พวกเขาอยากจะตะโกนโห่ร้อง!อยากจะกู่ก้องความน่าเกรงขามของแม่นางจิ่วแต่ตอนนี้ ล้วนทำได้แค่กลั้นเอาไว้ก่อน มีบางคนกลั้นไว้จนหน้าแดงก่ำแล้วด้วย!ทหาที่แบกปืนให้จั๋วซือหรานก่อนหน้า ก็รู้สึกเจ็บเหมือนบ่าแทบฉีก!แต่เพราะก่อนหน้านี้เขาจ้องเขม็งไปทางฝั่งศัตรู แล้วยังต้องรักษาตัวไม่ให้ขยับ ดังนั้นเขาจึงทำให้ตนเองมีสมาธิอยู่ตลอดดังนั้นคนอื่นอาจจะไม่เห็นขั้นตอนทั้งหมดแต่ว่าเขาเห็นแล้ว ปากกระบอกปืนอยู่บนบ่าเขา หูของเขาได้ยินเสียงทึบเสียงนั้นดังกว่าที่คนอื่นได้ยินอยู่พอควร!จากนั้นเขาก็เห็นกับตา ว่าหัวของคนเภื่อนนั่นระเบิกออกมาราวกับลูกแตงโม!พริบตานั้น เขากระทั่งลืมความเจ็บปวดบนไหลตัวเองไป...เลือดทั้งตัวเหมือนถูกเผาไหม้จนเดือดพล่านขึ้นมาแล้ว!นี่มัน...นี่มันถึงใจสุดๆ!ที่พวกเขารู้สึกถึงใจ ก็ไม่ใช่ไม่มีเหตุผล เพราะพวกเขายิ่งเข้าใกล้ประตูค่ายคุ้มกัน ก็ยิ่งมองเห็นฉากคานประตูหัวมนุษย์ได้ชัดเจนยิ่งขึ้นไม่มีใครที่เห็นฉากแบบนี้ แล้วใจจะยังสงบอยู่ได้ พวกเขาใช้พลังทั้งหมดอดกลั้นความโกรธและความชิงชังเอาไว้ดังนั้น ภายใต้อารมณ์เช่นนี้ พอเห็นแตงโตที่ระเบิดเละนั่น จะไม่รู้สึกสะใจได้อย่างไร!ถึ
รองแม่ทัพใจเย็นลงมาหน่อย เอ่ยขึ้นว่า "แต่ว่า...ถ้าหากห่างกันเกินไป ถ้าเราเล็งพลาดก็จะเสียของเปล่า"จั๋วซือหรานได้ยินคำนี้ ตาก็ยิ้มโค้งขึ้นมา "ไม่เป็นไร รอให้ข้าเริ่มโจมตีพวกเขาก่อน ดึงดูดความสนใจพวกเขาเข้ามา ให้พวกเขาอยู่ในขอบเขตการยิ่งของพวกเขา"รองแม่ทัพฟังน้ำเสียงของแม่นางจั๋วจิ่วแล้ว ก็รู้ว่าสิ่งเหล่านี้ที่ตนเองกังวล แม่นางจิ่วนั้นคิดรับมือเอาไว้เรียบร้อยแล้วร่วมมือกับคนเช่นนี้ หรือก็คือ ฟังคำสั่งของคนเช่นนี้ ถือเป็นเรื่องที่ทำให้ใจสงบได้มากจริงๆจั๋วซือหรานเอ่ยขึ้นเสียงขรึม "อีกสักครู่ พวกเราก็ทำกันแบบนี้..."......เวลาลากมาถึงตอนนี้หัวของคนเถื่อนต่างแดนนั่น ระเบิดเละเป็นแตงโมเน่าภายใต้สายตาของทุกคนขาวๆ แดงๆ สาดกระเซ็นไปโดนตัวคนข้างๆคนเหล่านี้ไม่ใช่คนพวกที่ไม่เคยเห็นคนตาย จึงไม่ถึงกับตกใจอะไรนักแต่ความตายกะทันหันนี้ต่างหาก ที่ทำให้พวกเขาหวาดหวั่นยิ่งไปกว่านั้นในคนเถื่อนเหล่านี้ เห็นได้ชัดว่ามีคนที่มีความสามารถเป็นเอกลักษณ์อยู่ในนี้มีคนที่เบ้าตาลึกคนหนึ่ง ทำปางมือขึ้นอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็หลับตาลงข้างหนึ่ง แล้วเปิดตาขึ้นอีก!ดวงตาของเขา กลายเป็นตาเหลืองอำพันคมก
แต่พอพูดขึ้นมาจริงๆ นางเองก็เป็นพวกที่ชอบลองผิดลองถูกเหมือนกันสำหรับวิชาและความรู้บางส่วนที่อยู่เหนือระบบของวิชาควบคุมสัตว์ของโลกนี้ดังนั้นถึงได้ใช้เวลาช่วงที่ว่า พูดคุยกับซางถิงขึ้นมาจึงลองเอ่ยถามจากปากของซางถิงดู เกี่ยวกับความรู้ที่อยุ่เหนือวิชาควบคุมสัตว์ซางถิงบอกนางว่า ถ้าต้องพูดขึ้นมาจริงๆ อันที่จริงวิชาควบคุมสัตว์ของแดนใต้ ชนะต้าชางไปไกลเลยดังนั้นวิชาควบคุมสัตว์ของตระกูลซางในต้าชางนี้ยังพอถูไถ แต่ถ้าอยู่ที่แดนใต้ล่ะก็ ตระกูลซางของพวกเขาหากคิดจะใช้วิชาควบคุมสัตว์ขึ้นเป็นที่หนึ่งของเมือง เกรงว่าคงจะยากมากจั๋วซือหรานเองก็รู้ได้จากในคำพูดของซางถิง ว่าคนแดนใต้เหล่านั้นน่าจะเพราะพรสวรรค์แตกต่างกัน พรสวรรค์ในด้านควบคุมสัตว์ ดีกว่าคนของต้าชางหน่อยดังนั้นด้วยเหตุนี้ พวกเขาจึงเชี่ยวชาญกว่าในวิชากู่ด้วยเช่นกันเพราะแมลงกู่ถึงแม้จะแยกเฉพาะออกมา แต่ด้วยพื้นฐานดั้งเดิม ก็ยังเป็นพวกสัตว์ประหลาดอยู่จั๋วซือหรานรู้สึกว่า ที่ซางถิงพูดมาก็มีเหตุผลอยู่ซางถิงยังบอกว่า นักควบคุมสัตว์แดนใต้ มีทั้งพวกนักควบคุมสัตว์ มีทั้งพวกที่ค้นคว้าจนเป็นปรมาจารย์กู่ และยังมีพวกที่กลายเป็นนักใช้แมลงด
ซือคงเซี่ยนเพิ่งฟังออก ไม่ว่าจะตัวเลือกไหน นางก็ต้องเอาตัวเองเข้าไปอยู่ในอันตรายอยู่ดี!ซือคงเซี่ยนสูดลมลึก กำลังคิดจะพูดอะไรแต่รองแม่ทัพกับทหารหัวกะทิ ต่างก็เชื่อมั่นในตัวจั๋วซือหรานโดยไม่สงสัย แม้จะฟังออกว่านางจะเอาตัวนางไปอยู่ในอันตรายก็ตามทีแต่พวกเขาไม่ใช่แค่เชื่อมั่นต่อตัวแม่นางจั๋วจิ่วธรรมดา จะบอกว่าหลับหูหลับตาศรัทธาก็ไม่เกินเลยพอได้ยินคำนี้ของจั๋วซือหราน พวกเขาก็ไม่เคยคิดว่าแม่นางจิ่วจะล้มเหลวแค่รู้สึกว่า ถ้าแค่นางพูดถูก ก็จะทำได้แน่นอนดังนั้นรองแม่ทัพจึงไม่ได้กังวลแบบอ๋องเซี่ยน สีหน้าเองก็ยังดูตื่นเต้น เลือดในตัวเดือดพล่านรองแม่ทัพถามขึ้นว่า "แต่ว่าแม่นางจิ่ว... ท่านจะดึงดูดความสนใจพวกคนเถื่อนนั่นอย่างไรล่ะ?"นางได้ยินคำนี้ก็เลิกคิ้ว ยิ้มอย่างสบายใจ "ทำตัวสวยๆ ก็พอแล้วนี่"ทุกคนตะลึงไปสายตาก็อดมองไปยังใบหน้าที่ผ่านการแปลงโฉมมาแล้วของจั๋วซือหรานตอนนี้ เป็นใบหน้าที่องอาจอย่างมากพอทยอยกันมีปฏิกิริยาขึ้นมา จริงสิ คนผู้นี้ไม่ได้มีหน้าตาแบบนี้เสียหน่อยด้วยใบหน้าเดิมของนาง จะบอกว่างามระดับล่มเมืองก็ไม่เกินเลยทำตัวสวยๆ ก็พอแล้วจริงๆมีนางตรงเข้าไปชนก่อน ด้วยใบห
"เจ้าบอกว่าจั๋วจิ่ว?! คือจั๋วจิ่วคนนั้นหรือ?!""คนที่ทำให้ทั้งเมืองหลวงวุ่นวานคนนั้นน่ะนะ? ที่ทำให้ชินอ๋องอวี้ต้องปวดหัว ทำแผนการใหญ่ของเขาไปคนนั้นน่ะนะ?!""ใช่แล้ว ข้าคิดว่า พวกท่านอย่างน้อยก็น่าจะรู้แล้วว่าคนร้ายที่ลงมือกับพวกพ้องของพวกท่านเป็นใคร" รอยยิ้มมุมปากของรองแม่ทัพยังไม่หายไปไหน "และคนร้ายคนนี้ ก็ถูกพวกเราคุมตัวอยู่"ความหมายที่ไม่พูดก็เข้าใจของรองแม่ทัพชัดเจนมาก:ดังนั้นพวกเจ้าก็คิดเอา ว่าเป็นแดนใต้ที่อ่อนแอ หรือว่าต้าชางที่อ่อนแอ?คนเถื่อนนี้แน่นอนว่าต้องฟังออกถึงความนัยในคำพูดนี้สีหน้าก็ปั้นยากกันขึ้นมา!มีคนยังตะโกนขึ้นมา ชักอาวุธออกมา "ให้ตายเถอะ! พวกฝูงสุนัขต้าชาง เจัาพูดอะไรน่ะ?!"รองแม่ทัพทำหน้าเย็นชาไม่พูดจาส่วนคนเถื่อนที่เป็นหัวหน้าคนนั้น ยกมือขึ้น ถือเป็นการห้ามไม่ให้คนอื่นตะโกนสีน้ำเงินบนหนังตาเขา ดูลึกลับประหลาด ยิ่งดูน่ากลัวลึกซึ้งขึ้นเขาไม่ได้แสดงอาการโกรธแค้นเสียอาการเหมือนคนเถื่อนคนอื่น ดูเหมือนในกลุ่มคนเถื่อนที่ยากจะควบคุมนี้ ค่อนข้างจะมีอิทธิพลพอควรถึงอย่างไรเขาพอเขายกมือขึ้น เพียไงม่นานพวกที่ยังตะโกนโห่ร้อง ก็สงบกันลงมาสายตาเขาเย็นชาลึกซึ
ตอนนี้ ไม่ใช่แค่คนเถื่อนคนนี้ที่สบตากับดวงตาพญาหงส์ กระทั่งคนที่ทาสีน้ำเงินกับคนอื่นคนอื่น ชั่วขณะหนึ่งก็นิ่งเงียบกันลงมาแล้วสายตาพวกเขาล้วนแสดงความตกตะลึงออกมา ชั่วขณะนั้นยังดูเข้มข้นกว่าสีหน้าโกรธแค้นก่อนหน้านี้เสียอีกในสายตาพวกเขาสะท้อนร่างสีแดงออกมาเบนสายตาออกไปไม่ได้เลยนี่...คือแม่นางจั๋วจิ่วที่เลื่องชื่อแห่งเมืองหลวงต้าชางนั่นหรือ?เดิมทีพวกเขายังคิดว่า ชื่อเสียงความงามอันดับหนึ่งในเมืองหลวงของนาง จะเป็นแค่คำเกินจริงหรือเปล่าแต่พอได้เห็นจึงได้รู้ ก็จริง คนอย่างนางในเมืองหลวงถือได้ว่าเป็นคนที่ชื่อเสียงเสียหายเลวร้ายแต่ชื่อเสียงที่ไปถึงระดับชั่วร้ายแล้ว ทุกคนก็ยังไม่ลืมที่จะพูดถึงความงามของนางเห็นได้ว่า ความงามของนางเป็นระดับที่ไม่อาจมองข้ามได้แน่นอน ต่อให้ในฐานะศัตรู อาจจะไม่ยอมรับกับพฤติกรรมของนาง แต่กลับไม่อาจปฏิเสธความงามของนางได้เลย!ชุดแดงที่ร้อนแรงกว่าเปลวเพลง ซ่อนอยู่ในผ้าคลุมสีดำ มิน่าก่อนหน้านี้พวกเขาถึงไม่ทันสังเกตเห็นนางผมดำขลับราวหมึก ดวงตาคู่สวยราวบ่อน้ำลึก และยังมีริมฝีปากแดงเหมือนท้อ จมูกเล็กโด่ง ใบหน้าเล็กเท่าฝ่ามือ ผิวขาวเนียนละเอียด สมกับคำว่าผิ
และพวกเขาพอเห็น 'เหล่าองครักษ์ชินอ๋องอวี้' กลุ่มนี้ ก็เหมือนจะงงงันกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นฉับพลันนี้'เหล่าองครักษ์ชินอ๋องอวี้' พวกนี้ทยอยกันกระจายออก เหมือนคิดจะหาร่างเงา 'เชลย' คนสวยของพวกเขาในกลุ่มคนเหล่าคนเถื่อนเองก็อยากจะหาร่างนางเหมือนกันยิ่งไปกว่านั้นแม้พวกเขาจะพลังบำเพ็ญไม่พอ ในแดนใต้ล้วนเป็นคนของสำนักหรือพรรคต่างๆ แต่ว่าพวกเขาก็เป็นแค่คนของสำนักเท่านั้นแตกต่างกับทหารหัวกะทิของรองแม่ทัพเหล่านี้พูดอย่างนี้ดีกว่า ถ้าเทียบกันด้านทักษะต่อสู้ คนเถื่อนเหล่านี้เป็นแค่พวกที่ความรู้ไม่ได้มาตรฐานกลุ่มหนึ่งพวกของรองแม่ทัพต่างหากที่เป็นทหารจริงๆดังนั้นคนเถื่อนเหล่านี้จึงแทบไม่สังเกตเลย ในความวุ่นวายที่เกิดจากการที่จั๋วซือหรานหายตัวไป 'เหล่าองครักษ์ชินอ๋องอวี้' เหล่านี้ใช้การค้นห้านี้เพื่อกระจายตัวออกไป''อันที่จริง คือการเข้าใกล้แล้วโอบล้อมพวกเขาไว้!ขั้นตอนนี้ หน้าและหลังรวดเร็วมากและตอนนี้เอง คนทาสีฟ้าในที่สุดก็ได้ยินเสียงใสเย็นขึ้นมาใกล้มาก ใกล้จนแทบจะแนบใบหูเขาเสียงกระซิบใกล้หูแบบนี้ กลับไม่ได้ทำให้คนรู้สึกว่า...ใกล้ชิดสนิทสนมแต่กลับทำให้เขาสัมผัสได้ถึงความเย็นเ
"พวกเจ้า...""ให้ตายเถอะ..."เหล่าคนเถื่อนเห็นลูกหน้าไม้ทะลุร่างกาย ในดวงตามีความโกรธแค้นและความตกใจ และมีคนที่เข้าใจขึ้นมา"แค่ก..." คนเถื่อนคนหนึ่งถูกลูกหน้าไม้แทงทะลุปอด กระอักเลือดสดออกมาเต็มปากแต่ถึงจะเจ็บปวดแบบนี้ แต่สมองก็ยังกระจ่างชัดอยู่ไม่น้อย "...ที่แท้ ก็พวกเดียวกัน""พวกเขา...เป็นพวกเดียวกัน ดูท่าบนตัวพวกเขา ตราของจวนชินอ๋องอวี้...ก็คงจะปลอมด้วย...กระมัง..."รองแม่ทัพก้มลงมองตราชินอ๋องอวี้บนตัวอีกครั้ง รู้สึกเหมือนมองเห็นสิ่งสกปรกอะไรบางอย่างเจตนาร้ายในสายตาไม่มีปิดบัง เขายกมือขึ้นดึงตรานั่นแล้วโยนลงพื้นเอ่ยขึ้นเสียงเย็นชา "ตรานี่ไม่ใช่ของปลอม ตัวตนฐานะต่างหากที่ปลอม""ดูท่า..." มีคนเถื่อนฝืนทนความเจ็บปวดจากลูกหน้าไม้ เอ่ยต่อว่า "...คนของชินอ๋องอวี้ คงจะตายไปแล้ว""อ่อค...! อา...!" มีคนเถื่อนฝืนทนเจ็บแล้วคำรามออกมาด้วยความโกรธ รู้สึกโกรธแค้นกับการลอบโจมตีเช่นนี้มากต่อให้จะบาดเจ็บ ก็ยังคงคิดจะลากคนลงไปด้วยก่อนที่ตนเองจะตาย!"ถ้าข้าต้อง...ตาย! ก็จะไม่ยอมให้พวกเจ้า...ได้ดี!" คนเถื่อนคนนี้ทั้งตัวเริ่มแดงเริ่มพองขยาย ความรู้สึกนั้น...ราวกับในร่างกายมีอะไรจะระเบิ
จั๋วซือหรานได้ยินคำพูดนี้ "ถ้าเป็นลุงสาม...พ่อของเฟิงเหยียน เฟิงอวี้หรือ?"เฟิงหร่านพยักหน้า "สถานการณ์หลักๆ พ่อของข้าก็รู้มาไม่ค่อยชัดเจนนัก แต่ลุงสามตอนนั้นก็เสียวความจำไปกะทันหัน แต่มาผ่านไปกว่าครึ่งปี ท่านพี่ก็เกิดขึ้นมา"เฟิงหร่านพูดแบบไม่ค่อยชัดเจน จั๋วซือหรานรู้ว่านางไม่ใช่คิดจะปิดบัง แต่เกรงว่าสิ่งที่นางรู้ก็มีเพียงเท่านี้เพียงแต่ว่า ข้อมูลเหล่านี้ของนาง ก็ทำให้จั๋วซือหรานรู้สึกอยากรู้อยากเห็นขึ้นมาแล้วในเมื่อเฟิงหร่านไม่รู้ จั๋วซือหรานก็ไม่ได้ถามอะไรต่อ"พักผ่อนเถอะ ตอนนี้ก็อยู่ที่นี่ไปก่อน อีกเดี๋ยวจะย้ายไปบ้านที่ใหญ่หน่อยแล้ว"จั๋วซือหรานตอนนี้จึงออกจากห้องของเฟิงหร่านนางออกจากเรือน ตรงไปยังโรงเตี๊ยมโรงเตี๊ยมที่นางคิดจะทำนั้น มีเบื้องหลังเป็นตระกูลฮั่วกับหอจันทร์เงินและหอฟ้าดาว ช่วงนี้การเตรียมการก็ดำเนินไปอย่างเข้มข้นแล้วตอนที่ไปถึงโรงเตี๊ยม ฮั่วจือโจวกำลังดื่มชาอยู่กับเจี่ยงเทียนซิงด้านใน"เอ๊? ท่านโหวของพวกเรามาแล้ว" เจี่ยงเทียนซิงยิ้มทักขึ้นมาคำหนึ่งฮั่วจือโจวมองไปทางนาง "มาได้อย่างไรกัน? คิดว่าช่วงนี้เจ้าจะยุ่งมากเสียอีก""ก็ยุ่งนั่นล่ะ แต่การค้าของตัว
โกรธหรือ?จั๋วซือหรานมองไปทางเฟิงหร่าน เหมือนในที่สุดจะมีท่าทีอยากรู้อยากเห็นขึ้นมาเฟิงหร่านเห็นพี่จั๋วในที่สุดก็เริ่มมีท่าทีสนใจขึ้นบ้างแล้ว มุมปากจึงยกขึ้นเป็นเส้นโค้ง ในใจก็แอบผ่อนลมหายใจออกมาเฟิงหร่านอันที่จริงก็กลัวมากมาตลอด เพราะนางมองออกว่าจั๋วซือหรานเป็นคนที่อิสระไม่ยึดติด นางกลัวมากว่าถ้าตระกูลเฟิงยังเอาแต่ทำให้มันยุ่งเหยิงเช่นนี้ พี่จั๋วจะไม่เอาพี่ชายขึ้นมาแต่ก่อน เฟิงหร่านรู้สึกแค่ว่า เป็นจั๋วซือหรานที่ใฝ่สูงต่อตัวพี่ชาย แต่ต่อมาก็ค่อยๆ รู้สึกว่า พี่จั๋วกับพี่ชาย ใครก็ไม่ได้ใฝ่สูงใส่ใครทั้งนั้น พวกเขาเข้ากันได้ดี เหมาะสมกันมากแต่เรื่องที่ตระกูลเฟิงก่อขึ้นมา!เฟิงหร่านพอพูดถึงเรื่องนี้ ก็พบว่าจั๋วซือหรานเหมือนดูสนใจอยู่ ทำให้ความเร็วในการพูดจึงเร็วขึ้นมาพอควร"เพราะในข่าวที่ลือกลับมา มีข่าวที่ว่าพี่จั๋วอาจจะถูกพระราชทานงานอภิเษกกับอ๋องเซี่ยนด้วย พวกเขาจึงด่าว่าท่านทำตัวไม่เหมาะสม แล้วพี่ชายก็เลยโกรธ บีบเก้าอี้จนป่นไปเลย"จั๋วซือหรานมุมปากยกขึ้นเบาๆเฟิงหร่านเอ่ยต่อ "แต่เพราะข้าตอนนั้นเตรียมจะหนีแล้ว ข้าเองก็เข้าไปฟังในโถงประชุมไม่ได้ว่าพวกเขาคุยอะไรกัน สรุปคือ ต่
่จั๋วซือหรานแม้จะแก้ปัญหาเรื่องพวกองครักษ์ตระกูลเฟิงที่ตามล่าสังหารเฟิงหร่านเข้ามาได้แล้ว แต่เรื่องที่ว่าทำไมเฟิงหร่านถึงถูกตระกูลเฟิงไล่สังหาร นางเองก็ไม่มีเวลาไปทำความเข้าใจเลย หลังจากกลับมาเมืองหลวงเรื่องราวมากมายเหลือเกิน ยุ่งตัวเป็นเกลียวจนไม่มีเวลาเอาเสียเลยและตอนนี้เอง ก็เพิ่งจะได้มาไต่ถามสถานการณ์กับเฟิงหร่านไม่พูดขึ้นมายังพอว่า แต่พอพูดขึ้นมา เฟิงหร่านก็เหมือนจะโมโหเอามากๆ กระทั่งความถี่การหายใจก็ยังเปลี่ยนไปนางสูดลมหายใจลึกไปหลายที จากนั้นจึงเอ่ยขึ้นว่า "พวกเขา...กล้าเกินไปแล้ว"จั๋วซือหรานได้ยินคำนี้ มุมปากก็ยกขึ้น เข้าใจความหมายของเฟิงหร่านทันทีติดต่อศัตรูทรยศแคว้น เข้าร่วมการชิงบัลลังก์ของราชวงศ์ ไม่แตกต่างอะไรกับก่อกบฏ นี่มันก็ กล้าหาญชาญชัยมากจริงๆ"น่าขันที่พวกเขารู้อยู่ว่ามันผิด แต่กลับต่อให้ตายก็ไม่ยอมแก้ ไม่รู้ว่าไอ้ความหยิ่งทะนงในกระดูกนั่นมันไม่มียาจะช่วยได้แล้วใช่ไหม..."เฟิงหร่านสูดลมหายใจลึก อารมณ์ฮึดฮัดในหน้าอก จึงค่อยๆ ผ่อนลงมา"พ่อข้าบอกว่า ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไปคงไม่ไหว เขารู้สึกว่าถ้ายังอยู่ในตระกูลเฟิงต่อ จะจบไม่สวยแน่ แต่เขา...ไม่มีทางให้ถอยแล้ว"
เวลาเองก็ค่อนข้างมืดแล้ว แล้วห้องของจั๋วซือหรานนั่น ถึงยังไงก็เป็นห้องหญิงสาวนะกลับเรียกให้เหยียนฉีไป...เหยียนเจินมองไปด้วยสายตาครุ่นคิด "คงไม่ใช่ว่า..."เขายังพูดไม่ทันจบ ก็สบเข้ากับสายตาจั๋วซือหรานแล้วไม่รู้ว่าเพราะอะไร พอมองสายตานี้ของจั๋วซือหรานแล้ว เหยียนเจินก็รู้สึกว่า คำพูดของตนเองต่อจากนี้ น่าจะสำคัญมาก จะพูดจาเรื่อยเปื่อยไม่ได้ดังนั้นคำพูดแต่เดิมทีว่า 'สนใจลูกชายข้าหรือ?' จึงขึ้นมาแค่มุมปาก แต่พอออกจากปากก็บิดเบือนไปเป็น "จะสอนวิชาแพทย์ให้ลูกข้ารึ?"ถึงอย่างไรก็อย่าลืมว่าเหยียนฉีจะคารวะจั๋วซือหรานเป็นอาจารย์พูดคำนี้จบ เหยียนฉีก็เห็นสีหน้าจั๋วซือหรานเปลี่ยนไปจริงๆ แล้วก่อนหน้านี้เหยียนฉีก็รู้สึกบางอย่างตอนที่จั๋วซือหรานเรียกเขาไปที่ห้องนาง...แต่ตอนนี้ พอท่านพ่อพูดออกมา เขาก็รู้สึกได้ถึงเจตนาของจั๋วซือหรานแล้วแล้วก็เป็นไปตามนั้น จั๋วซือหรานหลังจากได้ยินคำพูดนี้ของเหยียนเจิน ก็ยิ้มตาโค้งขึ้นมา "ใช่แล้ว จะเรียกลูกชายท่านไปใช้แรงงานหน่อย ไปเถอะ"เหยียนฉีก่อนหน้านี้มีช่วงหนึ่งที่คิดไม่ออกมาตลอด ว่าจั๋วซือหรานเก่งกาจแบบนี้ได้อย่างไร หญิงสาวที่ถูกตระกูลทอดทิ้งคนหนึ่
ต่งคังตอบ "องค์หญิงเนื่องจากยังไม่แต่งงาน ดังนั้นจึงยังไม่ได้ออกจากวังสร้างจวน ยังคงอยู่ในวัง ตำหนัวังของนางไม่ใช่กรมสืบสวนอาญาเข้าไปจัดการ แต่เป็นอ๋องเซี่ยนที่กำชับให้หน่วยงานในวังเข้าไปจัดการ แม่นางจิ่วหากสนใจล่ะก็ ข้าจะไปหาข่าวมาให้"จั๋วซือหรานพอได้ยินก็โบกไม้โบกมือ "ไม่ต้องแล้ว"ในเมื่อเป็นการกำชับของซือคงเซี่ยน เช่นนั้นถ้าหากมีจุดไหนที่ผิดปกติ ก็น่าจะมาบอกนางจั๋วซือหรานกับต่งคังยืนอยู่หน้าประตูจวนชินอ๋องอวี้ที่ไม่ได้รุ่งโรจน์เหมือนในอดีตอีกแล้วนางหันตามองกลับไป โบกมือเล็กน้อย ป้ายชื่อหนาหนักที่เขียนอักษรสี่ตัวไว้ว่า 'จวนชินอ๋องอวี้' ก็ร่วงลงมาดังโครมจั๋วซือหรานกลับไปที่บ้านตนเอง แล้วไปกำชับกับเฉวียนคุนแล้วก็เหล่าองครักษ์เงา"ย้าย ย้ายบ้านหรือ?""แต่เรือนนี้ของแม่นางจิ่วเพิ่งเข้ามาอยู่ได้ไม่นานเองนะ..."จั๋วซือหรานมองพวกเขาผาดหนึ่ง "ย้ายไปอยู่ที่ที่กว้างกว่าน่ะ"นางเอ่ยถึงเรื่องรางวัลพระราชทานขึ้นมาไม่ใช่ทุกคนที่จะฟังเข้าใจความหมายที่ซ่อนอยู่ ทุกคนล้วนดีอกดีใจกับรางวัลพระราชทานนี้พอหลังจากที่องครักษ์เงาลงไป พ่อลูกตระกูลเหยียนที่ไม่พูดอะไรอยู่ข้างๆ มาตลอด จึงเอ่ยปาก
อ๋องเซี่ยนไม่ได้อยู่ในเรือนจั๋วซือหรานนานนัก เดิมทีที่มาก็เพราะตอนนี้มีเรื่องราวมากมายเรื่องซือคงอวี้ครั้งนี้ แม้จะจัดการไปเกือบหมดแล้วแต่ก็ยังเหลือปัญหามากมายที่ต้องมาจัดการ จำเป็นต้องให้เขาเข้าไปวุ่น ดังนั้นเขาจึงไม่ได้อยู่นานนัก หลังรู้ว่าจั๋วซือหรานไม่ได้โกรธ เพียงไม่นานก็บอกลากับจั๋วซือหรานจั๋วซือหรานคิดๆ ถามขึ้นว่า "จริงด้วย ท่านอ๋อง""อื๋อ?""เมื่อไรถึงจะเข้าไปตรวจยึดจวนอ๋องของซือคงอวี้?""พรุ่งนี้" ซือคงเซี่ยนตอบ จากนั้นจึงคิดได้ "จริงด้วย เจ้าจะไปดูด้วยไหม? ถึงอย่างไรที่นั่นภายหลังก็จะเป็นจวนของเจ้าแล้ว"จั๋วซือหรานครุ่นคิด พยักหน้าตอบว่า "ได้ เช่นนั้นก็ไปดูเสียหน่อยแล้วกัน"วันต่อมา จั๋วซือหรานก้ไปที่จวนชินอ๋องอวี้อย่างไม่รีบไม่ร้อนในอดีตจวนชินอ๋องอวี้ พูดได้ว่ามีแขกเหรื่อมากมาย แต่ตอนนี้กลับเหมือนกลายเป็นกรมสืบสวนพิเศษไปแล้ว เป็นตัวตนที่ทำให้คนอยากเลี่ยงออกไปให้ไกลดูเงียบๆ ไม่มีชีวิตชีวา เหมือนถ้าเดินผ่านที่นี่จะมีความซวยติดตัวไปด้วยอย่างไรอย่างนั้นตอนที่จั๋วซือหรานเดินเล่นในจวนชินอ๋องอวี้ ก็ดึงดูดความสนใจมาไม่น้อย ถึงอย่างไรนางก็เป็นคนดังในเมืองหลวงดังนั้
ผู้อาวุโสใหญ่เอ่ยขึ้น "ข้าจะดำเนินการดูแลลงไปเอง"จั๋วซือหรานพยักหน้า "เช่นนั้นเรื่องราวต่อจากนี้ ก็ให้ผู้อาวุโสห้ารับช่วงต่อจากข้าแล้วกัน ข้าเชื่อว่าเขาจะตัดสินอย่างยุติธรรม"จั๋วอวิ๋นฉีพอได้ยิน ก็เลิกคิ้วขึ้นเขาเข้าใจความหมายของจั๋วซือหรานดี นางก็เป็นเหมือนกับเขา คนอื่นๆ ในตระกูลจั๋วไม่เคยเชื่อถือเพียงแต่ เขาเป็นคนที่นางดึงกลับมาจากในกลุ่มคนเถื่อน แล้วยัดกลับเข้ามาในตระกูลจั๋ว แล้วพอเทียบกับคนนั้นคนนี้ในตระกูลจั๋วความน่าเชื่อถือยังสูงกว่าหน่อย ที่สำคัญที่สุดคือ ด้วยประสบการณ์ของจั๋วอวิ๋นฉี ก็น่าจะไม่ต้องเจอคำพูดซ้ำซากที่แขวนอยู่ข้างปากตาแก่ตระกูลจั๋วพวกนั้นแล้ว นี่คือดีมากเลยจั๋วซือหรานเตรียมจะออกไป ผู้อาวุโสใหญ่จั๋วหลานจึงคิดจะไปส่งนางจั๋วซือหรานยังประหลาดใจหน่อยๆ จะอย่างไร ผู้อาวุโสใหญ่ก็ไม่น่าจะทำถึงขนาดนี้จากนั้นจู่ๆ ก็นึกขึ้นมาได้ นางเลิกคิ้วขึ้น "โอ้ จริงด้วย"จั๋วซือหรานโยนขวดใบหนึ่งให้จั๋วอวิ๋นฉี "รับไว้"จั๋วอวิ๋นฉียกมือรับไว้ แล้วก็ตระหนักได้อย่างรวดเร็วว่านี่คืออะไรเป็นสิ่งที่นางมอบให้ตระกูลจั๋วเช่นเดียวกับตระกุลฮั่ว ด้านในทั้งหมดล้วนเป็นยาลูกกลอนกู้หยวน
พอได้ยินคำนี้ของจั๋วซือหราน ทุกคนตระกูลจั๋วแม้จะไม่แสดงชัดบนใบหน้า ในใจกลับล้วนมีความผิดหวังขึ้นมารางๆถ้าหากบอกว่าก่อนหน้านี้ยังคิดว่าจั๋วซือหรานมีหรือไม่มีการพระราชทานรางวัลเหล่านั้นตอนนี้พอมาคิด ถ้าทำให้นางกลับมาอยู่ในตระกูลได้ล่ะก็ รางวัลเหล่านั้นที่นางได้มา...ตระกูลจั๋วหรือว่าได้อาบแสงไปด้วยเลยหรือเปล่านะแต่ตอนนี้ จั๋วซือหรานกลับปฏิเสธที่จะกลับมาอยู่มีคนยังคิดจะกล่อมอีกหน่อย"คนคนหนึ่งอยู่ข้างนอก ไม่มีใครดูแล ไม่ค่อยสะดวกด้วยนะ...""จริงด้วย ผู้อาวุโสสามยังกลับมาอยู่เลย ท่านเป็นถึงผู้อาวุโสตระกูล กลับมาอยู่ในตระกูลจะสะดวกให้ตระกูลดูแลกว่านะ"จั๋วซือหรานพอได้ยิน ก็ดึงมุมปากขึ้นเล็กน้อย น้ำเสียงเย็นชา "ก่อนหน้านี้ตอนข้าอยู่ในตระกูลจั๋ว ก็ได้รับการ 'ดูแล' ไม่น้อยเลยจริงๆ ที่มีชีวิตรอดออกไปจากจวนจั๋วได้ ถือว่าข้าดวงแข็งแล้ว"ทุกคนฟังออกถึงความหมายของจั๋วซือหราน กลืนไม่เข้าคายไม่ออกกันไปทันทีคนเหล่านั้นที่เสนอให้นางกลับมา ก็ไม่กล้าส่งเสียงอีกความคิดของพวกเขา เดาได้ไม่ยาก เดิมทีคือคิดว่า ถือโอกาสจั๋วซือหรานหลังจากถูกพระราชทานรางวัลแล้วอารมณ์ยังดีอยู่ อาจจะเห็นด้วยกับข้อ
และตอนที่ฮั่วจือโจวกำลังหารือเรื่องเปิดโรงเตี๊ยมอยู่กับเจี่ยงเทียนซิงและอินเจ๋ออัน ก็ได้รู้ข่าวการพระราชทานรางวัลนี้พวกเขาสามคนสบตากัน"จักรพรรดิเฒ่านี่ร้ายจริงๆ"จั๋วซือหรานไม่ได้ส่งเสียง หลังจากได้ยินคนวังประกาศราชโองการจบ นางก็ยืนนิ่งไม่ขยับคนวังเองก็ดูกลืนไม่เข้าคายไม่ออก เรียกนางขึ้นคำหนึ่ง "แม่นางจิ่ว ขานรับราชโองการสิ"จั๋วซือหรานไม่ขยับ นางมองราชโองการฉบับนั้น อันที่จริงในใจกำลังพิจารณาจะรับดีไหมองค์จักรพรรดิเฒ่าดีดลูกคิดรอบนี้ ลูกคิดแทบจะกระเด็นมาโดนหน้านางอยู่แล้วพระราชทานเงิน พระราชทานจวน พระราชทานวังสวน สิทธิ์อำนาจพ่อค้าหลวง พวกนี้ไม่มีปัญหาอะไร ใกล้เคียงกับที่นางขอองค์จักรพรรดิเฒ่าไว้แต่การอวยยศ...แต่งตั้งขุนนางกับพื้นที่ศักดินา แบบนี้มันเกินไปจริงๆในสายตาคนนอก นางเป็นแค่หญิงสาวคนหนึ่ง ได้รับยศมา เรียกได้ว่าจะกลายเป็นโหวหญิงชั้นสูงเพียงคนเดียวของเมืองหลวงไปเลยยิ่งไปกว่านั้นยังมีพื้นที่ศักดินาให้ เรื่องดีจะตายนี่?แต่การแต่งตั้งเป็นหัวหน้าแพทย์หลวง แม้จะชั่วคราว แต่ใครจะรุ้ว่าต้องนานแค่ไหน?ต้องไปเข้ากะอะไรแบบนั้น น่ารำคาญจะตายยิ่งไปกว่านั้นตำแหน่งข้า