"เจ้าบอกว่าจั๋วจิ่ว?! คือจั๋วจิ่วคนนั้นหรือ?!""คนที่ทำให้ทั้งเมืองหลวงวุ่นวานคนนั้นน่ะนะ? ที่ทำให้ชินอ๋องอวี้ต้องปวดหัว ทำแผนการใหญ่ของเขาไปคนนั้นน่ะนะ?!""ใช่แล้ว ข้าคิดว่า พวกท่านอย่างน้อยก็น่าจะรู้แล้วว่าคนร้ายที่ลงมือกับพวกพ้องของพวกท่านเป็นใคร" รอยยิ้มมุมปากของรองแม่ทัพยังไม่หายไปไหน "และคนร้ายคนนี้ ก็ถูกพวกเราคุมตัวอยู่"ความหมายที่ไม่พูดก็เข้าใจของรองแม่ทัพชัดเจนมาก:ดังนั้นพวกเจ้าก็คิดเอา ว่าเป็นแดนใต้ที่อ่อนแอ หรือว่าต้าชางที่อ่อนแอ?คนเถื่อนนี้แน่นอนว่าต้องฟังออกถึงความนัยในคำพูดนี้สีหน้าก็ปั้นยากกันขึ้นมา!มีคนยังตะโกนขึ้นมา ชักอาวุธออกมา "ให้ตายเถอะ! พวกฝูงสุนัขต้าชาง เจัาพูดอะไรน่ะ?!"รองแม่ทัพทำหน้าเย็นชาไม่พูดจาส่วนคนเถื่อนที่เป็นหัวหน้าคนนั้น ยกมือขึ้น ถือเป็นการห้ามไม่ให้คนอื่นตะโกนสีน้ำเงินบนหนังตาเขา ดูลึกลับประหลาด ยิ่งดูน่ากลัวลึกซึ้งขึ้นเขาไม่ได้แสดงอาการโกรธแค้นเสียอาการเหมือนคนเถื่อนคนอื่น ดูเหมือนในกลุ่มคนเถื่อนที่ยากจะควบคุมนี้ ค่อนข้างจะมีอิทธิพลพอควรถึงอย่างไรเขาพอเขายกมือขึ้น เพียไงม่นานพวกที่ยังตะโกนโห่ร้อง ก็สงบกันลงมาสายตาเขาเย็นชาลึกซึ
ตอนนี้ ไม่ใช่แค่คนเถื่อนคนนี้ที่สบตากับดวงตาพญาหงส์ กระทั่งคนที่ทาสีน้ำเงินกับคนอื่นคนอื่น ชั่วขณะหนึ่งก็นิ่งเงียบกันลงมาแล้วสายตาพวกเขาล้วนแสดงความตกตะลึงออกมา ชั่วขณะนั้นยังดูเข้มข้นกว่าสีหน้าโกรธแค้นก่อนหน้านี้เสียอีกในสายตาพวกเขาสะท้อนร่างสีแดงออกมาเบนสายตาออกไปไม่ได้เลยนี่...คือแม่นางจั๋วจิ่วที่เลื่องชื่อแห่งเมืองหลวงต้าชางนั่นหรือ?เดิมทีพวกเขายังคิดว่า ชื่อเสียงความงามอันดับหนึ่งในเมืองหลวงของนาง จะเป็นแค่คำเกินจริงหรือเปล่าแต่พอได้เห็นจึงได้รู้ ก็จริง คนอย่างนางในเมืองหลวงถือได้ว่าเป็นคนที่ชื่อเสียงเสียหายเลวร้ายแต่ชื่อเสียงที่ไปถึงระดับชั่วร้ายแล้ว ทุกคนก็ยังไม่ลืมที่จะพูดถึงความงามของนางเห็นได้ว่า ความงามของนางเป็นระดับที่ไม่อาจมองข้ามได้แน่นอน ต่อให้ในฐานะศัตรู อาจจะไม่ยอมรับกับพฤติกรรมของนาง แต่กลับไม่อาจปฏิเสธความงามของนางได้เลย!ชุดแดงที่ร้อนแรงกว่าเปลวเพลง ซ่อนอยู่ในผ้าคลุมสีดำ มิน่าก่อนหน้านี้พวกเขาถึงไม่ทันสังเกตเห็นนางผมดำขลับราวหมึก ดวงตาคู่สวยราวบ่อน้ำลึก และยังมีริมฝีปากแดงเหมือนท้อ จมูกเล็กโด่ง ใบหน้าเล็กเท่าฝ่ามือ ผิวขาวเนียนละเอียด สมกับคำว่าผิ
และพวกเขาพอเห็น 'เหล่าองครักษ์ชินอ๋องอวี้' กลุ่มนี้ ก็เหมือนจะงงงันกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นฉับพลันนี้'เหล่าองครักษ์ชินอ๋องอวี้' พวกนี้ทยอยกันกระจายออก เหมือนคิดจะหาร่างเงา 'เชลย' คนสวยของพวกเขาในกลุ่มคนเหล่าคนเถื่อนเองก็อยากจะหาร่างนางเหมือนกันยิ่งไปกว่านั้นแม้พวกเขาจะพลังบำเพ็ญไม่พอ ในแดนใต้ล้วนเป็นคนของสำนักหรือพรรคต่างๆ แต่ว่าพวกเขาก็เป็นแค่คนของสำนักเท่านั้นแตกต่างกับทหารหัวกะทิของรองแม่ทัพเหล่านี้พูดอย่างนี้ดีกว่า ถ้าเทียบกันด้านทักษะต่อสู้ คนเถื่อนเหล่านี้เป็นแค่พวกที่ความรู้ไม่ได้มาตรฐานกลุ่มหนึ่งพวกของรองแม่ทัพต่างหากที่เป็นทหารจริงๆดังนั้นคนเถื่อนเหล่านี้จึงแทบไม่สังเกตเลย ในความวุ่นวายที่เกิดจากการที่จั๋วซือหรานหายตัวไป 'เหล่าองครักษ์ชินอ๋องอวี้' เหล่านี้ใช้การค้นห้านี้เพื่อกระจายตัวออกไป''อันที่จริง คือการเข้าใกล้แล้วโอบล้อมพวกเขาไว้!ขั้นตอนนี้ หน้าและหลังรวดเร็วมากและตอนนี้เอง คนทาสีฟ้าในที่สุดก็ได้ยินเสียงใสเย็นขึ้นมาใกล้มาก ใกล้จนแทบจะแนบใบหูเขาเสียงกระซิบใกล้หูแบบนี้ กลับไม่ได้ทำให้คนรู้สึกว่า...ใกล้ชิดสนิทสนมแต่กลับทำให้เขาสัมผัสได้ถึงความเย็นเ
"พวกเจ้า...""ให้ตายเถอะ..."เหล่าคนเถื่อนเห็นลูกหน้าไม้ทะลุร่างกาย ในดวงตามีความโกรธแค้นและความตกใจ และมีคนที่เข้าใจขึ้นมา"แค่ก..." คนเถื่อนคนหนึ่งถูกลูกหน้าไม้แทงทะลุปอด กระอักเลือดสดออกมาเต็มปากแต่ถึงจะเจ็บปวดแบบนี้ แต่สมองก็ยังกระจ่างชัดอยู่ไม่น้อย "...ที่แท้ ก็พวกเดียวกัน""พวกเขา...เป็นพวกเดียวกัน ดูท่าบนตัวพวกเขา ตราของจวนชินอ๋องอวี้...ก็คงจะปลอมด้วย...กระมัง..."รองแม่ทัพก้มลงมองตราชินอ๋องอวี้บนตัวอีกครั้ง รู้สึกเหมือนมองเห็นสิ่งสกปรกอะไรบางอย่างเจตนาร้ายในสายตาไม่มีปิดบัง เขายกมือขึ้นดึงตรานั่นแล้วโยนลงพื้นเอ่ยขึ้นเสียงเย็นชา "ตรานี่ไม่ใช่ของปลอม ตัวตนฐานะต่างหากที่ปลอม""ดูท่า..." มีคนเถื่อนฝืนทนความเจ็บปวดจากลูกหน้าไม้ เอ่ยต่อว่า "...คนของชินอ๋องอวี้ คงจะตายไปแล้ว""อ่อค...! อา...!" มีคนเถื่อนฝืนทนเจ็บแล้วคำรามออกมาด้วยความโกรธ รู้สึกโกรธแค้นกับการลอบโจมตีเช่นนี้มากต่อให้จะบาดเจ็บ ก็ยังคงคิดจะลากคนลงไปด้วยก่อนที่ตนเองจะตาย!"ถ้าข้าต้อง...ตาย! ก็จะไม่ยอมให้พวกเจ้า...ได้ดี!" คนเถื่อนคนนี้ทั้งตัวเริ่มแดงเริ่มพองขยาย ความรู้สึกนั้น...ราวกับในร่างกายมีอะไรจะระเบิ
"ฆ่าคนเดียวเสมอตัว! ฆ่าสองคนถือว่ากำไร!"เหล่าคนเถื่อนพวกนี้ก็ขยับตัวกันขึ้นมาและตอนนี้เอง พวกเขาก็เห็นหญิงสาวที่งดงามจนแทบจะเหมือนปีศาจคนนั้น กระโจนขึ้นกลางอากาศกะทันหันจากนัน นางก็นั่งลงบนสัตว์อสูรปีกตัวหนึ่ง พยุงนางขึ้นมา หยุดค้างอยู่กลางอากาศทุกคนเห็นนางกางสองมือออก แต่บนมือกลับไม่มีอะไร มองไม่เห็นอาวุธลับหรืออาวุธอะไรเลย ไม่มีอะไรทั้งนั้นเหล่าคนเถื่อนปล่อยวางจากตัวนางอย่างรวดเร็ว ความแค้นหันไปยังตัวทหารหัวกะทิเหล่านั้น"ฆ่า...!" เหล่าคนเถื่อนคำรามขึ้นชั่วขณะหนึ่ง เสียงตะโกนสังหารก็ดังลั่นฟ้า!ตามหลักการแล้ว พวกเขาอันที่จริงก็ไม่ได้เห็นพวกทหารหัวกะทิในสายตาสักเท่าไรถึงอย่างไร ในค่ายคุ้มกันก็มีทหารหัวกะทิอยู่ไม่น้อย แต่ตอนนี้ไปอยู่ไหนกันหมดล่ะ? ไม่ใช่ถูกแขวนหัวขึ้นไปหมดแล้วหรือ?แต่เจ้าขยะตรงหน้านี้? เฮอะ! พวกเขาถ้าไม่ได้เล่นแผนสกปรกลอบโจมตีล่ะก็ ไม่ใช่อะไรที่น่ากลัวเลย!ดังนั้นพวกเขาจึงไม่ได้เห็นทหารพวกนี้ในสายตา ไม่เพียงแต่ไม่กลัวพวกเขา กระทั่งยังรู้สึกว่า เจ้าสุนัขต้าชางพวกนี้มากกว่าที่น่ากลัว!แต่ว่า...พวกเขามองออกว่าบนหน้าของทหารต้าชางที่พวกเขาดูถูก ไม่มีคามหว
สิ่งที่เรียกว่าขวัญทหาร มาก็ไว ไปก็ไวคนเถื่อนเหล่านี้ ตอนที่ได้เปรียบก่อนหน้าทำตัวหยิ่งยโสกำเริบเสิบสานมากแค่ไหน ตอนนี้พอเสียเปรียบ ก็ดูพังมากขึ้นเท่านั้นมีเสียงกรีดร้องระงมดังขึ้นเป็นระยะในเสียงร้องที่น่าเวทนานี้ ความหยิ่งทะนงแต่เดิมเหล่านั้นของพวกเขา ก็ถูกฉีกทึ้งจนย่อยยับถูกจั๋วซือหรานฉีกทึ้งจนย่อยยับพวกเขาจะอย่างไรก็ไม่อาจจินตนาการได้ ว่าหญิงสาวคนนี้จะพากลุ่มคนไม่ได้เรื่อง เข้ามาท้าทายพวกเขาอย่างไม่เกรงกลัวแบบนี้จะอย่างไรก็คิดไม่ถึงบางทีถ้าเป็นคนอื่น ก็คงคิดถึงความเป็นไปได้นี้ไม่ออกพวกเขาอันที่จริงก็สัมผัสได้แล้ว ว่าพวกที่ปลอมตัวเป็นองครักษ์ชินอ๋องอวี้เหล่านี้ ฝีมือไม่ได้สูงมากถ้าหากปะทะกันตรงๆ เจ้าพวกนี้เอาชนะพวกเขาไม่ได้แน่..."อ่อค...!" คนเถื่อนคนหนึ่งกระอักเลือดสดออกมาโฮกใหญ่ คำรามขึ้นว่า "เจ้าพวกชั้นต่ำ ถ้ามีฝีมือ...ก็มาสู้กับพวกเราตรงๆ เซ่!"จั๋วซือหรานหัวเราะเย็นชา "พวกเจ้า พวกคนเถื่อนต่างแดน วิ่งแจ้นมาแคว้นของคนอื่นเขา ถือเป็นการรุกราน แล้วข้ายังต้องรักษามารยาทในการสู้กับคนรุกรานอย่างพวกเจ้าเนี่ยนะ?"จั๋วซือหรานพูดพลางหมุนข้อมือบริหาร ดาบยาวในมือเปล่งประ
จั๋วซือหรานได้ยินคำนี้แล้วไม่ยอมรับหรือปฏิเสธซือคงเซี่ยนที่อยู่ข้างๆ มองสีหน้าของจั๋วซือหราน ก็รู้สึกว่าบางอย่างผิดปกติ จึงถามไปว่า "ซือหราน มีอะไรไม่ถูกต้องไหม?"จั๋วซือหรานพอคิดไปครู่หนึ่ง จึงเอ่ยขึ้นว่า "ข้าแค่ไม่เข้าใจ""ไม่เข้าใจอะไรหรือ?" ซือคงเซี่ยนมองนาง จากนั้นจึงยื่นมือไปรัดผ้าคลุมให้แน่นขึ้นจั๋วซือหรานตอบ "ยังไม่พูดเรื่องอื่น แค่ควันพิษเมื่อครู่นี้ ก็รู้สึกว่า...พอมีฝีมืออยู่บ้าง แล้วคนมีฝีมือแบบนี้ ทำไมถึงถูกข้าวางแผ่นใส่ง่ายๆ จนหมอบกระแตไป...?"พอจั๋วซือหรานพูดเช่นนี้ รองแม่ทัพกับซือคงเซี่ยนก็ไม่ส่งเสียงกันแล้วพวกเขาก็เหมือนจะคิดออกถึงความเป็นไปได้บางอย่าง รู้สึกแค่ว่าไม่ค่อยดีนัก"ความหมายของแม่นางจิ่วคือ...พวกเขายังออมมือไว้หรือ?"จั๋วซือหรานพอได้ยินก็ยักไหล่ "ไม่แน่ใจ พูดยาก แน่นอนว่าอาจจะเป็นสิ่งที่พวกเขาได้มาจากคนที่เก่งกาจกว่าให้มาเพื่อรักษาชีวิต..."พูดถึงจุดนี้ เสียงครวญครางที่อยู่ข้างๆ ก็ตัดบทสนทนาของจั๋วซือหราน ดึงดูดความสนใจของนางขึ้นมาจั๋วซือหรานหยุดคำพูดของตัวเองลง หันมองไปทันทีแล้วจึงไปสบตากับปรมาจารย์กู่ที่มองออกมาก่อนหน้านี้คนนั้นปรมาจารย์
ถ้าหากพูดว่า ไม่ได้เห็นสถานการณ์ก่อนหน้านี้กับตา พวกเขาบางทีอาจจะไม่เข้าใจว่าทำไมจั๋วซือหรานจึงเลือกพวกเขาแต่เมื่อครู่พวกเขาเห็นจั๋วซือหรานนำนางพญากู่ตัวหนึ่ง ยัดเข้าไปในปากของปรมาจารย์กู่ที่จะระเบิดตัวเองคนนั้น!พวกเขาล้วนเป็นปรมาจารย์กู่ จะไม่รู้ได้อย่างไรว่าจั๋วซือหรานคิดจะทำอะไร?'นางต้องการกู่ของพวกเรา!'ในใจพวกเขาล้วนมีความคิดเช่นนี้ออกมา"เก็บพวกเขาไว้หรือ?" รองแม่ทัพถามขึ้นแต่อันที่จริงเขาก็มองไม่ออกว่าคนเหล่านี้กับคนอื่นแตกต่างกันตรงไหนเพียงแต่ว่า สำหรับการตัดสินใจของจั๋วซือหราน เข้าไม่เคยต้องคิดมากมายแต่ไหนแต่ไร ทำตามไปก็จบจั๋วซือหรานพยักหน้า "อืม ข้าจะเก็บพวกเข้าไว้ใช้""ได้เลย" รองแม่ทัพตอบเดิมทีเขายังคิดจะถามต่อ ว่าแม่นางจิ่วมีการจัดการอย่างไรกับคนอื่นๆ บ้างแต่ไม่ต้องให้นางถาม เขาก็เห็นแม่นางจิ่วเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ "คนอื่นๆ สังหารทิ้งให้หมดแล้วจับแขวนขึ้นไป"เรื่องแขวนหัวมนุษยื สำหรับคนแดนใต้แล้ว มีความน่าเกรงขามที่ต่างออกไปหน่อยปรมาจารย์กู่ที่ถูกจั๋วซือหรานเลือกมาเหล่านั้น บนสีหน้าพวกเขา เดิมทียังหน้าซีดอยู่บ้าง รู้สึกว่าถ้าตกไปอยู่ในมือนาง จะต
แม้จะบอกว่าเป็นความฝัน แต่อันที่จริงจั๋วซือหรานก็ค่อยๆ เข้าใจแล้ว ว่าเพราะอะไรหลังจากฝันถึงเขาครั้งที่แล้วจนมาถึงครั้งนี้ นานมากแล้วที่ไม่ได้ฝันถึงเขาอีกพอมาคิดอย่างละเอียด เหมือนว่าตอนฝันถึงเขาครั้งที่แล้ว จะเป็นหลังจากที่นางมีสัมพันธ์ทางกายกับเขาดังนั้นจั๋วซือหรานจึงค่อยๆ เข้าใจ บางทีน่าจะเป็นเพราะสาเหตุนี้การดูดหยางบำรุงหยินของนางก็ดูดซับมาจนพอเข้าใจแล้ว เหมือนว่าพอดูดซับมาถึงระดับหนึ่ง ก็จะเกิด...ถ้าจะพูดว่าเป็นความฝัน สู้บอกว่าเป็นการสื่อสารทางจิตใต้สำนึกกับความทรงจำของเฟิงเหยียนส่วนที่ถูกผนึกไปจะดีกว่า?และไม่ว่าจะ 'ความฝัน' ครั้งที่แล้ว หรือว่าครั้งนี้ก็มองออกได้ไม่ยากเฟิงเหยียนน่าจะเข้าใจต่อสถานการณ์อยู่ ดังนั้นบางทีจิตใต้สำนึกเขายังคงอยู่มาตลอด เพียงแต่ถูกสมองทื่อๆ นี่กดเอาไว้ หรือบางทีคงถูกสภาผู้อาวุโสลงมือสะกดเอาไว้ไม่แน่ว่า อาจจะต้องมีชนวนเหตุบางอย่าง ถึงจะสามารถปลุกขึ้นมาได้จั๋วซือหรานอยากจะรู้ชนวนเหตุนั้นว่าคืออะไรกันแน่"ต้องทำยังไงเจ้าถึงจะดีขึ้นมา?" จั๋วซือหรานถามแต่เฟิงเหยียนกลับเหมือนจะจำจุดสำคัญนั้นไม่ได้แล้ว ขมวดคิ้ว สีหน้าดูเหมือนขมขื่น เหมือนว
ในห้วงฝันนางมองมือตัวเอง สับสนไปหมดทั้งตัว เหมือนยังตั้งตัวกลับมาไม่ได้เพราะนางถ้าไม่หลับลึก ก็จะเอาจิตใต้สำนึกส่งเข้าไปในมิติ จึงฝันน้อยครั้งมากดังนั้นตอนที่ดำดิ่งสู่ห้วงฝัน นางยังรู้สึกไม่คุ้นอยู่หน่อยๆ มองมือตนเอง รู้สึกไม่คอ่ยเป็นจริงสักเท่าไรวินาทีต่อมา มือข้างหนึ่งก็ทาบมาบนมือของนางมือข้างนั้น ข้อต่อกระดูกชัดเจน นิ้วเรียวยาว เล็บตัดมาดูสะอาดสะอ้าน ผิวหนังขาวซีดเย็นเหมือนไม่โดนแดดมานานสายตาของจั๋วซือหรานจ้องนิ่งอยู่บนมือข้างนี้ จากนั้นจึงค่อยๆ ยกขึ้นมามองไปยังเจ้าของมือนี้ ใบหน้าหล่อเหลาไม่มีที่ตินั่นทั้งที่เป็นใบหน้าที่เพิ่งเห็นไปก่อนหลับตาลงเมื่อครู่แท้ๆ แต่ตอนนี้พอมอง กลับยังคงทำให้นางรู้สึกเหมือนไม่เจอกันเสียนานสายตาของชายหนุ่มอบอุ่น ด้านในมีความรู้สึกอารมณ์เหมือนความเจ็บปวดแฝงอยู่"จั๋วเสียวจิ่ว..." เขาก้มหน้าลงเรียกนางจั๋วซือหรานมองเขา จากนั้นจึงออกแรงบีบมือเขา และน่าจะเพราะออกแรงมากเกินไปปลายเล็บจึงเหมือนจิกลงไปในเนื้อเขาฝันถึงเขาอีกแล้วจั๋วซือหรานมีปฏิกิริยาขึ้นมา ครั้งนี้เหมือนกับครั้งนั้นเลย ฝันถึงเฟิงเหยียนยิ่งไปกว่านั้นยังดูเหมือนจริงเป็นพิ
กลางดึก จั๋วซือหรานกัดริมฝีปาก กอดหมอน เดินเท้าเปล่าจากห้องด้านนอกเข้าไปยังห้องด้านใน!คิ้วงามของนางขมวดแน่น สีหน้าที่มีสีเลือดฟื้นมาบ้างแล้ว ตอนนี้กลับขาวซีดขึ้นมาในใจนางเองก็พูดไม่ออก เดิมทีตอนที่หลับก็ยังดีอยู่ พอกลางดึกจู่ๆ ก็ไม่ไหวขึ้นมาเสียแล้วหน้าอกปั่นป่วนอย่างรุนแรง เป็นความรู้สึกทรมานแบบที่นางผ่านมาก่อนหน้าไม่ผิดเพี้ยนถ้าบอกว่าคนคนนี้ไม่เข้ามาก็ว่าไปอย่าง แต่นี่ก็เข้ามาแล้วว่ากันว่าพอเคยสบายแล้ว จะยากที่จะกลับไปลำบากตอนนี้จะให้นางปล่อยชายหนุ่มที่เหมือนกับ 'ยาบำรุงครรภ์' นี้ไว้ข้างในเฉยๆ โดยไม่ใช้ แล้วต้องมานั่งทนกระอักเลือดต่อล่ะก็...ขอโทษด้วย สกุลจั๋วอย่างนางไม่ใช่คนประเภทนั้นนางเข้าใจแล้ว ก่อนที่จะหลับไปเมื่อคืนนี้ ตอนที่เฟิงเหยียนบอกว่าจะนอนด้านนอก ริมฝีปากที่เม้มแน่นนั้นกำลังอดกลั้นเรื่องอะไรน่าจะคิดไว้แล้วว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้สารเลว!จั๋วซือหรานครั่นเนื้อครั่นตัวตื่นมากลางดึก ต่อให้เป็นคนที่มีสติเยือกเย็นแค่ไหน ก็ยังมีอาการหงุดหงิดงัวเงียหลังตื่นนอนนางเดินเท้าเปล่าเข้าไปห้องด้านใน อากาศในหุบเขาตอนกลางคืนเย็นมากนางสวมแค่เสื้อบางๆ ชุดหนึ่ง ทั้งตัวเย
แต่กลับรู้ตัวตนฐานะผู้ชายทรยศของเฟิงเหยียนได้ ไม่ต้องคิดเลยว่าคงเป็นจั๋วหวายพล่ามออกมาแน่"จั๋วหวายมาบอกเจ้าหรือ?" ปันอวิ๋นถามขึ้นคำหนึ่งจวงอี๋ไห่ พยักหน้าอย่างระมัดระวัง "คุณชายเสี่ยวหวายไม่หลอกข้าหรอก คุณชายเสี่ยวหวายบอกว่าเป็นผู้ชายทรยศ เช่นนั้นกว่าครึ่งก็ต้องเป็นผู้ชายทรยศแล้ว"ปันอวิ๋นถอนหายใจแผ่วเบาในห้อง จั๋วซือหรานนั่งลงข้างโต๊ะเฟิงเหยียนไม่พูดอะไร รินน้ำชาให้นางถ้วยหนึ่งจั๋วซือหรานกำถ้วยไว้ ใช้นิ้วมือลูบไล้ขอบถ้วยเบาๆ"อีกเดี๋ยวพออาหารส่งเข้ามา ก็กินสักหน่อยแล้วค่อยนอนพัก" เฟิงเหยียนเอ่ยขึ้นแต่ในน้ำเสียงแฝงไว้ด้วยความหนักแน่นที่ห้ามปฏิเสธจั๋วซือหรานแหงนตามองเขา กำลังจะบอกว่ายังไม่หิวก็เห็นริมฝีปากบางของชายคนนี้เม้มเบาๆ เอ่ยเสียงต่ำว่า "ข้าไม่มีสิทธิ์จะมาหารือกับเจ้าจริงๆ นั่นล่ะ..." สายตาเขาทอดลงไปที่ท้องน้อยนาง แววตาลึกซึ้งจากนั้นจึงเอ่ยต่อว่า "แต่การจะเตือนให้เจ้ากินอะไรดีดีก็ยังพอมีสิทธิ์อยู่" สายตาเขายกขึ้นมาจากท้องน้อยจั๋วซือหรานเลื่อนมาที่ดวงตานาง จ้องมองดวงตานาง เอ่ยต่อว่า "ถึงอย่างไรเมื่อครู่ก็เพิ่งช่วยเจ้ากลับมา ยิ่งไปกว่นั้นเรื่องถูกพลังศักดิ์สิท
เขาไม่เพียงแต่ไม่ใช่สามีของนาง เขายังเป็นคู่หมั้นในนามของหญิงสาวคนอื่นอีกด้วยสีหน้าของเฟิงเหยียนแข็งทื่อไปแล้ว แต่ท้ายสุดก็ยังพูดอะไรไม่ออกเพราะในคำพูดจั๋วซือหราน ไม่มีส่วนที่ผิดเลยแม้แต่น้อยแม้จะบอกว่าเด็กคนนี้ ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับเขาก็ตามแต่ครั้งก่อนหน้านั้น เป็นเพราะจั๋วซือหรานถูกวางแผนร้ายใส่ ถึงทำให้นางสับสนหลงใหลจนมีสัมพันธ์กับเขาถ้าจะบอกว่า เขาเอาเปรียบหญิงสาวไป ก็ไมไ่ด้พูดเกินเลยนักเอาเปรียบหญิงสาว จนทำนางตั้งท้อง ไม่เคยจะมารับผิดชอบอะไรตอนนี้กลับจะมาชี้มือชี้ไม้เรื่องของนางพอสรุปมาแบบนี้ มันก็ช่าง...แย่มากจริงๆเฟิงเหยียนเองก็รู้ว่าตนเองนั้นแย่มาก พูดอะไรออกมาไม่ได้ไปชั่วขณะปันอวิ๋นรู้สึกกระอักกระอ่วนแทนสหายเก่า เขากระแอมออกมาเบาๆ ทีหนึ่ง ไกล่เกลี่ยขึ้นว่า "เอาล่ะเอาล่ะ..."เขาเองก็ไม่รู้ว่าควรพูดอะไร ถึงอย่างไร ทั้งสองคนตอนนี้จะไม่ได้เป็นคู่รัก แต่ความสัมพันธ์แบบนี้...มันก็ดูคลุมเครือ กลืนไม่เข้าคายไม่ออกอยู่ นี่มันช่าง...ดังนั้นปันอวิ๋นเลยเปิดประเด็นขึ้น อึกอักในปากอยู่พักหนึ่ง กว่าจะพูดออกมาได้ "...พวกเจ้าหิวหรือยัง? ให้เหล่าจวนทำอะไรให้กินหน่อยดีไหม?"
นางยืนเงียบๆ อยู่ตรงนั้น แหงนตาขึ้นมองพวกเขาสายตาของเฟิงเหยียนอึ้งไปเล็กน้อย เห็นนางยืนอยู่ในประตูด้วยสีหน้านิ่งขรึมเขารู้สึกลำคอแห้งผากอย่างประหลาด ความรู้สึกนั้น บางทีควรจะเรียกว่า...ตึงเครียดไหม?"เจ้า...ตื่นขึ้นมาตอนไหนน่ะ?" เฟิงเหยียนถามจั๋วซือหรานมองเขา "ไม่นานเท่าไร"เหมือจะมองออกถึงความกระอักกระอ่วนของเขา หรืออาจจะไม่สรุปคือ มุมปากจั๋วซือหรานยกขึ้นบางๆ พูดมาคำหนึ่ง "ท่านอ๋องน้อย ไม่เจอกันเสียนาน"นางทำแบบนี้โดยไม่เอ่ยถึงคำพูดก่อนหน้านั้นแม้แต่น้อยเฟิงเหยียนอ้าปากพะงาบ ต่อให้คิดจะพูดอะไร แต่ชั่วขณะหนึ่งก็เหมือนจะพูดออกมาไม่ได้จึงแค่ถามขึ้นอย่างเป็นห่วง "ดีขึ้นบ้างหรือยัง?"จั๋วซือหรานพยักหน้า "ดีขึ้นมากแล้ว"กระทั่งปันอวิ๋นก็ยังมองออกถึงเรื่องระหว่างพวกเขา ไม่รู้เพราะเจ้าสมองกลับนี่ไปแตะเนื้อต้องตัวทำอะไรนาง หรือเป็นเพราะคำพูดเมื่อครู่นางได้ยินคำพูดของเฟิงเหยียน...สรุปคือ ปันอวิ๋นมองพวกเขาทั้งสองคน แล้วก็รู้สึกกลืนไม่เข้าคายไม่ออกแทนพวกเขาทั้งสองคนปันอวิ๋นคิดๆ ดู ตอนที่ตนเองอยู่กับจั๋วซือหรานก็ยังไม่ได้กลืนไม่เข้าคายไม่ออกขนาดนี้รู้สึกร้อนใจแทนเจ้าบ้านี่จร
เพราะเป็นเพื่อนสนิท ปันอวิ๋นจึงเข้าใจความหมายที่เขาคิดจะแสดงออกมาหรือก็คือ ปันอวิ๋นเดาได้นานแล้วบางทีตอนนั้นเพื่อจะให้จั๋วซือหรานหลีกเลี่ยงโชคชะตาเช่นนี้ ตนเองจึงเลือกที่จะลืมเลือนแต่สุดท้ายพอวกไปวนมา ก็กลับมาเดินอยู่บนเส้นทางเดิมเจ้าสิ่งที่เรียกว่าโชคชะตานี่ ลึกลับเอามากๆบางครั้งเหมือนจะมีเมตตา แต่บางครั้งก็เหมือนไม่เคยปราณีใครผู้ใด"แล้วเจ้าตอนนี้...คิดจะทำอย่างไร?" ปันอวิ๋นถามเขาจ้องเฟิงเหยียนตาไม่กระพริบเอาจริงๆ ปันอวิ๋นใช้มองจากมุมมองคนนอกอย่างมีเหตุมีผล ยังหวังว่าจั๋วซือหรานจะสามารถปล่อยวางได้แต่พอคิดถึงว่าถ้าหากจั๋วซือหรานปล่อยวางแล้วล่ะก็ ด้วยโชคชะตาภาชนะพลังศักดิ์สิทธิ์หงส์แดงของเฟิงเหยียน ผลสรุปสุดท้าย ก็คือตายก่อนวัยอันควรอยู่ดีและเพราะรู้เรื่องนี้ ดังนั้นปันอวิ๋นจึงหยุดไปครู่หนึ่ง เอ่ยเสริมมาคำนึง "ถังฉือเคยบอกข้าไว้ ในโถงวิญญาณอสูร พวกสัตว์เทพที่ถูกเก็บกลับมาเหล่านั้น..."ปันอวิ๋นขมวดคิ้ว คิดถึงคำพูดของถังฉือถังฉือมีบาปหนาจากการฆ่าฟันคนมากมาย กลายเป็นคนเย็นชาไร้หัวใจไปแล้ว ถ้าหากไม่เย็นชาไร้หัวใจ ป่านนี้คงเป็นบ้าไปแล้วดังนั้นตอนที่เขาพูดถึงเรื่องเห
ปันอวิ๋นส่งให้เขาชามหนึ่ง ตนเองก็ด้วยทั้งสองคนไม่พูดพล่ามทำเพลง กระดกรวดเดียวจนหมดราวกับว่า สุราที่มาช้าไปหลายปีนี้ ในที่สุดก็ได้ดื่มเสียทีราวกับว่าภาพเด็กน้อยที่แอบขโมยสุราพวกนั้นมาดื่ม ซ้อนทับเข้ามากับพวกเขาในเวลานี้"ช่วงนี้เจ้า ไม่ได้ติดต่อกับพวกเขาเลยหรือ?"หลังจากร่ำสุราลงท้องไปสองชาม จิตใจก็เหมือนจะผ่อนคลายลงมาไม่น้อย ปันอวิ๋นถามขึ้นอย่างสบายๆ เป็นกันเองเฟิงเหยียนฟังออก ว่าเขาถามถึงเหล่าพี่น้องพวกนั้นเขาตอบอืมไปคำหนึ่ง "ไม่ได้ติดต่อกันเลย""เช่นนั้นก็คงไม่รู้สถานการณ์ของพวกเขาเลยสินะ" ปันอวิ๋นเอ่ยขึ้นเฟิงเหยียนไม่ยอมรับหรือปฏิเสธกับสิ่งนี้ ถือว่ายอมรับไปกลายๆปันอวิ๋นยิ้มๆ เหมือนจะเย้ยหยันตนเอง "แต่ก็ไม่โทษพวกเขาที่ไม่ติดต่อเจ้า ด้วยสถานการณ์ของพวกเขาตอนนี้ ก็ไม่มีหน้ามาติดต่อเจ้าจริงๆ นั่นล่ะ"ได้ยินคำนี้ของปันอวิ๋น เฟิงเหยียนก็ไม่พูดอะไรอีกปันอวิ๋นเอ่ยต่อว่า "ซงซีตอนนี้ทุกวันเหมือนขลุกอยู่แต่ในห้องหลอมสกัด หลอมสกัดอยู่ทุกวันไม่ได้พักเลย"เฟิงเหยียนพอได้ยินคำนี้ คิ้วก็ขมวดขึ้นบางๆ"เยี่ยนเหวย...ก็สูบเลือดออกมาทุกวัน อยู่แบบไม่เหมือนผู้เหมือนคน ผู้อาวุโสหวงจ
บางทีคงเป็นเพราะการคุยแบบเปิดอกก่อนหน้านี้ ทำให้ระยะทางขอเพื่อนสนิทสองคนที่เคยห่างไปตามกาลเวลา ย่อหดลงไปไม่น้อยเลยกระมังดังนั้นพอได้ยินปันอวิ๋นบอกว่าไม่ต้องขอบคุณ เฟิงเหยียนจึงเหลือบมองเขา น้ำเสียงเปลี่ยนไป "ก็ได้ เช่นนั้นก็ไม่ขอบคุณแล้วกัน"เฟิงเหยียนสั่งขึ้นมา "ไป ไปเอาสุรามาให้ข้าหน่อย"แม้จะพูดเช่นนี้ แต่ในเสียงกลับไม่ได้ออกคำสั่งอะไร ฟังแล้วเหมือนการใช้งานระหว่างเพื่อนกันมากกว่าปันอวิ๋นชะงักไปเล้กน้อย เพราะตอนพวกเขายังเด็ก ก็เคยใช้งานกันและกันแบบนี้ไป ไปเอาสุรามาหน่อยได้ งั้นเจ้าก็เอาปลาไปย่างซะข้าเห็นว่าเจ้าหน้าตาเหมือนปลาถ้าเจ้ายังพูดอีกรอบ จะโดนข้ากดจนจมถังสุราตายไปเลยเพราะคำพูดนี้ของเฟิงเหยียน ทั้งสองคนก็เหมือนกลับไปสมัยยังเด็กในชั่วพริบตาปันอวิ๋นยกมุมปากขึ้นบางๆ ลุกขึ้นไปให้คนรับใช้ส่งสุราเข้ามาคือสุราห้าพิษที่เขาจะหมักอยู่ทุกปี และใช้แมลงพิษมาหลอมจริงๆ แต่ตัวสุรากลับไม่มีพิษใดๆ กระทั่งยังหอมอบอวลเข้มข้นเป็นพิเศษ เป็นสุราที่หาได้ยากยิ่งและเป็นความลับที่ไม่เผยแพร่สู่ภายนอกของหุบเขาหมื่นพิษ ปกติมีแค่เจ้าหุบเขาที่รู้แต่ปันอวิ๋น หลังจากออกสำนักมา ก็ไม่ได้ด