“เพราะเหตุการณ์กลียุควังหลัง”“แต่เหตุการณ์กลียุควังหลัง พระชายาหลีก็ถูกใส่ร้าย ทั้งหมดเป็นฝีมือของไทเฮา! นางใส่ร้ายพระชายาหลีเพื่อกำจัดศัตรู ทำให้เกิดกลียุควังหลัง มีคนบริสุทธิ์ล้มตายนับมิถ้วน”“นางมีสายเลือดบริสุทธิ์ เป็นคนของแคว้นเทียนเชวีย ชาติตระกูลก็มิธรรมดา แต่สุดท้ายแล้ว นางทำให้บ้านเมืองสงบสุขได้หรือเพคะ?”“ท่านก็ยังต้องให้ฟู่เฉินหวนเป็นอ๋องผู้สำเร็จราชการแผ่นดิน เพื่อถ่วงดุลอำนาจของตระกูลเหยียนมิใช่หรือเพคะ?”เมื่อลั่วชิงยวนเอ่ยเช่นนี้ จักรพรรดิสูงสุดก็ชะงักรู้สึกตกใจมิรู้ว่าจะโต้แย้งอย่างไรไปครู่หนึ่งสิ่งที่ลั่วชิงยวนพูดล้วนถูกต้อง เขาเกือบจะถูกโน้มน้าวแล้วแต่เมื่อนึกถึงวันที่ฟู่เฉินหวนมาเข้าเฝ้า แล้วให้เขาดูบาดแผล บอกว่ามิรู้ว่าตัวเองจะมีชีวิตอยู่ได้อีกนานเท่าใดแคว้นเทียนเชวียมิสามารถมีจักรพรรดิที่อาจจะสิ้นพระชนม์ได้ทุกเมื่อได้ดังนั้น เขาจึงเป็นได้เพียงอ๋องผู้สำเร็จราชการแผ่นดิน คอยช่วยเหลือฟู่อวิ๋นโจวให้ขึ้นครองราชย์ เพื่อให้แคว้นเทียนเชวียสงบสุขตลอดไปแต่สิ่งที่ปรารถนาเพียงหนึ่งเดียวคือ มิอยากให้ลั่วชิงยวนต้องลำบากด้วยจักรพรรดิสูงสุดยึดมั่นในใจลั่วชิง
เหยียนหน่ายซินแย้มยิ้ม “มิเคยมีสิ่งใดที่ข้าต้องการแล้วมิได้”“ที่ได้ทุกสิ่งทุกอย่างมาครองในวันนี้ ก็ต้องขอบคุณเจ้าที่ปฏิเสธข้าครั้งแล้วครั้งเล่า”ลั่วชิงยวนยกยิ้มจาง “มิเป็นอะไร”“เพียงแต่ตำแหน่งฮองเฮานั้นมิใช่ตำแหน่งที่จะครองได้ง่าย ๆ เช่นกัน”เหยียนหน่ายซินหัวเราะอย่างมั่นใจ “ข้าไร้ซึ่งความรัก ไร้ซึ่งความผูกพัน ย่อมมิถูกเรื่องเหล่านั้นรบกวน ตำแหน่งฮองเฮานั้นไม่มีสิ่งใดที่ควบคุมมิได้”“ข้ามิเหมือนเจ้าที่จมปลักอยู่กับความรัก”ลั่วชิงยวนมิใส่ใจ เพียงแค่หัวเราะเบา ๆ “ความปรารถนาของมนุษย์นั้นไม่มีที่สิ้นสุด เมื่อเจ้าได้ตำแหน่งฮองเฮาแล้วก็จะอยากได้มากขึ้นไปอีก”“ข้ายอมรับในความโหดเหี้ยมและเล่ห์เหลี่ยมของเจ้า หวังว่าเจ้าจะทำตามที่พูดและเป็นฮองเฮาที่ดีได้”“ฟู่เฉินหวนมิได้มีใจคิดอยากได้บัลลังก์ ขอให้เจ้าเมตตาปล่อยเขาไปเถิด”เหยียนหน่ายซินยกยิ้ม “ถึงตอนนี้ เจ้าก็ยังคงคิดถึงเขา”“ฟู่อวิ๋นโจวเพิ่งขึ้นครองราชย์ เขายังไม่มีฐานอำนาจในราชสำนัก แคว้นเทียนเชวียเพิ่งผ่านความวุ่นวาย ยังมีอีกหลายสิ่งที่ต้องทำ”“ตอนนี้แคว้นเทียนเชวียยังขาดฟู่เฉินหวนมิได้ พวกข้าจะมิทำอะไรเขา”“วันนี้ที่ข้ามาก็
ฟู่อวิ๋นโจวมิยอมแพ้แม้แต่น้อยจักรพรรดิสูงสุดก็ตกใจมาก ฟู่อวิ๋นโจวเหมาะสมที่จะเป็นจักรพรรดิมากกว่าฟู่จิ่งหานจริง ๆ เขามีบารมีและความกล้าหาญต่อหน้าตัวเขาเองก็ยังกล้าที่จะยืนหยัดในสิ่งที่ตนเองคิด มิยอมแพ้เพียงแต่เรื่องของลั่วชิงยวนนั้นมิอาจตามใจเขาได้ก่อนที่จักรพรรดิสูงสุดจะกล่าว ลั่วชิงยวนก็ลุกขึ้นด้วยความมิพอใจ “แม้ท่านจะต้องการ หม่อมฉันก็จะมิแต่งงานกับท่าน”“หากท่านยังยืนยันที่จะออกพระราชโองการนี้ สิ่งที่ท่านจะได้ก็มีเพียงแค่ศพของหม่อมฉันเท่านั้น”ลั่วชิงยวนเห็นว่าแม้แต่จักรพรรดิสูงสุดก็ห้ามฟู่อวิ๋นโจวมิได้ จึงกล่าวคำรุนแรงออกมาฟู่อวิ๋นโจวตกใจ มีสีหน้าโกรธเคือง “เหตุใดจึงมิยอมให้โอกาสข้าอีกสักครั้ง? เจ้ายังให้โอกาสฟู่เฉินหวนตั้งหลายครั้ง”“เหตุใดข้าทำผิดเพียงครั้งเดียวก็ไม่มีโอกาสแก้ตัวอีกแล้ว ลั่วชิงยวน เหตุใดเจ้าจึงมิยุติธรรมกับข้าบ้าง?”ดวงตาของฟู่อวิ๋นโจวแดงก่ำ เล็บจิกเข้าไปในฝ่ามือแน่นลั่วชิงยวนชะงักแล้วมองเขาอย่างจริงจัง “เรื่องนี้มิเกี่ยวกับว่าทำผิดหรือไม่ ตั้งแต่ต้นจนจบ หม่อมฉันถือว่าท่านเป็นเพียงสหาย”“แม้ว่าพวกเราจะยังมีความสัมพันธ์กันเหมือนเดิม หากท่านจะรั
วิธีนี้ทำร้ายลั่วฉิงมิได้ในระยะสั้นยังไม่มีวิธีแก้ปัญหานี้ เขาจึงได้แต่ให้ลั่วชิงยวนอยู่ห่างจากเขาเพื่อความปลอดภัยลั่วชิงยวนก็ตามเขามาจนถึงหน้าประตูตำหนักอ๋องแต่ฟู่เฉินหวนกลับเดินเข้าประตูไป แล้วปิดประตูใส่หน้านางโดยมิหันกลับมามองลั่วชิงยวนมีสีหน้าอิดโรยซีดเซียว เมื่อมองภาพนั้น หัวใจเขาก็เจ็บปวดจนเกือบจะร้องไห้ออกมาเขารู้ว่านางตามมาตลอดนางมิยอมแพ้ ยังคงเข้าตำหนักทางประตูหลังแล้วตรงไปที่ห้องตำรานางรับใช้และทหารองครักษ์ที่พบเห็นต่างตกใจ แต่ก็ไม่มีใครขัดขวางเมื่อมาถึงหน้าห้องตำรา ลั่วชิงยวนก็เอ่ยขึ้น “ฟู่เฉินหวน อย่าหลบหน้าหม่อมฉัน มีเรื่องอะไร พวกเรามาพูดกันให้ชัดเจน!”ฟู่เฉินหวนตกใจ เดินไปเปิดประตูแล้วมองนางด้วยสายตาเย็นชา “เจ้าตามเข้ามาในตำหนักได้อย่างไร”“ลั่วชิงยวน ข้าพูดชัดเจนแล้ว ข้าหย่ากับเจ้าแล้ว มิอยากเจอเจ้าอีก!”กล่าวจบ เขาก็ตะโกนเสียงดัง “ใครก็ได้!”“ไล่ลั่วชิงยวนออกไป! เอาข้าวของของนางไปทิ้งให้หมด!”“หากผู้ใดกล้าให้นางเข้าตำหนักอีก ข้าจะมิละเว้น!”จากนั้นองครักษ์ก็เข้ามา ทำท่าทางเชิญ “เชิญเถิดขอรับ”ลั่วชิงยวนมองฟู่เฉินหวนด้วยความเสียใจ “ท่านจะผลัก
ในยามที่สติเลือนราง ลั่วชิงยวนเห็นเงาร่างหนึ่งทรุดกายลงอุ้มนางขึ้น“ฟู่เฉินหวน… ในที่สุดท่านก็ยอมมาพบหม่อมฉัน...”ทว่าเสียงที่ดังขึ้นในวินาทีต่อมากลับทำให้นางรู้สึกสิ้นหวังอีกครั้ง“ข้าเอง ฟู่จิ่งหลี!”ฟู่จิ่งหลีมีสีหน้าเคร่งเครียด รีบอุ้มลั่วชิงยวนขึ้นรถม้าลั่วชิงยวนที่นอนอยู่บนรถม้าเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนแรง “ท่านมาทำอะไรที่นี่”“หากข้ามิมา เจ้าคงแข็งตายอยู่หน้าประตูตำหนักแล้ว” ฟู่จิ่งหลีกล่าวด้วยน้ำเสียงร้อนรนแล้วสั่งสารถี “เข้าวัง เร็วเข้า!”ลั่วชิงยวนดิ้นรนจะลงจากรถม้า “เรื่องของหม่อมฉัน ท่านอย่ามายุ่ง! หม่อมฉันมิเชื่อว่าเขาจะทนดูหม่อมฉันแข็งตายอยู่หน้าประตูตำหนักได้!”“หม่อมฉันเพียงต้องการคำอธิบาย!”ฟู่จิ่งหลีดึงนางกลับมา“ในเมื่อเขาตัดสินใจหย่ากับเจ้าแล้วก็จะมิเหลียวแล เขามักจะเด็ดขาดเช่นนี้มาโดยตลอด เจ้าจะดิ้นรนไปเพื่ออะไร”“ใช้ชีวิตอยู่ในวังมิดีหรือ”ฟู่จิ่งหลีก็รู้สึกอึดอัดใจลั่วชิงยวนรู้สึกหนักใจ นางมิรู้ว่าควรทำเช่นไรแล้วแต่นางรู้ว่าฟู่เฉินหวนมิใช่คนเช่นนั้นเพียงแต่นางมิรู้ว่าจะทำอย่างไร เขาจึงจะเปลี่ยนใจรถม้าแล่นเข้าวังลั่วชิงยวนถูกพากลับไปที่ตำหนักขอ
“องค์หญิง กระหม่อมชื่อจินเจา เชี่ยวชาญทั้งหมากรุก การขว้างลูกดอก การขี่ม้าและการยิงธนู หากองค์หญิงอยากจะออกไปเล่นสนุก กระหม่อมก็สามารถร่วมเล่นด้วยได้พ่ะย่ะค่ะ!”ชายหนุ่มทั้งสามมีบุคลิกลักษณะแตกต่างกัน แต่ล้วนมีรูปโฉมหล่อเหลายิ่งนักหลี่ว์โม่มีท่าทางสุภาพอ่อนโยน รอยยิ้มอบอุ่น มีกลิ่นอายของผู้แก่เรียนหลีฉีมีท่าทางรักอิสรเสรี ใบหน้าค่อนข้างเย็นชา แต่ดูแล้วก็รู้ว่ามีวรยุทธ์สูงส่งส่วนจินเจาเป็นชายหนุ่มที่ดูหยิ่งทะนง มิยึดติดในกฎเกณฑ์ลั่วชิงยวนพิจารณาดู แล้วเอ่ยด้วยความตกใจ “องค์จักรพรรดิสูงสุดทรงพาพวกเจ้ามาใช่หรือไม่?”ที่นี่คือวังหลวง หากมิใช่ขุนนาง คนภายนอกย่อมมิอาจเข้ามาได้ยิ่งเป็นการปรากฏตัวในห้องของนางด้วยหากมิได้รับอนุญาตจากจักรพรรดิสูงสุด ชายหนุ่มทั้งสามย่อมไม่มีทางที่จะทำเช่นนี้ได้“องค์หญิงทรงคาดเดาถูกต้องแล้วพ่ะย่ะค่ะ องค์จักรพรรดิสูงสุดทรงส่งพวกเรามาปรนนิบัติองค์หญิงพ่ะย่ะค่ะ”“เพียงแต่องค์จักรพรรดิสูงสุดทรงกำชับว่า ให้พวกเราแต่งกายเป็นองครักษ์เวลาเข้าออกวังพ่ะย่ะค่ะ”“ต่อไปพวกเราจะเป็นทหารองครักษ์ส่วนตัวขององค์หญิงเองพ่ะย่ะค่ะ”ลั่วชิงยวนตกใจ รีบโบกมือปฏิเสธ “ไม
แต่การกระทำของเหยียนหน่ายซินครั้งนี้นับว่าชาญฉลาด นางตรงมาแจ้งให้จักรพรรดิสูงสุดทราบเองมิต้องพูดถึงว่า เหยียนหน่ายซินมิได้ต้องการให้ตระกูลเหยียนฟื้นคืนกลับมา ต่อให้นางต้องการก็ต้องคิดถึงตัวเอง อย่าให้ตำแหน่งฮองเฮาที่เพิ่งได้มาต้องหลุดมือไป“ตัวข้าทราบแล้ว เจ้ากลับไปเถิด”จักรพรรดิสูงสุดกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยหลังจากเหยียนหน่ายซินจากไป จักรพรรดิสูงสุดก็มีรับสั่ง “ไปเชิญอ๋องผู้สำเร็จราชการเข้าวัง ข้าต้องการพบเขา”ลั่วชิงยวนมิรู้ว่าจักรพรรดิสูงสุดจะทำอะไร แต่ก็เห็นแววตาแห่งความเหี้ยมโหดซ่อนเร้นอยู่เมื่อฟู่เฉินหวนมาถึง ลั่วชิงยวนก็ออกจากห้องไปรออยู่ที่ลานตำหนักหิมะโปรยปรายจากท้องฟ้า ทันใดนั้น หลี่ว์โม่ที่กำลังกางร่มก็มายืนอยู่ข้างหลังนาง แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงอบอุ่น “องค์หญิง โปรดรักษาสุขภาพด้วยพ่ะย่ะค่ะ”ลั่วชิงยวนหันไปมองเขามิรู้ว่าจักรพรรดิสูงสุดทรงหาคนพวกนี้มาจากที่ใด ดูท่าว่าจะติดตามนางจริง ๆ“พวกเจ้ามิต้องตามข้ามาหรอก ข้าจะกราบทูลองค์จักรพรรดิสูงสุดเอง ดูแล้วพวกเจ้าก็มิใช่คนธรรมดา หากออกไปแล้วย่อมมีหนทางของตัวเอง”“วันนี้ก็เก็บของออกจากวังกันเถิด”แต่หลี่ว์โม่กลับพูด
ไทเฮาหรี่ตาลง แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “ถึงตอนนี้แล้วข้าจะทำสิ่งใดได้อีก ก็คงมีเพียงแต่หาทางออกให้กับชาติภพหน้าเท่านั้น”“เหยียนหน่ายซินมารายงานข้าอย่างเด็ดขาดเช่นนี้ ข้ายังหวังสิ่งใดได้อีก”น้ำเสียงของไทเฮาแฝงไปด้วยความสิ้นหวังฟู่เฉินหวนครุ่นคิด แล้วตอบว่า “ก็ได้”“มอบของให้กระหม่อม แล้วกระหม่อมจะให้ลั่วชิงยวนมาพบท่าน”ไทเฮาพยุงร่างตัวเองลงจากเตียงแล้วเดินไปยังมุมห้องเพื่อเปิดห้องลับฟู่เฉินหวนก้าวตามเข้าไป คบเพลิงในห้องลับถูกจุดขึ้น และส่องสว่างไปทั่วภายในห้องลับมีทรัพย์สมบัติมากมายไทเฮากล่าว “สิ่งเหล่านี้ เจ้าเอาไปได้ทั้งหมด”“อย่างไรเสีย ข้าก็ไม่มีบุญได้ใช้แล้ว”ไทเฮาพาฟู่เฉินหวนไปยังมุมห้องแล้วเปิดหีบใบใหญ่ ภายในมีสิ่งของสีดำมากมายทุกชิ้นล้วนมีร่องรอยของการถูกไฟไหม้สิ่งของเหล่านั้นล้วนเป็นข้าวของในวังหลัง“สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งเดียวที่มิได้ถูกไฟไหม้ สิ่งใดที่ขนย้ายได้ก็ขนย้ายมาทั้งหมด”ฟู่เฉินหวนมองร่องรอยการถูกไฟไหม้ ภาพเหตุการณ์อันน่าสยดสยองปรากฏขึ้นในมโนสำนึกเปลวไฟแผดเผาผู้คนมากมาย เต็มไปด้วยเสียงร้องโหยหวนและเสียงกรีดร้องนับมิถ้วนแต่พวกนางกลับหนีออกม
คืนต่อมา ลั่วชิงยวนนำรถม้ามาจอดรออยู่มิไกลจากหน้าประตูคฤหาสน์ตระกูลมู่ตามเวลา แล้วกำชับโฉวสือชีให้ดูแลรถม้าจากนั้นก็แอบเข้าไปในคฤหาสน์ตระกูลมู่เพื่อรับมู่หยวนหยวนมู่หยวนหยวนได้ทิ้งจดหมายไว้หนึ่งฉบับ ในจดหมายเขียนว่า นางมิต้องการอยู่ในคฤหาสน์อีกต่อไป และแสดงเจตจำนงว่ามิต้องการเข้าวังด้วยจากนั้นก็แอบมารอคอยลั่วชิงยวนอยู่ตรงมุมกำแพงอย่างเงียบเชียบเนื่องจากคำพูดของเวินซินถงที่บอกแก่นายท่านมู่ นายท่านมู่จึงให้ความสำคัญอย่างมาก เขาเพิ่มผู้คุ้มกันมากมายที่ด้านนอกเรือนของมู่หยวนหยวนลั่วชิงยวนใช้เวลาอยู่สักพักจึงสามารถแอบเข้าไปยังมุมด้านนอกเรือนของมู่หยวนหยวนได้“ท่านมาแล้ว” มู่หยวนหยวนตื่นเต้นยิ่งนักลั่วชิงยวนทำท่าให้เงียบ จากนั้นมอบอาภรณ์บุรุษให้นาง “รีบใส่เสีย ข้าจะได้พาเจ้าไป”มู่หยวนหยวนรีบเปลี่ยนชุดทันใดลั่วชิงยวนพานางปีนข้ามกำแพงท่ามกลางความมืด หลบหลีกผู้คุ้มกันที่เดินตรวจตรา แล้วหลบหนีออกจากคฤหาสน์ตระกูลมู่จนกระทั่งมาถึงมุมถนนก็รีบขึ้นรถม้ามู่หยวนหยวนยังคงมองกลับไปด้วยความหวาดหวั่น เมื่อรถม้าเคลื่อนตัวไปยังประตูเมือง ในใจของนางก็บังเกิดความคาดหวัง“พวกเราจะออกไปได้แ
“เรื่องอันใด?”ลั่วชิงยวนเอ่ยถึงเรื่องสำคัญ “บอกภายนอกไปว่าเจ้าแก้ไขปัญหาของตระกูลมู่ครั้งนี้ได้ และยังแก้ปัญหาเรื่องสำนักเทียนฉยงได้ด้วย ข้าจะมิแย่งความดีความชอบกับเจ้า”“และจะมิเปิดเผยความจริงให้คนอื่นรู้”เมื่อได้ยินดังนั้น เวินซินถงก็ตกตะลึง พลันมองนางด้วยความมิอยากจะเชื่อลั่วชิงยวนกล่าวต่อ “แต่ข้าต้องการให้เจ้าช่วยเหลือ”“ข้าต้องการส่งมู่หยวนหยวนออกจากเมืองหลวง ออกไปจากตระกูลมู่”“นี่เป็นสิ่งที่ข้ารับปากนางไว้”“เลยต้องการความช่วยเหลือจากเจ้า”เมื่อเวินซินถงได้ฟังดังนั้นก็ยิ่งตกตะลึง จากนั้นก็ถามว่า “นี่คือวิธีที่ท่านแก้ปัญหาเรื่องสำนักเทียนฉยงหรือ? ท่านทราบความจริงแล้วหรือ?”นี่แหละคือวิถีของศิษย์พี่น่าเสียดายที่นางไม่มีความสามารถแข็งแกร่งเท่าศิษย์พี่ จึงทำให้นางมีไม่มีความกล้าหาญเช่นนี้“ใช่” ลั่วชิงยวนมิได้ปิดบัง“บางครั้งการใช้กำลังก็มิสามารถแก้ไขปัญหาได้ทั้งหมด ท้ายที่สุดแล้ว ไม่มีผู้ใดกล้ารับประกันว่าตนเองจะชนะหรือพ่ายแพ้”“โดยเฉพาะกับสิ่งที่ร้ายกาจอย่างสำนักเทียนฉยง หากถูกพวกมันตามรังควานก็ต้องเจอไปชั่วชีวิต และการรับมือกับพวกมันจะยิ่งยากขึ้น”ลั่วชิงยวนกำชั
เวินซินถงมองคนตรงหน้าด้วยความตกใจร่างทั้งร่างแข็งทื่อไปหมด“เจ้ารู้ได้อย่างไร...”ดวงตาลั่วชิงยวนฉายแววเย็นชา “เข้าไปคุยกัน”เวินซินถงตะลึงงัน มือที่กำลังบีบคอลั่วชิงยวนค่อย ๆ คลายออกจากนั้นก็ลุกขึ้นยืนลั่วชิงยวนก็พลิกตัวลุกขึ้นตามเซี่ยหลิงที่อยู่ข้าง ๆ เห็นดังนั้นก็อดมิได้ที่จะขมวดคิ้ว มองไปยังเวินซินถง “ท่านนักบวชระดับสูง!”เขาต้องการเตือนท่านนักบวชระดับสูงว่าอย่าใจอ่อนเวินซินถงกล่าวอย่างเย็นชา “ข้ามีเรื่องจะถามนาง”“พวกเจ้ามิต้องตามมา”กล่าวจบ นางก็พาลั่วชิงยวนเข้าไปในห้องเพียงลำพังหลังจากปิดประตูแล้วเวินซินถงก็มองนางด้วยสายตาหวาดระแวง “เจ้าได้ยินชื่ออาถังมาจากที่ใด”นี่เป็นชื่อที่ศิษย์พี่ตั้งให้นาง มีเพียงศิษย์พี่และท่านอาจารย์เท่านั้นที่เคยเรียกนางด้วยชื่อนี้แล้วลั่วชิงยวนได้ยินมาจากที่ใด?ลั่วชิงยวนตัดสินใจตั้งแต่วินาทีที่เอ่ยชื่อนี้ออกมานางมิอาจควบคุมเวินซินถงได้จริง ๆ แต่ลั่วเหลาทำได้!วันนี้เวินซินถงตั้งใจจะสังหารนาง จนถึงกับสังหารคนไปก่อนแล้วสองชีวิตแต่นางมิเพียงแต่จะตายมิได้เท่านั้น ยังต้องทำตามที่รับปากฉีหงและมู่หยวนหยวนไว้ให้สำเร็จด้วยมีเพียงต้
“ลั่วชิงยวน!” เวินซินถงเดือดดาลยิ่งนักนางยกมือขึ้นตบลั่วชิงยวนลั่วชิงยวนถอยหลังในทันที แล้วยกมือขึ้นป้องกัน ต่อสู้กับเวินซินถงหลายกระบวนท่าทันใดนั้นเซี่ยหลิงก็พุ่งเข้ามาพร้อมกับเหล่าผู้คุ้มกันที่เข้ามาล้อมไว้ลั่วชิงยวนต่อต้านอย่างสุดกำลัง ต่อสู้กันอยู่ครู่หนึ่ง แต่สุดท้ายก็ถูกเวินซินถงกดไหล่จับตัวไว้ได้อย่างแน่นหนา“วันนี้มิว่าอย่างไรข้าก็จะมิปล่อยเจ้าไป! ต่อให้เฉินชีมาก็ไร้ประโยชน์!”“เซี่ยหลิง ลงมือ!”เวินซินถงออกคำสั่งด้วยน้ำเสียงเย็นชาลั่วชิงยวนหัวเราะเยาะ “ปากท่านนักบวชระดับสูงบอกว่ามิกลัวเฉินชี เหตุใดจึงให้เซี่ยหลิงลงมือ หากข้าตาย เฉินชีจะได้มาแก้แค้นเซี่ยหลิง มิแก้แค้นท่านใช่หรือไม่?”คำพูดนี้ทำให้สีหน้าของเวินซินถงและเซี่ยหลิงแปรเปลี่ยนไปเวินซินถงเหมือนถูกเปิดโปง คว้าคอนางอย่างแรงด้วยความเดือดดาล “ดี หากเจ้าอยากตายด้วยน้ำมือข้า ข้าก็จะสนองให้!”เวินซินถงบีบคอลั่วชิงยวนอย่างแรงเส้นเลือดที่หน้าผากลั่วชิงยวนปูดโปน ความรู้สึกหายใจมิออกทำให้นางตาแดงก่ำนางจับมือของเวินซินถงไว้แน่น แล้วกัดฟันออกแรงเหวี่ยงเวินซินถงลงกับพื้นลั่วชิงยวนมิลังเล กระโจนเข้าไปคร่อมเวิ
ลั่วชิงยวนไปหาโฉวสือชี ให้เขาจัดเตรียมรถม้าและสิ่งของจำเป็นสำหรับการเดินทางอีกทั้งยังวางแผนเส้นทาง หลังจากออกจากเมืองหลวงแล้วควรไปที่ใด จึงจะสามารถหลบหนีการติดตามของคนตระกูลมู่ได้ดีที่สุดหลังจากจัดการเรียบร้อยแล้ว ลั่วชิงยวนก็กลับไปยังบ้านตระกูลมู่และตอนนี้ผู้ที่รอคอยอยู่ในเรือนก็คือเวินซินถงและเซี่ยหลิงอีกทั้งยังมีผู้คุ้มกันอีกหลายสิบคนเวินซินถงนั่งอยู่บนเก้าอี้ เอ่ยปากอย่างเย็นชาด้วยท่าทางทรงอำนาจ “ถึงเวลาที่จะต้องทำตามสัญญาแล้ว”ลั่วชิงยวนชะงักเล็กน้อย มิเข้าใจความหมายของเวินซินถงนางกล่าวอย่างเย็นชา “ในเมื่อท่านนักบวชระดับสูงมาถึงที่นี่แล้ว ก็น่าจะเห็นว่าปัญหาของตระกูลมู่ได้รับการแก้ไขแล้ว”“ไม่มีคนของสำนักเทียนฉยงแล้ว”“หากจะต้องทำตามสัญญา ก็ควรเป็นท่านนักบวชระดับสูงที่ต้องทำตาม”“เหตุใดจึงทำราวกับจะลงโทษข้า?”เวินซินถงลุกขึ้นจากเก้าอี้ หัวเราะเบา ๆ “ใช่ สำนักเทียนฉยงไม่มีแล้ว”“แต่ข้าเป็นคนทำ เจ้ามีส่วนเกี่ยวข้องอะไร?”เวินซินถงยกยิ้มอย่างเย็นชา สายตาเย็นเยียบมองลั่วชิงยวน ในดวงตายังมีรอยยิ้มเมื่อคำพูดนี้หลุดออกมา ลั่วชิงยวนก็ตกตะลึงนางคาดมิถึงว่าเวินซินถงจะ
“อีกอย่างคือสำนักเทียนฉยงก็ไม่ใช่พวกดีอะไร หากมู่หยวนหยวนข้องแวะกับสำนักเทียนฉยงจะมีจุดจบเช่นไร เจ้าต้องคิดให้ดี”ลั่วชิงยวนอยากช่วยเหลือพวกเขาแต่สำหรับสถานการณ์ของฉีหง นางก็ไร้ความสามารถเขาใช้ตัวเขาเองเป็นเครื่องสังเวย หลอมรวมเข้ากับวงแหวนแห่งเวท เมื่อออกจากสภาพแวดล้อมนี้ พลังก็จะอ่อนแอลงมากมู่หยวนหยวนกลับยกยิ้มแล้วกล่าวว่า “ข้าสามารถปกป้องตนเองได้”“และจะปกป้องเขาด้วย”เมื่อเห็นสายตาแน่วแน่และเปี่ยมด้วยความหวังของมู่หยวนหยวน ลั่วชิงยวนก็สะเทือนใจบางทีเพียงแค่ได้อยู่กับคนที่รัก อุปสรรคใด ๆ ก็มิน่าหวาดกลัวนี่ทำให้ลั่วชิงยวนเจ็บปวดใจอดมิได้ที่จะนึกถึงฟู่เฉินหวนสุดท้ายแล้วเขากับนางก็ดูเหมือนจะไม่มีจุดจบที่ดี หรือว่ามิควรพบเจอกันตั้งแต่แรกเริ่มกันแน่ ช่างเป็นโชคชะตาที่เล่นตลกมิให้พวกเขาอยู่ด้วยกัน แต่กลับจัดให้พวกเขาได้พบกันเมื่อได้สติ ลั่วชิงยวนก็ข่มความเจ็บปวดในใจ และกล่าวกับฉีหง “เจ้าต้องออกจากคฤหาสน์ตระกูลมู่ไปก่อนสองวัน เพื่อให้แน่ใจว่าที่นี่ไม่มีสิ่งชั่วร้ายอยู่ที่นี่อีก”“ข้าจะให้คนไปเตรียมรถม้าและอาหาร สองวันให้หลัง ข้าจะส่งมู่หยวนหยวนออกจากเมือง”“เส้นทาง
“ข้ามิได้เห็นแก่ตัวแล้วต้องการครอบครองนางแต่เพียงผู้เดียว และมิได้มิคำนึงถึงชื่อเสียงของนางแล้วจะพานางหนีตามไป”“แต่เป็นเพราะหวงกุ้ยเฟยในวังได้ส่งมือสังหารมาลอบสังหารนางตั้งแต่ก่อนหน้านี้แล้ว”“แต่ถึงแม้บิดาของนางจะเห็นหลักฐานที่ข้ามอบให้ก็ยังมิยอมเชื่อ ยืนกรานที่จะให้นางเข้าวังไปเสี่ยงชีวิต เพื่อแสวงหาสิ่งที่เลื่อนลอยเพื่อตระกูล”ลั่วชิงยวนจดสิ่งที่ฉีหงพูดลงบนกระดาษทีละคำขณะที่ให้มู่หยวนหยวนดูก็ถามว่า “เจ้าเป็นคนของสำนักเทียนฉยงหรือ?”ฉีหงตอบ “มิใช่”“ข้าถูกบีบคั้นจนไร้ทางออก สุดท้ายจึงจำต้องเข้าร่วมสำนักเทียนฉยง มีเพียงวิธีนี้เท่านั้นจึงจะสามารถปกป้องหยวนหยวนได้”“คนที่ข้าสังหาร ไม่มีผู้ใดบริสุทธิ์สักคน”“พวกเขาปลอมแปลงข่าวสาร หลอกลวงหยวนหยวนและหลอกลวงข้า”“เมื่อวางวงแหวนแห่งเวทแล้ว หยวนหยวนออกไปมิได้ พวกเขาก็พยายามหาทางนำหยวนหยวนออกไปเพื่อส่งเข้าวัง”“ข้าทำได้เพียงเท่านี้ สังหารคนตระกูลมู่ให้สิ้น หยวนหยวนจึงจะเป็นอิสระ”“แต่ข้าคาดมิถึงว่า พวกเขาจะเชิญนักบวชระดับสูงมา”“นักบวชระดับสูงไร้ความสามารถ กลับเป็นเจ้าที่มองทะลุภาพลวงตาได้!”เมื่อกล่าวจบ ฉีหงก็ข่มขู่ “หากเจ้าคิด
นางค่อย ๆ เดินเข้าไปหา น้ำตาไหลรินอาบแก้มนางตระหนักได้แล้วว่าคำพูดของลั่วชิงยวนหมายถึงอะไรเขามาแล้ว แต่นางมองมิเห็น เช่นนั้นก็แสดงว่าเขาตายไปแล้ว“เหตุใด? หากเจ้าต้องการสังหารข้า ข้าก็ยอมตาย”“เหตุใดจึงต้องใช้วิธีเช่นนี้?”มู่หยวนหยวนพูดกับอากาศตรงหน้า น้ำตาไหลรินมิหยุดฉีหงขมวดคิ้วมุ่น มองสตรีอันเป็นที่รักตรงหน้า เขาอ้าปากแต่กลับมิเอ่ยคำใดออกมาเพราะนางมิได้ยินลั่วชิงยวนมองภาพนี้เงียบ ๆ แล้วเอ่ยขึ้นช้า ๆ “เจ้ามิได้ต้องการสังหารนางใช่หรือไม่”เมื่อได้ยินดังนั้น ฉีหงก็หันมามองลั่วชิงยวน ดวงตาฉายแววมุ่งสังหารในทันที“ใช่ คนที่ข้าต้องการสังหารคือเจ้า!”“คือพวกเจ้าทุกคน!”ฉีหงยกกระบี่ขึ้นอีกครั้ง ฟันไปยังวงแหวนแห่งเวทอย่างแรงหมายจะฝ่าออกมาท่าทางที่เปี่ยมไปด้วยจิตสังหารนั้นทำให้ผู้คนรู้สึกหวาดกลัวลั่วชิงยวนหรี่ตาลง ในที่สุดเขาก็เอ่ยปากพูดแล้วนางมิตื่นตระหนก นางเดินไปอยู่ด้านหลังมู่หยวนหยวนแล้วใช้กริชจ่อที่คอของมู่หยวนหยวนสายตามองฉีหง “หากเจ้าต้องการสังหารข้า เช่นนั้นข้าก็จะสังหารนางก่อน!”มู่หยวนหยวนตัวสั่นสะท้านลั่วชิงยวนกำลังพูดกับฉีหงอยู่หรือ?ฉีหงเห็นภาพนี้ ดว
มู่หยวนหยวนกลั้นหายใจด้วยความตื่นตระหนกในทันทีลั่วชิงยวนตบไหล่นางเบา ๆ เป็นเชิงบอกให้นางอย่าหวาดกลัว จากนั้นก็ค่อย ๆ ออกไปทางหน้าต่าง แล้วอ้อมมาด้านหน้าจึงเห็นเจ้ายักษ์ที่ถือกระบี่ตนนั้นอีกครั้งท่าทางดุดัน ดวงตาสีแดงก่ำกำลังสอดส่องหาบางสิ่งผ่านช่องว่างลั่วชิงยวนวางวงแหวนแห่งเวทในทันที คราวนี้จะพ่ายแพ้ให้มันอีกมิได้!เมื่อรับรู้ถึงอันตรายที่ใกล้เข้ามา เจ้ายักษ์นั่นก็หันกลับไปในทันทีและเห็นลั่วชิงยวนพลันยกกระบี่ยาวหลายเมตรขึ้น ฟาดลงมายังศีรษะของลั่วชิงยวนอย่างแรงลั่วชิงยวนสีหน้าแปรเปลี่ยน วงแหวนแห่งเวทยังมิเสร็จสมบูรณ์ ไร้ที่หลบนางหยิบเข็มทิศอาณัติสวรรค์ขึ้นมา ยกแขนขึ้นต้านรับกระบี่นี้ขณะนั้นเอง มู่หยวนหยวนก็วิ่งออกจากห้องด้วยความตื่นตระหนก มองไปรอบ ๆ พลางตะโกนเรียก “ฉีหง!”“เจ้าออกมานะ!”“เรามาพูดคุยกันดี ๆ เจ้าให้ข้าทำอะไรก็ได้ อย่าทำร้ายผู้บริสุทธิ์อีกเลย!”ในเวลานี้เอง เจ้ายักษ์นั่นก็หยุดมือลงในทันทีกระบี่ยาวคมกริบค้างอยู่เหนือศีรษะของลั่วชิงยวน แต่กลับมิตกลงมาลั่วชิงยวนเห็นดวงตาสีแดงก่ำของเจ้ายักษ์ซึ่งอยู่ตรงหน้าเหมือนจะกลับมาเป็นตาปกติกลิ่นอายชั่วร้ายทั่วร