"แต่พวกของลุงเจ้าบอกว่า ตระกูลของแม่นางทางนั้น เหมือนจะค่อนข้างกระตือรือร้นกับเรื่องนี้ บอกว่าถึงอย่างไรก็เป็นคุณหนูจากสำนัก เรื่องนี้ถ้ากำหนดแล้ว จะเป็นประโยชน์กับเสี่ยวหวาย ยิ่งไปกว่านั้นยังเป็นประโยชน์กับเจ้าด้วย เจ้าเองก็รู้ ว่าน้องชายเจ้า..."เซี่ยอวิ๋นเหนียงส่ายหัวเอ่ยต่อว่า "ถ้าบอกว่าเพื่อตัวเขาเอง เขาก็จะไม่มีปฏิกิริยาอะไร แต่ถ้าบอกว่าเป็นประโยชน์กับเจ้า เขาก็จะไม่มีความเห็นอื่นอีก"พอฟังถึงตรงนี้ จั๋วซือหรานก็เม้มปาก นิ้วมือกำแน่นขึ้นมา กดเสียงต่ำลงถามว่า "จากนั้นล่ะ?""จากนั้นเด็กคนนี้เดิมทีคิดจะกลับมา เพื่อถามการตัดสินใจจากเจ้าด้วยตัวเอง เขาบอกว่าจะฟังเจ้า เขาไม่มีความเห็นอะไร" เซี่ยอวิ๋นเหนียงคิดๆ แล้วก็พูดคำพูดของจั๋วหวายตอนนั้นออกมาคำพูดเดิมของจั๋วหวายตอนนั้นคือ: 'ข้าเองไม่ใช่ว่าจะตัดสินใจหรือเลือกเองไม่ได้ แต่พี่สาวข้าฉลาดกว่าข้า สายตากว้างไกลกว่าข้า ดังนั้นต่อให้นางบอกว่าได้ก็ไม่แน่ว่าอาจจะเหมาะกับข้า แต่ถ้านางบอกว่าไม่ เช่นนั้นก็คือไม่ ข้าจะฟังท่านพี่'จั๋วซือหรานสูดหายใจลึก ถามต่อว่า "ท่านแม่ เสี่ยวหวายเริ่มไม่สบายตั้งแต่ตอนไหน?"เซี่ยอวิ๋นเหนียงคิดอย่างละเอียด
พอได้ยินคำพูดจั๋วซือหราน สีหน้าเซี่ยอวิ๋นเหนียงก็เปลี่ยนไปทันทีต่อในนางจะพอเข้าใจคร่าวกับคำว่า 'ผู้ทดลองยา' ก็ตาม แต่จากท่าทีต่อตระกูลเซี่ยของจั๋วซือหราน เซี่ยอวิ๋นเหนียงเองก็พอคาดเดาได้ เช่นนั้นจะต้องไม่ดีเท่าไรแน่ ไม่ใช่เรื่องที่ดีกับจั๋วหวายนักเซี่ยอวิ๋นเหนียงถามเสียงขรึม "ข้าก็ไม่ค่อยเข้าใจนัก แต่จากชื่อแล้วก็พอจะเดาออก ดังนั้น หรานหราน...ความหมายของเจ้าคือ เสี่ยวหวายถูกคนวางแผนหลอกลวงจนกลายเป็น 'ผู้ทดลองยา' ที่ไร้ค่าหรือ?"ตาของจั๋วซือหรานลึกซึ้ง "นี่เป็นการคาดเดาที่เลวร้ายสุดของข้า"เซี่ยอวิ๋นเหนียงสีหน้าซีดไป "ข้าคลอดเจ้ามาข้าเข้าใจดี ว่าในใจเจ้าถ้าไม่มั่นไปแปดส่วน จะไม่มีทางพูดออกมา...ในเมื่อเจ้าพูดมาเช่นนี้ เช่นนั้นก็คงจริงไปกว่าครึ่งแล้ว"จั๋วซือหรานอ้าปาก แต่ก็ไม่พูดอะไรออกมาในเมื่อตามหลักการแล้ว ตนเองไม่ใช่เซี่ยอวิ๋นเหนียงคลอดออกมาหรอก แต่ก็ยังอดพูดไม่ได้ ว่าลึกแล้วก็มีวาสนาอยู่ระดับหนึ่ง ตอนนี้เซี่ยอวิ๋นเหนียงพูดถึงนิสัยนางได้ถูกต้องพูดได้แค่ว่าแม่รู้จักลูกสาวดีที่สุดสินะจั๋วซือหรานก่อนหน้านี้เพราะกังวลอารมณ์ของแม่ ดังนั้นจึงพูดออกมาค่อนข้างอ้อมค้อมแต่ตอนนี้
"ท่านกับเสี่ยวหวายกินยาลูกกลอนที่ข้าหลอม ถ้าหากบอกว่าเป็นโรคอะไร ข้าเองก็ยังเชื่ออยู่ แต่นี่...ไม่คุ้นกับสภาพแวดล้อมรึ? เป็นไปไม่ได้" จั๋วซือหรานเอ่ยขึ้นเสียงเรียบ "และไม่รู้ว่าเสี่ยวหวายถูกใครวางแผนอะไรใส่ ถึงต้องใช้วิธีนี้เพื่อให้เขาอยู่ในเมืองอวิ๋นหลิว ไม่ให้เขากลับมาเมืองหลวง"จั๋วซือหรานพูด ดวงตาหรี่ลง "ข้าสงสัยว่า ต่อให้ตระกูลเซี่ยที่อวิ๋นหลิว คงจะไม่รู้จักความเจ้าอารมณ์ของจั๋วซือหรานอย่างข้า แต่ตระกูลของคุณหนูป่วยคนนั้น หรือก็คือเจ้าพวกสำนักกะโหลกกะลา บางทีอาจจะเคยได้ยินชื่อข้าบ้าง อาจจะรู้ว่าข้ารับมือยาก เสี่ยวหวายถ้าหากกลับมาถึงเมืองหลวง ไม่นานข้าคงจะสังเกตเห็นความผิดปกติ ดังนั้นจึงให้ตระกูลเซี่ยหาเหตุผลให้เสี่ยวหวายอยู่ที่อวิ๋นหลิวต่อ"ความเร็วการพูดของจั๋วซือหรานไม่รีบไม่ร้อน พูดมาอย่างต่อเนื่อง แม้จะแค่การคาดเดา แต่ในการคาดเดานาง เส้นตรรกะทั้งหมดก็แจ่มชัดขึ้นเรื่อยๆ"ถ้ารู้แต่แรกก็ไม่ไปแล้ว" คิ้วของเซี่ยอวิ๋นเหนียงขมวดขึ้นมา"ท่านแม่อย่าโทษตัวเอง""ตอนนี้จะทำอย่างไรดี?" เซี่ยอวิ๋นเหนียงถามขึ้นจั๋วซือหรานคิดๆ "ท่านแม่ ท่านเล่ากับข้าให้ละเอียดหน่อย ถึงเรื่องหลังจากพาเส
หลงซ่งประสานมือกับจั๋วซือหราน เอ่ยขึ้นว่า "แม่นางจิ่ว พวกเราเองวันนี้ก็เพิ่งทราบ ว่าน้องชายท่านจะถูกพากลับไปที่สำนักเมฆาวารีแล้ว"พอสิ้นเสียงหลงซ่ง ก็ได้ยินเสียงกร๊อบดังขึ้น!ถ้วยชาในมือจั๋วซือหรานแตกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย สีหน้านางไม่เหลือความอบอุ่นใดอีก ถามขึ้นว่า "เจ้าว่าอะไรนะ"หลงซ่องเองก็มองออกถึงอารมณ์ของจั๋วซือหราน เขาชะงักไป จากนั้นจึงเอ่ยซ้ำขึ้นอีกครั้ง "น้องชายของท่านจะถูกพากลับสำนักเมฆาวารีแล้ว"จั๋วซือหรานนิ่งงันไปพักหนึ่ง จึงถามขึ้นเสียงต่ำว่า "เรื่องนี้...เป็นข่าวตั้งแต่ตอนไหน ถ้าคำนวณจากความเร็วในการส่งสารของหอเฟิ่งเสวี่ย"หลงซ่งรู้ว่านางพบจุดสำคัญของเรื่องนี้แล้วในชั่วพริบตาหลงซ่งตอบว่า "อย่างช้าสุดคือไม่เกินสามวัน ด้วยความเร็วการส่งสารของหอเฟิ่งเสวี่ย"จั๋วซือหรานหัวเราะเย็นชาขึ้นมา "สามวัน...ตอนนั้นแม่ของข้าคงเพิ่งจะออกเดินทางจากอวิ๋นหลิวมาเมืองหลวง หรือก็คือ พอแม่ข้าออกจากอวิ๋นหลิว ตระกูลเซี่ยอย่างพวกเขาก็จัดแจงให้น้องชายข้าทันทีสินะ"หลงซ่งขานรับคำหนึ่ง "น่าจะเป็นอย่างที่แม่นางคาดการณ์""ดี ดีเหลือเกิน" สายตาจั๋วซือหรานไม่เหลืออุณหภูมิใดอีก นางลุกขึ้นยืน "ข
พอได้ยินคำนี้ของนาง เฉวียนคุนก็เอียงตามองนาง ยิ้มขึ้นมาจั๋วซือหรานเห็นสายตาที่เอียงมากับรอยยิ้มเขา ก็เอ่ยขึ้นอย่างจนใจว่า "สายตาอะไรของเจ้ากัน ข้าพูดเรื่องจริงนะ"เฉวียนคุนโบกไม้โบกมือ "นายท่านไม่ต้องมาขู่ข้า"จั๋วซือหราน "..."เฉวียนคุนเอ่ยด้วยรอยิ้ม "ด้วยความฉลาดหลักแหลมกับการวางแผนได้ละเอียดรอบของของท่าน ในเมื่อวางใจไปที่หลวนหนาน ก็อธิบายได้แล้วว่าในเมืองหลวง ท่านไม่ได้มีแค่เฉวียนคุนคนเดียวเท่านั้น""ข้าเป็นแค่คนไม่สำคัญ ติดตามนายท่านคอยดูแลเรื่องในเรือนยังพอไหว แต่จะให้ข้าไปวุ่นกับเรื่องธุรกิจนี่ ข้าคงไม่ไหว ข้ารู้ตัวเองดี"เฉวียนคุนยิ้มๆ มองจั๋วซือหราน "ดังนั้น ข้าจะติดตามนายท่านไปหลวนหนานด้วย ไม่ว่าจะยอู่ในเรือนเล็กหรือว่าใหญ่ ข้าก็ยังมองท่านเป็นนายท่านอยู่วันยังค่ำ "จั๋วซือหรานหลังจากได้ยินคำพูดของเฉวียนคุน ก็ไม่ได้พูดอะไรอีก หลังจากนิ่งงันไปครู่ใหญ่จึงเอ่ยขึ้นว่า "ช่างเถอะ แล้วแต่เจ้าละกัน"นางเบ้ปาก "เจ้าคนไม่ยอมก้าวหน้า"เฉวียนคุนตอบกลับอย่างเริงร่า "เดิมทีข้าก็แค่อยากจะอยู่ข้างกายนายท่านเท่านั้น ไม่ได้อยากจะก้าวหน้าอะไร"จั๋วซือหรานมองเขา "แต่ว่าเจ้าพูดผิดไปคำหนึ
นางหยวนถูกจั๋วซือหรานทำให้เกิดความหวาดกลัวทางจิตใจขึ้นมาแล้ว ดังนั้นพอได้ยินเสียงจั๋วซือหราน ก็ตัวสั่นขึ้นมาทันทีไม่ว่าเป็นใครหลังจากที่ตายไปด้วยมือคนหนึ่งคนแล้วถูกดึงชีวิตกลับมา พอได้เจอคนนี้อีกครั้ง ก็น่าจะเป็นเช่นนี้กันหมด รู้สึกหวาดกลัวเหมือนเจอผีร้ายอย่างไรอย่างนั้นนางหยวนพอได้ยินเสียงของจั๋วซือหราน ทั่วร่างก็ตัวสั่นพังพาบไปหมด คำถามต่อตัวเซี่ยหมิงอี้ก่อนหน้า ก็ยังไม่สามารถตอบกลับไปได้อย่างถูกต้องตอนนี้กลับเข้าไปหลบด้านหลังเซี่ยหมิงอี้ จ้องเขม็งที่จั๋วซือหรานอย่างหวาดๆ น้ำเสียงเองก็อ่อนลงมา "เจ้า เจ้า...คิดจะทำอะไร?"จั๋วซือหรานเดินไปตรงหน้าพวกเขา วางมือไว้ด้านหน้าท่อนแขนดูแล้วก็เรียวยาวอ่อนนุ่ม นิ้วก็ขาวนวลราวต้นหอม เป็นสองมือที่ดูดีมากแต่ในสายตาของนางหยวน กลับคิดออกได้แค่สองมือนี้บีบคอนางไว้อย่างไรจนขาดอากาศหายใจ"ข้าคิดจะทำอะไร? ข้าก็แค่จะให้น้องชายข้ากลับมา แค่นั้นเอง "จั๋วซือหรานมองนางหยวน ได้ยินคำพูดท่านก่อนหน้านี้ คุณหนูสำนักนั่นก็ดูไม่เลวเลยนี่..."นางหยวนไม่กล้าส่งเสียง ไม่กล้าพยักหน้าและไม่กล้าส่ายหัว จ้องเขม็งจั๋วซือหรานอยู่อย่างนั้นจั๋วซือหรานเอ่ยต่อ "ใน
จั๋วซือหรานขี้เกียจจะพูดไร้สาระกับนาง จึงเอ่ยแค่ว่า "แม่ข้าอัธยาศัยดี จนอาจทำให้พวกท่านเข้าใจว่าข้าก็พูดจาง่ายเหมือนาง แต่ความเป็นจริงจะทำให้พวกท่านผิดหวังแน่"เสียงนางเย็นลงมาทีละนิดๆ "ดังนั้นทางที่ดีก็ภาวนาไว้ว่าให้น้องชายข้าปลอดภัย ไม่เช่นนั้น..."นางหยวนได้ยินนางพูดถึงตรงนี้แล้วก็หยุดไปหลังจากนั้น อิฐหินที่นูนออกมาก้อนหนึ่งบนกำแพงข้างๆ นาง ก็ถูกบดเป็นผงภายใต้พลังนิ้วของนาง ร่วงกราวลงกับพื้น"ข้าจะให้ท่านตายแล้วก็ฟื้นกลับมา แต่ไม่ใช่ทุกครั้งที่จะมีอารมณ์แบบนี้" จั๋วซือหรานเอ่ยขึ้น ปัดๆ ผงฝุ่นบนมือออก ไม่พูดอะไรอีก กลอกตามองไปทางเซี่ยหมิงอี้ "ลุงใหญ่ ออกมากับข้าเถอะ"เซี่ยหมิงอี้เดิมทีก็กำลังคิด ว่าจะอธิบายกับหลานสาวที่เก่งกาจคนนี้ของเขาอย่างไรดีว่าตนเองไม่รู้เรื่องนี้เลย ไม่รู้เรื่องด้วยจริงๆคิดไม่ถึงว่ายังไม่ทันเอ่ยปาก นางก็เรียกเขาออกมาเสียแล้วเซี่ยหมิงอี้ไม่พูดอะไรเยอะ แค่เดินตามนางออกไปจากคุกเงียบๆหลังออกมา เซี่ยหมิงอี้จึงกลั่นกรองคำพูดออกมาคำหนึ่ง "หราน...ใต้เท้าโหว เรื่องนี้ข้าไม่รู้เรื่องด้วยจริงๆ"กระทั่งคำเรียกก็ยังเปลี่ยนเสียใหม่จั๋วซือหรานมองเขาผาดหนึ่ง "ลุ
"หราน หรานหราน..." เซี่ยหมิงอี้ตระหนักได้ถึงแผนล่วงหน้าของเซี่ยหมิงหยวน ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็คือตระกูลเซี่ยเสียหาย ขนาดที่เขาพูดจาก็ยังตะกุกตะกักขึ้นมาแล้วสีหน้าจั๋วซือหรานยังพอไหว ไม่ได้ปั้นยากอย่างที่เขาคิดเอาไว้น้ำสเียงนางฟังแล้วนิ่งมาก ไม่มีอารมณ์ตื่นเต้นอะไรเลย เอ่ยขึ้นว่า "ลุงใหญ่ไม่ต้องเครียดไป ขอแค่เรื่องนี้ท่านไม่ได้ร่วมด้วย ข้าจะไม่ย้ายความโกรธไปหาหาคนบริสุทธิ์แน่นอน"เซี่ยหมิงอี้อ้าปากพะงาบ ท้ายสุดจึงได้แค่ถอนหายใจจั๋วซือหรานเอ่ยขึ้นว่า "เอาล่ะ ดังนั้นพวกเราก็มาหารือเรื่องธุรกิจดีกว่า รอคุยทางนี้กับท่านเสร็จ ข้ายังมีธุรกิจอื่นต้องคุยอีก ถึงจะไปที่สำนักเมฆาวารีได้อย่างวางใจ"เซี่ยหมิงอี้ได้ยินคำพูดนาง รู้สึกแค่ว่า ยอดเยี่ยมมากจริงๆจั๋วซือหรานร่างแผนรายละเอียดธุรกิจวัตถุดิบยาเอาไว้แล้ว เดิมทีแค่ให้เซี่ยหมิงอี้อ่านสักรอบก็พอยิ่งไปกว่านั้นเดิมทีจั๋วซือหรานก็ยอมลดกำไรที่จั๋วให้กับตระกูลเซี่ยไปไม่น้อยเพียงแต่ว่าพอผ่านเรื่องของเสี่ยวหวาย การยอมลดให้ที่เตรียมไว้แต่เดิมจึงไม่คิดจะลดให้แล้วยิ่งไปกว่านั้นการฆ่าคนมันทำร้ายจิตใจ ดังนั้นพูดจาก็ต้องให้ชัดเจนจั๋วซือหรานพูดเ
บางทีคงเป็นเพราะการคุยแบบเปิดอกก่อนหน้านี้ ทำให้ระยะทางขอเพื่อนสนิทสองคนที่เคยห่างไปตามกาลเวลา ย่อหดลงไปไม่น้อยเลยกระมังดังนั้นพอได้ยินปันอวิ๋นบอกว่าไม่ต้องขอบคุณ เฟิงเหยียนจึงเหลือบมองเขา น้ำเสียงเปลี่ยนไป "ก็ได้ เช่นนั้นก็ไม่ขอบคุณแล้วกัน"เฟิงเหยียนสั่งขึ้นมา "ไป ไปเอาสุรามาให้ข้าหน่อย"แม้จะพูดเช่นนี้ แต่ในเสียงกลับไม่ได้ออกคำสั่งอะไร ฟังแล้วเหมือนการใช้งานระหว่างเพื่อนกันมากกว่าปันอวิ๋นชะงักไปเล้กน้อย เพราะตอนพวกเขายังเด็ก ก็เคยใช้งานกันและกันแบบนี้ไป ไปเอาสุรามาหน่อยได้ งั้นเจ้าก็เอาปลาไปย่างซะข้าเห็นว่าเจ้าหน้าตาเหมือนปลาถ้าเจ้ายังพูดอีกรอบ จะโดนข้ากดจนจมถังสุราตายไปเลยเพราะคำพูดนี้ของเฟิงเหยียน ทั้งสองคนก็เหมือนกลับไปสมัยยังเด็กในชั่วพริบตาปันอวิ๋นยกมุมปากขึ้นบางๆ ลุกขึ้นไปให้คนรับใช้ส่งสุราเข้ามาคือสุราห้าพิษที่เขาจะหมักอยู่ทุกปี และใช้แมลงพิษมาหลอมจริงๆ แต่ตัวสุรากลับไม่มีพิษใดๆ กระทั่งยังหอมอบอวลเข้มข้นเป็นพิเศษ เป็นสุราที่หาได้ยากยิ่งและเป็นความลับที่ไม่เผยแพร่สู่ภายนอกของหุบเขาหมื่นพิษ ปกติมีแค่เจ้าหุบเขาที่รู้แต่ปันอวิ๋น หลังจากออกสำนักมา ก็ไม่ได้ด
จะเหมือนว่าตบหน้าใส่ตนเองอย่างแรง ทั้งที่เดิมทีก็อยู่บนโชคชะตาที่ขมขื่นอยู่แล้ว กระทั่งยังเป็นการตบหน้าตนเองในตอนนั้นอีกด้วยแบบนั้น...มันขมขื่นเกินไป พวกเขาเดิมทีก็ยากลำบากอยู่แล้วปันอวิ๋นนิ่งงันไปพักหนึ่ง อันที่จริงรู้สึกเหมือนไม่รู้จะเริ่มพูดจากตรงไหนดีอยู่หน่อยๆความเงียบงันดำเนินต่อไประยะหนึ่งยังคงเป็นเฟิงเหยียนที่เอ่ยเสียงต่ำขึ้นมาก่อน "ขอบคุณมาก"ปันอวิ๋นได้ยินคำนี้ ก็รู้สึกแปลกประหลาด อารมณ์เองก็ไม่ค่อยมั่นคงทั้งที่มั่นคงมาตลอดแท้ๆหลังผ่านไปพักหนึ่ง ปันอวิ๋นจึงเอ่ยตอบว่า "เรื่องเล็กน้อย"ตอนที่ได้ยินคำนี้ สายตาของเฟิงเหยียนก็เหมือนขยับนิดๆยังจำได้ว่า ตอนยังเด็กถ้าปันอวิ๋นช่วยเขาทำอะไร ขอแค่เขาขอบคุณ ปันอวิ๋นก็จะพูดคำว่า 'เรื่องเล็กน้อย' ออกมาเสมอต่อให้บางครั้ง จะไม่ใช่เรื่องเล็กเลยก็ตาม แต่ก็ยังทำให้เขารู้สึกว่า ไม่ต้องเกรงใจ ยังมีพี่น้องคนนี้ช่วยแบกอยู่เฟิงเหยียนหยุดไปครู่หนึ่ง เอ่ยเสียงเรียบขึ้นว่า "ก่อนหน้านี้ ข้าเจอกับหลงเฉินมา"พอได้ยินชื่อนี้ที่คุ้นเคย ม่านตาปันอวิ๋นก็หดลงเล็กน้อยเฟิงเหยียนเอ่ยต่อว่า "เขามีชีวิตไม่ค่อยดีนัก เหมือนตอนนั้นหลังจากที่เขาท
ท่าทีของเฟิงเหยียน ไม่ถือว่ากระตือรือร้นมากนัก กระทั่งค่อนข้างเย็นชาด้วยซ้ำแต่ก็เป็นเรื่องปกติ หลังจากที่เขาออกจากสำนักในตอนนั้น ก็ไม่ได้มีความฮึกเหิมเหมือนสมัยครั้งยังเด็กอีกมักจะเย็นชา และมักจะเฉยเมยปันอวิ๋นเม้มริมฝีปาก เข้าใจถึงสาเหตุนั้นสภาพการณ์ตอนที่เฟิงเหยียนออกจากสำนักครั้งนั้น เขาเองก็รู้เป็นอย่างดีต่อให้จนถึงตอนนี้ ก็ยังจดจำได้อย่างชัดเจนเพราะเฟิงเหยียนถูกทรยศเป็นคนแรก ดังนั้น ตอนนั้นพวกเขาก็อยู่ในฐานะคนที่ยังไม่ถูกทรยศอันที่จริง จะมากน้อยก็ยังมีความสงสัยว่าถ้าไม่อยู่ในสถานการณ์เดียวกันก็คงไม่เข้าใจอยู่พวกเขารู้สึกว่าเฟิงเหยียนทำเรื่องเล็กเป็นเรื่องใหญ่ เป็นเฟิงเหยียนที่ไม่รู้จักบุญคุณพวกเขารู้สึกว่า เป็นเฟิงเหยียนที่ทำไม่ถูกเฟิงเหยียนเป็นคนอกตัญญูจนต่อมา ต่อมาของต่อมา ทุกคนทยอยกันเดินบนเส้นทางของเฟิงเหยียน ใครก็หนีไม่พ้นการทรยศหรือใช้ประโยชน์ทั้งนั้นตามหลักแล้วควรจะยอมรับชะตากรรมอย่างที่เคยเตือนเฟิงเหยียนเอาไว้ในตอนนั้น และมองว่าสิ่งนั้นเป็นการบ่มเพาะและการให้ความสำคัญจากสำนักแต่เพระาอะไร...ถึงได้ดีใจกันขึ้นมาไม่ได้เลยและหลังจากนั้นอีก แต่ละคนก็ทร
ดังนั้นเขาจึงยังไม่กล้าไปกอดนางไว้แบบนี้ตลอด คอยอยู่ด้วยเงียบๆแต่เขากลับไม่ง่วงเลย ไม่ได้หลับ ไม่ได้ปิดตาด้วยแค่มองนางเงียบๆ สัมผัสถึงความร้อนในตัวนางกับชีพจรนางกระทั่งตัวเขาเองก็ยังบอกไม่ได้ว่าเพราะอะไร แต่ก็มีความรู้สึกอย่างหนึ่ง...รู้สึกสงบใจอย่างมากราวกับว่า ทั้งหมดเปลี่ยนเป็นสมบูรณ์แบบแล้วทั้งที่ความทรงจำในอดีตยังไม่กลับคืนเข้าที่ แต่ความรู้สึกนี้ เหมือนสลักประทับอยู่ในจิตวิญญาณอย่างไรอย่างนั้น ยากที่จะลบเลือนจนกระทั่งลมหายใจของจั๋วซือหรานมั่นคงแล้ว สีหน้ายิ่งมีประกายแดง สภาพดีขึ้นมากแล้วเขามองไปที่คราบเลือดแห้งกรังเหล่านั้นบนใบหน้าจั๋วซือหราน รู้สึกเสียดแทงตาเหลือเกินจึงได้เคลื่อนไหวเบาๆ เดินออกไปด้านนอก กำชับคนรับใช้ให้เตรียมน้ำร้อนมาไม่ให้คนรับใช้เข้ามาปรนนิบัติ แต่เขาหิ้วถังน้ำเข้ามาเองเขาอุ้มนางมาแช่ในถังน้ำ คอยสระชำระเส้นผมนางทีละเล็กทีละน้อย เช็ดคราบเลือดบนผิวนางออกอาบตัวนางจนสะอาดหมดจด อุ้มกลับไปบนเตียง ใช้ผ้าห่มห่อตัวนางจากนั้นจึงใช้พลังวิญญาณธาตุไฟบริสุทธิ์ เป่าผมนางจนแห้งและเพราะมีกลิ่นอายของเขาห่อหุ้มอยู่ จั๋วซือหรานจึงหลับลึกอย่างสบาย ไม่ตื
พลังศักดิ์สิทธิ์หงส์แดงที่บริสุทธิ์ที่สุด ถูกส่งผ่านเข้ามาอย่างนั้นจั๋วซือหรานมีความรู้สึกเหมือนตนเองถูกแช่ไว้ในน้ำอุ่น เป็นความรู้สึกที่สบายอย่างที่สุดในลำคอก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมาด้วยความสบายยิ่งไปกว่านั้น คนเราก็เหมือนจะเป็นเช่นนี้เดิมทีก็ไม่ได้รู้สึกว่าตนเองลำบากยากเย็นอะไรนักแต่ตอนที่ร่างกายสามารถผ่อนคลายลงมาได้ ไม่รู้สึกเจ็บปวดทรมานอีกแล้วพอย้อนคิดไปถึงความยากลำบากเหล่านั้นก่อนหน้า กลับรู้สึกว่าตนเองน่าสงสารขึ้นมาจั๋วซือหรานตอนนี้ก็รู้สึก ว่าตนเอง...ไม่ค่อยได้รับความเป็นธรรมเท่าไรชายคนนี้ เจ้าคนสมควรตายนี่มีสิทธิ์อะไร?มีสิทธิ์อะไรกัน?"..." ชายหนุ่มรู้สึกเจ็บที่ปลายลิ้นเขาขมวดคิ้ว รสชาติคคาวหวานของเลือดแผ่ซ่านในร่องฟันของทั้งสองคนเขามองหญิงสาวตรงหน้า ก็เห็นแววตาของนางมีความหงุดหงิดอยู่หน่อยๆแล้วยังมีสีหน้าท้าทายอีกด้วยดูเหมือนจะจงใจกัดปลายลิ้นเขา น่าจะโมโหเอาการชายหนุ่มไม่ครางออกมาเลย ราวกับไม่รู้สึกเจ็บอย่างไรอย่างนั้นยิ่งไปกว่านั้นยังไม่ใส่ใจ ปลายลิ้นยังโถมใส่นางอย่างเร่าร้อนรุนแรงถ้านางอยากได้ ก็ต้องแล้วแต่นางจั๋วซือหรานดูจนใจหน่อยๆ แต
เหมือนว่าความทรมานทั้งหมดก่อนหน้านี้ ไม่ได้ทรมานอะไรขนาดนั้นและไม่รู้ว่าเจ้าโง่นี้ใช้แรงกระแทกนางมากแค่ไหน...มีหลายครั้ง ที่นางรู้สึกได้ว่า ในมิตินี้เหมือนสั่นไหวขึ้นมาราวกับวิญญาณของนางที่ถูกขังอยู่ในมิติ จะถูกดันกลับเข้าไปที่เดิมเลยจั๋วซือหรานถลึงตาโตขึ้นหน่อย จ้องมองมิติที่โยกไหวหน่อยๆรู้สึกหมดคำจะพูดแมงมุมน้อยงึมงำขึ้นมาข้างๆ "นายท่าน...ในนี้มัน...ร้อนจัง..."จั๋ซซือรหานมองไปทางเหล่าสัตว์อสูรของตนเอง มองออกไม่ยาก พวกมันเหมือนเริ่มมึนๆ จะหลับกันแล้ว พอเห็นแบบนี้ ก็เหมือนจะไม่ได้แตกต่างอะไรนักกับสถานการณ์ครั้งที่แล้วเพียงแต่ครั้งที่แล้ว ตนเองถูกทำจนเกือบจะสลบไปและตอนนี้ ตนเองถูกทำ...จนใกล้จะตื่นขึ้นมาแล้วผู้ชายคนนี้...ร้ายกาจจริงๆนี่มันช่าง....สัมผัสแนบเนื้อบนตัวนางมีเหงื่อบางๆ ชั้นหนึ่ง ผิวที่เคยขาวซีดไปทั้งตัว ตอนนี้พอมีเม็ดเหงื่อเกาะอยู่ จึงยิ่งดูเป็นประกายระยิบระยับขึ้นมาและไม่รู้ว่าผ่านไปนานแค่ไหน..."อือ..." หญิงสาวที่ไม่มีปฏิกิริยามาตลอด ริมฝีปากที่ยังมีรอยเลือดที่ยังเช็ดไม่สะอาด ส่งเสียงครางออกมาเหมือนลูกแมวตัวน้อยฟังดูแล้วเป็นเสียงอือๆ งึมงำๆน
ในใจจั๋วหวายเข้าใจอย่างหนักแน่นว่าเฟิงเหยียนคือผู้ชายทรยศแต่ว่านี่ไม่ได้เป็นอุปสรรคที่ทำให้เขาคิดว่าเฟิงเหยียนจะทำให้พี่สาวดีขึ้นได้คนเราก็มักมีสองมาตรฐานเช่นนี้ ไม่มีทางเลือกดังนั้นจั๋วหวายแม้จะไม่ได้เน้นหนักว่าผู้ชายทรยศคนนั้นคือผู้ชายทรยศ แต่ก็ยังถามขึ้นว่า "เขาจะพาพี่สาวข้าไปไหน?"ปันอวิ๋นได้ยินคำนี้ สายตาก็ลึกซึ้งขึ้นมา "นั่น...เป็นเรื่องของผู้ใหญ่เขา เด็กๆ ไม่ต้องถามเยอะ"จั๋วหวายเบ้ปาก ในใจก็บ่นว่าตนเองไม่ใช่เด็กแล้วเสียหน่อยแต่ปันอวิ๋นในที่สุดก็ไม่ได้บอกจั๋วหวาย ว่าเฟิงเหยียนจะพาจั๋วซือหรานไปที่ไหนในใจปันอวิ๋นชัดเจนดี สภาพของจั๋วซือหรานแย่หนักถึงระดับนี้แล้ว ขนาดยาก็ยังดื่มไม่ลงถ้าคิดจะใช้พลังศักดิ์สิทธิ์ปลอบประโลมตัวนาง รวมถึงปลอบประโลมลูกในท้องนาง...วิธีการที่ดีที่สุด คือสิ่งนั้นอย่างไม่ต้องสงสัยสติสัมปชัญญะของจั๋วซือหรานไม่ได้หลับลึกอย่างสมบูรณ์ ในมิติยังสัมผัสรับรู้ได้ถึงสภาพแวดล้อมรอบๆความรู้สึกนั้น เหมือนกับสติสัมปชัญญะถูกขังอยู่ในมิติอย่างไรอย่างนั้นนางจึงเป็นได้เพียงแค่ผู้ชมเท่านั้น"เฮ้อ ดูท่าเขาจะใช้วิะีนั้นสินะ" จั๋วซือหรานเอ่ยขึ้นขนมถั่วแดงกั
แต่ว่าชายหนุ่มยังคงไม่ตอบเขาเขาเพียงยกมือขึ้นมา สะบัดแขนเสื้อ เผยท่อนแขนออกมาจากในแขนเสื้อจั๋วหวายจึงเห็นว่าท่อนแขนของชายคนนี้ มีลายมัดกล้ามที่สวยงาม กระชับเรียวยาวผิวเองก็ขาวเย็น ไม่รู้ว่าเพราะปกติไม่ค่อยโดนแสงแดดหรือเปล่าและตอนนี้เอง ผิวหนังขาวเย็นที่โผล่ออกมานอกแขนเสื้อพอต้องกับแสงตะวัน จั๋วหวายก็รู้สึกเหมือนขาวจนสะท้อนแสงออกมาเลย!จากนั้น หลังจากสัมผัสกับแสง ก็ค่อยๆ รอยแผลเหมือนไฟลวกที่ค่อยๆ แดงขึ้น ก็ปรากฏมาบนท่อนแขนเขาไม่เพียงเท่านี้ หลังจากที่รอยไหม้เหล่านี้ปรากฏ ท่อนแขนเขาก็มีอักขระประหลาดบางส่วนปรากฏขึ้นมาอย่างรวดเร็วพออักขระคำสาปปรากฏ บาดแผลเผาไหม้พวกนั้นก็ถูกสะกดลงไป บาดแผลบนผิวหนังเริ่มสมานตัวกลับเหมือนเดิม หลังจากแผลสมานดี อักขระคำสาปเหล่านั้นก็ค่อยๆ สลายหายไปบนผิวหนังเขาแต่ไม่นานนัก ก็ปรากฏแผลไฟลวกอีกครั้ง อักขระเหล่านั้นก็ปรากฏขึ้นมาอีกซ้ำไปซ้ำมาแบบนี้ ดูแล้วทำให้คน...รู้สึกประหลาดมากจั๋วหวายมองจนบื้อไปเลยและชายหนุ่มก็ไม่ได้ใส่ใจกับแผลที่หายแล้วก็เกิด เกิดแล้วก็หายพวกนี้เลย ราวกับเหมือนมองไม่เห็นอย่างไรอย่างนั้นและก็เหมือนไม่ได้เจ็บได้ปวดเลย แม้ต
เหมือนว่าพอสายตามองเห็นหญิงสาวในอ้อมกอดปันปวิ๋นที่เหมือนลมพัดก็สลายหายไปได้ ตอนนั้นเอง สัมผัสทั้งหมดก็เหมือนหายวับไปในพริบตาดวงตามองไม่เห็นสิ่งใดอีกแล้ว หุเองก็ไม่ได้ยินเสียงอื่นใดอีกความรู้สึกเดียวที่เหลืออยู่คือความเจ็บปวดรุนแรงเหมือนมีดกรีดกลางใจ ไม่เพียงเท่านี้ สมองก็เหมือนถูกของมีคมกวนคนอย่างไรอย่างนั้น เจ็บขึ้นมาเป็นระยะๆยิ่งเจ็บ ก็ยิ่งอยากจะมองนางให้ชัดจเน ไม่อยากพลาดไปแม้แต่น้อยปันอวิ๋นพอเห็นร่างของเขา และกลิ่นอายนั่นบนตัวปันอวิ๋นในที่สุดก็ถอนใจโล่ง เขามาได้เสียที..."เจ้าหุบเขา?" ศิษย์สำนักข้างๆ ยังระแวดระวังอยู่ปันอวิ๋นบอกกับศิษย์สำนักเสียงเรียบว่า "เขาไม่ทำอะไรหรอก"ศิษย์สำนักพอได้ยินคำนี้ จึงถอนใจโล่งออกมา เพราะตอนที่พวกคนคุ้มกันขวางเขาเมื่อครู่มันเกินต้านแล้วจริงๆปรมาจารย์กู่อย่างพวกเขาเดิมทีก็แพ้ธาตุไฟอยู่แล้ว และชายคนนี้ก็เหมือนจะมีธาตุไฟระดับสูงด้วยพวกเขาไม่มีความสามารถจะไปทัดทานได้เลยปันอวิ๋นพอเห็นร่างสูงใหญ่ตรงหน้า ก็คิดในใจ ยังจะงงอะไรอยู่เล่า ถ้าเจ้ายังงงอยู่ หญิงสาวคนนี้จะไม่ไหวแล้วนะ!"โอ๊ค..." ในปากจั๋วซือหรานมีเลือดสดทะลักออกมาและมือข้างนั