เหมือนกับตอนในค่ายป้องกันลาดตระเวน ชื่อเสียงของจั๋วซือหราน ใช้การได้เช่นเดียวกับที่ค่ายคุ้มกันยิ่งไปกว่านั้น เทียบกับตอนที่อยู่ในค่ายป้องกันลาดตระเวน อิงเซ่าตอนนั้นที่ไปช่วยใต้เท้าต่งคัง เนื่องจากตั้งตัวได้เร็ว บวกกับอาณาเขตของค่ายป้องกันลาดตระเวณไม่ใหญ่นักดังนั้นสถานการณ์ตอนนั้น จึงควบคุมได้ค่อนข้างทันท่วงทีแต่ค่ายคุ้มกันตอนนั้น เละเทะไปหมดแล้วทว่าภายใต้สถานการณ์นั้น จั๋วซือหรานก็ยังมาได้ทันท่วงที จัดการควบคุมสถานการณ์เอาไว้จุดนี้ ไม่ว่าจะมองอย่างไร เหล่าขุนพาลค่ายคุ้มกัน ก็ล้วนได้รับบุญคุณของจั๋วซือหรานมามีความเชื่อใจและหวังดีกับนางมากขึ้นพอได้ยินชื่อแม่นางจั๋วจิ่วจากปากของแม่ทัพ เหล่าทหารทุกนายก็จ้องมองตาไม่กระพริบเพียงรอแม่ทัพพูดออกมา ว่าแม่นางจิ่วพูดอะไรกันแน่"แม่นางจิ่วเคยบอกกับข้าว่า ฝ่าบาทกับพระสนมเอกอยู่ในค่ายคุ้มกัน ในปัจจุบันนี้ เป็นตัวเลือกที่ปลอดภัยที่สุดแล้ว!"ฉีฮ่าวกดเสียงต่ำ "แม่นางจิ่วนำความปลอดภัยของฝ่าบาทกับพระสนมเอกฝากไว้ที่ค่ายคุ้มกัน เชื่อมั่นในค่ายคุ้มกัน..."พอได้ยินคำนี้ สีหน้าและสายตาของเหล่าทหารก็ยิ่งหนักแน่นขึ้นมาฉีฮ่าวเอ่ยต่อว่า "แต่แ
แต่ว่า ฉีฮ่าวรู้สึกว่า คนอื่นอาจจะไม่ได้แต่คนของค่ายคุ้มกันอย่างพวกเขาทำได้และเป็นไปตามคาด ตอนที่ได้ยินคำพูดเหล่านี้ของฉีฮ่าวเหล่าขุนพลที่ในตายังลังเลก่อนหน้า ก็เหมือนจะวางใจลงมาได้แล้ว"แม่นางจิ่วจะต้องคิดวิธีการออกแน่นอน!""ใช่ แม่นางจิ่วทำได้แน่!"ถ้าหากขุนนางหรือแม่ทัพคนไหนมีชื่อเสียงบารมีขนาดนี้ องค์จักรพรรดิเฒ่าก็คงต้องครั่นคร้ามขึ้นบ้างแต่ว่านี่เป็นหญิงสาวคนหนึ่ง ยิ่งไปกว่านั้นยังช่วยชีวิตเขามาแล้วไม่ว่าอย่างไรเขาก็ครั่นคร้ามขึ้นมาไม่ได้เลยตอนนี้เอง ด้านนอกก็มีทหารเข้ามารายงาน"รายงานขอรับ!"ทหารส่งสารรีบวิงเข้ามาคุกเข่าลงข้างหนึ่ง สีหน้าดูเคร่งขรึม"ฝ่าบาท ท่านแม่ทัพ! ห่างออกไปด้านนอกมีกองทหารม้ามาอีกกองหนึ่ง กำลังตรงมาทางประตูค่ายคุ้มกัน..."เหล่าขุนพลพอได้ยิน สีหน้าก็ปั้นยากขึ้นมา "มาอีกแล้วหรือ? เป็นพวกคนเถื่อนหรือเปล่า?""ไม่ใช่คนเถื่อนขอรับ" ทหารส่งสารตอบมีขุนพลคนหนึ่งหัวเราะเย็นชาขึ้นมา "เช่นนั้นก็น่าจะเป็นกองหนุนของชินอ๋องอวี้นั่นล่ะ"เพราะข่าวนี้ที่ทหารส่งสารนำเข้ามา เหล่าขุนพลที่กว่าจะมีสีหน้าดีขึ้นมาได้ ก็กลับไปมีแรงกดดันอีกครั้งพอเทียบกับคว
เหล่าคนเถื่อนกลุ่มนี้ที่หน้าประตูค่ายคุ้มกัน ไม่ได้รู้สึกเลยแม้แต่น้อย ว่าในกลุ่มคนที่เข้ามาจากที่ไกลๆ เหล่านั้น...หรือก็คือคนที่พวกเขาคิดว่ามาเป็นพวกองครักษ์ชินอ๋องอวี้ที่มาจากเมืองหลวง เหล่าองครักษ์ที่จัดการแก้ไขสถานการณ์ในเมืองหลวง และจัดการจั๋วซือหรานไปแล้วพวกนั้นด้านในมีร่างอรชนเพรียวบางหนึ่งซ่อนอยู่!เข้าใกล้ประตูค่ายคุ้มกันเข้ามาแล้วรองแม่ทัพตึงเครียดขึ้นมา น้ำเสียงดูไม่ค่อยมั่นคงแล้ว เขาเอ่ยถามจั๋วซือหรานเสียงต่อว่า "แม่นางจิ่ว แบบนี้ไหวแน่หรือ?"จั๋วซือหรานเอ่ยเสียงต่ำ "ปัญหาไม่ใหญ่ นี่ ข้าว่าเจ้าคนผิวดำไว้เปียนั่นน่ะ เหมือนจะไม่เลวนักในกลุ่มของพวกเขานะ ที่ยืนอยู่ข้างหน้านั่นน่ะ เอาเขานั่นล่ะ"รองแม่ทัพกลืนน้ำลายเอื๊อก พยักหน้า เขากดเสียงต่ำสั่งออกไป "ทุกคนทั้งหมดเตรียมตัว พอแม่นางจิ่วโจมตี พวกเราทั้งหมดให้หยุดลง รักษาท่าทีระวังภัยไว้!"ทุกคนไม่กล้าส่งเสียงรับคำสั่ง แต่กดเสียงต่ำขานรับทราบออกมาในมือจั๋วซือหรานถือสิ่งดำๆ เล่มหนึ่งไว้ในมือ ทาบลงไปบนบ่าของทหารคนหนึ่งใช้ แผ่นเกราะบ่าของทหารเกราะเบาคนนี้ ช่วยรับแรงกระทกจากเจ้าของสี่ดำนี้ให้จั๋วซือหรานได้พอดีในใจเขาตกต
พวกเขาอยากจะตะโกนโห่ร้อง!อยากจะกู่ก้องความน่าเกรงขามของแม่นางจิ่วแต่ตอนนี้ ล้วนทำได้แค่กลั้นเอาไว้ก่อน มีบางคนกลั้นไว้จนหน้าแดงก่ำแล้วด้วย!ทหาที่แบกปืนให้จั๋วซือหรานก่อนหน้า ก็รู้สึกเจ็บเหมือนบ่าแทบฉีก!แต่เพราะก่อนหน้านี้เขาจ้องเขม็งไปทางฝั่งศัตรู แล้วยังต้องรักษาตัวไม่ให้ขยับ ดังนั้นเขาจึงทำให้ตนเองมีสมาธิอยู่ตลอดดังนั้นคนอื่นอาจจะไม่เห็นขั้นตอนทั้งหมดแต่ว่าเขาเห็นแล้ว ปากกระบอกปืนอยู่บนบ่าเขา หูของเขาได้ยินเสียงทึบเสียงนั้นดังกว่าที่คนอื่นได้ยินอยู่พอควร!จากนั้นเขาก็เห็นกับตา ว่าหัวของคนเภื่อนนั่นระเบิกออกมาราวกับลูกแตงโม!พริบตานั้น เขากระทั่งลืมความเจ็บปวดบนไหลตัวเองไป...เลือดทั้งตัวเหมือนถูกเผาไหม้จนเดือดพล่านขึ้นมาแล้ว!นี่มัน...นี่มันถึงใจสุดๆ!ที่พวกเขารู้สึกถึงใจ ก็ไม่ใช่ไม่มีเหตุผล เพราะพวกเขายิ่งเข้าใกล้ประตูค่ายคุ้มกัน ก็ยิ่งมองเห็นฉากคานประตูหัวมนุษย์ได้ชัดเจนยิ่งขึ้นไม่มีใครที่เห็นฉากแบบนี้ แล้วใจจะยังสงบอยู่ได้ พวกเขาใช้พลังทั้งหมดอดกลั้นความโกรธและความชิงชังเอาไว้ดังนั้น ภายใต้อารมณ์เช่นนี้ พอเห็นแตงโตที่ระเบิดเละนั่น จะไม่รู้สึกสะใจได้อย่างไร!ถึ
รองแม่ทัพใจเย็นลงมาหน่อย เอ่ยขึ้นว่า "แต่ว่า...ถ้าหากห่างกันเกินไป ถ้าเราเล็งพลาดก็จะเสียของเปล่า"จั๋วซือหรานได้ยินคำนี้ ตาก็ยิ้มโค้งขึ้นมา "ไม่เป็นไร รอให้ข้าเริ่มโจมตีพวกเขาก่อน ดึงดูดความสนใจพวกเขาเข้ามา ให้พวกเขาอยู่ในขอบเขตการยิ่งของพวกเขา"รองแม่ทัพฟังน้ำเสียงของแม่นางจั๋วจิ่วแล้ว ก็รู้ว่าสิ่งเหล่านี้ที่ตนเองกังวล แม่นางจิ่วนั้นคิดรับมือเอาไว้เรียบร้อยแล้วร่วมมือกับคนเช่นนี้ หรือก็คือ ฟังคำสั่งของคนเช่นนี้ ถือเป็นเรื่องที่ทำให้ใจสงบได้มากจริงๆจั๋วซือหรานเอ่ยขึ้นเสียงขรึม "อีกสักครู่ พวกเราก็ทำกันแบบนี้..."......เวลาลากมาถึงตอนนี้หัวของคนเถื่อนต่างแดนนั่น ระเบิดเละเป็นแตงโมเน่าภายใต้สายตาของทุกคนขาวๆ แดงๆ สาดกระเซ็นไปโดนตัวคนข้างๆคนเหล่านี้ไม่ใช่คนพวกที่ไม่เคยเห็นคนตาย จึงไม่ถึงกับตกใจอะไรนักแต่ความตายกะทันหันนี้ต่างหาก ที่ทำให้พวกเขาหวาดหวั่นยิ่งไปกว่านั้นในคนเถื่อนเหล่านี้ เห็นได้ชัดว่ามีคนที่มีความสามารถเป็นเอกลักษณ์อยู่ในนี้มีคนที่เบ้าตาลึกคนหนึ่ง ทำปางมือขึ้นอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็หลับตาลงข้างหนึ่ง แล้วเปิดตาขึ้นอีก!ดวงตาของเขา กลายเป็นตาเหลืองอำพันคมก
แต่พอพูดขึ้นมาจริงๆ นางเองก็เป็นพวกที่ชอบลองผิดลองถูกเหมือนกันสำหรับวิชาและความรู้บางส่วนที่อยู่เหนือระบบของวิชาควบคุมสัตว์ของโลกนี้ดังนั้นถึงได้ใช้เวลาช่วงที่ว่า พูดคุยกับซางถิงขึ้นมาจึงลองเอ่ยถามจากปากของซางถิงดู เกี่ยวกับความรู้ที่อยุ่เหนือวิชาควบคุมสัตว์ซางถิงบอกนางว่า ถ้าต้องพูดขึ้นมาจริงๆ อันที่จริงวิชาควบคุมสัตว์ของแดนใต้ ชนะต้าชางไปไกลเลยดังนั้นวิชาควบคุมสัตว์ของตระกูลซางในต้าชางนี้ยังพอถูไถ แต่ถ้าอยู่ที่แดนใต้ล่ะก็ ตระกูลซางของพวกเขาหากคิดจะใช้วิชาควบคุมสัตว์ขึ้นเป็นที่หนึ่งของเมือง เกรงว่าคงจะยากมากจั๋วซือหรานเองก็รู้ได้จากในคำพูดของซางถิง ว่าคนแดนใต้เหล่านั้นน่าจะเพราะพรสวรรค์แตกต่างกัน พรสวรรค์ในด้านควบคุมสัตว์ ดีกว่าคนของต้าชางหน่อยดังนั้นด้วยเหตุนี้ พวกเขาจึงเชี่ยวชาญกว่าในวิชากู่ด้วยเช่นกันเพราะแมลงกู่ถึงแม้จะแยกเฉพาะออกมา แต่ด้วยพื้นฐานดั้งเดิม ก็ยังเป็นพวกสัตว์ประหลาดอยู่จั๋วซือหรานรู้สึกว่า ที่ซางถิงพูดมาก็มีเหตุผลอยู่ซางถิงยังบอกว่า นักควบคุมสัตว์แดนใต้ มีทั้งพวกนักควบคุมสัตว์ มีทั้งพวกที่ค้นคว้าจนเป็นปรมาจารย์กู่ และยังมีพวกที่กลายเป็นนักใช้แมลงด
ซือคงเซี่ยนเพิ่งฟังออก ไม่ว่าจะตัวเลือกไหน นางก็ต้องเอาตัวเองเข้าไปอยู่ในอันตรายอยู่ดี!ซือคงเซี่ยนสูดลมลึก กำลังคิดจะพูดอะไรแต่รองแม่ทัพกับทหารหัวกะทิ ต่างก็เชื่อมั่นในตัวจั๋วซือหรานโดยไม่สงสัย แม้จะฟังออกว่านางจะเอาตัวนางไปอยู่ในอันตรายก็ตามทีแต่พวกเขาไม่ใช่แค่เชื่อมั่นต่อตัวแม่นางจั๋วจิ่วธรรมดา จะบอกว่าหลับหูหลับตาศรัทธาก็ไม่เกินเลยพอได้ยินคำนี้ของจั๋วซือหราน พวกเขาก็ไม่เคยคิดว่าแม่นางจิ่วจะล้มเหลวแค่รู้สึกว่า ถ้าแค่นางพูดถูก ก็จะทำได้แน่นอนดังนั้นรองแม่ทัพจึงไม่ได้กังวลแบบอ๋องเซี่ยน สีหน้าเองก็ยังดูตื่นเต้น เลือดในตัวเดือดพล่านรองแม่ทัพถามขึ้นว่า "แต่ว่าแม่นางจิ่ว... ท่านจะดึงดูดความสนใจพวกคนเถื่อนนั่นอย่างไรล่ะ?"นางได้ยินคำนี้ก็เลิกคิ้ว ยิ้มอย่างสบายใจ "ทำตัวสวยๆ ก็พอแล้วนี่"ทุกคนตะลึงไปสายตาก็อดมองไปยังใบหน้าที่ผ่านการแปลงโฉมมาแล้วของจั๋วซือหรานตอนนี้ เป็นใบหน้าที่องอาจอย่างมากพอทยอยกันมีปฏิกิริยาขึ้นมา จริงสิ คนผู้นี้ไม่ได้มีหน้าตาแบบนี้เสียหน่อยด้วยใบหน้าเดิมของนาง จะบอกว่างามระดับล่มเมืองก็ไม่เกินเลยทำตัวสวยๆ ก็พอแล้วจริงๆมีนางตรงเข้าไปชนก่อน ด้วยใบห
"เจ้าบอกว่าจั๋วจิ่ว?! คือจั๋วจิ่วคนนั้นหรือ?!""คนที่ทำให้ทั้งเมืองหลวงวุ่นวานคนนั้นน่ะนะ? ที่ทำให้ชินอ๋องอวี้ต้องปวดหัว ทำแผนการใหญ่ของเขาไปคนนั้นน่ะนะ?!""ใช่แล้ว ข้าคิดว่า พวกท่านอย่างน้อยก็น่าจะรู้แล้วว่าคนร้ายที่ลงมือกับพวกพ้องของพวกท่านเป็นใคร" รอยยิ้มมุมปากของรองแม่ทัพยังไม่หายไปไหน "และคนร้ายคนนี้ ก็ถูกพวกเราคุมตัวอยู่"ความหมายที่ไม่พูดก็เข้าใจของรองแม่ทัพชัดเจนมาก:ดังนั้นพวกเจ้าก็คิดเอา ว่าเป็นแดนใต้ที่อ่อนแอ หรือว่าต้าชางที่อ่อนแอ?คนเถื่อนนี้แน่นอนว่าต้องฟังออกถึงความนัยในคำพูดนี้สีหน้าก็ปั้นยากกันขึ้นมา!มีคนยังตะโกนขึ้นมา ชักอาวุธออกมา "ให้ตายเถอะ! พวกฝูงสุนัขต้าชาง เจัาพูดอะไรน่ะ?!"รองแม่ทัพทำหน้าเย็นชาไม่พูดจาส่วนคนเถื่อนที่เป็นหัวหน้าคนนั้น ยกมือขึ้น ถือเป็นการห้ามไม่ให้คนอื่นตะโกนสีน้ำเงินบนหนังตาเขา ดูลึกลับประหลาด ยิ่งดูน่ากลัวลึกซึ้งขึ้นเขาไม่ได้แสดงอาการโกรธแค้นเสียอาการเหมือนคนเถื่อนคนอื่น ดูเหมือนในกลุ่มคนเถื่อนที่ยากจะควบคุมนี้ ค่อนข้างจะมีอิทธิพลพอควรถึงอย่างไรเขาพอเขายกมือขึ้น เพียไงม่นานพวกที่ยังตะโกนโห่ร้อง ก็สงบกันลงมาสายตาเขาเย็นชาลึกซึ
แม้จะบอกว่าเป็นความฝัน แต่อันที่จริงจั๋วซือหรานก็ค่อยๆ เข้าใจแล้ว ว่าเพราะอะไรหลังจากฝันถึงเขาครั้งที่แล้วจนมาถึงครั้งนี้ นานมากแล้วที่ไม่ได้ฝันถึงเขาอีกพอมาคิดอย่างละเอียด เหมือนว่าตอนฝันถึงเขาครั้งที่แล้ว จะเป็นหลังจากที่นางมีสัมพันธ์ทางกายกับเขาดังนั้นจั๋วซือหรานจึงค่อยๆ เข้าใจ บางทีน่าจะเป็นเพราะสาเหตุนี้การดูดหยางบำรุงหยินของนางก็ดูดซับมาจนพอเข้าใจแล้ว เหมือนว่าพอดูดซับมาถึงระดับหนึ่ง ก็จะเกิด...ถ้าจะพูดว่าเป็นความฝัน สู้บอกว่าเป็นการสื่อสารทางจิตใต้สำนึกกับความทรงจำของเฟิงเหยียนส่วนที่ถูกผนึกไปจะดีกว่า?และไม่ว่าจะ 'ความฝัน' ครั้งที่แล้ว หรือว่าครั้งนี้ก็มองออกได้ไม่ยากเฟิงเหยียนน่าจะเข้าใจต่อสถานการณ์อยู่ ดังนั้นบางทีจิตใต้สำนึกเขายังคงอยู่มาตลอด เพียงแต่ถูกสมองทื่อๆ นี่กดเอาไว้ หรือบางทีคงถูกสภาผู้อาวุโสลงมือสะกดเอาไว้ไม่แน่ว่า อาจจะต้องมีชนวนเหตุบางอย่าง ถึงจะสามารถปลุกขึ้นมาได้จั๋วซือหรานอยากจะรู้ชนวนเหตุนั้นว่าคืออะไรกันแน่"ต้องทำยังไงเจ้าถึงจะดีขึ้นมา?" จั๋วซือหรานถามแต่เฟิงเหยียนกลับเหมือนจะจำจุดสำคัญนั้นไม่ได้แล้ว ขมวดคิ้ว สีหน้าดูเหมือนขมขื่น เหมือนว
ในห้วงฝันนางมองมือตัวเอง สับสนไปหมดทั้งตัว เหมือนยังตั้งตัวกลับมาไม่ได้เพราะนางถ้าไม่หลับลึก ก็จะเอาจิตใต้สำนึกส่งเข้าไปในมิติ จึงฝันน้อยครั้งมากดังนั้นตอนที่ดำดิ่งสู่ห้วงฝัน นางยังรู้สึกไม่คุ้นอยู่หน่อยๆ มองมือตนเอง รู้สึกไม่คอ่ยเป็นจริงสักเท่าไรวินาทีต่อมา มือข้างหนึ่งก็ทาบมาบนมือของนางมือข้างนั้น ข้อต่อกระดูกชัดเจน นิ้วเรียวยาว เล็บตัดมาดูสะอาดสะอ้าน ผิวหนังขาวซีดเย็นเหมือนไม่โดนแดดมานานสายตาของจั๋วซือหรานจ้องนิ่งอยู่บนมือข้างนี้ จากนั้นจึงค่อยๆ ยกขึ้นมามองไปยังเจ้าของมือนี้ ใบหน้าหล่อเหลาไม่มีที่ตินั่นทั้งที่เป็นใบหน้าที่เพิ่งเห็นไปก่อนหลับตาลงเมื่อครู่แท้ๆ แต่ตอนนี้พอมอง กลับยังคงทำให้นางรู้สึกเหมือนไม่เจอกันเสียนานสายตาของชายหนุ่มอบอุ่น ด้านในมีความรู้สึกอารมณ์เหมือนความเจ็บปวดแฝงอยู่"จั๋วเสียวจิ่ว..." เขาก้มหน้าลงเรียกนางจั๋วซือหรานมองเขา จากนั้นจึงออกแรงบีบมือเขา และน่าจะเพราะออกแรงมากเกินไปปลายเล็บจึงเหมือนจิกลงไปในเนื้อเขาฝันถึงเขาอีกแล้วจั๋วซือหรานมีปฏิกิริยาขึ้นมา ครั้งนี้เหมือนกับครั้งนั้นเลย ฝันถึงเฟิงเหยียนยิ่งไปกว่านั้นยังดูเหมือนจริงเป็นพิ
กลางดึก จั๋วซือหรานกัดริมฝีปาก กอดหมอน เดินเท้าเปล่าจากห้องด้านนอกเข้าไปยังห้องด้านใน!คิ้วงามของนางขมวดแน่น สีหน้าที่มีสีเลือดฟื้นมาบ้างแล้ว ตอนนี้กลับขาวซีดขึ้นมาในใจนางเองก็พูดไม่ออก เดิมทีตอนที่หลับก็ยังดีอยู่ พอกลางดึกจู่ๆ ก็ไม่ไหวขึ้นมาเสียแล้วหน้าอกปั่นป่วนอย่างรุนแรง เป็นความรู้สึกทรมานแบบที่นางผ่านมาก่อนหน้าไม่ผิดเพี้ยนถ้าบอกว่าคนคนนี้ไม่เข้ามาก็ว่าไปอย่าง แต่นี่ก็เข้ามาแล้วว่ากันว่าพอเคยสบายแล้ว จะยากที่จะกลับไปลำบากตอนนี้จะให้นางปล่อยชายหนุ่มที่เหมือนกับ 'ยาบำรุงครรภ์' นี้ไว้ข้างในเฉยๆ โดยไม่ใช้ แล้วต้องมานั่งทนกระอักเลือดต่อล่ะก็...ขอโทษด้วย สกุลจั๋วอย่างนางไม่ใช่คนประเภทนั้นนางเข้าใจแล้ว ก่อนที่จะหลับไปเมื่อคืนนี้ ตอนที่เฟิงเหยียนบอกว่าจะนอนด้านนอก ริมฝีปากที่เม้มแน่นนั้นกำลังอดกลั้นเรื่องอะไรน่าจะคิดไว้แล้วว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้สารเลว!จั๋วซือหรานครั่นเนื้อครั่นตัวตื่นมากลางดึก ต่อให้เป็นคนที่มีสติเยือกเย็นแค่ไหน ก็ยังมีอาการหงุดหงิดงัวเงียหลังตื่นนอนนางเดินเท้าเปล่าเข้าไปห้องด้านใน อากาศในหุบเขาตอนกลางคืนเย็นมากนางสวมแค่เสื้อบางๆ ชุดหนึ่ง ทั้งตัวเย
แต่กลับรู้ตัวตนฐานะผู้ชายทรยศของเฟิงเหยียนได้ ไม่ต้องคิดเลยว่าคงเป็นจั๋วหวายพล่ามออกมาแน่"จั๋วหวายมาบอกเจ้าหรือ?" ปันอวิ๋นถามขึ้นคำหนึ่งจวงอี๋ไห่ พยักหน้าอย่างระมัดระวัง "คุณชายเสี่ยวหวายไม่หลอกข้าหรอก คุณชายเสี่ยวหวายบอกว่าเป็นผู้ชายทรยศ เช่นนั้นกว่าครึ่งก็ต้องเป็นผู้ชายทรยศแล้ว"ปันอวิ๋นถอนหายใจแผ่วเบาในห้อง จั๋วซือหรานนั่งลงข้างโต๊ะเฟิงเหยียนไม่พูดอะไร รินน้ำชาให้นางถ้วยหนึ่งจั๋วซือหรานกำถ้วยไว้ ใช้นิ้วมือลูบไล้ขอบถ้วยเบาๆ"อีกเดี๋ยวพออาหารส่งเข้ามา ก็กินสักหน่อยแล้วค่อยนอนพัก" เฟิงเหยียนเอ่ยขึ้นแต่ในน้ำเสียงแฝงไว้ด้วยความหนักแน่นที่ห้ามปฏิเสธจั๋วซือหรานแหงนตามองเขา กำลังจะบอกว่ายังไม่หิวก็เห็นริมฝีปากบางของชายคนนี้เม้มเบาๆ เอ่ยเสียงต่ำว่า "ข้าไม่มีสิทธิ์จะมาหารือกับเจ้าจริงๆ นั่นล่ะ..." สายตาเขาทอดลงไปที่ท้องน้อยนาง แววตาลึกซึ้งจากนั้นจึงเอ่ยต่อว่า "แต่การจะเตือนให้เจ้ากินอะไรดีดีก็ยังพอมีสิทธิ์อยู่" สายตาเขายกขึ้นมาจากท้องน้อยจั๋วซือหรานเลื่อนมาที่ดวงตานาง จ้องมองดวงตานาง เอ่ยต่อว่า "ถึงอย่างไรเมื่อครู่ก็เพิ่งช่วยเจ้ากลับมา ยิ่งไปกว่นั้นเรื่องถูกพลังศักดิ์สิท
เขาไม่เพียงแต่ไม่ใช่สามีของนาง เขายังเป็นคู่หมั้นในนามของหญิงสาวคนอื่นอีกด้วยสีหน้าของเฟิงเหยียนแข็งทื่อไปแล้ว แต่ท้ายสุดก็ยังพูดอะไรไม่ออกเพราะในคำพูดจั๋วซือหราน ไม่มีส่วนที่ผิดเลยแม้แต่น้อยแม้จะบอกว่าเด็กคนนี้ ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับเขาก็ตามแต่ครั้งก่อนหน้านั้น เป็นเพราะจั๋วซือหรานถูกวางแผนร้ายใส่ ถึงทำให้นางสับสนหลงใหลจนมีสัมพันธ์กับเขาถ้าจะบอกว่า เขาเอาเปรียบหญิงสาวไป ก็ไมไ่ด้พูดเกินเลยนักเอาเปรียบหญิงสาว จนทำนางตั้งท้อง ไม่เคยจะมารับผิดชอบอะไรตอนนี้กลับจะมาชี้มือชี้ไม้เรื่องของนางพอสรุปมาแบบนี้ มันก็ช่าง...แย่มากจริงๆเฟิงเหยียนเองก็รู้ว่าตนเองนั้นแย่มาก พูดอะไรออกมาไม่ได้ไปชั่วขณะปันอวิ๋นรู้สึกกระอักกระอ่วนแทนสหายเก่า เขากระแอมออกมาเบาๆ ทีหนึ่ง ไกล่เกลี่ยขึ้นว่า "เอาล่ะเอาล่ะ..."เขาเองก็ไม่รู้ว่าควรพูดอะไร ถึงอย่างไร ทั้งสองคนตอนนี้จะไม่ได้เป็นคู่รัก แต่ความสัมพันธ์แบบนี้...มันก็ดูคลุมเครือ กลืนไม่เข้าคายไม่ออกอยู่ นี่มันช่าง...ดังนั้นปันอวิ๋นเลยเปิดประเด็นขึ้น อึกอักในปากอยู่พักหนึ่ง กว่าจะพูดออกมาได้ "...พวกเจ้าหิวหรือยัง? ให้เหล่าจวนทำอะไรให้กินหน่อยดีไหม?"
นางยืนเงียบๆ อยู่ตรงนั้น แหงนตาขึ้นมองพวกเขาสายตาของเฟิงเหยียนอึ้งไปเล็กน้อย เห็นนางยืนอยู่ในประตูด้วยสีหน้านิ่งขรึมเขารู้สึกลำคอแห้งผากอย่างประหลาด ความรู้สึกนั้น บางทีควรจะเรียกว่า...ตึงเครียดไหม?"เจ้า...ตื่นขึ้นมาตอนไหนน่ะ?" เฟิงเหยียนถามจั๋วซือหรานมองเขา "ไม่นานเท่าไร"เหมือจะมองออกถึงความกระอักกระอ่วนของเขา หรืออาจจะไม่สรุปคือ มุมปากจั๋วซือหรานยกขึ้นบางๆ พูดมาคำหนึ่ง "ท่านอ๋องน้อย ไม่เจอกันเสียนาน"นางทำแบบนี้โดยไม่เอ่ยถึงคำพูดก่อนหน้านั้นแม้แต่น้อยเฟิงเหยียนอ้าปากพะงาบ ต่อให้คิดจะพูดอะไร แต่ชั่วขณะหนึ่งก็เหมือนจะพูดออกมาไม่ได้จึงแค่ถามขึ้นอย่างเป็นห่วง "ดีขึ้นบ้างหรือยัง?"จั๋วซือหรานพยักหน้า "ดีขึ้นมากแล้ว"กระทั่งปันอวิ๋นก็ยังมองออกถึงเรื่องระหว่างพวกเขา ไม่รู้เพราะเจ้าสมองกลับนี่ไปแตะเนื้อต้องตัวทำอะไรนาง หรือเป็นเพราะคำพูดเมื่อครู่นางได้ยินคำพูดของเฟิงเหยียน...สรุปคือ ปันอวิ๋นมองพวกเขาทั้งสองคน แล้วก็รู้สึกกลืนไม่เข้าคายไม่ออกแทนพวกเขาทั้งสองคนปันอวิ๋นคิดๆ ดู ตอนที่ตนเองอยู่กับจั๋วซือหรานก็ยังไม่ได้กลืนไม่เข้าคายไม่ออกขนาดนี้รู้สึกร้อนใจแทนเจ้าบ้านี่จร
เพราะเป็นเพื่อนสนิท ปันอวิ๋นจึงเข้าใจความหมายที่เขาคิดจะแสดงออกมาหรือก็คือ ปันอวิ๋นเดาได้นานแล้วบางทีตอนนั้นเพื่อจะให้จั๋วซือหรานหลีกเลี่ยงโชคชะตาเช่นนี้ ตนเองจึงเลือกที่จะลืมเลือนแต่สุดท้ายพอวกไปวนมา ก็กลับมาเดินอยู่บนเส้นทางเดิมเจ้าสิ่งที่เรียกว่าโชคชะตานี่ ลึกลับเอามากๆบางครั้งเหมือนจะมีเมตตา แต่บางครั้งก็เหมือนไม่เคยปราณีใครผู้ใด"แล้วเจ้าตอนนี้...คิดจะทำอย่างไร?" ปันอวิ๋นถามเขาจ้องเฟิงเหยียนตาไม่กระพริบเอาจริงๆ ปันอวิ๋นใช้มองจากมุมมองคนนอกอย่างมีเหตุมีผล ยังหวังว่าจั๋วซือหรานจะสามารถปล่อยวางได้แต่พอคิดถึงว่าถ้าหากจั๋วซือหรานปล่อยวางแล้วล่ะก็ ด้วยโชคชะตาภาชนะพลังศักดิ์สิทธิ์หงส์แดงของเฟิงเหยียน ผลสรุปสุดท้าย ก็คือตายก่อนวัยอันควรอยู่ดีและเพราะรู้เรื่องนี้ ดังนั้นปันอวิ๋นจึงหยุดไปครู่หนึ่ง เอ่ยเสริมมาคำนึง "ถังฉือเคยบอกข้าไว้ ในโถงวิญญาณอสูร พวกสัตว์เทพที่ถูกเก็บกลับมาเหล่านั้น..."ปันอวิ๋นขมวดคิ้ว คิดถึงคำพูดของถังฉือถังฉือมีบาปหนาจากการฆ่าฟันคนมากมาย กลายเป็นคนเย็นชาไร้หัวใจไปแล้ว ถ้าหากไม่เย็นชาไร้หัวใจ ป่านนี้คงเป็นบ้าไปแล้วดังนั้นตอนที่เขาพูดถึงเรื่องเห
ปันอวิ๋นส่งให้เขาชามหนึ่ง ตนเองก็ด้วยทั้งสองคนไม่พูดพล่ามทำเพลง กระดกรวดเดียวจนหมดราวกับว่า สุราที่มาช้าไปหลายปีนี้ ในที่สุดก็ได้ดื่มเสียทีราวกับว่าภาพเด็กน้อยที่แอบขโมยสุราพวกนั้นมาดื่ม ซ้อนทับเข้ามากับพวกเขาในเวลานี้"ช่วงนี้เจ้า ไม่ได้ติดต่อกับพวกเขาเลยหรือ?"หลังจากร่ำสุราลงท้องไปสองชาม จิตใจก็เหมือนจะผ่อนคลายลงมาไม่น้อย ปันอวิ๋นถามขึ้นอย่างสบายๆ เป็นกันเองเฟิงเหยียนฟังออก ว่าเขาถามถึงเหล่าพี่น้องพวกนั้นเขาตอบอืมไปคำหนึ่ง "ไม่ได้ติดต่อกันเลย""เช่นนั้นก็คงไม่รู้สถานการณ์ของพวกเขาเลยสินะ" ปันอวิ๋นเอ่ยขึ้นเฟิงเหยียนไม่ยอมรับหรือปฏิเสธกับสิ่งนี้ ถือว่ายอมรับไปกลายๆปันอวิ๋นยิ้มๆ เหมือนจะเย้ยหยันตนเอง "แต่ก็ไม่โทษพวกเขาที่ไม่ติดต่อเจ้า ด้วยสถานการณ์ของพวกเขาตอนนี้ ก็ไม่มีหน้ามาติดต่อเจ้าจริงๆ นั่นล่ะ"ได้ยินคำนี้ของปันอวิ๋น เฟิงเหยียนก็ไม่พูดอะไรอีกปันอวิ๋นเอ่ยต่อว่า "ซงซีตอนนี้ทุกวันเหมือนขลุกอยู่แต่ในห้องหลอมสกัด หลอมสกัดอยู่ทุกวันไม่ได้พักเลย"เฟิงเหยียนพอได้ยินคำนี้ คิ้วก็ขมวดขึ้นบางๆ"เยี่ยนเหวย...ก็สูบเลือดออกมาทุกวัน อยู่แบบไม่เหมือนผู้เหมือนคน ผู้อาวุโสหวงจ
บางทีคงเป็นเพราะการคุยแบบเปิดอกก่อนหน้านี้ ทำให้ระยะทางขอเพื่อนสนิทสองคนที่เคยห่างไปตามกาลเวลา ย่อหดลงไปไม่น้อยเลยกระมังดังนั้นพอได้ยินปันอวิ๋นบอกว่าไม่ต้องขอบคุณ เฟิงเหยียนจึงเหลือบมองเขา น้ำเสียงเปลี่ยนไป "ก็ได้ เช่นนั้นก็ไม่ขอบคุณแล้วกัน"เฟิงเหยียนสั่งขึ้นมา "ไป ไปเอาสุรามาให้ข้าหน่อย"แม้จะพูดเช่นนี้ แต่ในเสียงกลับไม่ได้ออกคำสั่งอะไร ฟังแล้วเหมือนการใช้งานระหว่างเพื่อนกันมากกว่าปันอวิ๋นชะงักไปเล้กน้อย เพราะตอนพวกเขายังเด็ก ก็เคยใช้งานกันและกันแบบนี้ไป ไปเอาสุรามาหน่อยได้ งั้นเจ้าก็เอาปลาไปย่างซะข้าเห็นว่าเจ้าหน้าตาเหมือนปลาถ้าเจ้ายังพูดอีกรอบ จะโดนข้ากดจนจมถังสุราตายไปเลยเพราะคำพูดนี้ของเฟิงเหยียน ทั้งสองคนก็เหมือนกลับไปสมัยยังเด็กในชั่วพริบตาปันอวิ๋นยกมุมปากขึ้นบางๆ ลุกขึ้นไปให้คนรับใช้ส่งสุราเข้ามาคือสุราห้าพิษที่เขาจะหมักอยู่ทุกปี และใช้แมลงพิษมาหลอมจริงๆ แต่ตัวสุรากลับไม่มีพิษใดๆ กระทั่งยังหอมอบอวลเข้มข้นเป็นพิเศษ เป็นสุราที่หาได้ยากยิ่งและเป็นความลับที่ไม่เผยแพร่สู่ภายนอกของหุบเขาหมื่นพิษ ปกติมีแค่เจ้าหุบเขาที่รู้แต่ปันอวิ๋น หลังจากออกสำนักมา ก็ไม่ได้ด