ลั่วชิงยวนตกใจก่อนจะรีบอ่านต่อ “นักบวชหญิงแห่งแคว้นหลีเป็นผู้มีอิทธิพลสูงสุด แม้แต่ราชวงศ์ก็ต้องให้เกียรติ” “ข้าเคยคิดว่าเป็นเพราะผู้คนนับถือและเคารพเพราะตัวนักบวชหญิงเอง” “แต่ข้าค้นพบว่า ความเชื่อฟังและการเคารพอย่างไม่มีเงื่อนไขมาจากน้ำศักดิ์สิทธิ์ของแคว้นหลีเท่านั้น” “เมื่อข้าเป็นนักบวชหญิง ข้าต้องกินโอสถจตุรธาตุทุกเดือน อาจารย์บอกว่าเป็นยาเพิ่มพลังและบันทึกประวัติศาสตร์ก็กล่าวเช่นนั้นด้วย” “นั่นเป็นครั้งแรกที่ข้าพบกับคนที่ต่อต้านข้า เขามิเชื่อฟังคำสั่งของข้า แต่เขาก็เจ็บปวดทรมานอย่างแสนสาหัส” “ข้ารู้สึกประหลาดใจมากจึงตรวจรักษาให้เขาด้วยตนเอง แต่ก็หาสาเหตุมิพบ” “ข้ารักษาเขาเป็นเวลาครึ่งปี สุดท้ายก็พบสาเหตุ” “เพียงแค่เขาคิดต่อต้าน เขาก็จะทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัส เขาเป็นคนที่มีความมุ่งมั่นสูง ยิ่งต่อต้านมากเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งทรมาน” “แต่ข้ามิได้ควบคุมเขาเลย” “ด้วยเหตุนี้ข้าจึงลองหาคนมาทดลอง ด้วยการลองสั่งให้พวกเขาทำสิ่งที่พวกเขามิยอมทำ ผลปรากฏว่า ผู้ที่พยายามฝ่าฝืนคำสั่งของข้าต่างก็ทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัส” “ข้ามิรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ข้าตระหนักได้ว่าความเชื่อฟังและการเคาร
ลั่วชิงยวนรีบคว้าเอาไว้ เมื่อเปิดออกดูมันคือคันฉ่องสุริยันจันทรา! นางนำเข็มทิศอาณัติสวรรค์ออกมาแล้วพยายามประกอบเข้าด้วยกัน สิ่งของทั้งสองชิ้นนี้เป็นหนึ่งเดียวกัน ลั่วชิงยวนตกใจมาก อาจารย์เคยบอกนางเกี่ยวกับคันฉ่องสุริยันจันทรา แต่มิคิดว่าสมบัติของแคว้นหลีที่แท้จริง มิใช่เพียงคันฉ่องสุริยันจันทรา แต่ยังรวมถึงเข็มทิศอาณัติสวรรค์ที่อยู่ในมือนางด้วย เมื่อออกจากห้องลับ นางก็ทำลายกลไกเพื่อมิให้ผู้ใดเข้าไปในห้องลับได้อีก เมื่อไปถึงห้องยาก็พบตำรายาและสมุนไพรกระจัดกระจายอยู่บนโต๊ะและพื้น ตู้ยาเต็มไปด้วยสมุนไพร รวมทั้งสมุนไพรหายากมากมาย ในตะกร้าข้าง ๆ เต็มไปด้วยยาเม็ด ซึ่งล้วนเป็นยาที่พัฒนามิสำเร็จ หลังจากที่นางปัดฝุ่นออกแล้วจึงเห็นว่าบนโต๊ะมีใบเทียบยาอยู่หลายใบ ลั่วชิงยวนนั่งลงแล้วดู ใบเทียบยาใบหนึ่งเขียนว่า: มีฤทธิ์ยับยั้ง แต่ผลลัพธ์สั้นและครั้งที่สองจะทรมานยิ่งกว่า ใบเทียบยาอีกใบหนึ่งเขียนว่า: มีฤทธิ์แก้พิษเล็กน้อย บรรเทาอาการได้เล็กน้อย หากต้องการกำจัดการควบคุมอย่างสมบูรณ์ ต้องรับประทานยานี้เป็นเวลาอย่างน้อยหนึ่งร้อยปีขึ้นไป ใบเทียบยาอื่น ๆ ก็เขียนถึงสรรพคุณและส่วน
ปัง—ทำให้ทั้งสองตกใจ เสียงปังดังขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่ก็มีเพียงเสียงดังและมีประกายไฟเล็กน้อย แต่เมื่อจบลงแล้ว บนพื้นก็มีผงสีขาวเป็นกองเล็ก ๆ มิรู้ว่าเมล็ดเหล่านี้ที่กลายเป็นผงแล้วจะมีประโยชน์อย่างไร นางจึงตัดสินใจว่าจะเก็บไว้ศึกษา ลั่วชิงยวนก้มลงเก็บผงเหล่านั้นอย่างระมัดระวัง แม้จะเป็นกองผงละเอียด แต่ก็เก็บได้มิมาก เก็บได้เพียงครึ่งขวดเล็ก ๆ เท่านั้น “พี่หญิง สิ่งเหล่านี้ใช้ทำอะไรหรือขอรับ?” หล่างมู่ใช้มือแตะเล็กน้อยและกำลังจะเอาแตะลิ้น ลั่วชิงยวนรีบคว้ามือเขาไว้ “สิ่งนี้กินมิได้ มันมีพิษ” หล่างมู่รีบปัดมือแล้วไปล้างมือในน้ำพุ “พี่หญิง ท่านเคยมาที่นี่มาก่อนหรือ เหตุใดจึงดูคุ้นเคยเช่นนี้?” หล่างมู่ถามด้วยความสงสัย ลั่วชิงยวนเตือนอย่างจริงจัง “จำไว้ว่าหลังจากออกไปแล้วให้ลืมที่นี่เสีย อย่าได้มาที่นี่อีก” หล่างมู่พยักหน้า “ได้ขอรับ” ทั้งสองพักอยู่ที่นี่อีกคืน เมื่อฟ้าเริ่มสางก็ออกเดินทางจากหุบเขาอสูร นกอินทรีนั้นเก่งกาจมาก มันคอยคุ้มกันไปตลอดทางจึงไม่มีสัตว์ร้ายตัวใดกล้าเข้าใกล้เลย เมื่อออกจากหุบเขาอสูรอย่างปลอดภัย นกอินทรีก็บินมาเกาะแขนของลั่วชิงยวนอีกครั้ง
เสียงของหล่างมู่ดังมาจากในพุ่มหญ้า “พี่หญิง เชิญนอนลงเถิด หญ้าเหล่านี้นุ่มนิ่มยิ่งนัก” ลั่วชิงยวนจึงนอนลงในพุ่มหญ้าเช่นกัน ปรากฏว่ามันนุ่มนิ่มอย่างมิน่าเชื่อ ไม่มีหนามทิ่มแทงเลยแม้แต่น้อย อากาศอบอวลไปด้วยกลิ่นหอมของดอกไม้และพืชพันธุ์ นางกลิ้งตัวไปมา จู่ ๆ เห็ดสีใสราวกับผลึกก็ปรากฏต่อหน้าลั่วชิงยวน ลั่วชิงยวนตกใจแล้วเอื้อมมือไปแตะ เห็ดเซียนญาณวารี? โชคดีอะไรเช่นนี้! เห็ดชนิดนี้มีฤทธิ์แก้พิษได้อย่างน่าอัศจรรย์ เมื่อนำไปใช้ร่วมกับสมุนไพรอื่น ๆ ก็จะได้ผลลัพธ์ที่แตกต่างกัน เรียกได้ว่าเป็นเห็ดสารพัดประโยชน์ แม้แต่นางในอดีตก็เคยเห็นเพียงสองครั้งเท่านั้น เป็นสิ่งหายากที่หาได้ยากยิ่งนัก นางเก็บเห็ดวิญญาณเซียนน้ำ แล้วห่อด้วยผ้าเช็ดหน้าอย่างทะนุถนอม “พี่หญิง ท่านกำลังทำอะไรอยู่หรือ?” หล่างมู่โผล่ขึ้นมาจากพุ่มหญ้า เมื่อเห็นนางเก็บเห็ดจึงถามด้วยความสงสัย “ท่านจะนำกลับไปกินหรือ?” “กินมิได้หรอก นี่คือยา” ลั่วชิงยวนวางเห็ดไว้ในอ้อมแขนอย่างทะนุถนอม หล่างมู่ใช้มือแหวกพุ่มหญ้า “กินได้สิขอรับ แต่เพียงเท่านี้จะพอสำหรับทำผัดเห็ดหนึ่งจานหรือ?”ปรากฏว่าใต้พุ่มหญ้าเต็มไปด้วยเห็ดว
ฟู่เฉินหวนมิได้ตอบกลับ ภายในใจเต็มไปด้วยอารมณ์ที่หลากหลายอาจเป็นเพราะแผ่นดินอันกว้างใหญ่และใต้หล้าที่อิสระของเผ่านอกด่านเหมาะสมกับนางมากกว่า มิกลับมาก็มิเป็นอะไร จู่ ๆ ฟู่เฉินหวนก็เจ็บแปลบขึ้นในอกจนต้องเอามือกุมหน้าอกไว้ “ท่านอ๋อง เจ็บแผลอีกแล้วหรือพ่ะย่ะค่ะ? รีบพักผ่อนเถิดพ่ะย่ะค่ะ” “กระหม่อมจะคอยเฝ้าอยู่พ่ะย่ะค่ะ” ทันใดนั้นทหารก็มาแจ้งว่า “ท่านอ๋อง มหาราชาจารย์เหยียนมาถึงแล้วพ่ะย่ะค่ะ!” เซียวชูได้ยินดังนั้นก็ตกใจ ส่วนฟู่เฉินหวนขมวดคิ้วและอยากจะลุกขึ้น แต่กลับลุกมิไหวเพราะความเจ็บปวดแสนสาหัส “ท่านอ๋อง หากมหาราชาจารย์เหยียนรู้ว่าท่านบาดเจ็บ ย่อมจะหาทางทำร้ายท่านเป็นแน่พ่ะย่ะค่ะ!” เซียวชูบอกทหารว่า “ไปเถอะ! บอกไปว่าขณะนี้ท่านอ๋องมิอยู่ในเมืองผิงหนิง” “เตรียมที่พักให้มหาราชาจารย์เหยียนก่อน” ฟู่เฉินหวนกุมหน้าอกพลางพูดด้วยสีหน้าเคร่งเครียด “มหาราชาจารย์เหยียนมาถึงเมืองผิงหนิงโดยมิแจ้งให้ทราบล่วงหน้า ย่อมมีเจตนาร้ายบางอย่าง” “สั่งลงไป อย่าให้เขาพบกับซือซิงและหล่างชิ่น” มหาราชาจารย์เหยียนเดินทางไกลมาด้วยตัวเอง ย่อมเป็นเพราะเกรงว่าฟู่เฉินหวนจะจับได้ว่า เขาสมคบคิดกั
“ข้าน้อยอยู่ตรงนี้ขอรับ!”“มิว่าฟู่เฉินหวนจะอยู่ในเมืองผิงหนิงหรือไม่ เขาก็มิกล้าที่จะมิมาพบหน้าข้า ย่อมมีความผิดปกติ เจ้าจงรีบไปตามซือซิงมาโดยด่วน ข้าต้องการพบเขา”“รับทราบขอรับ!”มหาราชาจารย์เหยียนจึงอยู่ในเมืองนานขึ้นอีกระยะหนึ่ง หนึ่งชั่วโมงต่อมา ถิงกวงก็มาอยู่ตรงหน้ามหาราชาจารย์เหยียน “ท่านมหาราชาจารย์ พบที่คุมขังซือซิงแล้วขอรับ”มหาราชาจารย์เหยียนลุกขึ้น ใบหน้าเต็มไปด้วยความโกรธแค้น เมื่อประตูห้องเปิดออก ซือซิงก็เห็นมหาราชาจารย์เหยียนเดินเข้ามาด้วยท่าทางน่าเกรงขาม“ท่านมหาราชาจารย์...” ซือซิงรู้สึกตื่นตระหนกทันใดดวงตาของมหาราชาจารย์เหยียนเฉียบคม “ฟู่เฉินหวนให้สิ่งใดแก่เจ้าจึงทำให้เจ้าทรยศข้า?”ซือซิงอธิบายด้วยความตื่นตระหนก “ท่านมหาราชาจารย์ เป็นเพราะลั่วชิงยวนใช้ป้ายของท่านหลอกลวงข้า! ข้าจึงหลงคิดว่าเป็นคำสั่งของท่านขอรับ!”มหาราชาจารย์เหยียนตกใจเมื่อได้ฟังดังนั้น ป้ายของเขาหายไปเมื่อมินานมานี้ แต่หายไปตอนอยู่ที่จวนมหาราชาจารย์ เหตุใดจึงตกไปอยู่ในมือลั่วชิงยวนได้?“เจ้าเห็นชัดหรือไม่ว่านั่นคือป้ายของข้า?”ซือซิงตอบอย่างมั่นใจ “แน่นอนขอรับ!”มหาราชาจารย์เหยียน
ฉินไป๋หลี่ตกใจมาก “ซีหลาน! ซีหลาน!”เขารีบวิ่งตามไปด้วยความตื่นตระหนก ลูกแก้วหลิงหลงกลิ้งไปไกลจนตกลงไปในคลองฉินไป๋หลี่ร้อนใจรีบเอื้อมมือไปคว้าไว้ แต่ลูกแก้วหลิงหลงกลับลอยไปตามน้ำเสียแล้วฉินไป๋หลี่บ้าคลั่ง เขาลุกขึ้นวิ่งออกจากจวนไปตามหาลูกแก้วหลิงหลงที่ไหลไปตามคลองเขาร้อนใจมากจนคุมสติมิได้ แต่เนื่องจากดวงตายังมิหายดีจึงมองมิชัด ทำให้เขาเดินสะดุดและชนเข้ากับสิ่งต่าง ๆ มากมายระหว่างทางนั่นมิใช่เพียงลูกแก้วหลิงหลง นั่นคือภรรยาและบุตรชายที่ตายไปแล้วของเขา! เขายังมิสามารถมองเห็นแสงเดือนแสงตะวันได้และยังมิได้เห็นภรรยาและบุตรชายเลยจะสูญเสียไปมิได้! สูญเสียไปมิได้เด็ดขาด!ฉินไป๋หลี่วิ่งออกจากจวนแม่ทัพใหญ่ แล้วมองไปตามคลองเพื่อตามหาลูกแก้วหลิงหลงจากนั้นก็วิ่งกะโผลกกะเผลกเข้าไปในตลาด เนื่องจากมองมิชัดจึงชนคนไปมากมายแล้วบังเอิญไปชนกับอันธพาล อีกฝ่ายมีสีหน้ามิพอใจขณะผลักเขา “ตาบอดหรืออย่างไร!”“ขออภัย ขออภัยขอรับ” ฉินไป๋หลี่รีบขอโทษอีกฝ่ายมองเขาแล้วกระชากตัวเขาเข้ามา“เฮ้ย นี่มันฉินไป๋หลี่ น้องชายของคนทรยศแผ่นดินมิใช่รึ?”เมื่อพูดจบ ผู้คนรอบข้างต่างก็หันมามองกันเป็นตา
“ข้าบอกแล้วว่าอย่ามายุ่งกับข้า!” หลี่เซียวม่านกัดฟันแน่น แล้วหันหลังเตรียมจะเดินจากไปแต่แล้วก็หยุดชะงักก่อนหันกลับมา “เรื่องลูกแก้วหลิงหลง ขออภัย...”“รอให้คุณชายใหญ่กลับมา จะลงโทษข้าอย่างไรก็ได้”พูดจบ หลี่เซียวม่านก็รีบจากไปอย่างรวดเร็ว ฉินไป๋หลี่ก็กลับไปตามหาลูกแก้วหลิงหลงของเขาต่อพวกซีหลานอาศัยอยู่ในลูกแก้วหลิงหลง บัดนี้ลูกแก้วหลิงหลงตกลงไปในคลองแล้วไหลไปตามท่อ มิรู้ว่าไปอยู่ที่ใดแล้วพวกเขาคงหนาวเหน็บกันน่าดูเขาต้องรีบไปหาให้เจอ!ตามหาไปตามท่อระบายน้ำต้องหาเจอแน่!ฉินไป๋หลี่ตามหาไปเรื่อย ๆ แต่กลับมิทันสังเกตเห็นว่ามีพวกอันธพาลหลายคนกำลังแอบตามเขาอยู่เมื่อมาถึงริมทะเลสาบที่ไม่มีผู้คนจู่ ๆ พวกอันธพาลก็กรูกันเข้ามาใช้กระสอบคลุมหัว แล้วใช้ไม้ทุบตีฉินไป๋หลี่อย่างรุนแรง“คนทรยศแผ่นดิน! สมควรตาย!”“ตีให้ตาย!”ฉินไป๋หลี่ดิ้นรนอย่างไรก็มิหลุด เขาถูกกระสอบคลุมหัวแล้วถูกทุบตีอย่างหนักทันใดนั้นเอง ฟู่จิ่งหลีเห็นเหตุการณ์นี้จึงตะโกนขึ้นทันที “หยุด! กำลังทำอะไรกัน!”เมื่อเห็นว่ามีคนมาแล้ว พวกอันธพาลก็รีบวิ่งหนีไปฟู่จิ่งหลีรีบเข้าไปช่วยคนในกระสอบออกมา เมื่อเห็นว่าเป็
เลือดสด ๆ ยังคงไหลมิหยุด ไหลนองไปตามร่องลึกของลวดลายวงเวทบนพื้นดินคาดมิถึงว่ามันจะค่อย ๆ ทำให้อักษรเวทของวงเวทส่องแสงขึ้นจากนั้นหมอกสีเขียวจาง ๆ ก็กระจายฟุ้งอยู่รอบตัวลั่วชิงยวนสิ่งเหล่านั้นล้วนเป็นไอโอสถทั้งสิ้นหอรักษ์ดาราแห่งนี้ยังเป็นสถานที่ที่สามารถกลั่นไอโอสถจากเลือดได้ และไอโอสถเหล่านี้ก็สามารถรักษาร่างกายที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสได้ลั่วชิงยวนหลับตาและสูดลมหายใจด้วยความเพลิดเพลิน ทำให้ร่างกายที่ปวดร้าวของนางดูเหมือนจะผ่อนคลายลงนี่อาจจะเป็นความหมายของการมีอยู่ของแท่นประลองหอรักษ์ดาราแต่ไอโอสถนี้ก็จางลงอย่างรวดเร็วลั่วชิงยวนปล่อยเกาเหมียวเหมี่ยว นางยืนขึ้นพร้อมกับยืดเส้นยืดสาย และเดินลงจากแท่นประลองคนอื่นที่อยู่รอบ ๆ ต่างมองมาที่นางด้วยสายตาที่หวาดกลัวมากขึ้น และพวกเขาก็มิกล้าพูดจาดูถูกเหยียดหยามนางเหมือนก่อนหน้านี้อีกต่อไปแล้วลั่วชิงยวนกวาดตามองอย่างเรียบเฉย จากนั้นก็มองไปที่เฉินชีด้วยสายตาลึกซึ้งแล้วเดินจากไปเกาเหมียวเหมี่ยวที่ได้รับบาดเจ็บถูกปลดแส้ออกอย่างรวดเร็วและถูกช่วยลงจากแท่นประลอง นางกัดฟันแน่นพลางจ้องตามหลังลั่วชิงยวนที่กำลังเดินออกไปครู่ต่อมา นางก็เห
“โอ้สวรรค์ ข้าคงมิได้ตาลายใช่หรือไม่?”“นางไปเอาความกล้ามาจากที่ใดกัน!”ทุกคนในเมืองหลวงต่างรู้ดีว่าเกาเหมียวเหมี่ยวคือใครนางมิเพียงมีสถานะองค์หญิงที่สูงส่งเท่านั้น แต่ยังมีโอกาสที่จะได้สืบราชบัลลังก์ในภายภาคหน้าอีกด้วยเนื่องจากองค์ชายใหญ่มีความสามารถปานกลาง จึงมิเป็นที่โปรดปรานขององค์จักรพรรดิและฮองเฮา ทว่าองค์หญิงผู้นี้กลับแข็งแกร่งและไร้ความปรานี จึงได้รับความโปรดปรานจากพวกเขาไม่มีใครในเมืองหลวงกล้าขัดใจนางเว้นเสียแต่ เฉินชีเพราะนางชอบเขาทว่าแม้จะเป็นเฉินชี แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าคนอื่นเขาก็ให้เกียรตินางมากลั่วชิงยวนผู้นี้กล้ามากถึงขั้นเหยียบย่ำองค์หญิงต่อหน้าธารกำนัลมากมายเช่นนี้!เกาเหมียวเหมี่ยวพยายามดิ้นพร้อมกับก่นด่าไปด้วย “ลั่วชิงยวน ปล่อยข้าเดี๋ยวนี้! หากเจ้ามิปล่อยข้า ข้าจะทำให้เจ้าตายจนหาที่ฝังมิได้เลยคอยดู!”“ท่านนี่พูดมากนัก เงียบเสีย!”ลั่วชิงยวนมองนางด้วยสายตาเย็นชา พลางคว้าแส้แล้วดึงมันอย่างแรงทันใดนั้นแส้ที่คอของเกาเหมียวเหมี่ยวก็รัดแน่นขึ้นบังคับให้เกาเหมียวเหมี่ยวต้องเชิดหน้าขึ้นสูงแต่ยังคงถูกแส้รั้งไว้จนหน้าแดงนางหายใจมิออกจนเส้นเลือดแตกและตา
ลั่วชิงยวนถูกแส้ฟาดจนกระอักเลือด ทำให้อาภรณ์ชุดขาวของนางมีรอยเปื้อนสีแดงมีรอยแส้ที่น่าสะเทือนใจพาดอยู่บนหลังของนางเป็นเส้น ๆทุกคนที่อยู่รอบนอกต่างรู้สึกหวาดกลัวมีคนที่อดมิได้ที่จะกระซิบขึ้นว่า “มิยุติธรรมเลย คนหนึ่งมีอาวุธ แต่อีกคนไม่มี นี่มันจงใจแกล้งกันชัด ๆ มิใช่หรือ”“ชู่! พระนางเป็นองค์หญิง ถึงพระนางจะจงใจฆ่าลั่วชิงยวน แล้วใครจะพูดอะไรได้ ระวังไว้เถิด หากนางจับได้ เจ้าได้เดือดร้อนแน่”ทุกทิศมีแต่ความเงียบงันไม่มีใครกล้าพูดอะไรใครใช้ให้เกาเหมียวเหมี่ยวเป็นองค์หญิงเล่า?นางคือองค์หญิงที่ได้รับความโปรดปรานมาตั้งแต่ยังเล็กนางกลายเป็นคนเย่อหยิ่งบ้าอำนาจ และวิธีการของนางเลวทรามมิน้อยไปกว่าเฉินชีเลยทุกคนในที่นี้ล้วนไม่มีใครกล้าขัดทว่ามีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่สามารถช่วยลั่วชิงยวนได้ แต่คนผู้นั้นกลับนั่งนิ่งอยู่บนเก้าอี้ พลางมองลั่วชิงยวนที่ถูกฟาดบนพื้นจนร่างกายเต็มไปด้วยเลือดมีแสงประกายเจิดจ้าอยู่ในดวงตาของเขาและเจือไปด้วยความยินดีปรีดาลั่วชิงยวนกลิ้งไปบนพื้นและทันใดนั้นก็กระอักเลือดออกมาเต็มปากนางเงยหน้าขึ้นมาและเห็นสายตาที่แสดงถึงความตื่นเต้นดีใจของเฉินชี เขาม
“สตรีนางนี้ตอบสนองได้รวดเร็วยิ่งนัก”“การตอบสนองเร็วเป็นเรื่องหนึ่ง แต่การเอาชนะคู่ต่อสู้ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง”“พลังความสามารถของจั๋วฉ่างตงนั้นสูงมาก แม้แต่บรรดาคนที่อยู่ที่นี่ก็ยังมีเพียงมิกี่คนเท่านั้นที่สามารถเอาชนะนางได้”ผลลัพธ์ของการประลองครั้งนี้ ไม่มีอะไรให้ต้องลุ้นแล้วทว่าขณะที่ทุกคนกำลังพูดคุยกัน ทันใดนั้นจั๋วฉ่างตงก็ล้มลงอย่างแรงเมื่อทุกคนจ้องมองไปและแน่ใจว่าคนที่ลอยตกลงมาคือจั๋วฉ่างตง พวกเขาก็พากันตกตะลึงงัน“ข้าเห็นมิชัดเลย จั๋วฉ่างตงกระเด็นออกไปได้อย่างไรกัน?”ทุกคนต่างสงสัยจั๋วฉ่างตงกระอักเลือดและเงยหน้ามองคนผู้นั้นด้วยความตกตะลึง ดวงตาของนางเยือกเย็นจนน่าหวาดกลัวเป็นไปได้อย่างไรกันนางเป็นขยะไร้ค่ามิใช่รึคราวก่อนที่ส่งคนไปทดสอบ ก็เห็นอยู่ชัด ๆ ว่าไม่มีพลังที่จะรับมือได้เลย เป็นไปมิได้ที่จู่ ๆ นางจะเปลี่ยนมาร้ายกาจถึงเพียงนี้!จั๋วฉ่างตงมิยอมรับ นางดีดตัวขึ้นและพุ่งไปหาลั่วชิงยวนอีกครั้งดวงตาของลั่วชิงยวนเปลี่ยนเป็นเย็นชา ร่างกายของนางเคลื่อนไหวรวดเร็วจนกลายเป็นภาพลวงตา พลางปล่อยหมัดออกมาซ้ำแล้วซ้ำเล่าลั่วชิงยวนต่อยจั๋วฉ่างตงอย่างรุนแรงจนกระเด็น จากน
“ได้ยินมาว่านางจะประลองกับจั๋วฉ่างตงที่หอรักษ์ดาราในวันพรุ่ง”แม้หลายปีมานี้จั๋วฉ่างตงจะมิได้ดำรงตำแหน่งขุนนางใด ๆ แต่กำลังความสามารถของนางก็ถือว่าโดดเด่นที่สุดในบรรดาคนรุ่นเดียวกันอย่างแน่นอน“แล้วเจ้ามิช่วยนางเล่า? เหตุใดจึงปล่อยให้นางขโมยโอสถทะลวงปราณไป?”ขณะนี้ เฉินชีที่อยู่ในห้องเดินออกมาอย่างช้า ๆ พร้อมมองไปยังทิศทางที่ลั่วชิงยวนหนีไปด้วยดวงตาที่เป็นประกายริมฝีปากของเขาเผยรอยยิ้มชั่วร้ายออกมา“ข้าชอบที่เห็นนางอยู่ในสภาพบาดเจ็บเลือดตกยางออก”“ยิ่งนางจนมุมข้าก็ยิ่งปรีดา”เฒ่าโอสถขมวดคิ้วและส่ายหัวด้วยอารมณ์ซับซ้อน “สตรีบ้านไหนได้เจอเจ้า ถือว่าโชคร้ายที่สุดจริง ๆ”……หลังจากกลับมาถึงห้องอย่างปลอดภัยแล้ว ลั่วชิงยวนก็รีบเปลี่ยนอาภรณ์และนั่งขัดสมาธิบนตั่งนุ่มข้างหน้าต่างนางหยิบโอสถทะลวงปราณ และนำเข็มทิศอาณัติแห่งสวรรค์ออกมาทำการบำเพ็ญตนแค่คืนเดียวก็เพียงพอที่จะนำเอาประสิทธิภาพสูงสุดของโอสถทะลวงปราณออกมาได้แม้จะมิสามารถฟื้นฟูพลังยุทธได้อย่างสมบูรณ์ แต่ก็สามารถฟื้นคืนมาได้อย่างน้อยเจ็ดถึงแปดในสิบส่วนเพียงแค่จัดการกับจั๋วฉ่างตงได้ก็พอแล้ว……วันต่อมาเวลารุ่งสางบริเวณร
เกาเหมียวเหมี่ยวกำหมัดแน่น รู้สึกโมโหมากจนแทบจะปรี๊ดแตกออกมาความรู้สึกอับอายถาโถมเข้ามาหานางเหมือนกับคลื่นยักษ์“เฉินชี คอยดูเถอะ!” เกาเหมียวเหมี่ยวจ้องมองเขาด้วยความโกรธเกรี้ยวนางสวมอาภรณ์แล้วหนีไปทันที……คืนก่อนวันประลองที่หอรักษ์ดาราทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ในความเงียบสงบหลังจากลั่วชิงยวนพักผ่อนได้หนึ่งวัน นางก็เปลี่ยนอาภรณ์เป็นชุดท่องราตรีนางแอบเปิดประตูห้องแล้วอาศัยจังหวะที่บริเวณรอบ ๆ ไม่มีคน มุ่งหน้าไปยังหอปรุงโอสถทั้งยังปล่อยเตี่ยฉุยออกมาเพื่อช่วยนางดูคนที่ผ่านไปมาให้อีกแรงหอปรุงโอสถเป็นสถานที่สำคัญของสำนักนักบวช บุคคลทั่วไปมิได้รับอนุญาตให้เข้าไปตามใจชอบ หากนางถูกจับได้ จะต้องตายสถานเดียวทว่าหากมิขโมยโอสถ วันพรุ่งก็ต้องตายในการประลองที่หอรักษ์ดาราอยู่ดีดังนั้นนางจึงทำได้เพียงยอมเสี่ยงดูสักครั้งลั่วชิงยวนอาศัยความที่คุ้นเคยกับสถานที่แห่งนี้ได้อย่างรวดเร็ว ทำการหลบเลี่ยงจุดที่อาจจะมีคนและมาถึงด้านนอกของหอปรุงโอสถขณะนี้ หอปรุงโอสถเงียบสงบและไม่มีใครเฝ้ายามลั่วชิงยวนเดินเข้ามาในลานจนถึงประตูที่ลงกลอนเอาไว้นางดึงปิ่นปักผมออกมาปลดกลอนประตูอย่างชำนาญจากนั้นก
“ใครให้เจ้าใช้กลิ่นกล้วยไม้? คิดว่าตัวเองคู่ควรกับมันรึ?”แววตาอันชั่วร้ายและกลิ่นอายสังหารทั่วร่างที่แผ่ออกมาทำให้หลานจีหวาดกลัวจนต้องดิ้นรนอย่างสุดชีวิต“ท่าน… ท่านแม่ทัพ ท่านเป็นให้ข้าใช้มันเองนะเจ้าคะ”ดวงตาของเฉินชีเปลี่ยนเป็นเยือกเย็น เขาโยนหลานจีออกจากห้องอย่างโหดร้าย“นับตั้งแต่วันนี้ห้ามใช้น้ำหอมกลิ่นกล้วยไม้อีก ไสหัวไป!”หลานจีล้มออกมานอกห้องอย่างแรงจนกลิ้งตกขั้นบันไดและกระอักเลือดออกมา ทำให้ตกอยู่ในสภาพที่ดูมิได้อย่างยิ่งนางเงยหน้าขึ้นด้วยความมิอยากเชื่อ มิเข้าใจว่าเหตุใดอารมณ์ของท่านแม่ทัพถึงเปลี่ยนไปอย่างกะทันหันเมื่อก่อนเขาชอบดูนางร่ายรำเป็นที่สุด และชอบกลิ่นหอมของกล้วยไม้บนตัวของนางด้วยเช่นกันเหตุใดจู่ ๆ ถึง…หลานจีพยายามลุกขึ้นจากพื้นพลางมองไปที่เฉินชีที่ยังคงดื่มอยู่ในห้อง “ท่านแม่ทัพมีเรื่องอันใดมิสบายใจใช่หรือไม่เจ้าคะ หลานจียินดีช่วยแบ่งเบาความกังวลให้ท่านแม่ทัพเจ้าค่ะ!”ทันใดนั้นก็มีบุคคลหนึ่งก้าวออกมาจากด้านหลัง ร่างนั้นเดินผ่านหน้านาง และได้ตบนางอย่างแรงทำให้หลานจีล้มลงกับพื้นอีกครั้ง“ไล่ให้เจ้าไสหัวไปแต่กลับมิทำ จะรอข้ามาถลกหนังรึไร?” ดวงตาของเก
ฟู่เฉินหวนหาได้แปลกใจไม่ คนที่ปรากฏตัวที่นี่ได้ย่อมมิใช่คนธรรมดาเขามิได้ตอบ เพราะกำลังครุ่นคิดฉินอี้พูดต่อ “คนของเฉินชีล้อมภูเขาทั้งลูกไว้แล้ว เจ้าบาดเจ็บสาหัส ออกไปเองมิได้หรอก”“มีเพียงการไปกับข้าเท่านั้น ข้าจึงจะพาเจ้าออกจากที่นี่ได้”“อีกอย่าง เจ้าก็น่าจะสัมผัสได้ถึงจิตสังหารของเฉินชี ถึงแม้ว่าเจ้าจะรอดชีวิตออกจากภูเขาลูกนี้ก็เข้าเมืองหลวงมิได้อยู่ดี และไม่มีทางได้พบลั่วชิงยวน”“ทั่วแผ่นดินแคว้นหลี มีเพียงข้าเท่านั้นที่ช่วยเจ้าได้”ฟู่เฉินหวนหรี่ตาลง “เงื่อนไขคืออะไร?”“เจ้าอุตส่าห์มาช่วยข้า คงต้องมีเงื่อนไขกระมัง”ฉินอี้ยกยิ้ม “ข้าชอบคบหากับคนฉลาด!”“สิ่งเดียวที่ข้าอยากทำ ก็คือฆ่าเฉินชี!”แววตาของฉินอี้เต็มไปด้วยจิตสังหารเฉินชีควบคุมกองทัพ มักทำอะไรตามใจชอบถึงแม้ว่าภายนอกจะเชื่อฟังราชวงศ์ แต่ความจริงแล้วเขาแทบมิยอมรับข้อบังคับของราชวงศ์ มิเคยเห็นใครอยู่ในสายตายิ่งไปกว่านั้น เขามิเคยนับถือองค์ชายผู้นี้เลย คอยแต่จะเยาะเย้ยเสมอเมื่อมีโอกาสสิ่งที่เขาอยากทำมากที่สุดในชีวิตคือ ฆ่าเฉินชี!ฟู่เฉินหวนดูออก ฉินอี้มิได้โกหกเรื่องนี้ ความเกลียดชังในดวงตาของเขาแทบจะพวยพุ่ง
นางลุกขึ้นอย่างรวดเร็วเพื่อหลบ ทว่าหาได้มีทางหลบได้ไม่ เงาดำหลายร่างจับร่างจองนางเหวี่ยงไปมาร่างของนางราวกับใบไม้ที่ถูกลมพัดปลิวไปมา ชนกำแพง ชนประตู ชนต้นไม้จนเลือดไหลออกมาดูน่าเวทนายิ่งนักมีคนหลายคนยืนดูความเคลื่อนไหวในเรือนจากในที่มืดระยะไกล แล้วต่างหัวเราะอย่างพึงพอใจ“คิดว่าจะเก่งแค่ไหนกันเชียว กล้ามาท้าทายจั๋วฉ่างตงที่หอรักษ์ดารา สุดท้ายก็ได้แค่นี้”“ความจริงนางก็มิได้เก่งหรอก มิรู้ว่าปราบสิบวายร้ายได้อย่างไร”“ส่งไปอีกสองตัว! ทรมานอีกสักรอบ อีกสองวันข้างหน้าเมื่อไปหอรักษ์ดารา นางอาจจะยอมแพ้ไป!”พูดจบ พวกเขาก็เปิดกล่องที่ผนึกด้วยยันต์แปดทิศ และกระดาษยันต์หนึ่งแผ่นก็เริ่มควบคุมสิ่งของในกล่องให้บินออกมาทันใดนั้นก็มีเท้าข้างหนึ่งยื่นออกมาเตะกล่องคว่ำสิ่งที่พุ่งออกมาทันทีนั้นส่งเสียงคำรามอันน่าสยดสยอง ทำให้หลายคนตกใจพลันรีบถอยหลังหลบกันไป“เจ้าเป็นบ้าไปแล้วรึไร!” หลายคนรีบลุกขึ้นตะโกนใส่อวี๋โหรวที่เตะกล่องคว่ำพวกเขาลุกขึ้นยืน ทุกคนตัวสูงกว่าอวี๋โหรวยิ่งทำให้อวี๋โหรวดูตัวเล็กดูน่ารังแกแต่อวี๋โหรวกลับมองพวกเขาด้วยแววตาเย็นชา “พอได้แล้ว!”“หากทำให้นางตาย ข้าจะดูว่าเ