ที่จะขมวดคิ้วหมายจะพูดอะไรสักอย่าง แต่ประตูก็ค่อย ๆ ปิดลง เหตุการณ์ฉากนี้ดูราวกับละครฉากที่กำลังพรากจากกันเสียจริง ๆ เมื่อเห็นฟู่อวิ๋นโจวถูกสกัดเอาไว้ในตำหนักลั่วชิงยวนก็รู้สึกจนใจที่ไม่อาจเอ่ยสิ่งที่นางอยากพูดออกมาได้ ยามที่ประตูปิดสนิท ก็ได้ยินแค่น้ำเสียงเป็นกังวลของฟู่อ
“เรือนนี้ไม่มีคนอาศัยมานานเสียเท่าไรกัน สกปรกเหลือเกิน พระชายา ท่านมานั่งในเรือนครู่หนึ่ง บ่าวทำความสะอาดห้องเสียก่อน!” จือเฉาพูดไปพร้อมวางของลง และถือไม้กวาดเดินเข้าไปทำความสะอาดห้อง ลั่วชิงยวนนั่งบนเก้าอี้หินในสวนมองจือเฉาที่วิ่งเข้าออกยุ่งเหยิง ที่ที่จือเฉามิเคยเหยียบย่ำ บนพื้นก็มีรอยเท้าลึกตื้นอยู่เช่นกัน ลั่วชิงยวนหรี่ตาลง หยิบเข็มทิศขึ้นมาวางบนโต๊ะ เมื่อลมหนาวพัดผ่าน เข็มทิศจึงหมุนวนช้า ๆ จือเฉาทำความสะอาดจนฟ้ามืด และทำความสะอาดไปได้กว่าครึ่งเรือน ลั่วชิงยวนจึงเดินเข้าห้อง จุดเทียน และจัดเตียง จือเฉายกอาหารที่ทำง่าย ๆ อย่างโจ๊กเข้ามา นายบ่าวทานอาหารรองท้อง เมื่อวางช้อนลง ลั่วชิงยวนกล่าว “วันนี้เจ้านอนในห้องข้าเถอะ ที่นี่ไม่มีไฟถ่าน กลางคืนจะหนาวเอาได้” “เจ้าค่ะ” จือเฉาพยักหน้า นางเองก็กลัวเรือนใหญ่ที่แสนอ้างว้างนี่เช่นกัน หลังทานข้าวเย็นเสร็จ ลั่วชิงยวนจึงพูดสั่งงานในวันพรุ่งนี้ให้กับจือเฉา พรุ่งนี้นางจะขึ้นเขาไปหาเสบียง และขุดหายาสมุนไพร จึงให้จือเฉาไปซื้อถ่าน แป้งและข้าวสารที่หมู่บ้านใกล้ ๆ ฤดูเหมันต์ฟ้ามืดค่อนข้างเร็ว หนำซ้ำอากาศก็เย็น ทั้งคู่จึงเข้าน
เงาดำที่หน้าประตู หายไปแล้ว! ทั้งคู่จ้องหน้ากันเนิ่นนาน หน้าประตูก็ไม่มีการเคลื่อนไหวอย่างใด ลั่วชิงยวนตบหลังมือจือเฉา “ไม่มีอะไรแล้ว นอนเถอะ” จือเฉาตกใจ แต่เมื่อเห็นท่าทีสงบนิ่งของพระชายา นางจึงรู้สึกวางใจมากขึ้น เพียงแค่มีพระชายาอยู่ นางก็มิมีสิ่งใดต้องกลัว แต่ลั่วชิงยวนกลับนอนไม่หลับเพราะเอาแต่คิดถึงเสียงด้านนอก เมื่ออดทนจนถึงฟ้าสว่าง ตามแผนการเดิมแล้ว จือเฉาต้องไปซื้อเสบียงและถ่านไฟในหมู่บ้าน ส่วนลั่วชิงยวนจะไปดูว่าในภูเขามีสมุนไพรที่สามารถใช้ได้หรือไม่ เพราะทรัพย์สินของลั่วชิงยวนตอนนี้มีไม่มาก ยาปรับสมดุลร่างกายราคาแพงและหายากนัก หนำซ้ำยังใช้ได้มินาน การเก็บสมุนไพรจึงถือเป็นการประหยัดเงิน เพราะสามารถนำมาซื้อข้าวของเครื่องใช้และถ่านไฟที่เอาไว้ใช้ในฤดูเหมันต์ได้ ด้านจือเฉานั้นถือว่าราบรื่น นางหาซื้ออาหารและถ่านมาได้อย่างสำเร็จ ลั่วชิงยวนเองก็เก็บสมุนไพรและเห็ดป่ามาได้เล็กน้อย วันนี้ในห้องเผาถ่านเพิ่ม จึงอบอุ่นมากกว่าเมื่อวาน แต่แล้วเวลากลางคืนก็มาถึงอย่างไม่รู้ตัว จือเฉาเริ่มรู้สึกกลัวอีกครั้ง คืนนี้เป็นคืนไม่ได้นอนเช่นเคย ในคืนนี้ หน้าประตูมิได้มีเงาดำปร
จือเฉาพยักหน้า “มั่นใจเจ้าค่ะ! จวน นี้จะมีหนูก็มิแปลก แต่ขโมยอาหารก็แล้วไป เหตุใดจึงต้องขโมยถ่านด้วยเล่าเจ้าคะ?” ลั่วชิงยวนยิ้มอย่างอดไม่ได้ นางวางตะเกียบลง ลุกขึ้นและกล่าวยิ้ม ๆ “หนูตัวไหนริอ่านมาขโมยถ่านไฟที่จือเฉาข้าอุตส่าห์ไปซื้อมาอย่างลำบากลำบนกัน ข้าจะพาเจ้าไปจับหนูเสียเดี๋ยวนี้!” จือเฉาชะงัก และรีบก้าวตามฝีเท้าของลั่วชิงยวนไป นางตั้งใจพกไม้กวาดเพื่อจับหนูจริง ๆ ลั่วชิงยวนนำทางจือเฉาค่อย ๆ เดินเข้าไปทางเรือนเล็กข้าง ๆ เพราะจวน ใหญ่เกินไป มิมีผู้ใดคิดจะอยู่ในเรือนเล็กนี้ ที่นี่จึงมิเคยมีคนมาตรวจดูและจัดเก็บมาก่อน เมื่อมาถึงที่เรือนเล็ก ลั่วชิงยวนมองไปที่พื้น นางเปิดประตูเรือนออก และเก็บไม้ขึ้นมาแท่งหนึ่ง ในเรือนมีร่องรอยของการก่อไฟ ก้านไม้หลายแท่งต่อกันเป็นเตาผิง ด้านบนนั้นมีหม้อแขวนเอาไว้ ลั่วชิงยวนเดินขึ้นหน้าไปตรวจสอบ ในหม้อยังมีโจ๊กหลงเหลืออยู่ กองหญ้าข้าง ๆ ยังมีขนสัตว์ที่ถูกลอกมาจากสัตว์ป่า จือเฉาตกตะลึง “พระชายา ทะ… ทะ… ที่นี่มีคนอื่นอาศัยอยู่ด้วยหรือเจ้าคะ?“ “คราที่มา พวกเขาก็มิได้บอกว่าที่นี่มีคนนี่เจ้าคะ!” “บังอาจนัก มิออกมาต้อนรับพระชายาอีก” จื
ลั่วชิงยวนอยู่ทางทิศไม่ไกลของหญิงสาว เมื่อนางเห็นหมาป่าตัวนั้นกระโจนเข้าไปหาหญิงสาว จึงพุ่งเข้าไปช่วยโดยมิทันคิด นางกอดหญิงสาวกลิ้งหลบอย่างแรง จนทั้งคู่ตกลงไปในพุ่มไม้ หมาป่าตัวนั้นตะครุบเข้ามา แต่เพราะการกีดกันจากต้นไม้ จึงช่วยยื้อเวลาให้กับลั่วชิงยวน ชายผู้นั้นก็รีบวิ่งเข้ามาอย่างไว เดิมทีเขาอยากช่วยหญิงสาวผู้นี้ แต่กลับถูกลั่วชิงยวนตัดหน้าเสียก่อน เขายกธนูขึ้น และยิงสังหารหมาป่าตัวนั้น หมาป่าล้มชักกระตุก จากนั้นจึงขาดใจตาย ลั่วชิงยวนมุดออกมาจากในพุ่มไม้ นางเห็นว่าดวงตาของหมาป่าแดงก่ำ และดูแปลก ๆ ไป นางอยากขึ้นหน้าไปดู แต่ถูกชายตรงหน้าห้ามไว้ก่อน “แม่หญิง อันตราย อย่าเข้าใกล้เลย!” ลั่วชิงยวนเก็บสายตากลับมา กวาดมองชายหนุ่มทีหนึ่ง แม้จะเป็นการแต่งตัวของนายพราน แต่หว่างคิ้วของเขาเต็มไปด้วยไอดุร้าย ผู้ที่มือเคยเปื้อนเลือดเท่านั้นจึงจะเป็นเช่นนี้ และคนตรงหน้าท่าจะเปื้อนเลือดมามาก ไอโลหิตอาฆาตจึงชัดเจนเช่นนี้ ของแบบนี้ มิควรปรากฏบนใบหน้าของนายพรานคนหนึ่งอย่างไรก็ตาม อาจเป็นไปได้เช่นกันที่นักฆ่าเปลี่ยนอาชีพมาเป็นนายพราน หญิงสาวที่ชื่อฉูฉู่รีบเดินขึ้นหน้า “แม่หญิง ขอ
ลั่วชิงยวนกลับอยากรู้ว่าซ่งเชียนฉู่ประสบอะไรมามากกว่า นางจึงถามอย่างสงสัย “หลังจากที่เจ้าหนีออกจากในถ้ำได้ เหตุใดจึงไม่จากที่นี่ไป หากหนีหมู่บ้านนั้นไปไกล คงมิมีใครนำเจ้าไปสังเวยเทวาภูผาอีก” ฟังถึงตรงนี้ หว่างคิ้วของซ่งเชียนฉู่เผยเป็นแววหวาดกลัว นางกำชายเสื้อไว้แน่นพร้อมตอบ “อันที่จริง ข้าหนีออกไปมิได้…” “ราวกับถูกเหนี่ยวรั้ง…” เมื่อซ่งเชียนฉู่พูด เสียงของนางสั่นคลอนเล็กน้อยและแฝงไปด้วยความผวา แต่สวี่ชิงหลินที่อยู่เบื้องหลังกลับกล่าว “ข้าจะพาเจ้าออกไปให้ได้!” ลั่วชิงยวนได้ยินจึงรู้สึกสงสัย นางมองซ่งเขียนฉู่พร้อมถาม “หนีออกไปมิได้งั้นรึ?” ซ่งเชียนฉู่พยักหน้า “ทุกครั้งที่ข้าออกไป เมื่อถึงเส้นทางทางออก ข้าจะกลับมาอยู่ที่เดิม คล้ายกับผีบังตา” “พวกเราจึงได้แต่หลบอยู่ในจวน” ลั่วชิงยวนไตร่ตรองและพยักหน้า นางก็ว่าตั้งแต่วันแรกที่นางมาถึงในเรือน นางก็รู้สึกถึงกลิ่นไอพิลึก นอกจากสองคนนี้ ยังมีอย่างอื่นอีกดังที่นางคิด แต่นางยังคงรู้สึกประหลาดใจ หากสิ่งนั้นคิดจะกระทำบางอย่างต่อซ่งเชียนฉู่จริง ๆ นางจะยืนอยู่ตรงนี้ได้อย่างปลอดภัยอีกงั้นหรือ? การที่พวกนางหลบอยู่ในจวนมันปลอดภัย
“เจ้ารีบอะไรนักหนา รอมาตั้งนานแล้ว รออีกสักหน่อยจะเป็นกระไร”เมื่อได้ยินดังนั้น อวี๋ตันเฟิ่งก็หยุดมือลั่วชิงยวนเดินเข้าไปคว้าตัวโหยวเซียงไว้ให้โฉวสือชีมัดนางไว้แน่นหนา จากนั้นจึงปลุกโหยวเซียงให้ฟื้นขึ้นมาเมื่อฟื้นคืนสติ โหยวเซียงก็จ้องหน้าลั่วชิงยวนเขม็งอย่างโกรธแค้น “เจ้ากล้าจับข้า เจ้าคอยดูเถอะว่าจะตายอย่างไร!”ลั่วชิงยวนย่อตัวลงนั่งตรงหน้านาง แล้วหัวเราะเบา ๆ “ใช่แล้ว ใครจะกล้าแตะต้องคุณหนูใหญ่เมืองแห่งภูตผีเล่า”“น่าเสียดาย เมืองแห่งภูตผีแห่งนี้ บิดามารดาของเจ้าไปปล้นเขามา มิใช่ของพวกเขามาแต่เดิม ย่อมมิใช่ของเจ้าเช่นกัน”“ถึงเวลาคืนเจ้าของตัวจริงแล้ว”โหยวเซียงจ้องเขม็งนางอย่างโกรธแค้น “เจ้าพูดจาเหลวไหลอะไร! เมืองแห่งภูตผีแห่งนี้เป็นของบิดามารดาข้ามาแต่เดิม!”เมื่อได้ยินดังนั้น ลั่วชิงยวนก็ประหลาดใจ “หรือว่าต่งอวิ๋นซิ่วมิได้บอกความจริงแก่เจ้า”“ก็ถูกแล้ว เรื่องน่าอับอายเช่นนี้ นางจะบอกลูกสาวได้อย่างไร”“เมืองแห่งภูตผีแห่งนี้มิใช่เพียงถูกบิดามารดาเจ้ายึดมาเท่านั้น แต่ยังใช้วิธีการที่น่ารังเกียจในการยึดครองด้วย!”“เดาว่าจนถึงตอนนี้เจ้าก็คงยังมิรู้เลยว่าศัตรูของเจ้าคือผ
โหยวเซียงกัดฟันพูดด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบลั่วชิงยวนมองไปที่อวี๋โหรว หลายวันมานี้อวี๋โหรวผอมซูบไปมาก“เจ้าจับตัวอวี๋โหรวมาเพื่อล่อข้ามาที่นี่รึ?”ลั่วชิงยวนหรี่ตามองโหยวเซียง“แต่เจ้ามิน่าจะมีความสามารถพอที่จะพาอวี๋โหรวออกจากวังหลวงไปได้”“เวินซินถงเป็นคนทำใช่หรือไม่?”“เจ้าทำข้อตกลงอะไรกับนางไว้?”โหยวเซียงหัวเราะเยาะ “อยากรู้รึ?”“คุกเข่าอ้อนวอนข้าสิ”“เจ้าอ้อนวอนข้า ข้าถึงจะบอกเจ้าว่าผู้ใดจับตัวอวี๋โหรวมา และผู้ใดร่วมมือกับข้าวางแผนให้เจ้ามาที่เมืองแห่งภูตผี”ลั่วชิงยวนมองท่าทีหยิ่งยโสของโหยวเซียงแล้วก็อดมิได้ที่จะหัวเราะเบา ๆ นางกวาดสายตามองไปรอบ ๆ แล้วถามว่า “ต่งอวิ๋นซิ่วมิมาด้วยรึ?”“เมื่อครู่นี้คนที่ต่อสู้กับข้าก็คือนางใช่หรือไม่?”เมื่อได้ยินน้ำเสียงเยาะเย้ยของลั่วชิงยวน โหยวเซียงก็โกรธจัด ในใจนางตกใจ ลั่วชิงยวนรู้แล้วหรือว่ามารดาของนางเป็นใคร“สารเลว!”นางบีบคออวี๋โหรวอย่างแรงเพื่อข่มขู่ลั่วชิงยวน “จะคุกเข่าหรือไม่?!”“ลั่วชิงยวน เจ้ามีโอกาสแค่ครั้งเดียว!”“หากเจ้ามิยอมคุกเข่ายอมจำนนแต่โดยดี ข้าจะหักคอนางเดี๋ยวนี้!”กล่าวจบ โหยวเซียงก็ออกแรงบีบบีบจนอวี๋โหรวหาย
ทันทีที่คนใบ้หันมาเห็นจึงรีบเข้ามาย่อตัวลงข้างนางแล้วช่วยประคองนางไว้ลั่วชิงยวนเช็ดเลือดที่มุมปาก ใบหน้าซีดเผือดกว่าเดิม“ข้ามิเป็นอะไร”นางเงยหน้าขึ้นมองอวี๋ตันเฟิ่งที่อยู่กลางอากาศ ในที่สุดจิตวิญญาณของนางก็สมบูรณ์แล้วบนใบหน้าซีดขาวนั้นปรากฏรอยยิ้ม รอยยิ้มนั้นทั้งพึงพอใจและเย่อหยิ่ง“ในที่สุดข้าก็ได้… เป็นอิสระแล้ว! ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า...”อวี๋ตันเฟิ่งหัวเราะลั่น ทำเอาป่าทั้งผืนเกิดพายุโหมกระหน่ำคนใบ้รีบยกมือขึ้นช่วยลั่วชิงยวนปัดป้องฝุ่นและใบไม้ที่ปลิวว่อน......จู่ ๆ ต่งอวิ๋นซิ่วก็กระอักเลือดออกมาเต็มปาก จากนั้นหมดสติล้มลงบนพื้น“ท่านแม่!”โหยวเซียงตกใจ รีบเข้าไปประคองนาง “ท่านแม่! ท่านแม่! ท่านเป็นอะไรไป!”หลังจากตะโกนเรียกอยู่นาน มารดาของนางก็มิฟื้นโหยวเซียงโกรธจนกัดฟันพูด “ลั่วชิงยวน สารเลว!”“เจ้าคอยดูเถอะ!”......ผ่านไปครู่ใหญ่ อวี๋ตันเฟิ่งถึงจะสงบสติอารมณ์ลงได้ลมพายุในป่าก็สงบลงเช่นกันถูหมิงที่อยู่ข้าง ๆ จึงค่อย ๆ ขยับเข้ามาใกล้ฉีเสวี่ยเวยที่ยังคงตกตะลึงมองภาพเหตุการณ์เมื่อครู่ด้วยความมิอยากเชื่อ “เมื่อกี้เกิดอะไรขึ้น?”“ต่อไปพวกเราต้องทำอะไร?”ลั่วชิงยวน
คนของถูหมิงตายไปหมดแล้ว เหลือเพียงฉีเสวี่ยเวยเท่านั้นในขณะที่พวกเขาเดินทางไปยังถ้ำแห่งที่หกในคืนนั้นผลลัพธ์ที่ได้กลับน่าผิดหวังเพราะในถ้ำว่างเปล่า“ดูเหมือนว่าพวกเราจะมาช้าไปก้าวหนึ่ง”ถูหมิงขมวดคิ้ว “เหลืออีกหนึ่งชิ้น ทำอย่างไรดี? หรือว่าความพยายามทั้งหมดของเราจะสูญเปล่า?”พวกเขาวุ่นวายมาหลายวัน เดินทางไปเกือบทั่วทั้งภูเขาแล้วหากสมบัติหายไปเช่นนี้ เขาคงต้องฆ่าสตรีผู้นี้เป็นแน่!ลั่วชิงยวนขมวดคิ้วครุ่นคิด แล้วกล่าวว่า “เหลืออีกหนึ่งชิ้นก็เหลืออีกหนึ่งชิ้น”“หาที่ปลอดภัยก่อน”จากนั้นพวกเขาก็มายังป่าที่ค่อนข้างสะอาด ไม่มีพุ่มไม้หรือวัชพืชหนาแน่นบนพื้นมากนัก ค่อนข้างโปร่งโล่งหีบทั้งห้าใบวางอยู่บนพื้นลั่วชิงยวนกล่าวว่า “เปิดหีบกันเถิด”ทันใดนั้นดวงตาของถูหมิงก็เป็นประกาย “เปิดได้หรือ?”เขาเห็นว่าบนหีบมีแต่อักขระสีเลือดปกคลุมอยู่ จึงยั้งมือไว้หลายครั้งแม้จะอยากเปิดก็ตามเมื่อได้ยินเช่นนี้จึงรีบเปิดหีบทันทีแต่เมื่อเปิดออกแล้ว ร่างกายของเขาก็แข็งทื่อไปศพ?!ทั้งยังเป็นศพที่ถูกชำแหละอีกด้วย?ฉีเสวี่ยเวยก็ตกใจกลัวลั่วชิงยวนกลับสงบสติอารมณ์ สั่งให้โฉวสือชีและคนใบ้ช่วย
“ใครกัน?!”ลั่วชิงยวนหรี่ตาลงเล็กน้อย แล้วตอบเสียงแผ่ว “ซูเซียง”“แต่ตอนนี้ควรเรียกนางว่าโหยวเซียง”“ภารกิจที่พวกเจ้าได้รับก็เป็นเพียงการละเล่นของนางเท่านั้น”“นางต้องการให้พวกเจ้าฆ่ากันเอง”และภารกิจหนังหน้าของหญิงงามที่ฉีเสวี่ยเวยได้รับ ก็คงเป็นการล่อลวงให้ฉีเสวี่ยเวยมาฆ่านางหากสามารถยืมมือคนอื่นฆ่าคนได้ โหยวเซียงก็มิจำเป็นต้องเปิดเผยตัวตนเพียงแต่โหยวเซียงคาดมิถึงว่าฉีเสวี่ยเวยจะฆ่านางมิได้ กระทั่งโหยวเซียงเองก็ฆ่านางมิได้“โหยวเซียงหรือ? นางเป็นคนของเมืองแห่งภูตผีแห่งนี้หรือ?” ฉีเสวี่ยเวยมองนางอย่างมิเชื่อสายตา“มิแปลกใจเลย… นางท้องแก่ถึงเพียงนั้นยังกล้ามาที่นี่ได้”ลั่วชิงยวนเห็นว่าใกล้รุ่งสางแล้ว จึงให้โฉวสือชีแก้เชือกที่มัดฉีเสวี่ยเวยไว้“ข้าจะยังมิฆ่าเจ้าตอนนี้”“มิว่าเรื่องที่เจ้ากล่าวมาจะเป็นจริงหรือไม่ก็มิสำคัญ ข้าก็มิกลัวว่าเจ้าจะไปบอกเรื่องนี้กับถูหมิง”“หากเจ้าไปบอก เรื่องเดียวที่จะเป็นผลเสียต่อพวกข้าก็คือต้องแบกหีบเพิ่มอีกมิกี่ใบ”“เพียงเท่านั้น”มิใช่เรื่องคอขาดบาดตายที่นางทำเป็นร่วมมือกับถูหมิง ก็เพียงต้องการใช้คนของเขาไปขวางทางศพชายที่ถูกผนึกไว้ในถ้ำ
“แม้จะต้องยอมตายไปพร้อมกับถูหมิง ข้าก็ยินดี!”เมื่อได้ยินดังนั้น ลั่วชิงยวนก็ตกตะลึง แต่ก็ยังคงสงสัยอยู่บ้าง“แต่เจ้าสนิทสนมกับถูหมิงถึงเพียงนั้น น่าจะมีโอกาสฆ่าเขาได้นับครั้งมิถ้วน”ฉีเสวี่ยเวยขมวดคิ้วแน่น ดวงตาแดงก่ำ “แท้จริงแล้วคนผู้นั้นระแวดระวังตัวมาก หากมิใช่เพราะต้องการลดความระแวดระวังของเขา ข้ากับชายมากหน้าหลายตาก็คงมิ...”เมื่อกล่าวถึงตรงนี้ ฉีเสวี่ยเวยก็เม้มริมฝีปากแน่นหลังจากกล้ำกลืนความรู้สึกแล้ว จึงกล่าวต่อ “ในป่าครั้งนั้นเป็นครั้งแรกที่เขาใกล้ชิดข้า เดิมทีตอนนั้นข้ามีโอกาสที่จะฆ่าเขาได้!”“แต่เจ้าปีศาจฝูเหมิ่งนั่นบังเอิญมาขวาง!”“หากมิใช่เพราะเขา ข้าคงทำสำเร็จไปแล้ว!”ฉีเสวี่ยเวยกัดฟันพูด เต็มไปด้วยความเคียดแค้นลั่วชิงยวนรู้สึกประหลาดใจ เมื่อเห็นสีหน้าของฉีเสวี่ยเวย ในดวงตาของนางเต็มไปด้วยความแค้น ดูมิเหมือนคนโกหกทำให้นางเปลี่ยนทัศนคติที่มีต่อฉีเสวี่ยเวยไปบ้างขณะที่ลั่วชิงยวนยังคงครุ่นคิด ฉีเสวี่ยเวยก็มองมาที่นาง “เจ้ายังมิเชื่อข้าหรือ?”“ขอเพียงเจ้าฆ่าถูหมิงได้ ข้าจะทำทุกอย่างเพื่อเจ้า! ข้าจะบอกสิ่งที่เจ้าอยากรู้ทุกอย่าง!”ลั่วชิงยวนครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง
ลั่วชิงยวนนอนนิ่งอยู่บนเตียง มิกล้าขยับกายทว่างูตัวนั้นกลับกัดข้อเท้านางอย่างแรงหนึ่งครั้ง จากนั้นก็รีบเลื้อยหนีไปรออยู่ครู่หนึ่ง ฉีเสวี่ยเวยเห็นว่าคนที่นอนอยู่บนเตียงไม่มีความเคลื่อนไหวใด ๆ จึงเปิดประตูเข้ามานางมิอาจมั่นใจได้ว่าพวกคนใบ้จะกลับมาเมื่อใด จึงมิกล้าเสียเวลานานหลังจากปิดประตูอย่างระแวดระวังแล้ว นางก็มายังปลายเตียง จ้องมองข้อเท้าของลั่วชิงยวนอย่างละเอียด ปรากฏว่าถูกงูกัดจริง ๆ นางต้องตายเพราะพิษนี้แน่นอน!ทันใดนั้นเอง ฉีเสวี่ยเวยก็ชักกริชออกมาแล้วเดินไปยังหัวเตียง ค่อย ๆ จรดใบมีดลงบนใบหน้าของลั่วชิงยวนแต่ในพริบตานั้นเอง ลั่วชิงยวนก็ลืมตาขึ้นมาจ้องมองนางด้วยสายตาอาฆาตแค้นฉีเสวี่ยเวยพลันตกใจ แต่ก็มิได้หนีในทันที เพราะนางคิดว่าลั่วชิงยวนโดนพิษงูเข้าไปแล้ว อย่างไรก็ต้องตายอยู่ดีลั่วชิงยวนรีบคว้าข้อมือของฉีเสวี่ยเวยไว้เพื่อแย่งชิงกริชมาจากนางฉีเสวี่ยเวยก็ลงมือโจมตีเช่นกัน เพียงแต่นางคาดมิถึงว่าสตรีผู้นี้ที่ถูกพิษแล้วจะยังมีพละกำลังมากมายถึงเพียงนี้หลังจากทั้งสองต่อสู้กันครู่หนึ่งในห้อง ฉีเสวี่ยเวยก็พ่ายแพ้ ถูกลั่วชิงยวนจับกดไว้บนโต๊ะฉีเสวี่ยเวยตกใจมาก “เจ้า
“แน่นอน”“อีกอย่าง เมื่อหาของเหล่านี้ครบแล้วเมืองแห่งภูตผีทั้งเมืองก็จะเป็นของพวกเรา แล้วยังต้องขึ้นเขาไปเอาของเล็ก ๆ น้อย ๆ นั่นหาปะไร”คำพูดนี้กระตุ้นความโลภในใจของทุกคนที่อยู่ตรงนั้นอย่างมิต้องสงสัยพวกเขาจึงมิลังเลอีกต่อไป รีบติดตามลั่วชิงยวนไปยังเส้นทางเดิมตลอดทางยังมีงูมากมาย ลั่วชิงยวนก็หาสมุนไพรบางชนิดตลอดทางแล้วมอบให้ทุกคนผูกติดไว้บนตัวและทาตามเท้า เพื่อให้กลิ่นของสมุนไพรนั้นช่วยไล่งูดังนั้นการเดินทางของพวกเขาจึงราบรื่นดี เมื่อยามค่ำคืนมาเยือนพวกเขาก็ออกมาจากบ่อน้ำพุร้อนนั้นอีกครั้งพวกเขากลับมายังหมู่บ้านเดิมในช่วงกลางดึกสงัดในหมู่บ้านยังมีอาหารหลงเหลืออยู่ ดังนั้นทุกคนจึงหยุดพักกินอาหารกันก่อนเมื่อฟื้นฟูพละกำลังได้แล้วคนทั้งหมดก็ออกเดินทางต่อมาถึงสุสานเดิม ยามนี้วิญญาณอาฆาตเต็มไปทั่วทั้งภูเขา พลังหยินแผ่ซ่านไปทั่วเมื่อลั่วชิงยวนมาถึงที่แห่งนั้นก็พบว่าปากถ้ำเปิดออกแล้วมีคนกล่าวขึ้นว่า “วันนั้นฝูเหมิ่งก็มาที่นี่!”ลั่วชิงยวนตกใจเล็กน้อยเมื่อเข้าไปในถ้ำแล้ว ภาพที่ปรากฏด้านในนั้นมิเปลี่ยนแปลงมากนัก สิ่งที่เปลี่ยนไปเพียงอย่างเดียวคือโลงศพที่ถูกล่ามโซ่นั้นระเบ
เมื่อได้ยินดังนั้น ความโลภก็ปรากฏในดวงตาของถูหมิง ใครเล่าจะมิปรารถนาสมบัติของเมืองแห่งภูตผี เขาตอบตกลงในทันที “ได้”ลั่วชิงยวนกล่าวต่อว่า “แต่การนำของสิ่งนี้มาจะต้องเผชิญกับอันตรายบ้าง ดังนั้นอาจจะต้องมีคนของเจ้าสละชีวิต”“แต่คนมากก็แบ่งกันได้น้อย คนตายไปบ้างก็มิจำเป็นต้องสนใจความเป็นความตายของพวกเขา”“ความลับนี้ข้าบอกเพียงเจ้าเท่านั้น เจ้าอย่าได้แพร่งพรายให้ผู้ใดรู้เชียว”“โดยเฉพาะฉีเสวี่ยเวย”เมื่อได้ยินดังนั้นถูหมิงก็หันกลับไปมอง แต่ไหนแต่ไรมาเขาก็มิเคยสนใจความเป็นความตายของคนเหล่านั้นอยู่แล้ว“หาได้มีปัญหาไม่!”ถูหมิงรับปากอย่างง่ายดาย แต่ลั่วชิงยวนกลับยังคงระแวดระวัง “ยังมีเรื่องที่ต้องบอกเจ้าอีกอย่าง กองทัพของเมืองแห่งภูตผีถูกพวกข้าปลุกปั่นแล้ว คาดว่าอีกมินานคงไล่ตามมา”“ก่อนที่จะหาของทั้งหกชิ้นพบ อย่าได้คิดที่จะทำสิ่งใดนอกเหนือจากนี้ ท้ายที่สุดแล้ว พวกเราต้องร่วมมือกันต่อสู้กับศัตรู หากถูกพวกมันจับได้คงไม่มีใครมีจุดจบที่ดี”สีหน้าของถูหมิงเปลี่ยนไปเล็กน้อย มิคาดคิดว่าสตรีผู้นี้จะเก่งกาจมากถึงเพียงนี้ กระทั่งปลุกกองทัพของเมืองแห่งภูตผีขึ้นมาได้ดูเหมือนว่าสิ่งที่นางต้