ซ่งเชียนฉู่แปลกใจยิ่งนักลั่วชิงยวนจึงอธิบาย “เขาช่วยพ่อของเจ้าออกมาจากกองเพลิง นั่นคือเพลิงประกายแก้ว เป็นอันตรายถึงชีวิตสำหรับเขา” “ครั้งที่สอง ตอนที่เฉินชีล้อมพวกเรา เขาเสี่ยงชีวิตปกป้องพวกเราจากเฉินชี”ซ่งเชียนฉู่ตกใจ“ข้ารู้ว่าเขาบาดเจ็บ แต่มิคิดว่าจะเป็นเพราะเหตุนี้...” พูดจบ นางก็กล่าวขอบคุณ “ขอบคุณท่านมากนะ ชิงยวน”“ขอบคุณที่บอกข้าเรื่องนี้”“หากเป็นเช่นนี้ แล้วเขายังถูกฆ่าเพื่อเอาดีงูอีก ข้าคงอยู่มิสุขไปตลอดชีวิต” ลั่วชิงยวนตอบ “มิต้องห่วง ข้าจะนำยาไปให้เขาทุกวัน ให้เขาหายดี”ซ่งเชียนฉู่พยักหน้า ลั่วชิงยวนถามต่อ “แล้วเฉินเซี่ยวหานเล่า?” “เจ้าจะยกโทษให้เขาหรือไม่?” ซ่งเชียนฉู่มีสีหน้าหนักใจ “ไม่ ข้ามิได้ต้องการความรักเช่นนี้”“อีกอย่างคือเขาก็รับการมีอยู่ของฉู่จิ้งมิได้ ข้ามิอาจยอมให้ฉู่จิ้งต้องตายเพราะข้าได้”“จบกันเช่นนี้เถิด”แววตาของซ่งเชียนฉู่บ่งบอกถึงความโศกเศร้า เจ็บปวดหัวใจ แต่ก็ต้องกลั้นน้ำตาไว้ลั่วชิงยวนปลอบใจนางอยู่พักหนึ่งบ่ายวันนั้น ซ่งเชียนฉู่ออกจากตำหนักอ๋องแล้วกลับไปเอาสมุนไพรที่เรือนอีกแห่งลั่วชิงยวนจัดคนติดตามไปด้วยนางสองคน......
ในป่าใหญ่ ลมพัดแรงโหมกระหน่ำ ต้นไม้บางต้นที่ยังคงใบเขียวชอุ่มถูกหิมะกลบไว้หนาทึบ เมื่อร่วงหล่นลงมาทำให้เกิดเสียงดังสนั่นซ่งเชียนฉู่ลุกขึ้นจากกองหิมะ แล้วเดินทางต่อไปนางแบกตะกร้าสะพายหลัง ค้นหาสมุนไพรไปทั่วสำนักหุบเขาซีหลิงจี้เยวี่ยมีสมุนไพรล้ำค่ามากมาย ล้วนเป็นสิ่งที่บรรพบุรุษเสาะแสวงหามานางต้องรีบไขว่คว้าขณะที่ยังเยาว์วัย เดินทางไปให้ไกลสุดหล้าฟ้าเขียวเพื่อค้นหาของวิเศษ สร้างสำนักหุบเขาซีหลิงจี้เยวี่ยขึ้นใหม่บางทีการออกเดินทางท่องใต้หล้าอันกว้างใหญ่เช่นนี้ อาจช่วยให้นางลืมเรื่องราวร้าย ๆ ได้บ้างใกล้พลบค่ำ นางจึงหาถ้ำหลบพายุหิมะ แล้วก่อไฟผิงให้คลายหนาวแม้ว่าในช่วงสองสามวันแรก นางจะยังคงหวาดกลัวมาก ทั้งหวาดกลัวการอยู่เพียงลำพังในป่าเขาและหวาดกลัวอันตรายในยามค่ำคืนนี่เป็นครั้งแรกที่นางมาอยู่ในสถานที่ห่างไกลผู้คนเช่นนี้ตามลำพังแต่ก่อนมีท่านพ่อและพี่ชายอยู่เคียงข้าง ต่อมาก็มีลั่วชิงยวนและเฉินเซี่ยวหาน แม้กระทั่งราชันย์อสรพิษที่คอยคุ้มครองนางในเงามืด ก็ทำให้นางอุ่นใจบัดนี้นางสามารถทำสิ่งที่มิเคยกล้าทำได้ด้วยตัวคนเดียวส่วนเฉินเซี่ยวหานสืบหาข่าวคราวในเมืองหลวง แม้กระทั่ง
เหยียนหน่ายซินขี่ม้าผ่านหน้าลั่วชิงยวน สายตาเหลือบมองนางแวบหนึ่งสายตาสองคู่สบประสานกันเหยียนหน่ายซินกระตุกยิ้มมั่นใจจือเฉาตกใจ “เหตุใดนางจึงอยู่กับแม่ทัพเฉิน? นางมิใช่คนตระกูลเหยียนหรือเจ้าคะ?”ลั่วชิงยวนขมวดคิ้ว นางจับเหยียนหน่ายซินมิได้และคิดว่านางคงมิอยู่ในเมืองหลวงแล้วมิคิดว่าวันนี้จะได้พบกับเรื่องน่าประหลาดใจเช่นนี้แม่ทัพเฉินพาเหยียนหน่ายซินเข้าวัง มินานก็มีข่าวออกมาว่าแม่ทัพเฉินได้รับการเลื่อนขั้นเป็นแม่ทัพใหญ่ ได้รับประทานบรรดาศักดิ์ คืนความรุ่งโรจน์ให้ตระกูลเฉินลั่วชิงยวนรอฟู่เฉินหวนกลับมาจนค่ำฟู่เฉินหวนรู้ว่านางจะถามอะไร จึงตอบด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “เหยียนหน่ายซินเป็นลูกหลานตระกูลเฉิน”ลั่วชิงยวนตกใจ “ว่ากระไรนะเพคะ?”ฟู่เฉินหวนตอบ “ชื่อจริงของนางคือเฉินซินเยวี่ย”“ตอนที่ตระกูลเฉินล่มสลาย เหยียนหน่ายซินตัวจริงเป็นเพียงบุตรีอนุ ใคร ๆ ก็มิสนใจ เพื่อรักษาชีวิตเฉินซินเยวี่ย จึงให้นางสวมรอยเป็นเหยียนหน่ายซินแทน”ลั่วชิงยวนมิอยากเชื่อ “เรื่องนี้เป็นความจริงหรือเพคะ?”“เฉินฮุยซานบอกว่าเป็นความจริง”“แต่เรื่องราวผ่านมานานแล้ว ยากจะตรวจสอบได้”“เหยียนหน่ายซินหลบอยู่
แต่ยังมิทันที่ฟู่เฉินหวนจะกลับมาก็ได้รับข่าวร้ายที่มิคาดคิดเสียก่อนจักรพรรดิสวรรคต!ข่าวนี้ทำให้ลั่วชิงยวนตกใจสุดขีด “ว่ากระไรนะ? ท่านฟังผิดไปหรือไม่?”ฟู่จิ่งหลีสีหน้าเคร่งขรึม “ขุนนางได้รับหมายเรียกเข้าวังเพื่อปรึกษาเรื่องพิธีศพแล้ว!”“พี่สะใภ้สาม องค์จักรพรรดิ ที่จริงแล้วองค์จักรพรรดิมิน่าจะ... ก่อนหน้านี้ยังแข็งแรงดีอยู่เลยมิใช่หรือ!”จู่ ๆ ก็มีข่าวว่าจักรพรรดิสวรรคต ลั่วชิงยวนรับมิได้นางร้อนใจจนไอออกมา“แค่ก แค่ก แค่ก แค่ก... เข้าวัง เข้าวังไปดู!”ลั่วชิงยวนกับฟู่จิ่งหลีรีบเข้าวัง แต่ก็สายไปเสียแล้ว พระศพจักรพรรดิถูกนำไปบรรจุไว้ในโลงที่หอบรรพบุรุษลั่วชิงยวนมองโลงศพด้วยความมิอยากจะเชื่อ“เหตุใดจักรพรรดิจึงสวรรคตกะทันหัน ข้าจะเปิดหีบพระศพตรวจสอบ!”สิ้นคำของนาง เหล่าขุนนางก็ตกใจจนรีบคุกเข่าลง “มิได้ขอรับพระชายา นี่เป็นการลบหลู่องค์จักรพรรดิ!”“หากพระชายาหีบพระศพ พวกเราต้องตายกันหมด!”ฟู่จิ่งหลีมองโลงศพพลางกำมือแน่นลั่วชิงยวนกัดฟันพูด “หากมีผู้ใดจะเอาผิด ข้ารับผิดชอบเองแต่เพียงผู้เดียว!”“องค์ชายเจ็ด ช่วยหม่อมฉันที!”ฟู่จิ่งหลีพยักหน้า ทั้งสองช่วยกันจะเปิดฝาโลงเห
ทันใดนั้น ฟู่เฉินหวนก็ปรากฏกายขึ้นท่ามกลางพายุหิมะ เสื้อคลุมโบกสะบัดท่ามกลางสายลม กลิ่นอายดุดันน่าเกรงขาม“เสด็จพี่ ที่นี่คือสถานที่เช่นไร ท่านน่าจะทราบดี แม้แต่เสด็จพ่อก็ไม่มีทางอนุญาตให้เปิดหีบพระศพในที่แห่งนี้”“มิเพียงเป็นการลบหลู่องค์จักรพรรดิเท่านั้น แต่ยังเป็นการลบหลู่บรรพบุรุษของเราด้วย!”“เสด็จพี่เป็นถึงผู้สำเร็จราชการ น่าจะเข้าใจกฎระเบียบนี้ดีกว่ากระหม่อม” ฟู่อวิ๋นโจวพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาฟู่เฉินหวนมองโลงศพด้วยแววตาซับซ้อน “ข้าเคยบอกแล้ว ข้าสามารถส่งเจ้าขึ้นสู่ตำแหน่งนี้ได้ก็สามารถดึงเจ้าลงมาได้”“เจ้าอย่าให้ข้าหาหลักฐานมาได้ก็แล้วกัน”พูดจบ ฟู่เฉินหวนก็จูงมือลั่วชิงยวนจากไปอย่างรวดเร็วฟู่จิ่งหลีจ้องมองฟู่อวิ๋นโจวอย่างเย็นชา ก่อนจะรีบตามไปลมหนาวพัดแรง ลั่วชิงยวนสูดลมหายใจเข้าแล้วไอออกมาอีกฟู่เฉินหวนรีบหยุดเดิน แล้วสวมหมวกคลุมให้นาง ก่อนจะรีบโอบไหล่นางเดินจากไป“ฟู่จิ่งหานจากไปแล้วจริงหรือเพคะ?” ลั่วชิงยวนยังคงทำใจรับมิได้ฟู่เฉินหวนมิตอบ สีหน้าเคร่งขรึมแต่ความเงียบของเขาก็ถือเป็นคำตอบเช่นกันลั่วชิงยวนกัดฟันพูด “หม่อมฉันมิคิดเลยว่าเขาจะมีจิตใจเหี้ยมโหดถึงเพ
“พระชายาเป็นอะไรไปเจ้าคะ?”หัวใจของลั่วชิงยวนพลันเต้นระรัวด้วยความตระหนก รีบตรวจชีพจรตัวเองอีกครั้งนาง...ตั้งครรภ์แล้วข่าวนี้ควรเป็นที่น่ายินดีทว่าในยามนี้กลับทำให้ลั่วชิงยวนร้อนรุ่มใจนักเหตุใดจึงต้องเป็นเวลานี้ร่างกายของนางบาดเจ็บสาหัส อ่อนแอเสียจนมิอาจใช้เข็มทิศอาณัติสวรรค์ได้“พระชายา?”ลั่วชิงยวนฝืนยิ้ม ใบหน้าซีดเซียว “มิเป็นอะไร เจ้าออกไปเถิด”“ข้าขอพักสักครู่”ลั่วชิงยวนเช็ดคราบเลือด แล้วล้มตัวลงนอนจือเฉาจัดแจงที่นอนและห่มผ้าให้นาง “หากพระชายาต้องการสิ่งใด เรียกบ่าวได้เลยนะเจ้าคะ”จือเฉากล่าวจบก็ถอยออกจากห้อง แต่ในใจยังคงกังวลมิหายลั่วชิงยวนนอนบนเตียง อย่างไรก็มิอาจข่มตาหลับลงได้นางมิรู้ว่าควรทำเช่นไร การเกิดขึ้นของชีวิตน้อย ๆ นี้ช่างมิถูกเวลาเอาเสียเลยแล้วก็มิรู้ว่าควรบอกข่าวนี้แก่ฟู่เฉินหวนหรือไม่ฟู่จิ่งหานสิ้นชีพแล้ว ก้าวต่อไปฟู่อวิ๋นโจวก็คงหมายมั่นจะขึ้นครองราชย์ หากเขาได้เป็นจักรพรรดิแล้ว นางมิอาจคาดเดาได้ว่าเขาจะทำสิ่งใด เข็มทิศอาณัติสวรรค์ก็มิอาจทำนายได้ดูท่าทุกสิ่งล้วนเป็นลิขิตสวรรค์บัดนี้ฟู่เฉินหวนมีภาระมากมาย นางจึงเลือกที่จะมิบอกเขา เพ
“เฉินชี! ปล่อยข้า! เจ้าจะพาข้าไปที่ใด!” ลั่วชิงยวนดิ้นรนสุดกำลังเฉินชีโอบอุ้มนางไว้ด้วยมือเดียว เหินทะยานไปบนหลังคา มุ่งหน้าออกจากเมืองหลวงโดยพลันท่ามกลางพายุหิมะ รอบด้านขาวโพลนพร่าเลือน ลั่วชิงยวนสวมใส่เสื้อผ้าเนื้อบางเบา เมื่อต้องเผชิญกับลมหนาวจัดใบหน้าก็ซีดเผือด สติเลื่อนลอยมิรู้ว่าต้องทนหนาวอยู่ท่ามกลางสายลมเช่นนี้เนิ่นนานเพียงใดกระทั่งถึงกระท่อมมุงจากหลังหนึ่งบนภูเขานอกเมือง เฉินชีจึงวางลั่วชิงยวนลง นางทรุดลงกับพื้นทันที ร่างกายเย็นเยียบ ขดตัวด้วยความหนาวเหน็บ สติเลือนรางเต็มทีเมื่อเฉินชีเห็นดังนั้น สีหน้าของเขาพลันเปลี่ยน รีบอุ้มนางเข้าไปในกระท่อมแล้ววางลงบนเตียง ก่อนจะห่มผ้าให้แล้วรีบก่อไฟในห้อง อุณหภูมิในห้องจึงค่อย ๆ อุ่นขึ้นเฉินชีเดินมาข้างเตียง แล้วเอามือแตะหน้าผากลั่วชิงยวนจึงพบว่าร้อนจัดเฉินชีขมวดคิ้ว “เหตุใดร่างกายเจ้าจึงอ่อนแอถึงเพียงนี้ เพียงแค่ลมหนาวก็ทนมิได้”กล่าวจบ เขาก็รีบออกไปเก็บสมุนไพรบนภูเขาด้วยสีหน้าเคร่งขรึม…...ยามราตรีเสียงลมหนาวพัดหวีดหวิว ทหารองครักษ์ล้อมห้องทรงพระอักษรไว้แน่นหนาฟู่เฉินหวนผู้สวมเสื้อคลุมยาวมาถึงด้วยท่าทางองอาจขณะ
เหตุใดแม้แต่ลั่วฉิงก็สามารถควบคุมเขาได้!เหตุใดกัน!ลั่วฉิงกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “ท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการ ท่านสามารถขวางฟู่อวิ๋นโจวมิให้ขึ้นครองบัลลังก์ได้ แต่ท่านแน่ใจหรือว่าท่านจะต้านทานฤทธิ์ยาควบคุมนี้ได้?”“ข้าจะพูดอีกครั้ง ปล่อยฟู่อวิ๋นโจว!”ฟู่เฉินหวนพยายามต่อต้านคำสั่ง แต่สิ่งที่ตามมาก็คือความเจ็บปวดแสนสาหัสเขารู้ว่าหากยังเป็นเช่นนี้ต่อไป ร่างกายของเขาคงทนมิไหวแล้วเขาจึงมิต่อต้านอีกได้แต่พยุงร่างตัวเองเดินออกจากห้องทรงพระอักษรอย่างยากลำบาก“ใครก็ได้!”“ท่านอ๋อง!”“ปล่อยฟู่อวิ๋นโจว”ในมิช้าฟู่อวิ๋นโจวก็กลับมาเขาเอามือไพล่หลัง เดินเข้ามาอย่างสงบนิ่ง จากนั้นมองเลือดที่มุมปากของฟู่เฉินหวน แล้วกล่าวอย่างแผ่วเบาว่า “เสด็จพี่ วันนี้ท่านถูกอาคมล่อลวงเสียหรือ?”“เป็นลั่วชิงยวนที่ใช้อาคมล่อลวงท่านใช่หรือไม่?”น้ำเสียงของฟู่อวิ๋นโจวเย็นยะเยือก ทำให้สีหน้าของฟู่เฉินหวนเปลี่ยนไปแล้วมองเขาด้วยความตกใจ“เจ้าคิดจะทำอะไร!”ดวงตาของฟู่อวิ๋นโจวเย็นชา ขณะพูดเสียงแผ่วเบาว่า “ข้าต้องการให้เสด็จพี่... หย่ากับลั่วชิงยวน”“เรื่องวันนี้ ข้าสามารถพูดได้ว่าเป็นความเข้าใจผิด”“ม
ผ่านไปครู่หนึ่ง เซิ่งไป่ชวนก็มาถึงลั่วชิงยวนพยุงตัวลุกขึ้นนั่งเซิ่งไป่ชวนเห็นเหงื่อเม็ดเล็ก ๆ บนหน้าผากนาง จึงเอ่ยถามด้วยความแปลกใจ “พระชายารู้สึกหนาวหรือไม่ขอรับ?”ลั่วชิงยวนกล่าวอย่างแผ่วเบา “ข้ามิเป็นอะไร มิต้องตรวจชีพจรแล้ว ข้าจะเขียนใบเทียบยาให้ เจ้าช่วยไปหยิบยาให้หน่อย”เซิ่งไป่ชวนพยักหน้า เขาย่อมเชื่อมั่นในฝีมือแพทย์ของลั่วชิงยวนจึงมิฝืนใจเพียงแต่กล่าวว่า “เห็นอาการของพระชายาทรงทรุดลงทุกวัน เกรงว่าจะเป็นเพราะความวิตกกังวล พระชายาควรปล่อยวางบ้าง”“เพื่อรักษาพระวรกายให้แข็งแรงขอรับ”ลั่วชิงยวนพยักหน้า “ขอบคุณหมอหลวงเซิ่ง”“ข้าจะระมัดระวัง”ขณะที่กำลังสนทนากัน ก็พลันได้ยินเสียงตวาดดังมาจากด้านนอก“ว่ากระไรนะ! สั่งลงไป ผู้ใดกล้าพูดถึงเรื่องนี้อีกให้ตัดหัวได้เลย!”ลั่วชิงยวนตกใจเล็กน้อยด้วยความสงสัย นางจึงสวมรองเท้าเดินออกไปจือเฉานำผ้าคลุมมาสวมให้นางเห็นจักรพรรดิสูงสุดกำลังโมโหอยู่ใต้ชายคา“เกิดเรื่องอันใดขึ้นหรือเพคะ?” ลั่วชิงยวนถามด้วยความอยากรู้จักรพรรดิสูงสุดกล่าวว่า “ไม่มีอะไร เจ้าไปพักผ่อนเถิด ข้ามิได้ดุใครมานานแล้วเลยลองฝึกฝนดู”จากนั้นจักรพรรดิสูงสุด
เดิมทีนางตั้งใจจะบอกข่าวดีนี้แก่เขาในยามที่เขากับนางคืนดีกันแล้วทว่าสิ่งที่รอคอยกลับเป็นการหลอกลวง เขาชิงเอาเข็มทิศอาณัติสวรรค์ของนางไปบัดนี้เขาใจแข็งเช่นนี้ ลั่วชิงยวนจึงจำต้องบอกเรื่องนี้แก่เขาในใจนางยังคงมีความหวัง หวังว่าเพื่อลูกในครรภ์ ฟู่เฉินหวนอาจจะใจอ่อนลงบ้างทว่าประตูบานนั้นยังคงปิดสนิทนอกจากเสียงลมหวีดหวิวที่พัดผ่านก็ไม่มีเสียงตอบรับใดสายลมหนาวราวกับจะพัดพาความอบอุ่นสุดท้ายในใจนางให้หายไปน้ำตาใสไหลรินอาบแก้มซีดเผือดลั่วชิงยวนหันหลังเดินจากไปอย่างเงียบงันเหล่าบ่าวไพร่ในตำหนักเห็นนางแล้วอยากจะทักทาย แต่ก็ลังเล มิกล้าเอ่ยปากบัดนี้ลั่วชิงยวนราวกับคนไร้วิญญาณ เดินออกจากตำหนักไปอย่างไร้จุดหมายนางเดินไปเรื่อย ๆ รู้สึกราวกับว่าสายลมหนาวจะพัดพาร่างนางให้แหลกสลายไป ความหนาวเหน็บกัดกร่อนกระดูก......ภายในห้องตำรา ฟู่เฉินหวนทรุดลงนอนสลบแน่นิ่งกองอยู่ที่มุมห้อง พื้นเปรอะเปื้อนไปด้วยเลือดจนกระทั่งซูโหยวกลับมาพบเข้า จึงรีบให้คนไปตามหมอหลวงมู่มาโดยด่วนหมอหลวงมู่ตรวจอาการแล้วก็ตกใจยิ่งนัก รีบปรุงยาให้ทันทีและยังนำโสมมังกรที่ตกทอดกันมาในตระกูลออกมาตัดแบ่งส่วนเล็ก
เขามิอยากแตะต้องนางแม้เพียงปลายเล็บฟู่เฉินหวนรีบส่งคนออกไปตามล่าเฉินชี แล้วจึงกวาดสายตามองลั่วชิงยวนที่นอนอยู่บนพื้นหิมะอย่างเย็นชาก่อนเอ่ยเสียงเรียบ “พากลับไป”องครักษ์สองนายเข้ามาพยุงลั่วชิงยวน แล้วพานางออกไปจากศาลาลั่วชิงยวนจ้องมองฟู่เฉินหวนด้วยดวงตาแดงก่ำ เมื่อสบเข้ากับสายตาเย็นชาของเขา หัวใจนางก็พลันเหมือนถูกบีบขณะที่นางถูกพาตัวออกไป เสียงซุบซิบนินทาดังขึ้นทั่วศาลาเสียดแทงโสตประสาทยิ่งนักเมื่อกลับถึงตำหนัก ฟู่เฉินหวนก็รีบจัดการวางกำลังคนไปจับตัวเฉินชีลั่วชิงยวนยืนรออยู่ท่ามกลางหิมะ จนกระทั่งเขาจัดการทุกอย่างเสร็จจึงเดินเข้าไปหา“ฟู่เฉินหวน...”ทว่าฟู่เฉินหวนกลับมองนางด้วยสายตาเย็นชา ก่อนจะเดินเข้าไปในห้องตำรา แล้วปิดประตูใส่หน้าเสียงปิดประตูดังสนั่น ทำให้ลั่วชิงยวนสะดุ้งตกใจนางมิยอมแพ้ เดินไปเคาะประตู “ฟู่เฉินหวน ท่านรังเกียจหม่อมฉันแล้วใช่หรือไม่!”“เฉินชีกับลั่วฉิงร่วมมือกัน! เหตุใดท่านจึงหลอกเอาเข็มทิศของหม่อมฉันไป! ทั้งหมดนี้เป็นแผนของพวกเขา!”นางทุบประตูเรียก “ฟู่เฉินหวน ท่านต้องอธิบายให้หม่อมฉันฟัง!”ประตูเปิดออกกะทันหันฟู่เฉินหวนก้าวออกมาด้วยความโกรธ
ลั่วชิงยวนเม้มริมฝีปากแน่น ดวงตาเบิกกว้างจ้องมองเขาด้วยความโกรธครั้นเห็นนางมิยอมอ้าปากแม้สักนิด เฉินชีจึงโน้มกายเข้าไปใกล้ แล้วเอ่ยเสียงแผ่วเบา “เจ้าอยากให้ข้าทำเกินเลยกว่านี้รึ?”ลั่วชิงยวนขบฟันแน่นก่อนจะยอมอ้าปากรับสิ่งที่เฉินชีป้อนให้เสียงฮือฮาดังขึ้นรอบด้าน“สวรรค์โปรด! สองคนนี้กำลังทำสิ่งใดกันอยู่”“พระชายาของท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการกำลังลักลอบคบชู้ต่อหน้าธารกำนัลเช่นนี้หรือ?”เหล่าสตรีผู้สูงศักดิ์ต่างส่งคนไปทูลท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการให้รีบมาโดยพลันเฉินชีนั่งอยู่ในศาลา ยังคงจงใจแสดงท่าทีคลอเคลียกับลั่วชิงยวน แล้วกระซิบเสียงเบา “หลังจากวันนี้ เจ้าคงมิอาจอยู่ในเมืองหลวงได้อีกแล้วกระมัง?”“เหตุใดจึงมิติดตามข้ากลับแคว้นหลีเล่า?”“เจ้าเกิดมาเพื่อเป็นคนของแคว้นหลี”“ข้าสามารถส่งเจ้ากลับสู่ตำแหน่งเดิม ให้เป็นนักบวชหญิงผู้สูงส่งได้”“หากเจ้าเต็มใจ จงกะพริบตา แล้วข้าจะพาเจ้าไป”ช่างไร้ยางอาย!ลั่วชิงยวนเบิกตากว้างจนดวงตาแดงก่ำ มิยอมกะพริบตาแม้เพียงน้อยในใจนางก่นด่าเฉินชีนับร้อยครั้งครั้นเห็นนางดื้อรั้นเช่นนี้ เฉินชีกลับหัวเราะออกมา“ดูท่าว่าอาเหลายังคงรู้จักข้าดี”ทั
จนกระทั่งฟ้าสาง ผู้คนเริ่มทยอยออกมาตามถนนบรรยากาศบนท้องถนนเริ่มคึกคักขึ้น เฉินชียังคงโอบนางเดินไปข้างหน้าอย่างแช่มช้าในสายตาของคนภายนอก ทั้งสองดูสนิทสนมกันมากจนกระทั่งเดินผ่านร้านค้าแห่งหนึ่งก็มีเสียงร้องด้วยความตกใจ “นั่นมิใช่พระชายาของอ๋องผู้สำเร็จราชการหรือ? เหตุใดนางจึง...”ลั่วชิงยวนได้ยินดังนั้น หัวใจก็พลันกระตุกแต่เฉินชีกลับยกยิ้มอย่างสาแก่ใจ แล้วพาลั่วชิงยวนไปที่ร้านขนมร้านนั้นก่อนจะแสร้งถามลั่วชิงยวนด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “เจ้าชอบกินอันไหน?”ลั่วชิงยวนจ้องมองเขาด้วยความโกรธเฉินชีกลับยิ่งหัวเราะอย่างลำพองใจเขาโยนถุงเงินหนัก ๆ ลงบนแผงร้าน “ข้าเหมาทั้งหมด!”เถ้าแก่ตกตะลึงจากนั้นเฉินชีก็หยิบขนมชิ้นหนึ่งมาป้อนที่ปากของลั่วชิงยวน “ลองชิมดูหรือไม่?”ลั่วชิงยวนจ้องมองเขา มิยอมอ้าปากแววตาของเฉินชีเย็นชา มือใหญ่เลื่อนไปที่ท้ายทอยของนางแล้วออกแรงบีบพลางยัดขนมเข้าไปในปากของนางด้วยรอยยิ้ม“กินสิ”ท้ายทอยของลั่วชิงยวนเจ็บปวด นางจำใจต้องอ้าปากกัดขนมชิ้นนั้นเฉินชีเห็นดังนั้นจึงพอใจมาก “ชอบหรือไม่?”เขามองนางด้วยสายตาคมกริบ ก่อนยกมือขึ้นเช็ดเศษขนมที่มุมปากของนางท่าทาง
สติเลือนรางลงทุกขณะ ในที่สุดก็ต้านฤทธิ์ยามิไหวจึงสลบไปเมื่อลืมตาขึ้นอีกครั้ง ลั่วชิงยวนก็รู้สึกได้ถึงการเข้ามาใกล้ของใครบางคนพยายามลืมตาขึ้น แต่ก็ยังคงอ่อนแรงจนขยับร่างกายมิได้มีเงาร่างหนึ่งทรุดกายลงตรงหน้าในวินาทีต่อมา มือเย็นเฉียบก็คว้าปลายคางของนาง บังคับให้นางเงยหน้าขึ้นลั่วชิงยวนจึงเห็นใบหน้าที่ขยายใหญ่ขึ้นตรงหน้ารอยยิ้มเจ้าเล่ห์นั้นทำให้ลั่วชิงยวนรู้สึกเย็นยะเยือกไปถึงกระดูกสันหลังโดยมิรู้ตัวเฉินชี!“เหตุใดจึงเป็นเจ้าอีก! เจ้ากล้ามาที่เมืองหลวงเลยหรือ!” ลั่วชิงยวนพูดอย่างอ่อนแรงเฉินชีดึงนางขึ้นจากพื้น แล้วบีบปลายคางของนาง “ฟู่เฉินหวนมิต้องการเจ้าแล้ว”“ไปกับข้าเถอะ”ลั่วชิงยวนสะบัดมือเขาออกอย่างแรง “เจ้าฝันไปเถิด!”“อาเหลา เหตุใดเจ้าจึงยังดื้อรั้นเช่นเดิม นิสัยเช่นนี้ทำให้เจ้าต้องพบเจอความยากลำบากอีกมาก” เฉินชียกยิ้มขณะจ้องมองใบหน้าของนางใบหน้าซีดเซียว อ่อนแรงราวกับจะแตกสลายได้เพียงแค่สัมผัส เขาชื่นชอบยิ่งนักทันใดนั้นลั่วชิงยวนที่มีแววตาเย็นชากัดมือที่บาดเจ็บของเขาอย่างแรงกัดจนเลือดไหลทะลักเข้ามาในปากเฉินชีร้องออกมาด้วยความเจ็บปวดลั่วชิงยวนฉวยโอกาสวิ
ลั่วชิงยวนกล่าวจบก็ยกจอกสุราขึ้นดื่มจนหมดฟู่เฉินหวนหรี่ตาจ้องมองนางด้วยแววตาคมกล้า มิละสายตาไปแม้แต่น้อย แล้วค่อย ๆ ดื่มสุราในจอกจนหมด“ฟู่เฉินหวน ที่จริงมีอีกเรื่องหนึ่ง...” ลั่วชิงยวนตั้งใจจะบอกเรื่องการมีตัวตนของชีวิตน้อย ๆ ในครรภ์ทว่ายังพูดมิจบก็ถูกฟู่เฉินหวนขัดจังหวะ“เจ้านำเข็มทิศติดตัวมาหรือไม่”“ข้ามีเรื่องอยากให้เจ้าช่วยทำนาย”ลั่วชิงยวนชะงักไปครู่หนึ่งแล้วหยิบเข็มทิศในอกเสื้อออกมา“ท่านอยากจะให้ทำนายเรื่องใด?” ลั่วชิงยวนถามฟู่เฉินหวนจ้องมองนางด้วยแววตาคมกล้า สายตาเย็นชานั้นทำให้ลั่วชิงยวนรู้สึกแปลกประหลาด“เหตุใดท่านจึงมองหม่อมฉันเช่นนั้น?”ตอนนี้สายตาที่ฟู่เฉินหวนมองนางราวกับมองคนแปลกหน้าเฉียบคมและเย็นชาเสียงเย็นเยียบดังขึ้น “เจ้าเป็นใครกันแน่”ลั่วชิงยวนตกใจ มองเขาด้วยความมิเข้าใจ “ท่านเป็นอะไรไปเพคะ?”มองแววตาเย็นชาของฟู่เฉินหวนแล้ว ลั่วชิงยวนก็พลันรู้สึกใจคอมิดี จู่ ๆ เริ่มวิงเวียน ภาพตรงหน้าพร่าเลือนนางรีบกุมศีรษะ ตระหนักได้ว่าตอนนี้นางมีบางอย่างผิดปกติ นางเงยหน้าขึ้นมองเขาอย่างยากลำบาก “ท่านวางยาในสุราหรือ?”แต่ฟู่เฉินหวนกลับมิตอบในตอนนั้นเอง ประ
หากนางคาดเดามิผิด นั่นคือสมบัติล้ำค่าของแคว้นหลีก่อนหน้านี้เคยบังคับให้ลั่วชิงยวนมอบให้แล้วแต่ก็ล้มเหลวบัดนี้ฟู่อวิ๋นโจวได้ขึ้นครองราชย์ ฟู่เฉินหวนก็ถูกนางควบคุม นางจะต้องให้ลั่วชิงยวนมอบเข็มทิศนั้นให้นางให้ได้!สีหน้าของฟู่เฉินหวนเปลี่ยนไปลั่วฉิงกล่าวต่อ “เมื่อครู่ข้าอยู่ในห้องตำรา พบของบางอย่างที่ถูกไฟไหม้”“มีหีบใบหนึ่งอยู่ แม่กุญแจบนหีบนั้นเป็นแม่กุญแจสุริยันจันทราของแคว้นหลี”“คิดว่าคงเป็นของใช้ของหมู่เฟยของท่านอ๋องกระมัง”“หม่อมฉันช่วยท่านเปิดได้”“แลกเปลี่ยนกันดีหรือไม่?”......ล่วงเข้ายามดึก เตาไฟในห้องตำราถูกจุดขึ้น ภายในห้องอบอุ่นฟู่เฉินหวนหยิบของในหีบออกมาดูทีละชิ้น แววตาค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นตกตะลึง ตามมาด้วยความโกรธที่เพิ่มมากขึ้นเขากำมือแน่น เส้นเลือดที่หลังมือปูดโปนขึ้นมาสีหน้าสงบนิ่ง แต่ในแววตากลับเต็มไปด้วยความเดือดดาล......ในที่สุดก็มีวันฟ้าใสอีกครั้ง จักรพรรดิสูงสุดมิยอมให้พวกหลี่ว์โม่ทั้งสามคนออกไป ลั่วชิงยวนจึงคิดจะออกจากวังทุกวันบังเอิญว่าวันนี้เป็นวันที่มีแสงแดดอบอุ่นในเหมันตฤดู ลั่วชิงยวนจึงอ้างว่าจะออกไปอาบแดดและเดินเล่นไปทั่วในวัง ทำให้สา
“จะไม่มีฟู่จิ่งหานอีกต่อไปแล้วขอรับ”“คุณชายลองคิดดูเถิดขอรับว่าจะใช้นามว่าอะไรดี”ฟู่จิ่งหานตกตะลึงเมื่อได้ฟังดังนั้น เขารีบลงจากรถม้า กระโดดลงพื้นไปยืนชื่นชมทิวทัศน์หิมะอันกว้างใหญ่แล้วสูดอากาศที่หนาวเย็นแต่สดชื่นเขาหลับตาลง รอยยิ้มปรากฏขึ้นที่มุมปาก“ดีจริง ๆ ในที่สุดก็หลุดพ้นจากกรงขังนั้นได้แล้ว”“ข้า... ไม่สิ ข้าต้องคิดแล้วว่าจะใช้นามว่าอะไรดี”พูดจบ สีหน้าของฟู่จิ่งหานก็พลันเปลี่ยนไปขณะถามว่า “เสินหลี เจ้านำเงินติดตัวออกมาด้วยหรือไม่?”เขารีบค้นตัวเสินหลีกลับพบเพียงถุงเงินใบเล็กเทออกมาดูแล้ว ปรากฏว่ามีเงินมิกี่ตำลึง“เสินหลี เจ้ามินำเงินออกมาด้วย จะปล่อยให้ข้าอดตายหรือ?”เสินหลียิ้มกว้าง “คุณชายวางใจเถิดขอรับ เสินหลีจะมิปล่อยให้คุณชายต้องหิวโหยแน่ขอรับ”ฟู่จิ่งหานมองเขาด้วยสายตาสงสัย “จริงหรือ? แต่ข้า... แต่ข้าทำอะไรมิเป็นเลย”เขาเคยชินกับการมีคนปรนนิบัติ จู่ ๆ จากจักรพรรดิกลายเป็นสามัญชน การไม่มีเงินติดตัวเลยทำให้เขารู้สึกมิสบายใจ“ข้าน้อยทำเป็นขอรับ ข้าน้อยทำได้ทุกอย่าง จะดูแลคุณชายให้ดีที่สุด!”ฟู่จิ่งหานจึงมิคิดมาก อย่างไรเสียก็ออกจากวังมาแล้วเขานั่งบนรถม้