แชร์

บทที่ 750

ผู้เขียน: หูเทียนเสี่ยว
เฟิงหร่านตาเป็นประกาย แต่เวลานี้ จั๋วซือหรานก็ลังเลขึ้นมาแล้ว "เดี๋ยวก่อน"

"อื๋อ?" เฟิงหร่านมองนาง จากนั้นจึงเห็นรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ในตานาง

"อย่าพูดให้มันง่ายนัก" จั๋วซือหรานยิ้ม "โดยเฉพาะตอนอยู่ต่อหน้าพี่ชายเจ้า..."

จั๋วซือหรานลากเสียงยาวครุ่นคิด จากนั้นจึงเอ่ยขึ้นว่า "เจ้าแค่บอกเขาว่า ข้าถูกรังแก สู้คนอื่นเขาไม่ได้ ไม่มีพลังไม่มีขั้วอำนาจหนุนหลัง เจ็บตัวขึ้นมาแล้ว"

เฟิงหร่านฟังแล้วงงงัน "ท่านถูก...ถูกรังแก? สู้...สู้ไม่ไหว?"

จั๋วซือหรานยิ้มตาหยีพยักหน้า "อืม เจ้าพูดแบบนี้ไปก็พอ"

"แต่ว่า..." เฟิงหร่านยังคงลังเล หลักๆ รู้สึกว่าพี่ชายก็ไม่ใช่คนโง่นะ จะมาติดกับง่ายๆ ได้อย่างไรกัน

จั๋วซือหรานยิ้มแล้วพูดขึ้นมา "เจ้าทำตามที่ข้าพูดก็พอ พี่ชายเจ้าดีใจแน่"

"ดีใจ?" เฟิงหร่านยังไม่ค่อยเข้าใจ

จั๋วซือหรานเองก็ไม่ได้อธิบายกับนางมากนัก

อันที่จริงจั๋วซือหรานต่อมาก็เคยคิด ถึงความสัมพันธ์ระหว่างตนเองกับเฟิงเหยียน

พิจารณาจากสถานการณ์ที่ตระกูลเฟิงระแวดระวัง อันที่จริงคือกลัวว่านางกับเฟิงเหยียนพออยู่ด้วยกัน จะมาขโมยพลังตระกูลเฟิงของพวกเขาไป

อันที่จริงตระกูลเฟิงก็ไม่ได้เกลียดชังในตัวจั๋วซือหรานอยู
บทที่ถูกล็อก
อ่านต่อที่ GoodNovel
สแกนรหัสเพื่อดาวน์โหลดแอป

บทที่เกี่ยวข้อง

  • ยอดหญิงแกร่งของเฟิงอ๋อง   บทที่ 751

    เฟิงเหยียนอันที่จริงเข้าใจอย่างชัดเจน พลังที่แท้จริงของจั๋วซือหรานแข็งแกร่งมาก คุณสมบัติร่างกายเองก็ไม่ใช่เรื่องล้อเล่นบาดแผลทั่วไปสำหรับนางแล้ว เพียงไม่นานก็จะสมานคืนแต่ต่อให้ในใจชัดเจนแค่ไหน พริบตาที่ได้ยินเฟิงหร่านบอกว่านางบาดเจ็บคิ้วของเฟิงเหยียนก็ขมวดแน่นขึ้นมา ดวงตาเปลี่ยนเป็นสีเข้มดูหนักแน่น"บาดเจ็บตรงไหน? หนักหนามั๊ย?" เฟิงเหยียนถามเสียงขรึมแต่ว่าสีหน้าของเฟิงหร่านก็เปลี่ยนเป็นไม่สบายใจขึ้นมานางเม้มริมฝีปาก ในใจแอบคิด แล้วนี่ต้องพูดอย่างไรล่ะ...เฟิงหร่านนิ่งงันไปครู่หนึ่งจึงเอ่ยขึ้น "ก็...ตรงนี้ตรงนั้น"เฟิงเหยียนหลังจากได้ยินคำนี้ จึงสังเกตเห็นสีหน้าไม่สบายใจของเฟิงหร่านขึ้นมาเขาขมวดคิ้วแน่นขึ้นไปอีกเพียงไม่นานก็มีปฏิกิริยากลับมา เฟิงหร่านกำลังพูดโกหกแต่พอลองคิด เฟิงหร่านทำไมต้องพูดโกหก? ใครให้เฟิงหร่านโกหกกัน?เพียงไม่นาน สองเส้นคำถาม ก็จูงไปหาคำตอบที่ชัดเจนคำตอบหนึ่งคิ้วที่ขมวดแน่นของเฟิงเหยียนคลายลงมาแล้ว เลิกคิ้วขึ้น "โอ๋? ถ้างั้น นางยังพูดอะไรอีกไหม?"เฟิงหร่านคิดถึงคำพูดของพี่จั๋ว กัดฟันพูดต่อว่า "นางยังบอกว่า..."เฟิงหร่านมองพี่ชายอย่างจนใจ ตัด

  • ยอดหญิงแกร่งของเฟิงอ๋อง   บทที่ 752

    "ถ้าอย่างนั้นข้าขอกินก่อนละ หิวแล้ว" จั๋วซือหรานยกบะหมี่รวมมิตรออกมาชามหนึ่งกลิ่นหอมนั่นลอยเข้ามาในจมูกซางถิงทันที ลูกกระเดือกเขากลิ้งไหล หิว...ขึ้นมาทันทีเขาพูดขึ้นเสียงต่ "ก็ไม่ใช่ขนาดนั้นทั้งหมดหรอก"จั๋วซือหรานเองก็เหลือบตามองเขา แต่ก็ไม่ได้ขี้งก แบ่งให้เขาชามหนึ่งดังนั้นเพียงไม่นาน ซางถิงเดิมทีที่คิดจะพูดคุยอย่างจริงจังกับนาง ก็จริงจังขึ้นมาไม่ได้ในชั่วพลันเสียแล้วทั้งสองคนสูดบะหมี่ไปด้วย คุยกันไปด้วย แล้วมันจะจริงจังไปได้แค่ไหนกันดังนั้นถึงได้มีการเจรจจาบนโต๊ะอาหารโต๊ะสุราน่ะสิ ก็แค่ให้มีอารมณ์ผ่อนคลายลงมาหน่อย เหตุผลแค่นี้แหละดังนั้นลักษณะของบทสนทนา จึงเบาลงมาแทบจะในทันทีจั๋วซือหรานสูดบะหมี่ไปด้วย คุยไปด้วย "ข้าพาเจ้ากลับมามันจะเพราะอะไรได้ จะให้ข้าชำแหละเจ้าไปชั่งโลขายเหรอ พวกค้ามนุษย์มันก็แค่ปลาซิวปลาสร้อย ไม่ใช่ข้าจั๋วซือหรานหรอกนะ"ซางถิงมองนาง "แล้วมันเพราะอะไรล่ะ?""คนอย่างข้าไม่ชอบติดค้างน้ำใจใคร" จั๋วซือหรานเอ่ยขึ้น "ตาหลักแล้วเจ้าไม่ควรต้องถูกเปิดเผยตัวตน ขนาดถูกตระกูลซางตัดหางปล่อยวัดแล้ว ซ้ำยังหนีการไล่ล่ามาเรียบร้อย เดิมทีไม่ควรมาถูกตระกูลซางเพ่งเล็ง

  • ยอดหญิงแกร่งของเฟิงอ๋อง   บทที่ 753

    คำพูดนี้ของซางถิงลอดออกมาจากไรฟัน มีอาการขบเขี้ยวเคี้ยวฟันอยู่ด้วยแต่จั๋วซือหรานก็เหมือนฟังไม่ออก และยังเหมือนฟังออกแต่ไม่ได้สนอกสนใจด้วยบนหน้านางมีรอยยิ้ม เอ่ยขึ้นว่า "ไม่ดีหรือ? ไม่ใช่ว่าดีกว่าต้องทำตัวหลบๆ ซ่อนๆ อดมื้อกินมื้อหนีเอาตัวรอดอย่างยากลำบากหรอกหรือ?"ซางถิงได้ยินคำพูดนี้ก็ตกตะลึงไป ที่ประหลาดก็คือ ก่อนหน้านี้ยังมีอาการขบเขี้ยวเคี้ยวฟันอยู่แต่ตอนนี้กลับเหมือนเข้าใจขึ้นมา ราวกับว่าอารมณ์ก่อนหน้านี้ สลายหายไปแทบจะในทันทีจั๋วซือหรานกินบะหมี่เสร็จก็โบกไม้โบกมือ "ง่วงแล้ว ข้ากลับห้องไปพักผ่อนแล้วนะ เจ้าเองก็พักผ่อนไวหน่อยเถอะ ข้าทางนี้ถึงจะไม่ได้ดูหรูหรานัก แต่ว่าก็ไม่ต้องกังวลมาก พักอย่างสบายใจเถอะ"ซางถิงพยักหน้า มองแผ่นหลังจั๋วซือหรานจากไป เขาทนไม่ไหว ร้องเรียกขึ้นมาคำหนึ่ง "เอ๊ เดี๋ยว...จั๋วจิ่ว""อื๋อ?" จั๋วซือหรานหยุดเท้ามองมาทางเขา"มีเรื่องอะไรที่ข้าทำได้ไหม?" ซางถิงยกมือขึ้นเกาหัว "ข้า ข้าคงจะอยู่เปล่าๆ ไม่ได้หรอก"จั๋วซือหรานคิดๆ "ก็ไม่ใช่ว่าไม่มีนะ เอาอย่างนี้...เจ้าไปจับแมงมุมกลับมาหน่อย?""แมงมุมอะไร?" ซางถิงรู้สึกว่า ความคิดของจั๋วซือหรานนี่เดายากจริ

  • ยอดหญิงแกร่งของเฟิงอ๋อง   บทที่ 754

    เช้าวันถัดมาคนของตระกูลซางรีบเข้ามาหาคนที่มาดูแล้วเป็นคนที่มาอายุหน่อย คิดว่าในตระกูลซาง ตัวตนฐานะคงไม่ได้ต่ำมากเพียงแต่ว่า พวกเขาพอมาถึงประตู ก็ถูกชายหนุ่มร่างใหญ๋คนหนึ่งขวางไว้ที่ประตู"แม่นางจิ่วยังไม่ตื่น" เฮยหลิงเอ่ยเสียงขรึมเขาอยู่ที่นี่ แมจะไม่ใช่ข้าทาสคนรับใช้ของจั๋วซือหราน แต่ก็ยอมออกแรงทำเรื่องที่ทำได้เพื่อนางในจวนของนางเองก็ไม่ได้หาคนใช้มามากเท่าไรนัก เฮยหลิงได้ยินมาจากเฉวียนคุน เพราะนางไม่ชอบข้าทาส ดังนั้นจึงไม่หาคนใช้ในบ้านจุดนี้สะกิดใจเฮยหลิงมาก เพราะเขาเป็นทาสเนื่องจากขายร่างกาย...ถึงได้ติดอยู่ในลานทดสอบนานสองนานและเฉวียนคุนก็ไม่ใช่ว่าสู้ไม่ได้ แต่ถ้าหากมีคนบุกเข้ามาจริง ก็ยังค่อนข้างเสียเปรียบ ดังนั้นเฮยหลิงจึงคอยสอนวิชายุทธ์ให้กับเฉวียนคุนและเด็กฉลาด เผื่อไว้คอยเป็นคนเฝ้าประตูเหล่าผู้อาวุโสตระกูลซางที่หน้าประตู สีหน้าปั้นยากขึ้นมา"นางจับลูกหลานตระกูลข้าไว้! พวกเรายังต้องรอให้นางตื่นนอนอีกหรือ?!""อืม" เฮยหลิงพยักหน้า ตอบคำพูดของพวกเขาอย่างหนักแน่นเหล่าผู้อาวุโสตระกูลซางดวงตาแทบจะถลนออกมาแล้ว "เจ้าพูดว่า...อะไรนะ?"เฮยหลิงคิดๆ เอ่ยตอบเสียงขรึม "เป

  • ยอดหญิงแกร่งของเฟิงอ๋อง   บทที่ 755

    จั๋วซือหรานตอนที่พูดคำนี้ ไม่ได้ดูดุร้ายเลย น้ำเสียงราบเรียบ ยิ่งไปกว่านั้นเพราะเพิ่งตื่นได้ไม่นาน ดังนั้นเสียงจึงยังงัวเงียอยู่แต่เนื้อหาในประโยคนี้ ไม่ได้อ่อนโยนเอาเสียเลย!คนของตระกูลซาง มีหลายคนที่ไม่เคยเห็นจั๋วซือหรานถึงอย่างไรก็ไม่ใช่ยุคปัจจุบัน ที่จะมีรูปภาพอะไรแบบนั้นหลักๆ คือเคยเห็นแล้วก็เห็นไป ที่ไม่เคยเห็น ก็แค่ฟังจากที่คนอื่นพูดขึ้นมาว่าคนผู้นี้หน้าตาเป็นอย่างไรในสมองไม่มีอะไรที่มันชัดเจนนักคนไม่น้อยของตระกูลซาง ก็แค่เคยได้ยินว่าจั๋วซือหรานหญิงสาวที่ตระกูลจั๋วทอดทิ้ง แต่ยังไม่รู้ว่าความสามารถของนางเป็นอย่างไรแต่ว่านางก็มีหน้าตาที่งดงามจริงๆพวกเขาเดิมทียังคิดว่าคำนี้น่าจะเกินจริงไปหน่อย แต่ตอนนี้พอได้เห็นจั๋วซือหรานกับตาจึงได้รู้ว่าอะไรคือคำพูดไม่เกินจริงน่าจะเพราะหญิงสาวตรงหน้านี้งดงามจนดูไม่เหมือนจริง...กระทั่งว่าผู้อาวุโสตระกูลซางยังถามขึ้นอย่างไม่ค่อยเชื่อ "เจ้าคือจั๋วซือหรานหรือ?"จั๋วซือหรานกวาดตามองพวกเขา เอ่ยต่อว่า "เข้ามาก่อนสิ"จากนั้นก็หมุนตัวเดินเข้าไปด้านใน เดินไปสองก้าวก็หยุดเท้าลงนางหยุดเท้า คนของตระกูลซางก็หวาดหวั่นขึ้นมาอย่างประหลาด

  • ยอดหญิงแกร่งของเฟิงอ๋อง   บทที่ 756

    เสียงของจั๋วซือหรานยังคงเย็นชา "เพราะขยะกองหนึ่งของตระกูลพวกเจ้า เข้ามาหาเรื่องข้าก่อน จากนั้นก็ถูกข้าจับเป็นเชลย เข้าใจหรือยัง? พวกเจ้าน่าจะฟังออกว่าเชลยมันหมายความว่าอะไร?""หรือว่าพวกเจ้าคิดว่า เพราะพวกเจ้าเป็นตระกูลซาง จั๋วซือหรานอย่างข้าถึงต้องให้หน้าพวกเจ้า? ปล่อยคนออกไปดีดี? พวกเจ้าหน้าด้านกันมาจากไหน?"จั๋วซือหรานจ้องพวกเขา "ตระกูลเฟิงยังไม่กล้าพูดจาใหญ่โตขนาดนี้เลย แต่พวกเจ้านี่ปากกล้าไม่เบา"สีหน้าชายชราตระกูลซางสองคนปั้นยากเหมือนกินแมลงวันเข้าไป ตอนนี้กลับนิ่งเงียบเป็นเป่าสาก ไม่มีใครกล้าโต้แย้งกลับมา"พวกเจ้ามาไถ่คนคืน" จั๋วซือหรานมองพวกเขา "เข้าใจไหม?"ไม่มีใครส่งเสียงจั๋วซือหรานเองก็ไม่สนใจว่าพวกเขาจะส่งเสียงหรือไม่ พวกตระกูลขุนนางเหล่านี้มันหยิ่งจองหองจนจะทะลุฟ้าไปแล้ว ถ้าไม่สะกดความหยิ่งพวกเขาไว้บ้าง ตอนคุยกันคงน่ารำคาญน่าดูจั๋วซือหรานพูดต่อ "ข้าไม่ให้พวกเข้าคุกเข่าลงโขกศีรษะไถ่คนคืนก็ดีแค่ไหนแล้ว พวกเจ้ายังมาทำตัวเหนือกว่าคนอื่นที่นี่อีกหรือ?ทำไม? ให้ข้ากระชากกระดูกสันหลังของซางเชวี่ยออกมาแกว่งตรงหน้าพวกเจ้าไหม พวกเจ้าถึงจะได้รู้ว่าข้าไม่ได้เล่นกับพวกเจ้า?"อ

  • ยอดหญิงแกร่งของเฟิงอ๋อง   บทที่ 757

    เหล่าชายชราตระกูลซางเองก็คิดไม่ถึง จั๋วซือหรานจะเอ่ยปากเพื่อซางถิงแบบนี้พวกเขามองซางถิง แล้วก็มองนางจากนั้นก็มีสายตาหยามหมิ่นเผยออกมาราวกับว่าจั๋วซือหรานกับซางถิงคบกันอย่างนั้น และพวกเขาก็รู้สึกว่าไม่แปลกอะไร เพราะล้วนเป็นพวกที่ตระกูลทอดทิ้งมาทั้งคู่ จึงต่างเห็นอกเห็นใจกันการจะมาอยู่ด้วยกันมันก็เป็นเรื่องปกติจั๋วซือหรานสังเกตในสายตาสกปรกของพวกเขา ไม่ใช่ว่าอ่านไม่ออกถึงความคิดในใจพวกเขาเพียงแต่ นางขี้เกียจจะอธิบายถ้าหากสนใจความคิดของคนพวกนี้ รีบร้อนอธิบายกับคนพวกนี้ เช่นนั้นตนเองก็จบ เสียสองชาติไปเปล่าๆ กันพอดีจั๋วซือหรานแค่มองพวกเขาเงียบๆ ยิ่งสายตาของนางยิ่งสงบลงแค่ไหน สายตาที่เต็มไปด้วยความดูถูกและสงสัยของพวกเขา ก็ยิ่งดูสกปรกมากขึ้น"คิดไม่ถึงว่าเจ้าจะร้องขอเช่นนี้มา" ชายชราตระกูลซางคนหนึ่งเอ่ยขึ้น "โอกาสดีเช่นนี้ กลับไม่ขออะไรให้ตนเอง แต่กลับขอเพื่อชายหนุ่ม...มิน่าตระกูลเฟิงถึงได้ดูถูกเจ้า"จั๋วซือหรานไม่ได้ยอมรับหรือปฏิเสธ เลิกคิ้วขึ้น กระทั่งยังยิ้มจางๆ เอ่ยมาว่า "ไม่มีใครถามเจ้า พวกเจ้าแค่ตอบว่าได้หรือไม่ได้"ขณะพูด นิ้วของจั๋วซือหรานก็กระดิกซางเชวี่ยกรีดร้องข

  • ยอดหญิงแกร่งของเฟิงอ๋อง   บทที่ 758

    แต่ว่าสสีหน้าจั๋วซือหรานยังคงนิ่งอยู่"ท่าทางของพวกเจ้า เหมือนว่าข้าไปหาเรื่องพวกเจ้าเสียอย่างนั้น"จั๋วซือหรานมองพวกเขา "พวกเจ้าไม่คิดว่ามันตลกหรือ? เป็นพวกเจ้าที่พาคนมาล้อมข้าไว้ ละโมบต่อความสามารถของข้า แล้วยังคิดจะป้ายสีว่าข้าไปขโมยความสามารถของตระกูลพวกเจ้ามา""ก็แค่ขยะกองหนึ่ง ทำไมข้าจะต้องไปขโมยความสามารถตระกูลพวกเจ้าด้วย? ตอนที่พวกเจ้าพาคนมาข่มเหงคนอื่น พวกเจ้าไม่คิดบ้างว่าการทำเรื่องร้ายๆ นั่นมันผิด""ตอนนี้พอโดนข้าโต้ สถานการณ์กลับตาลปัตร พวกเจ้าก็คิดว่าข้าหาเรื่องพวกเจ้า รู้สึกว่าพวกเจ้าไม่ได้รับความเป็นธรรมอย่างนั้นหรือ?""นี่มันสองมาตรฐานอะไรกัน? พวกเจ้าแท้ๆ ที่มายั่วโมโหข้า พอสู้ไม่ได้ ก็เริ่มทำว่าตัวเองอ่อนแอ คิดจะหันมาโทษข้าอย่างนั้นหรือ?"จั๋วซือหรานพูดพลางหัวเราะขึ้นเบาๆ "ข้าไม่สนใจหรอก ก่อนหน้านี้ข้าพูดไว้แล้ว ว่าจั๋วซือหรานอย่างข้าศัตรูเยอะ จะมีพวกเจ้าเพิ่มมา ก็ไม่ได้แตกต่างกันเท่าไร""พวกเจ้าคิดจะหาเรื่องข้า ก็ได้ ถ้าข้าจะเด็ดหัวลูกหลานที่น่าภาคภูมิใจของพวกเจ้าสักคน ก็คงไม่ผิดอะไร"คำพูดของจั๋วซือหราน ทำให้พวกเขาหาคำมาโต้แย้งไม่ได้ไปชั่วขณะอันที่จริง ถ้าห

บทล่าสุด

  • ยอดหญิงแกร่งของเฟิงอ๋อง   บทที่ 1114

    ตอนที่ลุกขึ้นยืนก็มีข้อสรุปขึ้นมา "วิชาของสำนักเมฆาวารีหรือ"จั๋วซือหรานพอได้ยินก็เลิกคิ้ว ยิ้มตาโค้ง "ดูเหมือนเจ้าจะเป็นวิชาหุ่นเชิดสินะ!"ปันอวิ๋นเอียงตาเหล่มองนาง "ที่เจ้าจงใจวางไว้แบบนี้ ไม่ใช่เพื่อจะดทสอบว่าข้าเป็นจริงหรือเปล่าไม่ใช่เรอะ"จั๋วซือหรานก็มีความหมายนี้อยู่จริงๆ ตอนนี้ถูกปันอวิ๋นจี้เข้ามา นางก็ไม่มีอะไรต้องรู้สึกผิดนางหัวเราะเอ่ยขึ้นว่า "ถ้าเจ้าไม่เป็น พวกเราก็ไม่มีความจำเป็นต้องมาเสียเวลาบนวิชาหุ่นเชิดอีก"แต่ในเมื่อปันอวิ๋นเป็น...จั๋วซือหรานถามขึ้น "ทำไมถึงมองออกว่าเป็นวิชาของสำนักเมฆาวารี? ข้าดึงตะปูวิญญาณกับห่วงวิญญาณทิ้งไปแล้ว...""ง่ายมาก" ปันอวิ๋นยกมุมปาก รอยยิ้มดูแล้วมีความประชดประชันอยู่ แต่ก็ไม่ได้เพ่งเป้ามาทางจั๋วซือหรานบนความรู้สึก ดูคล้ายจะเพ่งไปทางสำนักเมฆาวารีมากกว่าปันอวิ๋นเอ่ยต่อว่า "มีแค่สำนักเมฆาวารีที่เท่านั้นจะทำได้ระดับต่ำแบบนี้ อักขระคำสาปบนตัวก็ขาดความสมบูรณ์แบบ แต่ว่านี่็เป็นลักษณะของทางสำนักเมฆาวารี พวกเขาชอบเน้นไปที่พลานุภาพของหุ่นเชิดความมืด รู้สึกแค่ว่า ถ้าให้คนอื่นมองปราดเดียวแล้วรู้ว่าเป็นหุ่นเชิดความมืด ก็สามารถข่มขู่ฝ่ายตรง

  • ยอดหญิงแกร่งของเฟิงอ๋อง   บทที่ 1113

    ในใจเหมือนมีเสียงที่กำลังกู่ก้องขึ้นอย่างไร้ซุ่มเสียงแต่หลังจากที่ในใจกู่ก้องออกมาอย่างไร้ซุ่มเสียงแล้ว ตัวเขาเองก็ตกตะลึงไปทำไมในใจถึงได้มีเสียงเช่นนี้ ทั้งที่ควรจะไม่มีความรักกับความรู้สึกใดแล้วแท้ๆแต่ตอนนี้ความรู้สึกในใจมันเหมือนกับไม่ได้เป็นเช่นนั้นแล้วเจิ้นเจียงยังคงตักอาหารให้เขา แต่เขากลับกินอย่างไม่รู้รส กลืนลงไปอย่างยากลำบากส่วนอีกด้าน จั๋วซือหรานเดินมาถึงเรือนหลังโรงเตี๊ยมแล้วร่างสูงใหญ่ของปันอวิ๋น ยังคงตามอยู่ด้านหลังนางหลังจากมาถึงเรือนหลังโรงเตี๊ยม แม้ทั้งสองคนดูแล้ว ระยะห่างเหมือนจะไม่แตกต่างอะไรก่อนหน้าแต่อันที่จริงในพริบตานี้ ระหว่างทั้งสองคนก็เหมือนมีความห่างเหินกันขึ้นมาจั๋วซือหรานหมุนตัวไปทางปันอวิ๋น ขณะที่หมุนตัวหันไป เธอก็ถอยหลังออกมาครึ่งก้าวแค่ระยะห่างสั้นๆ เพียงครึ่งก้าวเท่านั้น กลับเหมือนดึงกว้างห่างออกมาเท่ากับทางช้างเผือกปันอวิ๋นสังเกตถึงความห่างเหินที่นางจู่ๆ ก็ดึงออกมาแล้ว เขาเอ่ยขึ้นเสียงเรียบว่า "ช แม่นางจั๋วนี่ใช้งานเสร็จก็โยนทิ้งกันเสียแล้ว...ิ"ในเสียงของจั๋วซือหรานมีรอยยิ้มจางๆ "เจ้าหุบเขาปันพูดแล้วมัน...ข้าไปใช้ประโยชน์อะไรจากเ

  • ยอดหญิงแกร่งของเฟิงอ๋อง   บทที่ 1112

    คิ้วของปันอวิ๋นขมวดเบาๆ แหงนตาสบมองนาง "เจ้ไาปสัมผัสกับสิ่งเย็นมืดอะไรมา?""อื๋อ?" จั๋วซือหรานตอนนี้ก็งงงันไปหน่อยๆ นางคิดไม่ถึงว่า ปันอวิ๋นจะจับออกมาได้จริงๆนางยิ้มโบกไม้โบกมือ ตอบว่า "ไม่มีอะไร ก็แค่ชิงหุ่นเชิดความมืดมาตัวหนึ่ง คิดจะค้นคว้าดูเล่นๆ ปราณหยินเข้าสู่ร่างกายเสียแล้วหรือ? ไม่เป็นไร ไม่กี่วันก็สลายหมดแล้ว"พอได้ยินนางพูดเช่นนี้ ปันอวิ๋นก็จ้องนาง ครู่ต่อมา ในน้ำเสียงก็เหมือนมีความจนใจหรือไม่ก็อารมณ์อะไรสักอย่างอยู่ ถอนใจเอ่ยขึ้นว่า "เจ้านี่มัน...อะไรก็กล้าแย่งมา กล้าเอามาเล่นทั้งหมดเลยจริงๆ"จั๋วซือหรานได้ยินคำนี้ ก็ฟังออกถึงความหมายของเขา นางตอนนั้นกระทั่งกู่ของเขาก็ยังแย่งมา ตอนนี้ยังแย่งหุ่นเชิดความมืดของคนอื่นมาอีกจั๋วซือหรานคิดๆ ถามขึ้นว่า "จริงด้วย เจ้าไม่ใช่คนพรมแดนใต้หรือ? เคยค้นควัาวิชาหุ่นเชิดบ้างไหม?""รู้นิดหน่อย ทำไมหรือ?" ปันอวิ๋นมองนาง ถามขึ้นว่า "อยากให้ข้าสอนหรือ?"เขายิ้มขึ้นมา ในสายตามีปราณชั่วร้ายขึ้นมา "ก็ได้นะ ข้าจะสอนเจ้า เจ้าหมั้นกับข้าสิ ก่อนหน้านี้ไม่ใช่พูดไว้แล้วหรือ..."จั๋วซือหรานพอได้ยินคำนี้ ถ้าตามนิสัยของนาง น่าจะคงตอบกลับคำพูดนี้ทัน

  • ยอดหญิงแกร่งของเฟิงอ๋อง   บทที่ 1111

    "คุณหนูของเจ้าล่ะ อยู่ที่ไหน?"พอได้ยินคำนี้ของเขา เจิ้นเจียงก็มีปฏิกิริยาขึ้นมาเจิ้นเจียงคิดอยู่นานถึงคำเรียกตัวเขา จึงเอ่ยขึ้นอย่างนอบน้อมว่า "เจ้าหุบเขาปัน คุณหนูของข้ายังไม่ได้แต่งงาน ท่านอย่าได้พูดจาส่งเดชเลย มันจะเสียหายไปถึงชื่อเสียงคุณหนูข้า"เจิ้นเจียงอันที่จริงก็สั่นเทาหน่อยๆ ถึงอย่างไรก็สามารถเดาได้ว่าคนตรงหน้าคนนี้เป็นบุคคลที่ร้ายกาจแค่ไหนแต่ในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับคุณหนู เจิ้นเจียงก็ไม่มีลังเลแม้แต่น้อย พูดออกมาอย่างตรงไปตรงมาทันทีและพอได้ยินคำนี้ของเจิ้นเจียง ปันอวิ๋นก็เหมือนจะโกรธแล้วคิ้วยาวเลิกขึ้น ดวงตาเรียวยาวคู่นั้น เหมือนยกหางตาขึ้นบางๆ "เจ้าไม่เชื่อหรือ? อย่าไม่เชื่อเลย คุณหนูของเจ้าตกลงกับข้าไปนานแล้วว่าจะแต่งงานกับข้า"เจิ้นเจียงตกตะลึงขึ้นมา เรื่องนี้ เขาไม่เคยรู้มาก่อน แต่เขาเองก็จะปฏิเสธว่าเรื่องนี้ไม่มีทางเกิดขึ้นไม่ได้ เพราะเขาเองก็ไม่รู้ดังนั้นจึงทำได้แค่นิ่งเงียบเพียงแต่ไม่รู้ว่าเข้าใจผิดหรือเปล่า เจิ้นเจียงรู้สึกหนาวหน่อยๆ...เหมือนรอบตัวมีลมเย็นที่พัดออกมาจากถ้ำน้ำแข็งอะไรแบบนั้นเจิ้นเจียงยังไม่ทันมีปฏิกิริยาว่าปราณเย็นพัดมาจากไหนก็ได้ย

  • ยอดหญิงแกร่งของเฟิงอ๋อง   บทที่ 1110

    "ใช่แล้ว น้องชายของแม่นางเราถูกพาตัวไป เป็นฝีมือของสำนักเมฆาวารี เป้าหมายการเดินทางครั้งนี้ของแม่นางก็คือเรื่องนี้" เจิ้นเจียงเอ่ยขึ้น น้ำเสียงฟังแล้วดูกังวลหน่อยๆ"แม่นางอยู่ที่เมืองหลวงแม้จะประสบความสำเร็จในทุกที่ แต่ถึงอย่างไรครั้งนี้มาอยู่ในสถานที่แปลกหน้า ยิ่งไปกว่านั้นยังต้องเผชิญหน้ากับสำนัก ดังนั้นแม่นางจึงต้องยิ่งเตรียมตัวอย่างระมัดระวัง..."เจิ้นเจียงเองก็น่าจะไม่มีใครที่พูดด้วยได้ ในใจอดกลั้นไว้ไม่น้อย พวกเชลยที่คุณหนูจับมาก่อนหน้านั้น ไม่ว่าอย่างไรก็ล้วนเป็นคนของสำนักเมฆาวารี เขาเองก็พูดอะไรด้วยไม่ได้คนคุ้มกันตระกูลเหอที่คุณหนูพากลับมาพวกนั้น ก็ยังได้รับบาดเจ็บอยู่ พูดอะไรไม่ได้ด้วยเช่นกันดังนั้นตอนนี้ พอเจอกับผู้มีพระคุณที่ช่วยชีวิตคุณหนู จึงเหมือนกับเปิดประตูน้ำออกอย่างไรอย่างนั้นขณะที่พูดแรงก็เริ่มมา ไม่วา่จะเรื่องที่คุณหนูออกจากเมืองหลวงอย่างไร รับมือกับพวกลอบโจมตีอย่างไร จัดการแก้ไขวิกฤติ รับมือกับอีกฝ่าย จับคนของสำนักเมฆาวารีมาเป็นเชลยอย่างไรหลังจากมาถึงเมืองหยางแล้วรับมือกับตระกูลเหออย่างไร เล่าออกมาจนหมดและขณะที่ 'คุณชายเยี่ยน' กำลังกินข้าวอย่างไม่รีบไม่

  • ยอดหญิงแกร่งของเฟิงอ๋อง   บทที่ 1109

    จั๋วซือหรานตอนที่ควรบ้าก็จะบ้า แต่อันที่จริงถ้าพูดขึ้นมา นางเองก็ไม่ได้มีนิสัยพูดจาใหญ่โตดังนั้นก่อนหน้าจึงไม่คิดจะพูดเรื่องนี้ออกมาโดยละเอียด และเพราะตอนนี้ยังเป็นแค่ความคิดเริ่มต้นเท่านั้น ยังไม่ได้เริ่มเขียนเส้นแรกเลยด้วยซ้ำแต่ต่อให้ในใจตนเองคิดไว้ดิบดี ต่อให้ตนเองเข้าใจวิชาหุ่นเชิดอย่างถ่องแท้ แล้วสามารถใช้ไหมกู่มาควบคุมหุ่นเชิดได้จริงล่ะก็...การจะสร้างกองกำลังหุ่นเชิดของตนเองออกมา ก็ไม่ใช่เรื่องอะไรที่เป็นไปไม่ได้แต่ว่าเนื่องจากยังไม่ทันได้เริ่มอะไรทั้งนั้น ดังนั้นจึงแค่คิดไว้ในใจตนเอง ยังไม่ถึงเวลาที่จะพูดออกมาเพียงแต่สำหรับเหล่าก้อนเนื้อของตนเอง ถึงอย่างไรพวกมันก็คงไม่เอาไปบอกใครอยู่แล้ว ดังนั้นการที่นางเอ่ยขึ้นมา ปัญหาจึงไม่ได้ใหญ่โตอะไรจั๋วซือหรานใช้เวลาไปพักหนึ่งอย่างตั้งอกตั้งใจ จัดการคัดลอกอักขระคำสาปทั้งหมดบนตะปูวิญญาณ วงแหวนวิญญาณ แล้วก็บนตัวของหุ่นเชิดความมืดออกมาค้นคว้านี่เป็นงานละเอียด จำเป็นต้องใช้เวลาเว้นเรื่องความยุ่งวุ่นวายในมิติของนางไปก่อนเวลานี้ อีกด้านหนึ่งในโถงหน้าของโรงเตี๊ยม ชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลานั่งอยู่หน้าโต๊ะ กำลังกินอาหารบนโต๊ะอย่างไ

  • ยอดหญิงแกร่งของเฟิงอ๋อง   บทที่ 1108

    จั๋วซือหรานมองตะปูวิญญาณสีดำในมือเล่มนั้น ตรงหน้ายังมีร่างของหุ่นเชิดความมืดนอนอยู่ตะปูวิญญาณของมันถูกจั๋วซือหรานดึงออกมาแล้ว วงแหวนสีดำบนมือกับเท้าก็ถูกจั๋วซือหรานรื้ออกมาเพื่อจะค้นคว้าดังนั้นตอนนี้มันจึงเป็นแค่ร่างเปลือกที่ไม่มีชีวิตเท่านั้นจั๋วซือหรานตรวจสอบอักขระคำสาปประหลาดซับซ้อนเหล่านั้นบนตะปูวิญญาณอย่างละเอียด ค้นคว้าอย่างตั้งใจ ดินสอในมือตวัดไม่หยุด คัดลอกอักขระคำสาปเหล่านั้นมาทั้งหมดอย่างครบถ้วนส่วนพวกก้อนเนื้อสีต่างๆ ก็นั่งเรียงกันอยู่บนไหล่นางซ้ายขวาฝั่งละสาม บนหัวยังมีอีกตัวหนึ่ง อยู่ด้วยกันกับนาง จ้องมองอักขระคำสาปบนตะปูวิญญาณเหล่านี้อย่างตั้งใจเพียงแต่พวกมันอ่านไม่เข้าใจเท่านั้นแต่ก็ยังอยากรู้อยากเห็น"นายท่านจะ...ทำ ทำอะไรหรือ?" ขนมปุยเมฆถามขึ้นเสียงแผ่ว เพราะมันมันอยู่ในสภาพดังเดิมที่สุดมาตลอด ยังไม่ได้ย้อมสีอะไรเลยดังนั้นจนถึงตอนที่จั๋วซือหรานพาพวกมันไปกลืนกินแมลงกู่ของพวกปรมาจารย์กู่พรมแดนใต้ก่อนหน้านี้ ขนมปุยเมฆจึงเพิ่งได้รับการวิวัฒนาการ ถึงพูดได้ขึ้นมาก่อนหน้านี้ทำได้แค่เปล่งเสียงออกมาเป็นพยางค์ๆ ไม่ค่อยชัดเจนเท่านั้นความคิดของขนมถั่วแดงปราดเป

  • ยอดหญิงแกร่งของเฟิงอ๋อง   บทที่ 1107

    ความสามารถของนางถึงอย่างไรพออยู่ที่นั่น ก็ถูกลิขิตไว้แล้วไม่ให้นางเป็นคนธรรมดา สุดท้ายก็ต้องถูกจับตาอยู่ดีชาตินี้เป็นเช่นนี้ ชาติก่อนก็เช่นกันคนธรรมดาพอมีหยกก็มีความผิด นางแบกความสามารถเช่นนี้ไว้ ก็ถูกกำหนดให้คนอื่นต้องคอยจับจ้องไว้เป็นธรรมดาไม่ว่าจะโลกไหน ไม่ว่าจะเส้นทางไหน ก็ไม่เคยขาดคนหรือองค์กรที่มีความคิดที่ว่า "ถ้าไม่ได้มาก็จะทำลายทิ้ง"ที่ไหนก็มีทั้งนั้นจั๋วซือหรานชาติที่แล้วก็เจอกับสถานการณ์อันตรายมาด้วย ไม่เช่นนั้นไม่มีทางตายอย่างเวทนาจนข้ามภพมาที่นี่สรุปคือ จั๋วซือหรานเคยนำวัตถุที่ปล่อยสารกัมมันตรังสีได้เข้ามาแล้วในอันตรายจากชาติที่แล้วตอนนั้นนางสะบัดโยนเข้ามาในมิติ เนื่องจากสถานการณ์เร่งด่วน และไม่มีตัวเลือกอื่นที่ดีกว่านี้แล้วนางยังคิดว่าจบเห่แล้วด้วยซ้ำ แค่รังสีของสารกัมมันตรังสีพวกนั้น ระยะเวลาในการย่อยสลายน่าสะพรึงมาก คิดว่าตนเองคงกลายเป็นฟอสซิลไปแล้ว สารกัมมันตรังสีพวกนั้นก็ยังไม่หายไปไหนด้วยซ้ำและในมิติของตนเอง ก็เป็นเหมือนแดนสวรรค์เขียวชอุ่มนอกโลก...ถ้าหากพื้นดินถูกปนเปื้อน แหล่งกำเนิดน้ำถูกปนเปื้อนล่ะก็จบเห่กันพอดีนางกอดความคิดสิ้นหวังเข้ามิติมา

  • ยอดหญิงแกร่งของเฟิงอ๋อง   บทที่ 1106

    "เสร็จแล้ว พวกเจ้าค่อยๆ พักฟื้นไป เดี๋ยวพอพวกกองหนุนสำนักเมฆาวารีพวกนั้นของผู้เฒ่าเหอมาถึง พวกเราค่อยออกเดินทาง เรื่องนี้สำหรับข้ามันสำคัญมาก จะล่าช้าไม่ได้เด็ดขาด"จั๋วซือหรานเหลือบมองเขาผาดหนึ่ง "ดังนั้นเวลาพักฟื้นของพวกเจ้าเดิมทีก็เหลือไม่มากแล้ว อย่าไปทำอะไรบ้าๆ บอๆ อีก""รับทราบ!" เหลียนเจินขานรับเสียงขรึม"ข้าจะรักษาให้พวกเขา จากนั้นเจ้าก็เอายาทาให้พวกเขาเสีย แค่อย่าไปทำอะไรบ้าๆ บอๆ ทายาตามเวลา ไม่นานก็หายดีแล้ว"จั๋วซือหรานหลังจากรักษาคนคุ้มกันไปหลายคน ก็กลับมาที่ห้องตนเอง ไปค้นคว้าบัวเจ็ดดอกเจ็ดใบแกนกลางเทียนเจ้าสิ่งนี้ล้ำค่ามากจริงๆ แต่ในเมื่อเขาให้นางมาแล้ว นางเองก็พอจะรับได้อยู่ ดังนั้นจึงไม่ต้องเกรงใจเกินไปนักตอนที่จั๋วซือหรานย้ายบัวเจ็ดดอกเจ็ดใบแกนกลางเทียนไปปลูกที่ดินในมิติแล้ว ราชาแมงมุมหน้าผีกับแมงมุมหน้าผีตัวอื่นๆ แล้วก็แมงมุมกู่ ก็มาล้อมอยู่ข้างๆ นางแมงมุมที่ขนาดใหญ๋กว่าปกติหลายเท่า ล้อมนางเอาไว้ ฉากนี้ถ้าหากคนอื่นมาเห็น ก็คงรู้สึกหวาดผวาขึ้นแน่ๆแต่สีหน้าของจั๋วซือหรานก็นิ่งอย่างมาก กระทั่งบนหน้ายังยิ้มละไม หลังจากปลูกบัวเจ็ดดอกเจ็ดใบแกนกลางเทียนไว้ในดินแล

สแกนรหัสเพื่ออ่านบนแอป
DMCA.com Protection Status