ซ่งเชียนฉู่แปลกใจยิ่งนักลั่วชิงยวนจึงอธิบาย “เขาช่วยพ่อของเจ้าออกมาจากกองเพลิง นั่นคือเพลิงประกายแก้ว เป็นอันตรายถึงชีวิตสำหรับเขา” “ครั้งที่สอง ตอนที่เฉินชีล้อมพวกเรา เขาเสี่ยงชีวิตปกป้องพวกเราจากเฉินชี”ซ่งเชียนฉู่ตกใจ“ข้ารู้ว่าเขาบาดเจ็บ แต่มิคิดว่าจะเป็นเพราะเหตุนี้...” พูดจบ นางก็กล่าวขอบคุณ “ขอบคุณท่านมากนะ ชิงยวน”“ขอบคุณที่บอกข้าเรื่องนี้”“หากเป็นเช่นนี้ แล้วเขายังถูกฆ่าเพื่อเอาดีงูอีก ข้าคงอยู่มิสุขไปตลอดชีวิต” ลั่วชิงยวนตอบ “มิต้องห่วง ข้าจะนำยาไปให้เขาทุกวัน ให้เขาหายดี”ซ่งเชียนฉู่พยักหน้า ลั่วชิงยวนถามต่อ “แล้วเฉินเซี่ยวหานเล่า?” “เจ้าจะยกโทษให้เขาหรือไม่?” ซ่งเชียนฉู่มีสีหน้าหนักใจ “ไม่ ข้ามิได้ต้องการความรักเช่นนี้”“อีกอย่างคือเขาก็รับการมีอยู่ของฉู่จิ้งมิได้ ข้ามิอาจยอมให้ฉู่จิ้งต้องตายเพราะข้าได้”“จบกันเช่นนี้เถิด”แววตาของซ่งเชียนฉู่บ่งบอกถึงความโศกเศร้า เจ็บปวดหัวใจ แต่ก็ต้องกลั้นน้ำตาไว้ลั่วชิงยวนปลอบใจนางอยู่พักหนึ่งบ่ายวันนั้น ซ่งเชียนฉู่ออกจากตำหนักอ๋องแล้วกลับไปเอาสมุนไพรที่เรือนอีกแห่งลั่วชิงยวนจัดคนติดตามไปด้วยนางสองคน......
ในป่าใหญ่ ลมพัดแรงโหมกระหน่ำ ต้นไม้บางต้นที่ยังคงใบเขียวชอุ่มถูกหิมะกลบไว้หนาทึบ เมื่อร่วงหล่นลงมาทำให้เกิดเสียงดังสนั่นซ่งเชียนฉู่ลุกขึ้นจากกองหิมะ แล้วเดินทางต่อไปนางแบกตะกร้าสะพายหลัง ค้นหาสมุนไพรไปทั่วสำนักหุบเขาซีหลิงจี้เยวี่ยมีสมุนไพรล้ำค่ามากมาย ล้วนเป็นสิ่งที่บรรพบุรุษเสาะแสวงหามานางต้องรีบไขว่คว้าขณะที่ยังเยาว์วัย เดินทางไปให้ไกลสุดหล้าฟ้าเขียวเพื่อค้นหาของวิเศษ สร้างสำนักหุบเขาซีหลิงจี้เยวี่ยขึ้นใหม่บางทีการออกเดินทางท่องใต้หล้าอันกว้างใหญ่เช่นนี้ อาจช่วยให้นางลืมเรื่องราวร้าย ๆ ได้บ้างใกล้พลบค่ำ นางจึงหาถ้ำหลบพายุหิมะ แล้วก่อไฟผิงให้คลายหนาวแม้ว่าในช่วงสองสามวันแรก นางจะยังคงหวาดกลัวมาก ทั้งหวาดกลัวการอยู่เพียงลำพังในป่าเขาและหวาดกลัวอันตรายในยามค่ำคืนนี่เป็นครั้งแรกที่นางมาอยู่ในสถานที่ห่างไกลผู้คนเช่นนี้ตามลำพังแต่ก่อนมีท่านพ่อและพี่ชายอยู่เคียงข้าง ต่อมาก็มีลั่วชิงยวนและเฉินเซี่ยวหาน แม้กระทั่งราชันย์อสรพิษที่คอยคุ้มครองนางในเงามืด ก็ทำให้นางอุ่นใจบัดนี้นางสามารถทำสิ่งที่มิเคยกล้าทำได้ด้วยตัวคนเดียวส่วนเฉินเซี่ยวหานสืบหาข่าวคราวในเมืองหลวง แม้กระทั่ง
เหยียนหน่ายซินขี่ม้าผ่านหน้าลั่วชิงยวน สายตาเหลือบมองนางแวบหนึ่งสายตาสองคู่สบประสานกันเหยียนหน่ายซินกระตุกยิ้มมั่นใจจือเฉาตกใจ “เหตุใดนางจึงอยู่กับแม่ทัพเฉิน? นางมิใช่คนตระกูลเหยียนหรือเจ้าคะ?”ลั่วชิงยวนขมวดคิ้ว นางจับเหยียนหน่ายซินมิได้และคิดว่านางคงมิอยู่ในเมืองหลวงแล้วมิคิดว่าวันนี้จะได้พบกับเรื่องน่าประหลาดใจเช่นนี้แม่ทัพเฉินพาเหยียนหน่ายซินเข้าวัง มินานก็มีข่าวออกมาว่าแม่ทัพเฉินได้รับการเลื่อนขั้นเป็นแม่ทัพใหญ่ ได้รับประทานบรรดาศักดิ์ คืนความรุ่งโรจน์ให้ตระกูลเฉินลั่วชิงยวนรอฟู่เฉินหวนกลับมาจนค่ำฟู่เฉินหวนรู้ว่านางจะถามอะไร จึงตอบด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “เหยียนหน่ายซินเป็นลูกหลานตระกูลเฉิน”ลั่วชิงยวนตกใจ “ว่ากระไรนะเพคะ?”ฟู่เฉินหวนตอบ “ชื่อจริงของนางคือเฉินซินเยวี่ย”“ตอนที่ตระกูลเฉินล่มสลาย เหยียนหน่ายซินตัวจริงเป็นเพียงบุตรีอนุ ใคร ๆ ก็มิสนใจ เพื่อรักษาชีวิตเฉินซินเยวี่ย จึงให้นางสวมรอยเป็นเหยียนหน่ายซินแทน”ลั่วชิงยวนมิอยากเชื่อ “เรื่องนี้เป็นความจริงหรือเพคะ?”“เฉินฮุยซานบอกว่าเป็นความจริง”“แต่เรื่องราวผ่านมานานแล้ว ยากจะตรวจสอบได้”“เหยียนหน่ายซินหลบอยู่
แต่ยังมิทันที่ฟู่เฉินหวนจะกลับมาก็ได้รับข่าวร้ายที่มิคาดคิดเสียก่อนจักรพรรดิสวรรคต!ข่าวนี้ทำให้ลั่วชิงยวนตกใจสุดขีด “ว่ากระไรนะ? ท่านฟังผิดไปหรือไม่?”ฟู่จิ่งหลีสีหน้าเคร่งขรึม “ขุนนางได้รับหมายเรียกเข้าวังเพื่อปรึกษาเรื่องพิธีศพแล้ว!”“พี่สะใภ้สาม องค์จักรพรรดิ ที่จริงแล้วองค์จักรพรรดิมิน่าจะ... ก่อนหน้านี้ยังแข็งแรงดีอยู่เลยมิใช่หรือ!”จู่ ๆ ก็มีข่าวว่าจักรพรรดิสวรรคต ลั่วชิงยวนรับมิได้นางร้อนใจจนไอออกมา“แค่ก แค่ก แค่ก แค่ก... เข้าวัง เข้าวังไปดู!”ลั่วชิงยวนกับฟู่จิ่งหลีรีบเข้าวัง แต่ก็สายไปเสียแล้ว พระศพจักรพรรดิถูกนำไปบรรจุไว้ในโลงที่หอบรรพบุรุษลั่วชิงยวนมองโลงศพด้วยความมิอยากจะเชื่อ“เหตุใดจักรพรรดิจึงสวรรคตกะทันหัน ข้าจะเปิดหีบพระศพตรวจสอบ!”สิ้นคำของนาง เหล่าขุนนางก็ตกใจจนรีบคุกเข่าลง “มิได้ขอรับพระชายา นี่เป็นการลบหลู่องค์จักรพรรดิ!”“หากพระชายาหีบพระศพ พวกเราต้องตายกันหมด!”ฟู่จิ่งหลีมองโลงศพพลางกำมือแน่นลั่วชิงยวนกัดฟันพูด “หากมีผู้ใดจะเอาผิด ข้ารับผิดชอบเองแต่เพียงผู้เดียว!”“องค์ชายเจ็ด ช่วยหม่อมฉันที!”ฟู่จิ่งหลีพยักหน้า ทั้งสองช่วยกันจะเปิดฝาโลงเห
ทันใดนั้น ฟู่เฉินหวนก็ปรากฏกายขึ้นท่ามกลางพายุหิมะ เสื้อคลุมโบกสะบัดท่ามกลางสายลม กลิ่นอายดุดันน่าเกรงขาม“เสด็จพี่ ที่นี่คือสถานที่เช่นไร ท่านน่าจะทราบดี แม้แต่เสด็จพ่อก็ไม่มีทางอนุญาตให้เปิดหีบพระศพในที่แห่งนี้”“มิเพียงเป็นการลบหลู่องค์จักรพรรดิเท่านั้น แต่ยังเป็นการลบหลู่บรรพบุรุษของเราด้วย!”“เสด็จพี่เป็นถึงผู้สำเร็จราชการ น่าจะเข้าใจกฎระเบียบนี้ดีกว่ากระหม่อม” ฟู่อวิ๋นโจวพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาฟู่เฉินหวนมองโลงศพด้วยแววตาซับซ้อน “ข้าเคยบอกแล้ว ข้าสามารถส่งเจ้าขึ้นสู่ตำแหน่งนี้ได้ก็สามารถดึงเจ้าลงมาได้”“เจ้าอย่าให้ข้าหาหลักฐานมาได้ก็แล้วกัน”พูดจบ ฟู่เฉินหวนก็จูงมือลั่วชิงยวนจากไปอย่างรวดเร็วฟู่จิ่งหลีจ้องมองฟู่อวิ๋นโจวอย่างเย็นชา ก่อนจะรีบตามไปลมหนาวพัดแรง ลั่วชิงยวนสูดลมหายใจเข้าแล้วไอออกมาอีกฟู่เฉินหวนรีบหยุดเดิน แล้วสวมหมวกคลุมให้นาง ก่อนจะรีบโอบไหล่นางเดินจากไป“ฟู่จิ่งหานจากไปแล้วจริงหรือเพคะ?” ลั่วชิงยวนยังคงทำใจรับมิได้ฟู่เฉินหวนมิตอบ สีหน้าเคร่งขรึมแต่ความเงียบของเขาก็ถือเป็นคำตอบเช่นกันลั่วชิงยวนกัดฟันพูด “หม่อมฉันมิคิดเลยว่าเขาจะมีจิตใจเหี้ยมโหดถึงเพ
“พระชายาเป็นอะไรไปเจ้าคะ?”หัวใจของลั่วชิงยวนพลันเต้นระรัวด้วยความตระหนก รีบตรวจชีพจรตัวเองอีกครั้งนาง...ตั้งครรภ์แล้วข่าวนี้ควรเป็นที่น่ายินดีทว่าในยามนี้กลับทำให้ลั่วชิงยวนร้อนรุ่มใจนักเหตุใดจึงต้องเป็นเวลานี้ร่างกายของนางบาดเจ็บสาหัส อ่อนแอเสียจนมิอาจใช้เข็มทิศอาณัติสวรรค์ได้“พระชายา?”ลั่วชิงยวนฝืนยิ้ม ใบหน้าซีดเซียว “มิเป็นอะไร เจ้าออกไปเถิด”“ข้าขอพักสักครู่”ลั่วชิงยวนเช็ดคราบเลือด แล้วล้มตัวลงนอนจือเฉาจัดแจงที่นอนและห่มผ้าให้นาง “หากพระชายาต้องการสิ่งใด เรียกบ่าวได้เลยนะเจ้าคะ”จือเฉากล่าวจบก็ถอยออกจากห้อง แต่ในใจยังคงกังวลมิหายลั่วชิงยวนนอนบนเตียง อย่างไรก็มิอาจข่มตาหลับลงได้นางมิรู้ว่าควรทำเช่นไร การเกิดขึ้นของชีวิตน้อย ๆ นี้ช่างมิถูกเวลาเอาเสียเลยแล้วก็มิรู้ว่าควรบอกข่าวนี้แก่ฟู่เฉินหวนหรือไม่ฟู่จิ่งหานสิ้นชีพแล้ว ก้าวต่อไปฟู่อวิ๋นโจวก็คงหมายมั่นจะขึ้นครองราชย์ หากเขาได้เป็นจักรพรรดิแล้ว นางมิอาจคาดเดาได้ว่าเขาจะทำสิ่งใด เข็มทิศอาณัติสวรรค์ก็มิอาจทำนายได้ดูท่าทุกสิ่งล้วนเป็นลิขิตสวรรค์บัดนี้ฟู่เฉินหวนมีภาระมากมาย นางจึงเลือกที่จะมิบอกเขา เพ
“เฉินชี! ปล่อยข้า! เจ้าจะพาข้าไปที่ใด!” ลั่วชิงยวนดิ้นรนสุดกำลังเฉินชีโอบอุ้มนางไว้ด้วยมือเดียว เหินทะยานไปบนหลังคา มุ่งหน้าออกจากเมืองหลวงโดยพลันท่ามกลางพายุหิมะ รอบด้านขาวโพลนพร่าเลือน ลั่วชิงยวนสวมใส่เสื้อผ้าเนื้อบางเบา เมื่อต้องเผชิญกับลมหนาวจัดใบหน้าก็ซีดเผือด สติเลื่อนลอยมิรู้ว่าต้องทนหนาวอยู่ท่ามกลางสายลมเช่นนี้เนิ่นนานเพียงใดกระทั่งถึงกระท่อมมุงจากหลังหนึ่งบนภูเขานอกเมือง เฉินชีจึงวางลั่วชิงยวนลง นางทรุดลงกับพื้นทันที ร่างกายเย็นเยียบ ขดตัวด้วยความหนาวเหน็บ สติเลือนรางเต็มทีเมื่อเฉินชีเห็นดังนั้น สีหน้าของเขาพลันเปลี่ยน รีบอุ้มนางเข้าไปในกระท่อมแล้ววางลงบนเตียง ก่อนจะห่มผ้าให้แล้วรีบก่อไฟในห้อง อุณหภูมิในห้องจึงค่อย ๆ อุ่นขึ้นเฉินชีเดินมาข้างเตียง แล้วเอามือแตะหน้าผากลั่วชิงยวนจึงพบว่าร้อนจัดเฉินชีขมวดคิ้ว “เหตุใดร่างกายเจ้าจึงอ่อนแอถึงเพียงนี้ เพียงแค่ลมหนาวก็ทนมิได้”กล่าวจบ เขาก็รีบออกไปเก็บสมุนไพรบนภูเขาด้วยสีหน้าเคร่งขรึม…...ยามราตรีเสียงลมหนาวพัดหวีดหวิว ทหารองครักษ์ล้อมห้องทรงพระอักษรไว้แน่นหนาฟู่เฉินหวนผู้สวมเสื้อคลุมยาวมาถึงด้วยท่าทางองอาจขณะ
เหตุใดแม้แต่ลั่วฉิงก็สามารถควบคุมเขาได้!เหตุใดกัน!ลั่วฉิงกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “ท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการ ท่านสามารถขวางฟู่อวิ๋นโจวมิให้ขึ้นครองบัลลังก์ได้ แต่ท่านแน่ใจหรือว่าท่านจะต้านทานฤทธิ์ยาควบคุมนี้ได้?”“ข้าจะพูดอีกครั้ง ปล่อยฟู่อวิ๋นโจว!”ฟู่เฉินหวนพยายามต่อต้านคำสั่ง แต่สิ่งที่ตามมาก็คือความเจ็บปวดแสนสาหัสเขารู้ว่าหากยังเป็นเช่นนี้ต่อไป ร่างกายของเขาคงทนมิไหวแล้วเขาจึงมิต่อต้านอีกได้แต่พยุงร่างตัวเองเดินออกจากห้องทรงพระอักษรอย่างยากลำบาก“ใครก็ได้!”“ท่านอ๋อง!”“ปล่อยฟู่อวิ๋นโจว”ในมิช้าฟู่อวิ๋นโจวก็กลับมาเขาเอามือไพล่หลัง เดินเข้ามาอย่างสงบนิ่ง จากนั้นมองเลือดที่มุมปากของฟู่เฉินหวน แล้วกล่าวอย่างแผ่วเบาว่า “เสด็จพี่ วันนี้ท่านถูกอาคมล่อลวงเสียหรือ?”“เป็นลั่วชิงยวนที่ใช้อาคมล่อลวงท่านใช่หรือไม่?”น้ำเสียงของฟู่อวิ๋นโจวเย็นยะเยือก ทำให้สีหน้าของฟู่เฉินหวนเปลี่ยนไปแล้วมองเขาด้วยความตกใจ“เจ้าคิดจะทำอะไร!”ดวงตาของฟู่อวิ๋นโจวเย็นชา ขณะพูดเสียงแผ่วเบาว่า “ข้าต้องการให้เสด็จพี่... หย่ากับลั่วชิงยวน”“เรื่องวันนี้ ข้าสามารถพูดได้ว่าเป็นความเข้าใจผิด”“ม
ภายในห้องบรรทมอันโอ่อ่าฉินอี้เดินมาที่ข้างเตียงด้วยร่างกายที่เต็มไปด้วยบาดแผลยามนี้เกาเหมียวเหมี่ยวได้ทำแผลและกินโอสถเรียบร้อยแล้ว แต่ใบหน้าของนางยังคงซีดอยู่เล็กน้อยเมื่อเห็นฉินอี้เดินมาหาด้วยใบหน้าฟกช้ำและเปื้อนเลือด เกาเหมียวเหมี่ยวจึงมองเขาด้วยความมิอยากเชื่อ“ท่านแพ้ลั่วชิงยวนรึ?”ฉินอี้ขมวดคิ้วเป็นปม พลางมองบาดแผลของเกาเหมียวเหมี่ยวด้วยความกังวลและพูดว่า “เหมียวเหมี่ยว บาดแผลเจ้าสาหัสมาก ช่วงสองวันนี้เจ้าควรพักผ่อนให้ดีก่อน อย่าเพิ่งเดินไปไหนมาไหนเลย”ทว่าเกาเหมียวเหมี่ยวกลับมิได้สนใจในความห่วงใยของฉินอี้นางจ้องมองฉินอี้ด้วยความโมโหแล้วยกฝ่ามือฟาดไปหนึ่งฉาดฉินอี้มิประหลาดใจแม้แต่น้อย แต่กลับมองเกาเหมียวเหมี่ยวด้วยสีหน้าจริงจังและเป็นห่วง“เหมียวเหมี่ยว...”เกาเหมียวเหมี่ยวโมโหมากจนเอามือฟาดเขาสองครั้งติดต่อกันและแสดงความเกรี้ยวกราดออกมา “ขยะไร้ค่า! ขยะไร้ค่า!”“ท่านเป็นถึงองค์ชายผู้สูงส่ง แต่กลับถูกลั่วชิงยวนจัดการจนมีสภาพเช่นนี้ อับอายจนมิรู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ใด!”เกาเหมียวเหมี่ยวโกรธจนแทบอยากจะฉีกลั่วชิงยวนเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยดวงตาของฉินอี้หรี่ลง แต่กลับมิได
แต่ขณะที่ทั้งสองคนกำลังต่อสู้กันอย่างสูสีวิชาฝ่ามือที่จู่โจมเข้ามาอย่างฉับพลันของลั่วชิงยวนทำให้ฉินอี้มิทันตั้งตัว เขาถูกรัวหมัดใส่อย่างต่อเนื่องจนลอยกระเด็นออกไป และกระอักเลือดออกมาการต่อสู้สิ้นจบลงในพริบตาเดียวหลายคนที่อยู่รอบด้านล้วนเห็นมิชัด“เมื่อครู่เกิดกระไรขึ้น?”“ต่อสู้กันอยู่มิใช่หรือ? เหตุใดจู่ ๆ ฉินอี้ถึงแพ้ได้เล่า?”ลั่วชิงยวนมองฉินอี้ด้วยสายตาเย็นชา “ดูเหมือนวรยุทธ์ขององค์ชายใหญ่จะเป็นอย่างที่คนเขาลือกันนะเพคะ”เทียบกับคนทั่วไปแล้ว วรยุทธ์ของฉินอี้ก็ถือว่ามิได้อ่อนด้อยเลยแต่สำหรับคนที่เป็นถึงองค์ชายนั้นช่างดูอ่อนแอนักเมื่อครู่ที่ลั่วชิงยวนลองทดสอบ ดูเหมือนว่าเขายังคงมีทักษะวรยุทธ์แบบเดียวกับที่เคยเรียนมาเมื่อก่อน และมิได้มีความก้าวหน้ามากนักเป็นเช่นนี้ได้อย่างไรหากฉินอี้เพียรพยายามมากกว่านี้ ผลลัพธ์ก็คงมิเป็นเช่นนี้ฉินอีจ้องนางด้วยโทสะ ดูเหมือนจะเจ็บใจที่วรยุทธ์ของตนอ่อนด้อยเกินไป ทำให้เสียงวิพากษ์วิจารณ์รอบข้างยิ่งบาดหูมากขึ้นไปอีกเขากัดฟันพลางกำหมัดแน่น และพุ่งเข้าหาลั่วชิงยวนอย่างดุร้ายเขามิยอมพ่ายแพ้เช่นนี้หรอกแต่เขากลับมิสามารถเอาชนะลั่วชิงย
ลั่วชิงยวนตกตะลึง อารมณ์ความรู้สึกของนางดำดิ่งเป็นไปตามที่นางคาดเดาเอาไว้ว่ามิเหลือแม้แต่ศพอย่างนั้นหรือ?“มิพบศพด้วยซ้ำ” อวี๋โหรวกล่าวเสียงขรึมดวงตาของลั่วชิงยวนหม่นลง ดูเหมือนว่าร่างนั้นจะถูกกำจัดไปแล้วจริง ๆ ส่วนจะกำจัดอย่างไรและทิ้งไว้ที่ไหน บางทีอาจมีเพียงฆาตกรเท่านั้นที่รู้“น่าเสียดายจริง ๆ” ลั่วชิงยวนทอดถอนใจด้วยความเสียดายอวี๋โหรวจ้องนางด้วยสายตาจริงจังและพูดอย่างหนักแน่น “มิน่าเสียดายหรอก ข้าเชื่อว่าเจ้าจะกลายเป็นนางคนต่อไป!”ทันใดนั้น สายตาที่จริงจังของอวี๋โหรวก็ทำให้ลั่วชิงยวนรู้สึกเย็นวาบไปถึงสันหลังและยังสงสัยด้วยว่าอวี๋โหรวจะสังเกตเห็นอะไรบางอย่างหรือไม่ทว่าแม้แต่ศิษย์น้องหญิงก็จำนางมิได้ อีกทั้งอวี๋โหรวก็มิได้สนิทสนมกับนาง แล้วจะจำนางได้อย่างไรลั่วชิงยวนยิ้มและกล่าวว่า “ข้าจะถือว่านั่นคือคำปลอบใจก็แล้วกัน”อวี๋โหรวพูดอย่างจริงจัง “ข้ามิได้ปลอบใจเจ้า ข้าพูดจริง”หลังจากนั้น อวี๋โหรวก็ยิ้มอีกครั้งและพูดว่า “ทางข้ายังพอมียาอยู่บ้าง หากเจ้าต้องการอะไรก็บอกข้าได้เลย”ลั่วชิงยวนมิค่อยเข้าใจว่า เหตุใดอวี๋โหรวถึงทำดีกับนางนางมิค่อยรู้จักอวี๋โหรวมากนัก ในภาพจ
หรือเป็นเพราะเขาเชื่อมั่นในพลังความแข็งแกร่งของลั่วชิงยวน?แต่เมื่อมาครุ่นคิดดูตอนนี้ สตรีที่สามารถทำให้เซินฉีหลงใหลได้ถึงเพียงนี้คงไม่มีทางที่จะเป็นขยะไร้ค่าแม้จะมิได้แข็งแกร่งกว่าเฉินชี แต่ก็เป็นคนที่สามารถต่อกรกับเขาได้อย่างสูสีเพราะเช่นนี้เขาจึงมิแลเกาเหมียวเหมี่ยวเลยด้วยซ้ำ……เมื่อกลับมาถึงห้องลั่วชิงยวนก็นั่งลงพักผ่อนเฉินชีเดินตามเข้ามาและนั่งลงข้าง ๆ นาง พร้อมกับรินชาสองจอก“สมแล้วที่เป็นอาเหลา มีเพียงเจ้าเท่านั้นที่กล้าทำให้เกาเหมียวเหมี่ยวตกอยู่ในสภาพเช่นนั้น! ข้าชอบ!” มีแสงประกายเจิดจ้าส่องสว่างในดวงตาของเฉินชีสายตาของเขาดูเหมือนอยากจะกลืนกินลั่วชิงยวนเข้าไปทั้งตัวลั่วชิงยวนพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา “เกาเหมียวเหมี่ยวได้รับบาดเจ็บสาหัส ฝ่าบาทกับฮองเฮาคงมิยอมปล่อยข้าไปแน่ คงต้องให้เจ้าช่วยออกหน้าให้แล้ว”เฉินชียิ้มมุมปาก “วางใจได้ มีข้าอยู่ทั้งคน”ลั่วชิงยวนที่ยังกังวลอยู่เล็กน้อยกำชับด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “เฉินชี ครั้งนี้เจ้าจะยืนนิ่งดูดายอีกมิได้แล้ว เพราะหากข้าตาย แผนทั้งหมดของเจ้าก็จะสูญเปล่า”“ใต้หล้านี้ไม่มีลั่วเหลาคนที่สองหรอกนะ”เฉินชีพยักหน้าอย่างจริงจ
เลือดสด ๆ ยังคงไหลมิหยุด ไหลนองไปตามร่องลึกของลวดลายวงเวทบนพื้นดินคาดมิถึงว่ามันจะค่อย ๆ ทำให้อักษรเวทของวงเวทส่องแสงขึ้นจากนั้นหมอกสีเขียวจาง ๆ ก็กระจายฟุ้งอยู่รอบตัวลั่วชิงยวนสิ่งเหล่านั้นล้วนเป็นไอโอสถทั้งสิ้นหอรักษ์ดาราแห่งนี้ยังเป็นสถานที่ที่สามารถกลั่นไอโอสถจากเลือดได้ และไอโอสถเหล่านี้ก็สามารถรักษาร่างกายที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสได้ลั่วชิงยวนหลับตาและสูดลมหายใจด้วยความเพลิดเพลิน ทำให้ร่างกายที่ปวดร้าวของนางดูเหมือนจะผ่อนคลายลงนี่อาจจะเป็นความหมายของการมีอยู่ของแท่นประลองหอรักษ์ดาราแต่ไอโอสถนี้ก็จางลงอย่างรวดเร็วลั่วชิงยวนปล่อยเกาเหมียวเหมี่ยว นางยืนขึ้นพร้อมกับยืดเส้นยืดสาย และเดินลงจากแท่นประลองคนอื่นที่อยู่รอบ ๆ ต่างมองมาที่นางด้วยสายตาที่หวาดกลัวมากขึ้น และพวกเขาก็มิกล้าพูดจาดูถูกเหยียดหยามนางเหมือนก่อนหน้านี้อีกต่อไปแล้วลั่วชิงยวนกวาดตามองอย่างเรียบเฉย จากนั้นก็มองไปที่เฉินชีด้วยสายตาลึกซึ้งแล้วเดินจากไปเกาเหมียวเหมี่ยวที่ได้รับบาดเจ็บถูกปลดแส้ออกอย่างรวดเร็วและถูกช่วยลงจากแท่นประลอง นางกัดฟันแน่นพลางจ้องตามหลังลั่วชิงยวนที่กำลังเดินออกไปครู่ต่อมา นางก็เห
“โอ้สวรรค์ ข้าคงมิได้ตาลายใช่หรือไม่?”“นางไปเอาความกล้ามาจากที่ใดกัน!”ทุกคนในเมืองหลวงต่างรู้ดีว่าเกาเหมียวเหมี่ยวคือใครนางมิเพียงมีสถานะองค์หญิงที่สูงส่งเท่านั้น แต่ยังมีโอกาสที่จะได้สืบราชบัลลังก์ในภายภาคหน้าอีกด้วยเนื่องจากองค์ชายใหญ่มีความสามารถปานกลาง จึงมิเป็นที่โปรดปรานขององค์จักรพรรดิและฮองเฮา ทว่าองค์หญิงผู้นี้กลับแข็งแกร่งและไร้ความปรานี จึงได้รับความโปรดปรานจากพวกเขาไม่มีใครในเมืองหลวงกล้าขัดใจนางเว้นเสียแต่ เฉินชีเพราะนางชอบเขาทว่าแม้จะเป็นเฉินชี แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าคนอื่นเขาก็ให้เกียรตินางมากลั่วชิงยวนผู้นี้กล้ามากถึงขั้นเหยียบย่ำองค์หญิงต่อหน้าธารกำนัลมากมายเช่นนี้!เกาเหมียวเหมี่ยวพยายามดิ้นพร้อมกับก่นด่าไปด้วย “ลั่วชิงยวน ปล่อยข้าเดี๋ยวนี้! หากเจ้ามิปล่อยข้า ข้าจะทำให้เจ้าตายจนหาที่ฝังมิได้เลยคอยดู!”“ท่านนี่พูดมากนัก เงียบเสีย!”ลั่วชิงยวนมองนางด้วยสายตาเย็นชา พลางคว้าแส้แล้วดึงมันอย่างแรงทันใดนั้นแส้ที่คอของเกาเหมียวเหมี่ยวก็รัดแน่นขึ้นบังคับให้เกาเหมียวเหมี่ยวต้องเชิดหน้าขึ้นสูงแต่ยังคงถูกแส้รั้งไว้จนหน้าแดงนางหายใจมิออกจนเส้นเลือดแตกและตา
ลั่วชิงยวนถูกแส้ฟาดจนกระอักเลือด ทำให้อาภรณ์ชุดขาวของนางมีรอยเปื้อนสีแดงมีรอยแส้ที่น่าสะเทือนใจพาดอยู่บนหลังของนางเป็นเส้น ๆทุกคนที่อยู่รอบนอกต่างรู้สึกหวาดกลัวมีคนที่อดมิได้ที่จะกระซิบขึ้นว่า “มิยุติธรรมเลย คนหนึ่งมีอาวุธ แต่อีกคนไม่มี นี่มันจงใจแกล้งกันชัด ๆ มิใช่หรือ”“ชู่! พระนางเป็นองค์หญิง ถึงพระนางจะจงใจฆ่าลั่วชิงยวน แล้วใครจะพูดอะไรได้ ระวังไว้เถิด หากนางจับได้ เจ้าได้เดือดร้อนแน่”ทุกทิศมีแต่ความเงียบงันไม่มีใครกล้าพูดอะไรใครใช้ให้เกาเหมียวเหมี่ยวเป็นองค์หญิงเล่า?นางคือองค์หญิงที่ได้รับความโปรดปรานมาตั้งแต่ยังเล็กนางกลายเป็นคนเย่อหยิ่งบ้าอำนาจ และวิธีการของนางเลวทรามมิน้อยไปกว่าเฉินชีเลยทุกคนในที่นี้ล้วนไม่มีใครกล้าขัดทว่ามีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่สามารถช่วยลั่วชิงยวนได้ แต่คนผู้นั้นกลับนั่งนิ่งอยู่บนเก้าอี้ พลางมองลั่วชิงยวนที่ถูกฟาดบนพื้นจนร่างกายเต็มไปด้วยเลือดมีแสงประกายเจิดจ้าอยู่ในดวงตาของเขาและเจือไปด้วยความยินดีปรีดาลั่วชิงยวนกลิ้งไปบนพื้นและทันใดนั้นก็กระอักเลือดออกมาเต็มปากนางเงยหน้าขึ้นมาและเห็นสายตาที่แสดงถึงความตื่นเต้นดีใจของเฉินชี เขาม
“สตรีนางนี้ตอบสนองได้รวดเร็วยิ่งนัก”“การตอบสนองเร็วเป็นเรื่องหนึ่ง แต่การเอาชนะคู่ต่อสู้ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง”“พลังความสามารถของจั๋วฉ่างตงนั้นสูงมาก แม้แต่บรรดาคนที่อยู่ที่นี่ก็ยังมีเพียงมิกี่คนเท่านั้นที่สามารถเอาชนะนางได้”ผลลัพธ์ของการประลองครั้งนี้ ไม่มีอะไรให้ต้องลุ้นแล้วทว่าขณะที่ทุกคนกำลังพูดคุยกัน ทันใดนั้นจั๋วฉ่างตงก็ล้มลงอย่างแรงเมื่อทุกคนจ้องมองไปและแน่ใจว่าคนที่ลอยตกลงมาคือจั๋วฉ่างตง พวกเขาก็พากันตกตะลึงงัน“ข้าเห็นมิชัดเลย จั๋วฉ่างตงกระเด็นออกไปได้อย่างไรกัน?”ทุกคนต่างสงสัยจั๋วฉ่างตงกระอักเลือดและเงยหน้ามองคนผู้นั้นด้วยความตกตะลึง ดวงตาของนางเยือกเย็นจนน่าหวาดกลัวเป็นไปได้อย่างไรกันนางเป็นขยะไร้ค่ามิใช่รึคราวก่อนที่ส่งคนไปทดสอบ ก็เห็นอยู่ชัด ๆ ว่าไม่มีพลังที่จะรับมือได้เลย เป็นไปมิได้ที่จู่ ๆ นางจะเปลี่ยนมาร้ายกาจถึงเพียงนี้!จั๋วฉ่างตงมิยอมรับ นางดีดตัวขึ้นและพุ่งไปหาลั่วชิงยวนอีกครั้งดวงตาของลั่วชิงยวนเปลี่ยนเป็นเย็นชา ร่างกายของนางเคลื่อนไหวรวดเร็วจนกลายเป็นภาพลวงตา พลางปล่อยหมัดออกมาซ้ำแล้วซ้ำเล่าลั่วชิงยวนต่อยจั๋วฉ่างตงอย่างรุนแรงจนกระเด็น จากน
“ได้ยินมาว่านางจะประลองกับจั๋วฉ่างตงที่หอรักษ์ดาราในวันพรุ่ง”แม้หลายปีมานี้จั๋วฉ่างตงจะมิได้ดำรงตำแหน่งขุนนางใด ๆ แต่กำลังความสามารถของนางก็ถือว่าโดดเด่นที่สุดในบรรดาคนรุ่นเดียวกันอย่างแน่นอน“แล้วเจ้ามิช่วยนางเล่า? เหตุใดจึงปล่อยให้นางขโมยโอสถทะลวงปราณไป?”ขณะนี้ เฉินชีที่อยู่ในห้องเดินออกมาอย่างช้า ๆ พร้อมมองไปยังทิศทางที่ลั่วชิงยวนหนีไปด้วยดวงตาที่เป็นประกายริมฝีปากของเขาเผยรอยยิ้มชั่วร้ายออกมา“ข้าชอบที่เห็นนางอยู่ในสภาพบาดเจ็บเลือดตกยางออก”“ยิ่งนางจนมุมข้าก็ยิ่งปรีดา”เฒ่าโอสถขมวดคิ้วและส่ายหัวด้วยอารมณ์ซับซ้อน “สตรีบ้านไหนได้เจอเจ้า ถือว่าโชคร้ายที่สุดจริง ๆ”……หลังจากกลับมาถึงห้องอย่างปลอดภัยแล้ว ลั่วชิงยวนก็รีบเปลี่ยนอาภรณ์และนั่งขัดสมาธิบนตั่งนุ่มข้างหน้าต่างนางหยิบโอสถทะลวงปราณ และนำเข็มทิศอาณัติแห่งสวรรค์ออกมาทำการบำเพ็ญตนแค่คืนเดียวก็เพียงพอที่จะนำเอาประสิทธิภาพสูงสุดของโอสถทะลวงปราณออกมาได้แม้จะมิสามารถฟื้นฟูพลังยุทธได้อย่างสมบูรณ์ แต่ก็สามารถฟื้นคืนมาได้อย่างน้อยเจ็ดถึงแปดในสิบส่วนเพียงแค่จัดการกับจั๋วฉ่างตงได้ก็พอแล้ว……วันต่อมาเวลารุ่งสางบริเวณร