“เสด็จพ่อ!”ลั่วชิงยวนและเหยี่ยนหลัวรีบเข้าไปในห้อง แต่คนบนเตียงกลับสิ้นลมหายใจไปแล้วหล่างมู่ร้องไห้คร่ำครวญด้วยความเศร้าโศกอยู่ข้างเตียง เหยี่ยนหลัวคุกเข่าลงลั่วชิงยวนสับสน ราชาเผ่านอกด่านสิ้นใจไปแล้วในคืนที่มอบบัลลังก์ให้แก่นางหลังจากหล่างมู่ร้องไห้แล้ว เขาก็ลุกขึ้นกล่าวว่า “เสด็จพ่อบอกว่าควรปิดบังข่าวการจากไปของท่านไว้สักระยะหนึ่ง”“หลังจากจากไปแล้วให้ฝังร่างไว้ที่นอกวังบนภูเขา”ลั่วชิงยวนถึงกับตะลึง นอกวังบนภูเขาหรือ? ดูเหมือนว่าแม้กระทั่งวาระสุดท้าย ท่านก็ยังคงคิดถึงลั่วอิงเนื่องจากการจากไปของราชาเผ่านอกด่าน ลั่วชิงยวนจึงต้องล่าช้าไปอีกหลายวัน รอจนกว่าจะเสร็จสิ้นพิธีฝังศพแล้วจึงจะไปยังสถานที่ที่ระบุไว้ในแผนที่ได้ในวันฝังศพ พญาอินทรีศักดิ์สิทธิ์ของเผ่านอกด่านก็มาส่งด้วยเช่นกัน มาเกาะอยู่บนแขนของลั่วชิงยวน มองดูหลุมฝังศพของราชาเผ่านอกด่านลั่วชิงยวนใช้ปลายนิ้วลูบมันเบา ๆ “เจ้าเกือบจะกลายเป็นทูตส่งวิญญาณแล้วหรือ?”มันกะพริบตา แล้วเอียงคอมองที่น่าแปลกคือ หลังจากฝังศพราชาเผ่านอกด่านแล้ว ลั่วชิงยวนก็กลับเมือง แต่พญาอินทรีศักดิ์สิทธิ์ก็ยังคงติดตามนางไปด้วย บินว
ขณะที่ลั่วชิงยวนกำลังจะลงไปช่วยเหลือหล่างมู่ จู่ ๆ นกอินทรีก็บินมาเกาะแขนของนางอีกครั้ง แล้วดึงแขนเสื้อของนางไว้ลั่วชิงยวนตบมันออกไป “เจ้าตัวนี้นี่ มิช่วยก็อย่ามาขวางทางข้า” ลั่วชิงยวนกระโดดเข้าร่วมการต่อสู้ คมดาบสะท้อนแสงจันทร์เปล่งประกายในความมืดมิด เลือดสาดกระจายไปทั่ว นกอินทรีที่ถูกลั่วชิงยวนตบจนกระเด็นไปร้องเสียงแหลมดังก้องไปทั่ว เสียงนั้นแหลมคมราวกับจะทะลุโสตประสาท ทรงพลังยิ่งนัก ทันใดนั้น เสียงหมาป่าตัวหนึ่งหอนก็ดังขึ้นอีกครั้ง แล้วฝูงหมาป่าก็เริ่มล่าถอยไปแล้ว! ลั่วชิงยวนและหล่างมู่ยังคงจับมือกันแน่น เนื้อตัวเต็มไปด้วยเลือด มือทั้งสองสั่นเทา การล่าถอยอย่างฉับพลันของฝูงหมาป่าทำให้ทั้งสองตะลึงงัน คิดว่าจะเป็นการต่อสู้ที่นองเลือดอันยาวนาน แต่กลับจบลงอย่างรวดเร็ว “เป็นเพราะพญาอินทรีศักดิ์สิทธิ์” หล่างมู่เงยหน้ามองนกอินทรีที่กำลังบินวนเวียนอยู่ รอยยิ้มปรากฏบนใบหน้าที่เปื้อนเลือด ลั่วชิงยวนขมวดคิ้วด้วยความสงสัย “มันศักดิ์สิทธิ์ถึงเพียงนั้นเชียวหรือ...” นกอินทรีบินกลับมาเกาะอยู่บนแขนของลั่วชิงยวนอีกครั้ง ด้วยเหตุผลบางอย่าง ลั่วชิงยวนเห็นว่ามันราวกับกำลังเช
ลั่วชิงยวนตกใจก่อนจะรีบอ่านต่อ “นักบวชหญิงแห่งแคว้นหลีเป็นผู้มีอิทธิพลสูงสุด แม้แต่ราชวงศ์ก็ต้องให้เกียรติ” “ข้าเคยคิดว่าเป็นเพราะผู้คนนับถือและเคารพเพราะตัวนักบวชหญิงเอง” “แต่ข้าค้นพบว่า ความเชื่อฟังและการเคารพอย่างไม่มีเงื่อนไขมาจากน้ำศักดิ์สิทธิ์ของแคว้นหลีเท่านั้น” “เมื่อข้าเป็นนักบวชหญิง ข้าต้องกินโอสถจตุรธาตุทุกเดือน อาจารย์บอกว่าเป็นยาเพิ่มพลังและบันทึกประวัติศาสตร์ก็กล่าวเช่นนั้นด้วย” “นั่นเป็นครั้งแรกที่ข้าพบกับคนที่ต่อต้านข้า เขามิเชื่อฟังคำสั่งของข้า แต่เขาก็เจ็บปวดทรมานอย่างแสนสาหัส” “ข้ารู้สึกประหลาดใจมากจึงตรวจรักษาให้เขาด้วยตนเอง แต่ก็หาสาเหตุมิพบ” “ข้ารักษาเขาเป็นเวลาครึ่งปี สุดท้ายก็พบสาเหตุ” “เพียงแค่เขาคิดต่อต้าน เขาก็จะทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัส เขาเป็นคนที่มีความมุ่งมั่นสูง ยิ่งต่อต้านมากเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งทรมาน” “แต่ข้ามิได้ควบคุมเขาเลย” “ด้วยเหตุนี้ข้าจึงลองหาคนมาทดลอง ด้วยการลองสั่งให้พวกเขาทำสิ่งที่พวกเขามิยอมทำ ผลปรากฏว่า ผู้ที่พยายามฝ่าฝืนคำสั่งของข้าต่างก็ทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัส” “ข้ามิรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ข้าตระหนักได้ว่าความเชื่อฟังและการเคาร
ลั่วชิงยวนรีบคว้าเอาไว้ เมื่อเปิดออกดูมันคือคันฉ่องสุริยันจันทรา! นางนำเข็มทิศอาณัติสวรรค์ออกมาแล้วพยายามประกอบเข้าด้วยกัน สิ่งของทั้งสองชิ้นนี้เป็นหนึ่งเดียวกัน ลั่วชิงยวนตกใจมาก อาจารย์เคยบอกนางเกี่ยวกับคันฉ่องสุริยันจันทรา แต่มิคิดว่าสมบัติของแคว้นหลีที่แท้จริง มิใช่เพียงคันฉ่องสุริยันจันทรา แต่ยังรวมถึงเข็มทิศอาณัติสวรรค์ที่อยู่ในมือนางด้วย เมื่อออกจากห้องลับ นางก็ทำลายกลไกเพื่อมิให้ผู้ใดเข้าไปในห้องลับได้อีก เมื่อไปถึงห้องยาก็พบตำรายาและสมุนไพรกระจัดกระจายอยู่บนโต๊ะและพื้น ตู้ยาเต็มไปด้วยสมุนไพร รวมทั้งสมุนไพรหายากมากมาย ในตะกร้าข้าง ๆ เต็มไปด้วยยาเม็ด ซึ่งล้วนเป็นยาที่พัฒนามิสำเร็จ หลังจากที่นางปัดฝุ่นออกแล้วจึงเห็นว่าบนโต๊ะมีใบเทียบยาอยู่หลายใบ ลั่วชิงยวนนั่งลงแล้วดู ใบเทียบยาใบหนึ่งเขียนว่า: มีฤทธิ์ยับยั้ง แต่ผลลัพธ์สั้นและครั้งที่สองจะทรมานยิ่งกว่า ใบเทียบยาอีกใบหนึ่งเขียนว่า: มีฤทธิ์แก้พิษเล็กน้อย บรรเทาอาการได้เล็กน้อย หากต้องการกำจัดการควบคุมอย่างสมบูรณ์ ต้องรับประทานยานี้เป็นเวลาอย่างน้อยหนึ่งร้อยปีขึ้นไป ใบเทียบยาอื่น ๆ ก็เขียนถึงสรรพคุณและส่วน
ปัง—ทำให้ทั้งสองตกใจ เสียงปังดังขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่ก็มีเพียงเสียงดังและมีประกายไฟเล็กน้อย แต่เมื่อจบลงแล้ว บนพื้นก็มีผงสีขาวเป็นกองเล็ก ๆ มิรู้ว่าเมล็ดเหล่านี้ที่กลายเป็นผงแล้วจะมีประโยชน์อย่างไร นางจึงตัดสินใจว่าจะเก็บไว้ศึกษา ลั่วชิงยวนก้มลงเก็บผงเหล่านั้นอย่างระมัดระวัง แม้จะเป็นกองผงละเอียด แต่ก็เก็บได้มิมาก เก็บได้เพียงครึ่งขวดเล็ก ๆ เท่านั้น “พี่หญิง สิ่งเหล่านี้ใช้ทำอะไรหรือขอรับ?” หล่างมู่ใช้มือแตะเล็กน้อยและกำลังจะเอาแตะลิ้น ลั่วชิงยวนรีบคว้ามือเขาไว้ “สิ่งนี้กินมิได้ มันมีพิษ” หล่างมู่รีบปัดมือแล้วไปล้างมือในน้ำพุ “พี่หญิง ท่านเคยมาที่นี่มาก่อนหรือ เหตุใดจึงดูคุ้นเคยเช่นนี้?” หล่างมู่ถามด้วยความสงสัย ลั่วชิงยวนเตือนอย่างจริงจัง “จำไว้ว่าหลังจากออกไปแล้วให้ลืมที่นี่เสีย อย่าได้มาที่นี่อีก” หล่างมู่พยักหน้า “ได้ขอรับ” ทั้งสองพักอยู่ที่นี่อีกคืน เมื่อฟ้าเริ่มสางก็ออกเดินทางจากหุบเขาอสูร นกอินทรีนั้นเก่งกาจมาก มันคอยคุ้มกันไปตลอดทางจึงไม่มีสัตว์ร้ายตัวใดกล้าเข้าใกล้เลย เมื่อออกจากหุบเขาอสูรอย่างปลอดภัย นกอินทรีก็บินมาเกาะแขนของลั่วชิงยวนอีกครั้ง
เสียงของหล่างมู่ดังมาจากในพุ่มหญ้า “พี่หญิง เชิญนอนลงเถิด หญ้าเหล่านี้นุ่มนิ่มยิ่งนัก” ลั่วชิงยวนจึงนอนลงในพุ่มหญ้าเช่นกัน ปรากฏว่ามันนุ่มนิ่มอย่างมิน่าเชื่อ ไม่มีหนามทิ่มแทงเลยแม้แต่น้อย อากาศอบอวลไปด้วยกลิ่นหอมของดอกไม้และพืชพันธุ์ นางกลิ้งตัวไปมา จู่ ๆ เห็ดสีใสราวกับผลึกก็ปรากฏต่อหน้าลั่วชิงยวน ลั่วชิงยวนตกใจแล้วเอื้อมมือไปแตะ เห็ดเซียนญาณวารี? โชคดีอะไรเช่นนี้! เห็ดชนิดนี้มีฤทธิ์แก้พิษได้อย่างน่าอัศจรรย์ เมื่อนำไปใช้ร่วมกับสมุนไพรอื่น ๆ ก็จะได้ผลลัพธ์ที่แตกต่างกัน เรียกได้ว่าเป็นเห็ดสารพัดประโยชน์ แม้แต่นางในอดีตก็เคยเห็นเพียงสองครั้งเท่านั้น เป็นสิ่งหายากที่หาได้ยากยิ่งนัก นางเก็บเห็ดวิญญาณเซียนน้ำ แล้วห่อด้วยผ้าเช็ดหน้าอย่างทะนุถนอม “พี่หญิง ท่านกำลังทำอะไรอยู่หรือ?” หล่างมู่โผล่ขึ้นมาจากพุ่มหญ้า เมื่อเห็นนางเก็บเห็ดจึงถามด้วยความสงสัย “ท่านจะนำกลับไปกินหรือ?” “กินมิได้หรอก นี่คือยา” ลั่วชิงยวนวางเห็ดไว้ในอ้อมแขนอย่างทะนุถนอม หล่างมู่ใช้มือแหวกพุ่มหญ้า “กินได้สิขอรับ แต่เพียงเท่านี้จะพอสำหรับทำผัดเห็ดหนึ่งจานหรือ?”ปรากฏว่าใต้พุ่มหญ้าเต็มไปด้วยเห็ดว
ฟู่เฉินหวนมิได้ตอบกลับ ภายในใจเต็มไปด้วยอารมณ์ที่หลากหลายอาจเป็นเพราะแผ่นดินอันกว้างใหญ่และใต้หล้าที่อิสระของเผ่านอกด่านเหมาะสมกับนางมากกว่า มิกลับมาก็มิเป็นอะไร จู่ ๆ ฟู่เฉินหวนก็เจ็บแปลบขึ้นในอกจนต้องเอามือกุมหน้าอกไว้ “ท่านอ๋อง เจ็บแผลอีกแล้วหรือพ่ะย่ะค่ะ? รีบพักผ่อนเถิดพ่ะย่ะค่ะ” “กระหม่อมจะคอยเฝ้าอยู่พ่ะย่ะค่ะ” ทันใดนั้นทหารก็มาแจ้งว่า “ท่านอ๋อง มหาราชาจารย์เหยียนมาถึงแล้วพ่ะย่ะค่ะ!” เซียวชูได้ยินดังนั้นก็ตกใจ ส่วนฟู่เฉินหวนขมวดคิ้วและอยากจะลุกขึ้น แต่กลับลุกมิไหวเพราะความเจ็บปวดแสนสาหัส “ท่านอ๋อง หากมหาราชาจารย์เหยียนรู้ว่าท่านบาดเจ็บ ย่อมจะหาทางทำร้ายท่านเป็นแน่พ่ะย่ะค่ะ!” เซียวชูบอกทหารว่า “ไปเถอะ! บอกไปว่าขณะนี้ท่านอ๋องมิอยู่ในเมืองผิงหนิง” “เตรียมที่พักให้มหาราชาจารย์เหยียนก่อน” ฟู่เฉินหวนกุมหน้าอกพลางพูดด้วยสีหน้าเคร่งเครียด “มหาราชาจารย์เหยียนมาถึงเมืองผิงหนิงโดยมิแจ้งให้ทราบล่วงหน้า ย่อมมีเจตนาร้ายบางอย่าง” “สั่งลงไป อย่าให้เขาพบกับซือซิงและหล่างชิ่น” มหาราชาจารย์เหยียนเดินทางไกลมาด้วยตัวเอง ย่อมเป็นเพราะเกรงว่าฟู่เฉินหวนจะจับได้ว่า เขาสมคบคิดกั
“ข้าน้อยอยู่ตรงนี้ขอรับ!”“มิว่าฟู่เฉินหวนจะอยู่ในเมืองผิงหนิงหรือไม่ เขาก็มิกล้าที่จะมิมาพบหน้าข้า ย่อมมีความผิดปกติ เจ้าจงรีบไปตามซือซิงมาโดยด่วน ข้าต้องการพบเขา”“รับทราบขอรับ!”มหาราชาจารย์เหยียนจึงอยู่ในเมืองนานขึ้นอีกระยะหนึ่ง หนึ่งชั่วโมงต่อมา ถิงกวงก็มาอยู่ตรงหน้ามหาราชาจารย์เหยียน “ท่านมหาราชาจารย์ พบที่คุมขังซือซิงแล้วขอรับ”มหาราชาจารย์เหยียนลุกขึ้น ใบหน้าเต็มไปด้วยความโกรธแค้น เมื่อประตูห้องเปิดออก ซือซิงก็เห็นมหาราชาจารย์เหยียนเดินเข้ามาด้วยท่าทางน่าเกรงขาม“ท่านมหาราชาจารย์...” ซือซิงรู้สึกตื่นตระหนกทันใดดวงตาของมหาราชาจารย์เหยียนเฉียบคม “ฟู่เฉินหวนให้สิ่งใดแก่เจ้าจึงทำให้เจ้าทรยศข้า?”ซือซิงอธิบายด้วยความตื่นตระหนก “ท่านมหาราชาจารย์ เป็นเพราะลั่วชิงยวนใช้ป้ายของท่านหลอกลวงข้า! ข้าจึงหลงคิดว่าเป็นคำสั่งของท่านขอรับ!”มหาราชาจารย์เหยียนตกใจเมื่อได้ฟังดังนั้น ป้ายของเขาหายไปเมื่อมินานมานี้ แต่หายไปตอนอยู่ที่จวนมหาราชาจารย์ เหตุใดจึงตกไปอยู่ในมือลั่วชิงยวนได้?“เจ้าเห็นชัดหรือไม่ว่านั่นคือป้ายของข้า?”ซือซิงตอบอย่างมั่นใจ “แน่นอนขอรับ!”มหาราชาจารย์เหยียน