ปัง—ทำให้ทั้งสองตกใจ เสียงปังดังขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่ก็มีเพียงเสียงดังและมีประกายไฟเล็กน้อย แต่เมื่อจบลงแล้ว บนพื้นก็มีผงสีขาวเป็นกองเล็ก ๆ มิรู้ว่าเมล็ดเหล่านี้ที่กลายเป็นผงแล้วจะมีประโยชน์อย่างไร นางจึงตัดสินใจว่าจะเก็บไว้ศึกษา ลั่วชิงยวนก้มลงเก็บผงเหล่านั้นอย่างระมัดระวัง แม้จะเป็นกองผงละเอียด แต่ก็เก็บได้มิมาก เก็บได้เพียงครึ่งขวดเล็ก ๆ เท่านั้น “พี่หญิง สิ่งเหล่านี้ใช้ทำอะไรหรือขอรับ?” หล่างมู่ใช้มือแตะเล็กน้อยและกำลังจะเอาแตะลิ้น ลั่วชิงยวนรีบคว้ามือเขาไว้ “สิ่งนี้กินมิได้ มันมีพิษ” หล่างมู่รีบปัดมือแล้วไปล้างมือในน้ำพุ “พี่หญิง ท่านเคยมาที่นี่มาก่อนหรือ เหตุใดจึงดูคุ้นเคยเช่นนี้?” หล่างมู่ถามด้วยความสงสัย ลั่วชิงยวนเตือนอย่างจริงจัง “จำไว้ว่าหลังจากออกไปแล้วให้ลืมที่นี่เสีย อย่าได้มาที่นี่อีก” หล่างมู่พยักหน้า “ได้ขอรับ” ทั้งสองพักอยู่ที่นี่อีกคืน เมื่อฟ้าเริ่มสางก็ออกเดินทางจากหุบเขาอสูร นกอินทรีนั้นเก่งกาจมาก มันคอยคุ้มกันไปตลอดทางจึงไม่มีสัตว์ร้ายตัวใดกล้าเข้าใกล้เลย เมื่อออกจากหุบเขาอสูรอย่างปลอดภัย นกอินทรีก็บินมาเกาะแขนของลั่วชิงยวนอีกครั้ง
เสียงของหล่างมู่ดังมาจากในพุ่มหญ้า “พี่หญิง เชิญนอนลงเถิด หญ้าเหล่านี้นุ่มนิ่มยิ่งนัก” ลั่วชิงยวนจึงนอนลงในพุ่มหญ้าเช่นกัน ปรากฏว่ามันนุ่มนิ่มอย่างมิน่าเชื่อ ไม่มีหนามทิ่มแทงเลยแม้แต่น้อย อากาศอบอวลไปด้วยกลิ่นหอมของดอกไม้และพืชพันธุ์ นางกลิ้งตัวไปมา จู่ ๆ เห็ดสีใสราวกับผลึกก็ปรากฏต่อหน้าลั่วชิงยวน ลั่วชิงยวนตกใจแล้วเอื้อมมือไปแตะ เห็ดเซียนญาณวารี? โชคดีอะไรเช่นนี้! เห็ดชนิดนี้มีฤทธิ์แก้พิษได้อย่างน่าอัศจรรย์ เมื่อนำไปใช้ร่วมกับสมุนไพรอื่น ๆ ก็จะได้ผลลัพธ์ที่แตกต่างกัน เรียกได้ว่าเป็นเห็ดสารพัดประโยชน์ แม้แต่นางในอดีตก็เคยเห็นเพียงสองครั้งเท่านั้น เป็นสิ่งหายากที่หาได้ยากยิ่งนัก นางเก็บเห็ดวิญญาณเซียนน้ำ แล้วห่อด้วยผ้าเช็ดหน้าอย่างทะนุถนอม “พี่หญิง ท่านกำลังทำอะไรอยู่หรือ?” หล่างมู่โผล่ขึ้นมาจากพุ่มหญ้า เมื่อเห็นนางเก็บเห็ดจึงถามด้วยความสงสัย “ท่านจะนำกลับไปกินหรือ?” “กินมิได้หรอก นี่คือยา” ลั่วชิงยวนวางเห็ดไว้ในอ้อมแขนอย่างทะนุถนอม หล่างมู่ใช้มือแหวกพุ่มหญ้า “กินได้สิขอรับ แต่เพียงเท่านี้จะพอสำหรับทำผัดเห็ดหนึ่งจานหรือ?”ปรากฏว่าใต้พุ่มหญ้าเต็มไปด้วยเห็ดว
ฟู่เฉินหวนมิได้ตอบกลับ ภายในใจเต็มไปด้วยอารมณ์ที่หลากหลายอาจเป็นเพราะแผ่นดินอันกว้างใหญ่และใต้หล้าที่อิสระของเผ่านอกด่านเหมาะสมกับนางมากกว่า มิกลับมาก็มิเป็นอะไร จู่ ๆ ฟู่เฉินหวนก็เจ็บแปลบขึ้นในอกจนต้องเอามือกุมหน้าอกไว้ “ท่านอ๋อง เจ็บแผลอีกแล้วหรือพ่ะย่ะค่ะ? รีบพักผ่อนเถิดพ่ะย่ะค่ะ” “กระหม่อมจะคอยเฝ้าอยู่พ่ะย่ะค่ะ” ทันใดนั้นทหารก็มาแจ้งว่า “ท่านอ๋อง มหาราชาจารย์เหยียนมาถึงแล้วพ่ะย่ะค่ะ!” เซียวชูได้ยินดังนั้นก็ตกใจ ส่วนฟู่เฉินหวนขมวดคิ้วและอยากจะลุกขึ้น แต่กลับลุกมิไหวเพราะความเจ็บปวดแสนสาหัส “ท่านอ๋อง หากมหาราชาจารย์เหยียนรู้ว่าท่านบาดเจ็บ ย่อมจะหาทางทำร้ายท่านเป็นแน่พ่ะย่ะค่ะ!” เซียวชูบอกทหารว่า “ไปเถอะ! บอกไปว่าขณะนี้ท่านอ๋องมิอยู่ในเมืองผิงหนิง” “เตรียมที่พักให้มหาราชาจารย์เหยียนก่อน” ฟู่เฉินหวนกุมหน้าอกพลางพูดด้วยสีหน้าเคร่งเครียด “มหาราชาจารย์เหยียนมาถึงเมืองผิงหนิงโดยมิแจ้งให้ทราบล่วงหน้า ย่อมมีเจตนาร้ายบางอย่าง” “สั่งลงไป อย่าให้เขาพบกับซือซิงและหล่างชิ่น” มหาราชาจารย์เหยียนเดินทางไกลมาด้วยตัวเอง ย่อมเป็นเพราะเกรงว่าฟู่เฉินหวนจะจับได้ว่า เขาสมคบคิดกั
“ข้าน้อยอยู่ตรงนี้ขอรับ!”“มิว่าฟู่เฉินหวนจะอยู่ในเมืองผิงหนิงหรือไม่ เขาก็มิกล้าที่จะมิมาพบหน้าข้า ย่อมมีความผิดปกติ เจ้าจงรีบไปตามซือซิงมาโดยด่วน ข้าต้องการพบเขา”“รับทราบขอรับ!”มหาราชาจารย์เหยียนจึงอยู่ในเมืองนานขึ้นอีกระยะหนึ่ง หนึ่งชั่วโมงต่อมา ถิงกวงก็มาอยู่ตรงหน้ามหาราชาจารย์เหยียน “ท่านมหาราชาจารย์ พบที่คุมขังซือซิงแล้วขอรับ”มหาราชาจารย์เหยียนลุกขึ้น ใบหน้าเต็มไปด้วยความโกรธแค้น เมื่อประตูห้องเปิดออก ซือซิงก็เห็นมหาราชาจารย์เหยียนเดินเข้ามาด้วยท่าทางน่าเกรงขาม“ท่านมหาราชาจารย์...” ซือซิงรู้สึกตื่นตระหนกทันใดดวงตาของมหาราชาจารย์เหยียนเฉียบคม “ฟู่เฉินหวนให้สิ่งใดแก่เจ้าจึงทำให้เจ้าทรยศข้า?”ซือซิงอธิบายด้วยความตื่นตระหนก “ท่านมหาราชาจารย์ เป็นเพราะลั่วชิงยวนใช้ป้ายของท่านหลอกลวงข้า! ข้าจึงหลงคิดว่าเป็นคำสั่งของท่านขอรับ!”มหาราชาจารย์เหยียนตกใจเมื่อได้ฟังดังนั้น ป้ายของเขาหายไปเมื่อมินานมานี้ แต่หายไปตอนอยู่ที่จวนมหาราชาจารย์ เหตุใดจึงตกไปอยู่ในมือลั่วชิงยวนได้?“เจ้าเห็นชัดหรือไม่ว่านั่นคือป้ายของข้า?”ซือซิงตอบอย่างมั่นใจ “แน่นอนขอรับ!”มหาราชาจารย์เหยียน
ฉินไป๋หลี่ตกใจมาก “ซีหลาน! ซีหลาน!”เขารีบวิ่งตามไปด้วยความตื่นตระหนก ลูกแก้วหลิงหลงกลิ้งไปไกลจนตกลงไปในคลองฉินไป๋หลี่ร้อนใจรีบเอื้อมมือไปคว้าไว้ แต่ลูกแก้วหลิงหลงกลับลอยไปตามน้ำเสียแล้วฉินไป๋หลี่บ้าคลั่ง เขาลุกขึ้นวิ่งออกจากจวนไปตามหาลูกแก้วหลิงหลงที่ไหลไปตามคลองเขาร้อนใจมากจนคุมสติมิได้ แต่เนื่องจากดวงตายังมิหายดีจึงมองมิชัด ทำให้เขาเดินสะดุดและชนเข้ากับสิ่งต่าง ๆ มากมายระหว่างทางนั่นมิใช่เพียงลูกแก้วหลิงหลง นั่นคือภรรยาและบุตรชายที่ตายไปแล้วของเขา! เขายังมิสามารถมองเห็นแสงเดือนแสงตะวันได้และยังมิได้เห็นภรรยาและบุตรชายเลยจะสูญเสียไปมิได้! สูญเสียไปมิได้เด็ดขาด!ฉินไป๋หลี่วิ่งออกจากจวนแม่ทัพใหญ่ แล้วมองไปตามคลองเพื่อตามหาลูกแก้วหลิงหลงจากนั้นก็วิ่งกะโผลกกะเผลกเข้าไปในตลาด เนื่องจากมองมิชัดจึงชนคนไปมากมายแล้วบังเอิญไปชนกับอันธพาล อีกฝ่ายมีสีหน้ามิพอใจขณะผลักเขา “ตาบอดหรืออย่างไร!”“ขออภัย ขออภัยขอรับ” ฉินไป๋หลี่รีบขอโทษอีกฝ่ายมองเขาแล้วกระชากตัวเขาเข้ามา“เฮ้ย นี่มันฉินไป๋หลี่ น้องชายของคนทรยศแผ่นดินมิใช่รึ?”เมื่อพูดจบ ผู้คนรอบข้างต่างก็หันมามองกันเป็นตา
“ข้าบอกแล้วว่าอย่ามายุ่งกับข้า!” หลี่เซียวม่านกัดฟันแน่น แล้วหันหลังเตรียมจะเดินจากไปแต่แล้วก็หยุดชะงักก่อนหันกลับมา “เรื่องลูกแก้วหลิงหลง ขออภัย...”“รอให้คุณชายใหญ่กลับมา จะลงโทษข้าอย่างไรก็ได้”พูดจบ หลี่เซียวม่านก็รีบจากไปอย่างรวดเร็ว ฉินไป๋หลี่ก็กลับไปตามหาลูกแก้วหลิงหลงของเขาต่อพวกซีหลานอาศัยอยู่ในลูกแก้วหลิงหลง บัดนี้ลูกแก้วหลิงหลงตกลงไปในคลองแล้วไหลไปตามท่อ มิรู้ว่าไปอยู่ที่ใดแล้วพวกเขาคงหนาวเหน็บกันน่าดูเขาต้องรีบไปหาให้เจอ!ตามหาไปตามท่อระบายน้ำต้องหาเจอแน่!ฉินไป๋หลี่ตามหาไปเรื่อย ๆ แต่กลับมิทันสังเกตเห็นว่ามีพวกอันธพาลหลายคนกำลังแอบตามเขาอยู่เมื่อมาถึงริมทะเลสาบที่ไม่มีผู้คนจู่ ๆ พวกอันธพาลก็กรูกันเข้ามาใช้กระสอบคลุมหัว แล้วใช้ไม้ทุบตีฉินไป๋หลี่อย่างรุนแรง“คนทรยศแผ่นดิน! สมควรตาย!”“ตีให้ตาย!”ฉินไป๋หลี่ดิ้นรนอย่างไรก็มิหลุด เขาถูกกระสอบคลุมหัวแล้วถูกทุบตีอย่างหนักทันใดนั้นเอง ฟู่จิ่งหลีเห็นเหตุการณ์นี้จึงตะโกนขึ้นทันที “หยุด! กำลังทำอะไรกัน!”เมื่อเห็นว่ามีคนมาแล้ว พวกอันธพาลก็รีบวิ่งหนีไปฟู่จิ่งหลีรีบเข้าไปช่วยคนในกระสอบออกมา เมื่อเห็นว่าเป็
ณ เมืองผิงหนิงเซียวชูเดินทางกลับไปที่ห้องอย่างเหนื่อยล้า“ท่านอ๋อง การสกัดกั้นล้มเหลวพ่ะย่ะค่ะ! คนของมหาราชาจารย์เหยียนแบ่งออกเป็นหลายกลุ่มเพื่อซ่อนหล่างชิ่นไว้ กระหม่อมพาคนไปตามหล่างชิ่น กลับเจอคนลึกลับที่เคยอยู่ในซีหยางมาก่อน”“ป่าแห่งนั้นมีบรรยากาศลึกลับแปลกประหลาด กระหม่อมมิกล้าพาคนเข้าไปพ่ะย่ะค่ะ”เซียวชูพูดจบก็คุกเข่าลง“กระหม่อมปฏิบัติหน้าที่บกพร่อง ขอท่านอ๋องโปรดลงโทษด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ!” ฟู่เฉินหวนในชุดขาวมีใบหน้าซีดเผือด เขาค่อย ๆ ลุกขึ้นเดินไปที่หน้าต่างสายลมแรงพัดเข้ามา ราวกับจะพัดร่างของเขาให้ปลิวไปได้“นี่คือสิ่งต่อรองที่มหาราชาจารย์เหยียนจะใช้กลับไป แน่นอนว่าเขาจะพยายามอย่างเต็มที่เพื่อปกป้องหล่างชิ่น”“แต่สิ่งที่เขาต้องการน่าจะเป็นเพียงคำสารภาพของหล่างชิ่นเท่านั้น ส่วนคนอาจต้องตาย”ตราบใดที่หล่างชิ่นมิตกอยู่ในมือพวกเขา มหาราชาจารย์เหยียนก็จะสบายใจดังนั้นเมื่อใดก็ตามที่เขาได้รับคำสารภาพที่เอื้อประโยชน์ต่อเขาจากหล่างชิ่น เขาก็จะกำจัดหล่างชิ่นทันที“แล้วตอนนี้จะทำอย่างไรพ่ะย่ะค่ะ?”“ออกเดินทางกลับเมืองหลวง” ฟู่เฉินหวนพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่นเซียวชูเป็นห่วงอ
นางมิลังเล รีบลงจากเขาไปทันที สายตาของหล่างชิ่นดุร้ายขณะกัดฟันแน่น “ลั่วชิงยวน รอข้าก่อนเถอะ!”......เมื่อมหาราชาจารย์เหยียนกลับถึงเมืองหลวง สิ่งแรกที่ทำคือนำคำให้การของหล่างชิ่นขึ้นทูลเกล้าฯ ในราชสำนักทั้งการสมรู้ร่วมคิดกับเผ่านอกด่าน แผนการโจมตีเมืองผิงหนิง ทั้งหมดถูกกล่าวหาว่าเป็นฝีมือของลั่วชิงยวนเขากล่าวโทษลั่วชิงยวนในราชสำนัก บีบบังคับให้จักรพรรดิออกคำสั่งจับกุมลั่วชิงยวน ปิดผนึกจวนอ๋องผู้สำเร็จราชการและประหารตระกูลฉินทั้งตระกูลฟู่จิ่งหานรู้ดีว่าเป็นไปมิได้ที่ลั่วชิงยวนจะสมรู้ร่วมคิดกับเผ่านอกด่าน เพราะนางถือตราประทับของจักรพรรดิสูงสุดไปช่วยเหลือเมืองผิงหนิง แต่บัดนี้ลั่วชิงยวนหายตัวไป อ๋องผู้สำเร็จราชการก็ยังมิกลับมา ฟู่จิ่งหานรับมือกับแรงกดดันจากมหาราชาจารย์เหยียนมิไหวหลังจากพยายามใช้ทุกวิถีทางเพื่อยื้อเวลาก็ต่อรองจนสามารถออกคำสั่งจับกุมลั่วชิงยวนไปก่อนมิเช่นนั้นจะถูกบีบให้ประหารตระกูลฉินทั้งตระกูลฟู่เฉินหวนเดินทางอย่างยากลำบากด้วยเส้นทางทุรกันดาร มิสนกลางวันกลางคืน ทันทีที่เข้ามาในเมืองหลวงก็ล้มลงไปมิสามารถทนจนถึงวังหลวงได้จึงถูกนำตัวกลับจวนอ๋องผู้สำเร็จ
“เจ้ารีบอะไรนักหนา รอมาตั้งนานแล้ว รออีกสักหน่อยจะเป็นกระไร”เมื่อได้ยินดังนั้น อวี๋ตันเฟิ่งก็หยุดมือลั่วชิงยวนเดินเข้าไปคว้าตัวโหยวเซียงไว้ให้โฉวสือชีมัดนางไว้แน่นหนา จากนั้นจึงปลุกโหยวเซียงให้ฟื้นขึ้นมาเมื่อฟื้นคืนสติ โหยวเซียงก็จ้องหน้าลั่วชิงยวนเขม็งอย่างโกรธแค้น “เจ้ากล้าจับข้า เจ้าคอยดูเถอะว่าจะตายอย่างไร!”ลั่วชิงยวนย่อตัวลงนั่งตรงหน้านาง แล้วหัวเราะเบา ๆ “ใช่แล้ว ใครจะกล้าแตะต้องคุณหนูใหญ่เมืองแห่งภูตผีเล่า”“น่าเสียดาย เมืองแห่งภูตผีแห่งนี้ บิดามารดาของเจ้าไปปล้นเขามา มิใช่ของพวกเขามาแต่เดิม ย่อมมิใช่ของเจ้าเช่นกัน”“ถึงเวลาคืนเจ้าของตัวจริงแล้ว”โหยวเซียงจ้องเขม็งนางอย่างโกรธแค้น “เจ้าพูดจาเหลวไหลอะไร! เมืองแห่งภูตผีแห่งนี้เป็นของบิดามารดาข้ามาแต่เดิม!”เมื่อได้ยินดังนั้น ลั่วชิงยวนก็ประหลาดใจ “หรือว่าต่งอวิ๋นซิ่วมิได้บอกความจริงแก่เจ้า”“ก็ถูกแล้ว เรื่องน่าอับอายเช่นนี้ นางจะบอกลูกสาวได้อย่างไร”“เมืองแห่งภูตผีแห่งนี้มิใช่เพียงถูกบิดามารดาเจ้ายึดมาเท่านั้น แต่ยังใช้วิธีการที่น่ารังเกียจในการยึดครองด้วย!”“เดาว่าจนถึงตอนนี้เจ้าก็คงยังมิรู้เลยว่าศัตรูของเจ้าคือผ
โหยวเซียงกัดฟันพูดด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบลั่วชิงยวนมองไปที่อวี๋โหรว หลายวันมานี้อวี๋โหรวผอมซูบไปมาก“เจ้าจับตัวอวี๋โหรวมาเพื่อล่อข้ามาที่นี่รึ?”ลั่วชิงยวนหรี่ตามองโหยวเซียง“แต่เจ้ามิน่าจะมีความสามารถพอที่จะพาอวี๋โหรวออกจากวังหลวงไปได้”“เวินซินถงเป็นคนทำใช่หรือไม่?”“เจ้าทำข้อตกลงอะไรกับนางไว้?”โหยวเซียงหัวเราะเยาะ “อยากรู้รึ?”“คุกเข่าอ้อนวอนข้าสิ”“เจ้าอ้อนวอนข้า ข้าถึงจะบอกเจ้าว่าผู้ใดจับตัวอวี๋โหรวมา และผู้ใดร่วมมือกับข้าวางแผนให้เจ้ามาที่เมืองแห่งภูตผี”ลั่วชิงยวนมองท่าทีหยิ่งยโสของโหยวเซียงแล้วก็อดมิได้ที่จะหัวเราะเบา ๆ นางกวาดสายตามองไปรอบ ๆ แล้วถามว่า “ต่งอวิ๋นซิ่วมิมาด้วยรึ?”“เมื่อครู่นี้คนที่ต่อสู้กับข้าก็คือนางใช่หรือไม่?”เมื่อได้ยินน้ำเสียงเยาะเย้ยของลั่วชิงยวน โหยวเซียงก็โกรธจัด ในใจนางตกใจ ลั่วชิงยวนรู้แล้วหรือว่ามารดาของนางเป็นใคร“สารเลว!”นางบีบคออวี๋โหรวอย่างแรงเพื่อข่มขู่ลั่วชิงยวน “จะคุกเข่าหรือไม่?!”“ลั่วชิงยวน เจ้ามีโอกาสแค่ครั้งเดียว!”“หากเจ้ามิยอมคุกเข่ายอมจำนนแต่โดยดี ข้าจะหักคอนางเดี๋ยวนี้!”กล่าวจบ โหยวเซียงก็ออกแรงบีบบีบจนอวี๋โหรวหาย
ทันทีที่คนใบ้หันมาเห็นจึงรีบเข้ามาย่อตัวลงข้างนางแล้วช่วยประคองนางไว้ลั่วชิงยวนเช็ดเลือดที่มุมปาก ใบหน้าซีดเผือดกว่าเดิม“ข้ามิเป็นอะไร”นางเงยหน้าขึ้นมองอวี๋ตันเฟิ่งที่อยู่กลางอากาศ ในที่สุดจิตวิญญาณของนางก็สมบูรณ์แล้วบนใบหน้าซีดขาวนั้นปรากฏรอยยิ้ม รอยยิ้มนั้นทั้งพึงพอใจและเย่อหยิ่ง“ในที่สุดข้าก็ได้… เป็นอิสระแล้ว! ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า...”อวี๋ตันเฟิ่งหัวเราะลั่น ทำเอาป่าทั้งผืนเกิดพายุโหมกระหน่ำคนใบ้รีบยกมือขึ้นช่วยลั่วชิงยวนปัดป้องฝุ่นและใบไม้ที่ปลิวว่อน......จู่ ๆ ต่งอวิ๋นซิ่วก็กระอักเลือดออกมาเต็มปาก จากนั้นหมดสติล้มลงบนพื้น“ท่านแม่!”โหยวเซียงตกใจ รีบเข้าไปประคองนาง “ท่านแม่! ท่านแม่! ท่านเป็นอะไรไป!”หลังจากตะโกนเรียกอยู่นาน มารดาของนางก็มิฟื้นโหยวเซียงโกรธจนกัดฟันพูด “ลั่วชิงยวน สารเลว!”“เจ้าคอยดูเถอะ!”......ผ่านไปครู่ใหญ่ อวี๋ตันเฟิ่งถึงจะสงบสติอารมณ์ลงได้ลมพายุในป่าก็สงบลงเช่นกันถูหมิงที่อยู่ข้าง ๆ จึงค่อย ๆ ขยับเข้ามาใกล้ฉีเสวี่ยเวยที่ยังคงตกตะลึงมองภาพเหตุการณ์เมื่อครู่ด้วยความมิอยากเชื่อ “เมื่อกี้เกิดอะไรขึ้น?”“ต่อไปพวกเราต้องทำอะไร?”ลั่วชิงยวน
คนของถูหมิงตายไปหมดแล้ว เหลือเพียงฉีเสวี่ยเวยเท่านั้นในขณะที่พวกเขาเดินทางไปยังถ้ำแห่งที่หกในคืนนั้นผลลัพธ์ที่ได้กลับน่าผิดหวังเพราะในถ้ำว่างเปล่า“ดูเหมือนว่าพวกเราจะมาช้าไปก้าวหนึ่ง”ถูหมิงขมวดคิ้ว “เหลืออีกหนึ่งชิ้น ทำอย่างไรดี? หรือว่าความพยายามทั้งหมดของเราจะสูญเปล่า?”พวกเขาวุ่นวายมาหลายวัน เดินทางไปเกือบทั่วทั้งภูเขาแล้วหากสมบัติหายไปเช่นนี้ เขาคงต้องฆ่าสตรีผู้นี้เป็นแน่!ลั่วชิงยวนขมวดคิ้วครุ่นคิด แล้วกล่าวว่า “เหลืออีกหนึ่งชิ้นก็เหลืออีกหนึ่งชิ้น”“หาที่ปลอดภัยก่อน”จากนั้นพวกเขาก็มายังป่าที่ค่อนข้างสะอาด ไม่มีพุ่มไม้หรือวัชพืชหนาแน่นบนพื้นมากนัก ค่อนข้างโปร่งโล่งหีบทั้งห้าใบวางอยู่บนพื้นลั่วชิงยวนกล่าวว่า “เปิดหีบกันเถิด”ทันใดนั้นดวงตาของถูหมิงก็เป็นประกาย “เปิดได้หรือ?”เขาเห็นว่าบนหีบมีแต่อักขระสีเลือดปกคลุมอยู่ จึงยั้งมือไว้หลายครั้งแม้จะอยากเปิดก็ตามเมื่อได้ยินเช่นนี้จึงรีบเปิดหีบทันทีแต่เมื่อเปิดออกแล้ว ร่างกายของเขาก็แข็งทื่อไปศพ?!ทั้งยังเป็นศพที่ถูกชำแหละอีกด้วย?ฉีเสวี่ยเวยก็ตกใจกลัวลั่วชิงยวนกลับสงบสติอารมณ์ สั่งให้โฉวสือชีและคนใบ้ช่วย
“ใครกัน?!”ลั่วชิงยวนหรี่ตาลงเล็กน้อย แล้วตอบเสียงแผ่ว “ซูเซียง”“แต่ตอนนี้ควรเรียกนางว่าโหยวเซียง”“ภารกิจที่พวกเจ้าได้รับก็เป็นเพียงการละเล่นของนางเท่านั้น”“นางต้องการให้พวกเจ้าฆ่ากันเอง”และภารกิจหนังหน้าของหญิงงามที่ฉีเสวี่ยเวยได้รับ ก็คงเป็นการล่อลวงให้ฉีเสวี่ยเวยมาฆ่านางหากสามารถยืมมือคนอื่นฆ่าคนได้ โหยวเซียงก็มิจำเป็นต้องเปิดเผยตัวตนเพียงแต่โหยวเซียงคาดมิถึงว่าฉีเสวี่ยเวยจะฆ่านางมิได้ กระทั่งโหยวเซียงเองก็ฆ่านางมิได้“โหยวเซียงหรือ? นางเป็นคนของเมืองแห่งภูตผีแห่งนี้หรือ?” ฉีเสวี่ยเวยมองนางอย่างมิเชื่อสายตา“มิแปลกใจเลย… นางท้องแก่ถึงเพียงนั้นยังกล้ามาที่นี่ได้”ลั่วชิงยวนเห็นว่าใกล้รุ่งสางแล้ว จึงให้โฉวสือชีแก้เชือกที่มัดฉีเสวี่ยเวยไว้“ข้าจะยังมิฆ่าเจ้าตอนนี้”“มิว่าเรื่องที่เจ้ากล่าวมาจะเป็นจริงหรือไม่ก็มิสำคัญ ข้าก็มิกลัวว่าเจ้าจะไปบอกเรื่องนี้กับถูหมิง”“หากเจ้าไปบอก เรื่องเดียวที่จะเป็นผลเสียต่อพวกข้าก็คือต้องแบกหีบเพิ่มอีกมิกี่ใบ”“เพียงเท่านั้น”มิใช่เรื่องคอขาดบาดตายที่นางทำเป็นร่วมมือกับถูหมิง ก็เพียงต้องการใช้คนของเขาไปขวางทางศพชายที่ถูกผนึกไว้ในถ้ำ
“แม้จะต้องยอมตายไปพร้อมกับถูหมิง ข้าก็ยินดี!”เมื่อได้ยินดังนั้น ลั่วชิงยวนก็ตกตะลึง แต่ก็ยังคงสงสัยอยู่บ้าง“แต่เจ้าสนิทสนมกับถูหมิงถึงเพียงนั้น น่าจะมีโอกาสฆ่าเขาได้นับครั้งมิถ้วน”ฉีเสวี่ยเวยขมวดคิ้วแน่น ดวงตาแดงก่ำ “แท้จริงแล้วคนผู้นั้นระแวดระวังตัวมาก หากมิใช่เพราะต้องการลดความระแวดระวังของเขา ข้ากับชายมากหน้าหลายตาก็คงมิ...”เมื่อกล่าวถึงตรงนี้ ฉีเสวี่ยเวยก็เม้มริมฝีปากแน่นหลังจากกล้ำกลืนความรู้สึกแล้ว จึงกล่าวต่อ “ในป่าครั้งนั้นเป็นครั้งแรกที่เขาใกล้ชิดข้า เดิมทีตอนนั้นข้ามีโอกาสที่จะฆ่าเขาได้!”“แต่เจ้าปีศาจฝูเหมิ่งนั่นบังเอิญมาขวาง!”“หากมิใช่เพราะเขา ข้าคงทำสำเร็จไปแล้ว!”ฉีเสวี่ยเวยกัดฟันพูด เต็มไปด้วยความเคียดแค้นลั่วชิงยวนรู้สึกประหลาดใจ เมื่อเห็นสีหน้าของฉีเสวี่ยเวย ในดวงตาของนางเต็มไปด้วยความแค้น ดูมิเหมือนคนโกหกทำให้นางเปลี่ยนทัศนคติที่มีต่อฉีเสวี่ยเวยไปบ้างขณะที่ลั่วชิงยวนยังคงครุ่นคิด ฉีเสวี่ยเวยก็มองมาที่นาง “เจ้ายังมิเชื่อข้าหรือ?”“ขอเพียงเจ้าฆ่าถูหมิงได้ ข้าจะทำทุกอย่างเพื่อเจ้า! ข้าจะบอกสิ่งที่เจ้าอยากรู้ทุกอย่าง!”ลั่วชิงยวนครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง
ลั่วชิงยวนนอนนิ่งอยู่บนเตียง มิกล้าขยับกายทว่างูตัวนั้นกลับกัดข้อเท้านางอย่างแรงหนึ่งครั้ง จากนั้นก็รีบเลื้อยหนีไปรออยู่ครู่หนึ่ง ฉีเสวี่ยเวยเห็นว่าคนที่นอนอยู่บนเตียงไม่มีความเคลื่อนไหวใด ๆ จึงเปิดประตูเข้ามานางมิอาจมั่นใจได้ว่าพวกคนใบ้จะกลับมาเมื่อใด จึงมิกล้าเสียเวลานานหลังจากปิดประตูอย่างระแวดระวังแล้ว นางก็มายังปลายเตียง จ้องมองข้อเท้าของลั่วชิงยวนอย่างละเอียด ปรากฏว่าถูกงูกัดจริง ๆ นางต้องตายเพราะพิษนี้แน่นอน!ทันใดนั้นเอง ฉีเสวี่ยเวยก็ชักกริชออกมาแล้วเดินไปยังหัวเตียง ค่อย ๆ จรดใบมีดลงบนใบหน้าของลั่วชิงยวนแต่ในพริบตานั้นเอง ลั่วชิงยวนก็ลืมตาขึ้นมาจ้องมองนางด้วยสายตาอาฆาตแค้นฉีเสวี่ยเวยพลันตกใจ แต่ก็มิได้หนีในทันที เพราะนางคิดว่าลั่วชิงยวนโดนพิษงูเข้าไปแล้ว อย่างไรก็ต้องตายอยู่ดีลั่วชิงยวนรีบคว้าข้อมือของฉีเสวี่ยเวยไว้เพื่อแย่งชิงกริชมาจากนางฉีเสวี่ยเวยก็ลงมือโจมตีเช่นกัน เพียงแต่นางคาดมิถึงว่าสตรีผู้นี้ที่ถูกพิษแล้วจะยังมีพละกำลังมากมายถึงเพียงนี้หลังจากทั้งสองต่อสู้กันครู่หนึ่งในห้อง ฉีเสวี่ยเวยก็พ่ายแพ้ ถูกลั่วชิงยวนจับกดไว้บนโต๊ะฉีเสวี่ยเวยตกใจมาก “เจ้า
“แน่นอน”“อีกอย่าง เมื่อหาของเหล่านี้ครบแล้วเมืองแห่งภูตผีทั้งเมืองก็จะเป็นของพวกเรา แล้วยังต้องขึ้นเขาไปเอาของเล็ก ๆ น้อย ๆ นั่นหาปะไร”คำพูดนี้กระตุ้นความโลภในใจของทุกคนที่อยู่ตรงนั้นอย่างมิต้องสงสัยพวกเขาจึงมิลังเลอีกต่อไป รีบติดตามลั่วชิงยวนไปยังเส้นทางเดิมตลอดทางยังมีงูมากมาย ลั่วชิงยวนก็หาสมุนไพรบางชนิดตลอดทางแล้วมอบให้ทุกคนผูกติดไว้บนตัวและทาตามเท้า เพื่อให้กลิ่นของสมุนไพรนั้นช่วยไล่งูดังนั้นการเดินทางของพวกเขาจึงราบรื่นดี เมื่อยามค่ำคืนมาเยือนพวกเขาก็ออกมาจากบ่อน้ำพุร้อนนั้นอีกครั้งพวกเขากลับมายังหมู่บ้านเดิมในช่วงกลางดึกสงัดในหมู่บ้านยังมีอาหารหลงเหลืออยู่ ดังนั้นทุกคนจึงหยุดพักกินอาหารกันก่อนเมื่อฟื้นฟูพละกำลังได้แล้วคนทั้งหมดก็ออกเดินทางต่อมาถึงสุสานเดิม ยามนี้วิญญาณอาฆาตเต็มไปทั่วทั้งภูเขา พลังหยินแผ่ซ่านไปทั่วเมื่อลั่วชิงยวนมาถึงที่แห่งนั้นก็พบว่าปากถ้ำเปิดออกแล้วมีคนกล่าวขึ้นว่า “วันนั้นฝูเหมิ่งก็มาที่นี่!”ลั่วชิงยวนตกใจเล็กน้อยเมื่อเข้าไปในถ้ำแล้ว ภาพที่ปรากฏด้านในนั้นมิเปลี่ยนแปลงมากนัก สิ่งที่เปลี่ยนไปเพียงอย่างเดียวคือโลงศพที่ถูกล่ามโซ่นั้นระเบ
เมื่อได้ยินดังนั้น ความโลภก็ปรากฏในดวงตาของถูหมิง ใครเล่าจะมิปรารถนาสมบัติของเมืองแห่งภูตผี เขาตอบตกลงในทันที “ได้”ลั่วชิงยวนกล่าวต่อว่า “แต่การนำของสิ่งนี้มาจะต้องเผชิญกับอันตรายบ้าง ดังนั้นอาจจะต้องมีคนของเจ้าสละชีวิต”“แต่คนมากก็แบ่งกันได้น้อย คนตายไปบ้างก็มิจำเป็นต้องสนใจความเป็นความตายของพวกเขา”“ความลับนี้ข้าบอกเพียงเจ้าเท่านั้น เจ้าอย่าได้แพร่งพรายให้ผู้ใดรู้เชียว”“โดยเฉพาะฉีเสวี่ยเวย”เมื่อได้ยินดังนั้นถูหมิงก็หันกลับไปมอง แต่ไหนแต่ไรมาเขาก็มิเคยสนใจความเป็นความตายของคนเหล่านั้นอยู่แล้ว“หาได้มีปัญหาไม่!”ถูหมิงรับปากอย่างง่ายดาย แต่ลั่วชิงยวนกลับยังคงระแวดระวัง “ยังมีเรื่องที่ต้องบอกเจ้าอีกอย่าง กองทัพของเมืองแห่งภูตผีถูกพวกข้าปลุกปั่นแล้ว คาดว่าอีกมินานคงไล่ตามมา”“ก่อนที่จะหาของทั้งหกชิ้นพบ อย่าได้คิดที่จะทำสิ่งใดนอกเหนือจากนี้ ท้ายที่สุดแล้ว พวกเราต้องร่วมมือกันต่อสู้กับศัตรู หากถูกพวกมันจับได้คงไม่มีใครมีจุดจบที่ดี”สีหน้าของถูหมิงเปลี่ยนไปเล็กน้อย มิคาดคิดว่าสตรีผู้นี้จะเก่งกาจมากถึงเพียงนี้ กระทั่งปลุกกองทัพของเมืองแห่งภูตผีขึ้นมาได้ดูเหมือนว่าสิ่งที่นางต้