ซ่งเชียนฉู่สะดุ้งตกใจนัก รีบกางแขนขวางหน้าเฉินเซี่ยวหานพลางมองราชันย์อสรพิษเลื้อยลงไปจากหน้าผาแต่นางกลับเหยียบอยู่บนตาข่ายดักอสรพิษเมื่อราชันย์อสรพิษร่วงลงสู่ผืนน้ำ น้ำหนักมหาศาลจึงฉุดร่างนางร่วงลงไปด้วยร่างบอบบางพลัดตกลงจากปากถ้ำจมดิ่งสู่ห้วงน้ำเบื้องล่าง“เชียนฉู่!” เฉินเซี่ยวหานตกใจสุดขีด รีบวิ่งไปยังปากถ้ำแล้วมองลงไปเบื้องล่าง เห็นเพียงห้วงน้ำลึกดำมืด เขากัดฟันแน่นก่อนจะรีบวิ่งออกจากถ้ำอ้อมไปยังทิศทางของห้วงน้ำซ่งเชียนฉู่ตกสู่ห้วงน้ำเย็นยะเยือก ร่างกายถูกโอบล้อมด้วยความหนาวเหน็บจนแทบขาดใจ นางดิ้นรนสุดกำลังท่ามกลางห้วงน้ำลึก ราชันย์อสรพิษรัดร่างนางไว้ แล้วพาว่ายออกจากห้วงน้ำเย็นอย่างรวดเร็วแม้รอดพ้นจากห้วงน้ำ แต่นางยังคงหนาวสั่นไปทั้งตัวในขณะนั้น เฉินเซี่ยวหานก็ตามมาถึงพอดีนางยังมิทันตั้งสติ ราชันย์อสรพิษก็รัดร่างนางแล้วพาเข้าไปซ่อนตัวในพงหญ้า“หยุดนะ!” เฉินเซี่ยวหานรีบวิ่งตามมาราชันย์อสรพิษรัดนางหลบหนีมุ่งหน้าสู่ป่าลึกบนภูเขาสายลมพัดหิมะปกคลุมพื้น ร่องรอยต่าง ๆ จึงเลือนหายไปอย่างรวดเร็วเฉินเซี่ยวหานไล่ตามมิทันเขาร้อนรนใจและรู้สึกเสียใจยิ่งนัก และรีบออก
ซ่งเชียนฉู่กลับมานั่งข้างกองไฟ อาศัยไออุ่นในถ้ำผิงอาภรณ์ให้แห้งแม้กระนั้นก็ยังคงหนาวสั่น ศีรษะหนักอึ้งนางอิงกายกับผนังถ้ำ อยากข่มตานอน แต่ก็มิอาจข่มตาลงได้ ใจจดจ่ออยู่กับภายนอกถ้ำนางยังพอมีที่กำบังลมหนาว แล้วราชันย์อสรพิษเล่าจะเป็นเช่นไรเขาได้รับบาดเจ็บสาหัสแต่กลับกลัวว่านางจะหวาดกลัวจึงยอมออกไปข้างนอกถ้ำ มิยอมให้นางเห็นนางรู้สึกสะเทือนใจยิ่งนักยิ่งคิดถึงเฉินเซี่ยวหานก็ยิ่งรู้สึกน้อยใจและโกรธมากขึ้นไปอีก นางอดมิได้ที่จะกอดเข่าร้องไห้สะอึกสะอื้นในพงหญ้านอกถ้ำ ราชันย์อสรพิษเฝ้ามองร่างในถ้ำอย่างเงียบเชียบเห็นนางร้องไห้ปานจะขาดใจ แต่ก็มิกล้าเข้าไปปลอบโยน......หลังจากทรมานอยู่จนฟ้าสาง ซ่งเชียนฉู่ก็ป่วยเป็นไข้และเริ่มไอกองไฟในถ้ำมอดดับลงแล้วซ่งเชียนฉู่เอนตัวพิงผนังถ้ำ ร่างกายร้อนรุ่มไปหมด แต่ก็หนาวจนต้องขดตัวฉู่จิ้งเห็นดังนั้นก็รู้ทันทีว่านางกำลังเป็นไข้ตัวร้อนต้องรีบพานางออกไปจากที่นี่“ฟ่อ ฟ่อ ฟ่อ”ซ่งเชียนฉู่ตื่นขึ้นมาด้วยความสะลึมสะลือแล้วเห็นราชันย์อสรพิษอยู่ที่ทางเข้าถ้ำเมื่อรู้ว่าเขาจะพานางลงเขา นางจึงลุกขึ้นเดินตามนางเดินตามเขามุ่งหน้าลงจากเขาไปร
ซ่งเชียนฉู่โกรธจนตัวสั่น หันหลังวิ่งลงเขาไปแต่ทางลงชันนัก ทำให้เท้าพลาดลื่นไถล ร่างกลิ้งตกเขาไปเฉินเซี่ยวหานตกใจสุดขีด รีบวิ่งลงไปช่วยนางแต่ก็มิอาจไล่ตามความเร็วของร่างที่กลิ้งตกลงไปได้ทันนางกลิ้งลงมาจนถึงตีนเขาเมื่อเฉินเซี่ยวหานวิ่งตามมาถึง นางก็หยุดนิ่ง“เชียนฉู่ เป็นอย่างไรบ้าง? เจ็บตรงไหนหรือไม่? ข้าจะแบกเจ้าเอง!” เฉินเซี่ยวหานรีบเข้าไปหมายจะแบกนางขึ้นหลังแต่ซ่งเชียนฉู่ผลักเขาออกแล้วคว้ากิ่งไม้ข้างกายมาพยุงตัวลุกขึ้น เดินกะเผลกออกจากป่า“เชียนฉู่ เจ้าบาดเจ็บตรงไหนหรือไม่? ข้าจะพาเจ้ากลับไปทำแผล” เฉินเซี่ยวหานเอ่ยอย่างร้อนใจนางพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา “อย่าตามข้ามา”พูดจบนางก็ใช้ไม้เท้าค้ำยันเดินจากไปอย่างรวดเร็วเฉินเซี่ยวหานเป็นห่วงจึงเดินตามไปตลอดทางและพยายามจะอธิบาย“เชียนฉู่ ตอนแรกข้าเข้าใกล้เจ้าก็เพื่อดีงูจริง ๆ”“ตอนนั้นพ่อของข้าป่วย หมอบอกว่าใช้ดีงูรักษาได้ ข้าจึงสืบหาจนรู้ว่าเจ้ามีดีงู”“แต่ข้ามิเคยคิดร้ายต่อเจ้า มิเคยคิดจะหลอกใช้เจ้าเลย”“พวกเขาเคยใช้ชีวิตคนในครอบครัวข้ามาบีบบังคับ แต่ข้ามิยอม ข้ามิเคยทำร้ายเจ้า ตอนที่อยู่กับเจ้า ข้าจริงใจ!”“จนกระทั่
ลั่วชิงยวนฟังซ่งเชียนฉู่เล่าหลังจากร่ำไห้พร่ำเพ้อแล้วหัวใจพลันหนักอึ้งนางมิเคยคาดคิดมาก่อนว่าเฉินเซี่ยวหานจะเข้าหาซ่งเชียนฉู่เพราะหมายปองดีงูเช่นกันซ่งเชียนฉู่ตัวร้อนจัด นางร้องไห้อยู่นานก็สลบไปลั่วชิงยวนจัดแจงให้นางพักผ่อน แล้วไปยังห้องข้าง ๆ เพื่อไปหาเฉินเซี่ยวหานเฉินเซี่ยวหานเห็นนางมาก็รีบถามไถ่ “นางเป็นอย่างไรบ้าง? เมื่อคืนนางตกน้ำ ซ้ำยังโดนความหนาวเย็นจากหิมะตกหนักอีก คงจะ...”ลั่วชิงยวนมองเขาด้วยสายตาเย็นชา “ท่านเป็นห่วงนาง แล้วเหตุใดจึงหลอกลวงนาง?”เฉินเซี่ยวหานก้มหน้าเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ย “บางเรื่องเมื่อโกหกไปแล้วก็มิอาจบอกความจริงได้อีก”“ข้าทนเห็นผลลัพธ์หลังจากนางรู้ความจริงมิได้”“เช่นเดียวกับตอนนี้”ลั่วชิงยวนเข้าใจความคิดของเขาแต่การโกหกเป็นสิ่งที่ผิดตั้งแต่แรก“ครอบครัวท่านถูกข่มขู่หรือ?”“ท่านเห็นสำนักหุบเขาซีหลิงจี้เยวี่ยถูกฆ่าล้างตระกูลจึงหวาดกลัว เลยคิดจะเอาดีงูหรือ?”เฉินเซี่ยวหานพยักหน้า “ตอนแรกที่ข้าเข้าใกล้นางเป็นการหลอกลวงจริง แต่เมื่อข้ารู้ว่านางไม่มีดีงู ข้าก็เลิกคิดแล้ว”“ข้ามิเคยคิดจะผ่าเอาดีงู พวกเขาบีบบังคับ ข้าก็บอกเพียงว่าซ่งเชี
“แล้วเชียนฉู่...”ลั่วชิงยวนตอบ “นางยังป่วยอยู่ ข้าจะดูแลนางเอง ท่านไปจัดการเรื่องครอบครัวก่อนเถิด”“ตกลง”เฉินเซี่ยวหานออกจากตำหนักอ๋องผู้สำเร็จราชการรุ่งเช้าวันต่อมาซ่งเชียนฉู่ตื่นแต่เช้านางมายังหน้าห้องลั่วชิงยวน“ชิงยวน”ลั่วชิงยวนลุกขึ้นนั่ง “เจ้าตื่นเช้าจัง”ซ่งเชียนฉู่สวมเสื้อคลุมหนาเดินเข้ามา ลมหายใจกลายเป็นไอ “อืม เมื่อคืนหิมะตก ตอนนี้หิมะก็ยังตกหนักมาก”ลั่วชิงยวนเห็นนางมีสีหน้ากังวลจึงถามพลางแต่งตัว “เป็นอะไรไป?”ซ่งเชียนฉู่ลังเล “มิรู้ว่าฉู่จิ้งเป็นอย่างไรบ้าง”“เป็นเพราะข้า เขาถึงบาดเจ็บสาหัส”เมื่อลั่วชิงยวนได้ฟังดังนั้นจึงนึกขึ้นได้“พอดีว่าวันนี้ข้าว่างพอดี ข้าจะไปพบเขาบนเขากับเจ้า นำยาไปให้เขาด้วย”ซ่งเชียนฉู่พยักหน้าทั้งสองจึงออกจากตำหนักแล้วออกจากเมืองหลวง มุ่งหน้าขึ้นเขาไปยังถ้ำงูเดิม แต่ฉู่จิ้งมิได้อยู่ที่นั่นทั้งสองจึงออกตามหาไปทั่วซ่งเชียนฉู่กังวล “ปกติข้าจะสัมผัสถึงพลังของเขาได้ แต่วันนี้กลับสัมผัสมิได้เลย เขาคงมิตายไปแล้วใช่หรือไม่?”ลั่วชิงยวนปลอบใจ “มิหรอก เขาอาจจะเข้าสู่ช่วงจำศีล”“ลองหาดูก่อน”ทั้งสองหาอยู่บนเขานาน ในที่สุดก็พบร่า
ซ่งเชียนฉู่แปลกใจยิ่งนักลั่วชิงยวนจึงอธิบาย “เขาช่วยพ่อของเจ้าออกมาจากกองเพลิง นั่นคือเพลิงประกายแก้ว เป็นอันตรายถึงชีวิตสำหรับเขา” “ครั้งที่สอง ตอนที่เฉินชีล้อมพวกเรา เขาเสี่ยงชีวิตปกป้องพวกเราจากเฉินชี”ซ่งเชียนฉู่ตกใจ“ข้ารู้ว่าเขาบาดเจ็บ แต่มิคิดว่าจะเป็นเพราะเหตุนี้...” พูดจบ นางก็กล่าวขอบคุณ “ขอบคุณท่านมากนะ ชิงยวน”“ขอบคุณที่บอกข้าเรื่องนี้”“หากเป็นเช่นนี้ แล้วเขายังถูกฆ่าเพื่อเอาดีงูอีก ข้าคงอยู่มิสุขไปตลอดชีวิต” ลั่วชิงยวนตอบ “มิต้องห่วง ข้าจะนำยาไปให้เขาทุกวัน ให้เขาหายดี”ซ่งเชียนฉู่พยักหน้า ลั่วชิงยวนถามต่อ “แล้วเฉินเซี่ยวหานเล่า?” “เจ้าจะยกโทษให้เขาหรือไม่?” ซ่งเชียนฉู่มีสีหน้าหนักใจ “ไม่ ข้ามิได้ต้องการความรักเช่นนี้”“อีกอย่างคือเขาก็รับการมีอยู่ของฉู่จิ้งมิได้ ข้ามิอาจยอมให้ฉู่จิ้งต้องตายเพราะข้าได้”“จบกันเช่นนี้เถิด”แววตาของซ่งเชียนฉู่บ่งบอกถึงความโศกเศร้า เจ็บปวดหัวใจ แต่ก็ต้องกลั้นน้ำตาไว้ลั่วชิงยวนปลอบใจนางอยู่พักหนึ่งบ่ายวันนั้น ซ่งเชียนฉู่ออกจากตำหนักอ๋องแล้วกลับไปเอาสมุนไพรที่เรือนอีกแห่งลั่วชิงยวนจัดคนติดตามไปด้วยนางสองคน......
ในป่าใหญ่ ลมพัดแรงโหมกระหน่ำ ต้นไม้บางต้นที่ยังคงใบเขียวชอุ่มถูกหิมะกลบไว้หนาทึบ เมื่อร่วงหล่นลงมาทำให้เกิดเสียงดังสนั่นซ่งเชียนฉู่ลุกขึ้นจากกองหิมะ แล้วเดินทางต่อไปนางแบกตะกร้าสะพายหลัง ค้นหาสมุนไพรไปทั่วสำนักหุบเขาซีหลิงจี้เยวี่ยมีสมุนไพรล้ำค่ามากมาย ล้วนเป็นสิ่งที่บรรพบุรุษเสาะแสวงหามานางต้องรีบไขว่คว้าขณะที่ยังเยาว์วัย เดินทางไปให้ไกลสุดหล้าฟ้าเขียวเพื่อค้นหาของวิเศษ สร้างสำนักหุบเขาซีหลิงจี้เยวี่ยขึ้นใหม่บางทีการออกเดินทางท่องใต้หล้าอันกว้างใหญ่เช่นนี้ อาจช่วยให้นางลืมเรื่องราวร้าย ๆ ได้บ้างใกล้พลบค่ำ นางจึงหาถ้ำหลบพายุหิมะ แล้วก่อไฟผิงให้คลายหนาวแม้ว่าในช่วงสองสามวันแรก นางจะยังคงหวาดกลัวมาก ทั้งหวาดกลัวการอยู่เพียงลำพังในป่าเขาและหวาดกลัวอันตรายในยามค่ำคืนนี่เป็นครั้งแรกที่นางมาอยู่ในสถานที่ห่างไกลผู้คนเช่นนี้ตามลำพังแต่ก่อนมีท่านพ่อและพี่ชายอยู่เคียงข้าง ต่อมาก็มีลั่วชิงยวนและเฉินเซี่ยวหาน แม้กระทั่งราชันย์อสรพิษที่คอยคุ้มครองนางในเงามืด ก็ทำให้นางอุ่นใจบัดนี้นางสามารถทำสิ่งที่มิเคยกล้าทำได้ด้วยตัวคนเดียวส่วนเฉินเซี่ยวหานสืบหาข่าวคราวในเมืองหลวง แม้กระทั่ง
เหยียนหน่ายซินขี่ม้าผ่านหน้าลั่วชิงยวน สายตาเหลือบมองนางแวบหนึ่งสายตาสองคู่สบประสานกันเหยียนหน่ายซินกระตุกยิ้มมั่นใจจือเฉาตกใจ “เหตุใดนางจึงอยู่กับแม่ทัพเฉิน? นางมิใช่คนตระกูลเหยียนหรือเจ้าคะ?”ลั่วชิงยวนขมวดคิ้ว นางจับเหยียนหน่ายซินมิได้และคิดว่านางคงมิอยู่ในเมืองหลวงแล้วมิคิดว่าวันนี้จะได้พบกับเรื่องน่าประหลาดใจเช่นนี้แม่ทัพเฉินพาเหยียนหน่ายซินเข้าวัง มินานก็มีข่าวออกมาว่าแม่ทัพเฉินได้รับการเลื่อนขั้นเป็นแม่ทัพใหญ่ ได้รับประทานบรรดาศักดิ์ คืนความรุ่งโรจน์ให้ตระกูลเฉินลั่วชิงยวนรอฟู่เฉินหวนกลับมาจนค่ำฟู่เฉินหวนรู้ว่านางจะถามอะไร จึงตอบด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “เหยียนหน่ายซินเป็นลูกหลานตระกูลเฉิน”ลั่วชิงยวนตกใจ “ว่ากระไรนะเพคะ?”ฟู่เฉินหวนตอบ “ชื่อจริงของนางคือเฉินซินเยวี่ย”“ตอนที่ตระกูลเฉินล่มสลาย เหยียนหน่ายซินตัวจริงเป็นเพียงบุตรีอนุ ใคร ๆ ก็มิสนใจ เพื่อรักษาชีวิตเฉินซินเยวี่ย จึงให้นางสวมรอยเป็นเหยียนหน่ายซินแทน”ลั่วชิงยวนมิอยากเชื่อ “เรื่องนี้เป็นความจริงหรือเพคะ?”“เฉินฮุยซานบอกว่าเป็นความจริง”“แต่เรื่องราวผ่านมานานแล้ว ยากจะตรวจสอบได้”“เหยียนหน่ายซินหลบอยู่
พระชายาใช้ชีวิตอย่างไรในตอนที่ถูกขังอยู่หลังจากกินข้าวเสร็จลั่วชิงยวนก็มอบสมุนไพรให้จือเฉา ให้นางไปต้มที่ห้องครัวส่วนลั่วชิงยวนนอนพักบนเตียง ขณะสะลึมสะลือ นางได้ยินเสียงบุรุษหลายคนกำลังพูดคุยเรื่องสงครามอยู่ชั้นล่างลั่วชิงยวนได้ยินเรื่องกองทัพแคว้นหลีและซีหลิงนางจึงลุกไปเปิดประตูแล้วยืนฟังที่มาจากทางเดิน“สู้รบกันมาตั้งนานแล้ว ยังมิรู้ผลแพ้ชนะ ครั้งนี้ท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการคงจะแพ้กระมัง”“เป็นไปมิได้ นี่เป็นสิ่งที่ท่านมหาปราชญ์ทำนาย บอกว่าท่านอ๋องไปแล้วจะชนะอย่างแน่นอน!”“แต่ก็มิรู้ว่าต้องรอนานเท่าใด”“จะว่าไปแล้ว ท่านมหาปราชญ์ผู้นี้มีความสามารถจริงหรือ? เทียบกับพระชายาอ๋องคนก่อนแล้ว ความสามารถช่างห่างไกล”ลั่วชิงยวนกลับเข้าห้องปรากฏว่ากองทัพแคว้นหลียังมิถอยทัพฟู่เฉินหวนถึงกับไปซีหลิงเพื่อต่อสู้กับกองทัพแคว้นหลี ดูเหมือนว่าอยากจะช่วยลั่วฉิงรักษาสถานะในราชสำนักจริง ๆมิรู้ว่าทั้งสองกลายเป็นมิตรกันได้อย่างไรหรือเป็นเพราะมีศัตรูร่วมกันก็คือนาง?จือเฉาต้มยาเสร็จแล้วนำมาให้ หลังจากที่ลั่วชิงยวนกินยาแล้วก็นั่งลงบนเก้าอี้ข้างหน้าต่างพลางสัมผัสแสงแดดภายนอกจือเฉานำผ้าห่ม
ความเจ็บปวดถาโถมเข้ามาดุจสายน้ำ เลือดเอ่อล้นขึ้นมาในลำคอ“เป็นอย่างไรบ้าง?” ฉู่จิ้งขมวดคิ้ว“มิเป็นอะไร” ลั่วชิงยวนพยายามพยุงตัวเองขึ้น สิ่งที่ทรมานยิ่งกว่าคือแสงแดดที่แยงตาในขณะนี้แสบตามากจนน้ำตาไหลมิหยุด“พระชายา พระชายา!” จือเฉาโผเข้ามาหาพลางร้องไห้โฮ “พระชายา โชคดีเหลือเกินที่ท่านปลอดภัย”“ตอนที่ยังวุ่นวาย พวกเราหนีไปตอนนี้กันเถิดเจ้าค่ะ ” จือเฉาจูงมือลั่วชิงยวน แล้วรีบหนีออกจากประตูหลังนางยังจำคำพูดของซูโหยวได้ ทุกอย่างถูกจัดเตรียมไว้แล้ว ต้องพาพระชายาออกไปก่อนที่จะเกิดเรื่องใหญ่โตมิเช่นนั้นหากทุกคนรู้ว่าพระชายายังมิตาย พระชายาอาจจะออกไปมิได้แล้วลั่วชิงยวนถูกพาตัวออกจากประตูหลัง แสงแดดแยงตาจนมองมิเห็นทางข้างหน้าเมื่อขึ้นรถม้าได้จึงรู้สึกดีขึ้นบ้าง“พระชายา เหตุใดท่านจึงร้องไห้หรือเจ้าคะ” จือเฉารีบหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาสักพักฉู่จิ้งก็ขึ้นรถม้าตามมา “พระชายาของเจ้าถูกขังอยู่ในห้องลับที่มืดมิดนานเกินไป ยังปรับตัวเข้ากับแสงภายนอกมิได้”ได้ยินดังนั้น จือเฉาก็รีบหยิบห่อผ้ามาจากกล่อง แล้วหยิบเสื้อคลุมสีดำตัวใหญ่ออกมาแล้วคลุมศีรษะให้ลั่วชิงยวนร่างผอมบางถูกคลุมด้วยเสื้อ
หัวใจของลั่วชิงยวนกระตุก แต่มิส่งเสียง ได้ยินลั่วฉิงยืนอยู่ข้างนอกครู่หนึ่งก็จากไปแต่ประตูห้องเปิดอยู่ ลั่วชิงยวนมองเห็นแสงสว่างจากด้านนอก ในที่สุดก็ได้เห็นแสงที่แตกต่างจากแสงเทียนแต่ทันใดนั้น นางก็ได้กลิ่นไหม้และเห็นไฟลุกไหม้จากด้านนอกบ้านไฟลุกลามอย่างรวดเร็ว มินานลั่วชิงยวนก็ได้กลิ่นควันไฟเปลวเพลิงกำลังแผดเผาเรือนหลังนี้ลั่วชิงยวนรีบนำน้ำมาชุบผ้าห่มแล้วอุดช่องว่างเพื่อป้องกันมิให้ควันลอยเข้ามาฟู่เฉินหวนอาจจะมิสนใจชีวิตของนาง แต่เมื่อเรือนไฟไหม้ก็ต้องให้คนมาช่วยดับไฟเพียงแค่นางยืนหยัดต่อไป ไฟก็จะมิลามเข้ามา อีกสักพักก็คงจะดับแล้วแต่ไฟกลับยิ่งลุกไหม้รุนแรงขึ้นผู้คนในตำหนักพบเห็นเข้าจึงรีบมาช่วยกันดับไฟจือเฉาได้ยินข่าวจึงรีบมา แล้วเห็นไฟไหม้ในเรือนนั้นเหมือนกับครั้งก่อนไม่มีผิดนางร้อนใจมากพระชายายังอยู่ข้างใน!นางรีบไปตักน้ำดับไฟกับคนอื่น ๆท่ามกลางความวุ่นวาย ลั่วฉิงแอบซ่อนตัวอยู่ในที่มืด ไม่มีใครสังเกตเห็นนางแน่นอนว่านางต้องรอ รอลั่วชิงยวนออกมาครั้งนี้มิว่าอย่างไรก็จะมิปล่อยให้ลั่วชิงยวนหนีไปได้!“แค่ก แค่ก แค่ก แค่ก...” ลั่วชิงยวนพิงกำแพง ควันที่ลอยเข
“ตามข้ามา” ซูโหยวสั่งจือเฉาลังเลอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงตามซูโหยวไปเมื่อมาถึงห้องของซูโหยว ซูโหยวก็หยิบจดหมายฉบับหนึ่งออกมายื่นให้จือเฉาจือเฉางุนงง “นี่คือ...”“นี่คือสิ่งที่ท่านอ๋องให้เจ้าทำก่อนหน้านี้ จดหมายฉบับนี้เป็นจดหมายที่ท่านอ๋องเขียนถึงพระชายา”จือเฉารับจดหมายมาอ่าน แล้วก็ต้องตกใจสุดขีด “พระชายามิได้...”ซูโหยวยกนิ้วชี้แตะริมฝีปาก แล้วกล่าวว่า “พระชายายังมิตาย”“ทั้งหมดนี้เป็นแผนการของท่านอ๋อง”“ข้าเตรียมทุกอย่างให้เจ้าแล้ว เช้าวันพรุ่ง เจ้าก็พาพระชายาออกจากตำหนัก ออกจากเมืองหลวง แล้วอย่าได้กลับมาอีก”“ส่วนจดหมายฉบับนี้ค่อยมอบให้พระชายาหลังจากผ่านไปครึ่งปี”“เจ้าทำได้หรือไม่?”จือเฉาตกใจมากและรู้สึกสับสน “แผนการของท่านอ๋องคืออะไรกันแน่”“เจ้าอย่าสนใจมาก ทำตามที่ท่านอ๋องสั่งก็พอ เจ้าแค่ต้องรู้ว่าทำเช่นนี้จึงจะรักษาชีวิตของพระชายาได้”“เรื่องที่ข้าบอกเจ้า ห้ามบอกพระชายา แค่ส่งจดหมายฉบับนี้ให้พระชายาหลังจากผ่านไปครึ่งปีก็พอ”“นี่เป็นโอกาสที่เจ้าทั้งสองจะมีชีวิตรอด เข้าใจหรือไม่?”จือเฉาตั้งใจฟัง พยักหน้า แล้วเก็บจดหมายไว้ในอกเสื้อ“แล้วตอนนี้พระชายาอยู่ที่ใด? วันพร
ลั่วชิงยวนตกใจเล็กน้อยแล้วยื่นมือออกไปนอกช่อง พยายามดึงถุงเข้ามาแล้วหยิบขวดยาออกมาทีละขวดหลังจากตรวจสอบดูว่ามียาอะไรบ้าง ลั่วชิงยวนก็กินยาเม็ดหนึ่งนางกำลังจะถามฉู่จิ้งว่าหายาพวกนี้มาจากที่ใด แต่เมื่อมองไปที่มุมห้องก็กลายเป็นว่าฉู่จิ้งขดตัวหลับไปเสียแล้วลั่วชิงยวนลากผ้าห่มมาห่มให้เขาเมื่อเข้าเหมันตฤดู พลังของฉู่จิ้งจะอ่อนแอลง ทำให้เขาง่วงนอนและต้องจำศีล ปกติแล้วจะมิค่อยตื่นขึ้นมาการออกไปหายาคงจะต้องใช้พลังทั้งหมดที่มียาที่นำมาเพียงพอสำหรับพวกเขาใช้ในช่วงระยะเวลาหนึ่ง ได้แต่หวังว่าเหมันตฤดูจะผ่านพ้นไปโดยเร็วในห้องลับที่มืดมิด ลั่วชิงยวนได้แต่นอนและกินเท่านั้น มองมิเห็นแสงตะวัน มีเพียงความมืดมิดมิรู้จบห้วงเวลาแห่งความทุกข์ทรมานช่างยาวนานเหลือเกินเสบียงแห้งแข็งราวกับหิน ทั้งแห้งและแข็งจนกลืนลำบาก กลืนลงไปแล้วก็เหมือนกินใบมีด เจ็บคอมากบาดแผลทั่วร่างก็มิสามารถล้างทำความสะอาดได้ ได้แต่ใช้ผ้าสะอาดเช็ดรอบแผล ทายาและพันแผลใหม่ทุกวันถึงแม้ว่าบาดแผลส่วนใหญ่จะมิแย่ลง แต่ก็มิได้ดีขึ้นเลยในห้องลับนั้นหนาวเหน็บ หนาวจนต้องห่มผ้าห่มสองผืนแต่ก็ยังคงรู้สึกหนาวผิวแห้งแตกไปหมด บางค
ลั่วฉิงรีบกลับไปที่ตำหนัก ค้นหาทั่วทุกซอกทุกมุมแต่ก็มิพบลั่วชิงยวนนางขมวดคิ้ว ลั่วชิงยวนถูกซ่อนไว้ที่ใดกันแน่!กลยุทธ์จักจั่นลอกคราบนี้เป็นฝีมือของลั่วชิงยวนเอง หรือฟู่เฉินหวนเป็นผู้บงการ?หากเป็นฟู่เฉินหวน แล้วเขาคิดจะทำอะไร!ลั่วฉิงออกจากตำหนักอ๋องด้วยความโกรธ และส่งคนไปเฝ้าประตูหน้าและประตูหลังของตำหนักอ๋องไว้หากลั่วชิงยวนปรากฏตัว ต้องจับนางให้ได้ในทันที!ในเมื่อเฉินชีไปซีหลิงแล้ว ก็ต้องสู้กับฟู่เฉินหวนจนตายไปข้างหนึ่ง มีเพียงช่วงเวลานี้เท่านั้นที่สามารถจับลั่วชิงยวนได้ มิเช่นนั้นก็จะไม่มีโอกาสอีก!......ลั่วชิงยวนถูกกัดจนสะดุ้งตื่นความเจ็บปวดที่ข้อเท้าทำให้นางสะดุ้งตื่น นางลืมตาขึ้นอย่างงุนงง เมื่อพยุงตัวเองลุกขึ้นนั่งก็เห็นงูนอนขดอยู่ข้างเท้าของนาง และกัดนางเข้าทันทีที่รู้สึกตัว นางก็รู้สึกเจ็บปวดที่ท้องอย่างรุนแรงนางก้มลงมองใต้แสงสลัว เมื่อเห็นเลือดไหลนองพื้นใต้ชายกระโปรงก็ตกใจสุดขีดขณะที่ลูบท้อง น้ำตาของลั่วชิงยวนก็ไหลรินไม่มีแล้ว!ไม่มีลูกแล้ว!เป็นเช่นนี้ได้อย่างไร?ลั่วชิงยวนมิรู้ว่าตัวเองสลบไปนานเท่าใด แต่นึกถึงคืนที่ถูกขังไว้ ยาที่ฟู่เฉินหวนกรอกให้นา
“แต่ก่อนหน้านี้ท่านอ๋องก็เคยรับลั่วเยวี่ยอิงเป็นพระชายารองมาก่อน เรื่องของลั่วเยวี่ยอิงกับเหยียนผิงเซียวก็ดังไปทั่ว ท่านอ๋องยังแต่งงานกับลั่วเยวี่ยอิง”“ตอนนั้นท่านยังมิรู้สึกเสียหน้า เหตุใดจึงมารู้สึกตอนที่พระชายาอ๋องทำให้ท่านเสียหน้าเล่า!”“ใช่ นี่มันมากเกินไปแล้ว!”“ก่อนหน้านี้พระชายาอ๋องยังเป็นถึงมหาปราชญ์ ทั้งยังได้รับการแต่งตั้งเป็นองค์หญิงด้วย! ท่านอ๋องช่างอาจหาญนัก บอกว่าจะฆ่าก็ฆ่า!”“ท่านก็มิได้ฆ่าอย่างเปิดเผย แค่ไฟไหม้ พระชายาจึงสิ้นใจไป ใครจะมีหลักฐานว่าท่านเป็นคนฆ่า เฮ้อ...”“น่าสงสารพระชายา ต้องอดทนมาตลอดชีวิต”เพียงวันเดียว ชื่อเสียงของฟู่เฉินหวนก็เสื่อมเสียลงอย่างมากจือเฉาคุกเข่าร้องไห้อยู่ท่ามกลางซากปรักหักพังครึ่งวัน เดิมทีอยากจะออกจากตำหนักอ๋องไปแต่กลับถูกองครักษ์ขวางไว้ “เจ้าออกจากตำหนักมิได้”“เหตุใด? พระชายาจากไปแล้ว ข้ามิอยากอยู่ในที่แห่งนี้แล้ว!” จือเฉาพูดพลางน้ำตาไหล“ไม่มีเหตุผล เจ้าไปมิได้”กล่าวจบ องครักษ์สองคนก็ลากจือเฉาไปขังไว้ในเรือนอีกแห่ง“ปล่อยข้า! ปล่อยข้า!”“พวกเจ้าจะทำอะไร!”ประตูลั่นดาล จือเฉาทุบประตูอย่างสุดกำลังแต่ก็ไร้ผลสุดท้ายก
ฟู่เฉินหวนยังคงนิ่งเงียบ มิเอ่ยคำใดสักคำจักรพรรดิสูงสุดโกรธจัด พลันตบหน้าฟู่เฉินหวนเข้าไปอีกสองฉาดอย่างแรงจนตัวเองเกือบล้มลงไปที่พื้นดีที่ขันทีรีบเข้ามาพยุงไว้ได้ทันจักรพรรดิสูงสุดชี้นิ้วไปที่ฟู่เฉินหวนด้วยความโกรธจัดจนแทบหายใจมิออก “เจ้ามันโหดร้ายเกินไปแล้ว!”ฟู่เฉินหวนยังคงมีสีหน้าเรียบเฉย “คนที่อยากได้สิ่งที่ยิ่งใหญ่ ก็ต้องยอมเสียสละบ้างเป็นธรรมดา”“เจ้าอยากให้ข้าตายใช่หรือไม่!” จักรพรรดิสูงสุดโกรธจนแทบคลั่ง อยากจะเข้าไปเตะซ้ำอีกสักสองที แต่แล้วก็วูบหมดสติไปจักรพรรดิสูงสุดเป็นลมล้มพับไปหมอหลวงรีบมาตรวจชีพจรและตรวจร่างกายอย่างละเอียด เมื่อแน่ใจว่าไม่มีอันตราย ฟู่เฉินหวนก็ขอตัวออกไปเขาเดินไปเข้าเฝ้าจักรพรรดิที่ห้องทรงพระอักษรทั้งที่ยังมีรอยฝ่ามือแดงปรากฏอยู่บนใบหน้าฟู่อวิ๋นโจวตอนนี้ร้อนใจยิ่งกว่าจักรพรรดิสูงสุด รีบถามทันที “ลั่วชิงยวนปลอดภัยดีใช่หรือไม่?”ฟู่เฉินหวนยังคงตอบเหมือนเดิม “นางตายแล้ว”ฟู่อวิ๋นโจวตัวแข็งทื่อทันใด ตะลึงงันราวถูกฟ้าผ่าเขาจ้องมองฟู่เฉินหวนด้วยความตกใจ ดวงตาพลันกลายเป็นสีแดงก่ำด้วยความโกรธ จากนั้นวิ่งเข้ามากระชากคอเสื้อฟู่เฉินหวน“ฟู่เฉินหว
“พ่ะย่ะค่ะ!”ศพถูกนำออกจากตำหนักอ๋องเฉินชีที่กำลังรีบมาที่ตำหนักอ๋องบังเอิญเห็นเข้า จึงรีบเข้าไปในตำหนักอ๋อง แล้วตรงไปยังเรือนที่ลั่วชิงยวนพักอาศัยก็เห็นเรือนที่ถูกไฟไหม้จนหมดสิ้นเฉินชีตกใจมาก รีบคว้าคอเสื้อคนรับใช้คนหนึ่งมาถามเสียงดัง “ลั่วชิงยวนอยู่ที่ใด!”ท่าทางดุร้ายนั้นทำให้ทุกคนหวาดกลัว“พระชายา... ถูกไฟคลอกสิ้นไปแล้ว!”ได้ยินดังนั้น สีหน้าของเฉินชีก็เปลี่ยนเป็นซีดเผือดทันทีก่อนจะรีบไปที่เรือนด้านหน้า ปรากฏตัวต่อหน้าฟู่เฉินหวน จิตสังหารแผ่ซ่านจนทำให้องครักษ์ในเรือนชักดาบขึ้นมาด้วยความระมัดระวังแล้วเข้าล้อมเฉินชีไว้“ฟู่เฉินหวน ลั่วชิงยวนอยู่ที่ใด!”ฟู่เฉินหวนที่มีสีหน้าเย็นชากล่าวอย่างใจเย็น “ตายแล้ว”เฉินชีโกรธจัด กระโจนเข้าใส่ฟู่เฉินหวน “ไฟไหม้เป็นฝีมือของเจ้าใช่หรือไม่?!”ถึงแม้จะมิใช่เขาที่จุดไฟ ก็ต้องเป็นเขาที่สั่งให้คนจุด!มิเช่นนั้นทั้งตำหนักอ๋อง เหตุใดจึงมีเพียงเรือนของลั่วชิงยวนที่ถูกไฟไหม้!คนในตำหนักมากมาย เหตุใดจึงมีเพียงลั่วชิงยวนคนเดียวที่ตาย!แต่ฟู่เฉินหวนหาได้ปฏิเสธไม่ เขามองเฉินชีด้วยแววตาดุดัน เต็มไปด้วยความเป็นศัตรู“นางทรยศข้า ต่อให้ข้าต้อง