ในห้อง ฉุนจวินจัดการเสื้อผ้าที่เปื้อนเลือดของเฟิงเหยียนก่อนหน้านี้ไปแล้วตอนนี้เอง เสียงเคาะประตูดังขึ้นเสียงกังวานเสียงหนึ่งดังที่นอกประตู “ท่านอ๋อง ท่านยังไม่หลับใช่ไหม? ข้าเห็นไฟยังสว่างอยู่”ฉุนจวินอยากจะให้คุณหนูเข้ามาตรวจอาการของนายท่านใจจะขาด ดังนั้นจึงหันไปมองนายท่านที่นั่งอยู่ตรงนั้น แม้คิ้วจะขมวดเล็กน้อย แต่กลับไม่มีการปฏิเสธแต่อย่างใดฉุนจวินจึงเปิดประตู “แม่นางจิ่ว สายัณห์สวัสดิ์”“อื๋อ? ฉุนจวินเองก็อยู่ด้วยหรือ” จั๋วซือหรานมองเขาฉุนจวินเปิดทางให้นางเข้ามา “นายท่านยังไม่พักผ่อนเลย”ฉุนจวินคิดๆ แล้วก็เสริมขึ้นมาคำหนึ่ง “เพราะเป็นห่วงแม่นางจิ่วน่ะ”ใช่แล้ว ฉุนจวินคิดขึ้นมาได้ นายท่านทรมานมากจากการถูกแว้งกัด ตามหลักควรจะพักผ่อนได้แล้ว แต่กลับรอจนดึกดื่นไม่ยอมนอนมาตลอดก็เพราะเป็นห่วงแม่นางจิ่วที่ยังไม่กลับมากระมัง?จั๋วซือหรานพอได้ยินก็เลิกคิ้วเล็กน้อย มองไปทางเฟิงเหยียนและชายหนุ่มที่ดูดีจนเหมือนไม่ใช่คนคนนี้ แต่เดิมไม่พูดไม่จา ทว่าตอนนี้พอได้ยินคำพูดของฉุนจวินก็ขมวดคิ้ว ตำหนิเสียงต่ำมาว่า “พูดมาก”ดูท่าจะปากแข็งเอาเรื่อง“อืม...” จั๋วซือหรานครางเสียงยาว มุมปาก
“ไม่เป็นไรจริงๆ” เฟิงเหยียนเอ่ยขึ้นมาจั๋วซือหรานคิด “ให้ข้ารักษาให้ท่านเถอะ มีโรคก็ต้องรักษาโรคสิ ไม่มีโรคร่างกายจึงจะแข็งแรง...”ฉุนจวินพอได้ยินคำพูดนี้จึงถอนใจโล่งออกมาพอรู้ว่าแม่นางจิ่วจะรักษาให้นายท่าน ยิ่งไปกว่านั้นเขายังเห็นว่านายท่านกับแม่นางจิ่วจับมือถือแขนกันด้วยฉินจวินจึงถอยออกจากห้องอย่างรู้ความจั๋วซือหรานรักษาให้เขา พลางบอกเขาถึงเรื่องในวันนี้ส่วนใหญ่ก็เพราะ เขาเป็นคนที่ยื่นมือเข้าไปช่วยนางก่อน และเป็นคนที่ยืนอยู่ข้างกายนางมาตลอดดึงนั้นจั๋วซือหรานจึงไม่เคยป้องกันอะไรเขาเลยยิ่งไปกว่าเรื่องอีกมากมาย ถ้าไปพูดกับคนอื่นก็ไม่ค่อยเหมาะสม จะพูดกับแม่ ก็กลัวแม่จะเป็นห่วงที่พูดกับเฟิงเหยียนก็เหมือนจะเหมาะสมที่สุดแล้ว เขาเองก็พูดน้อย ถนัดรับฟังมากกว่า นิสัยเช่นนี้ของเขา ก็ไม่ต้องกังวลว่าจะโพนทะนาไปทั่วยิ่งไปกว่านั้น นางเองก็รักษาอาการบาดเจ็บให้นาง มีจุดนี้อยู่จึงยิ่งปลอดภัยขึ้นไปอีกเฟิงเหยียนฟังเงียบๆ ได้ยินว่านางต้องไปเจอกับการเพ่งเล็งของตระกูลเหยียน แล้วยังไปค่ายป้องกันนอกเมืองรักษาให้ทหารอีก คนที่ตลาดมืดก็ยังมาหาเรื่องนาง...เฟิงเหยียนขมวดคิ้ว “หอจันทร์เงิน? ไ
ดวงตาจั๋วซือหรานถลึงโตขึ้นมาก่อน สิ่งที่อยู่ตรงหน้าคือดวงตาลึกซึ้งราวกับทะเลราตรีที่อยู่ใกล้แค่เอื้อมลึกซึ้งสวยงาม และดึงดูดราวกับกระแสวนจั๋วซือหรานสบตากับเขาครู่หนึ่ง เห็นในดวงตาของเฟิงเหยียนรอยยิ้มที่ค่อยๆ ก่อตัวขึ้น ในที่สุดนางก็ไม่ทนแล้ว รีบปิดตาลงดังนั้น นางจึงไม่ทันสังเกต ว่าหลังจากนางหลับตาไปครู่หนึ่ง สีหน้าในดวงตาคู่งามของชายหนุ่ม มีเจ็บปวดจากการอดกลั้นเพิ่มขึ้มาพอสมควรเพราะเขาแบ่งพลังให้กับจั๋วซือหรานอีกครั้ง ดังนั้นตระกูลเฟิง จึงลงโทษเขาเช่นนี้ความรู้สึกเจ็บปวดทะลวงใจทะลุกระดูกนั่น ทำเอาเขาเกร็งไปทั้งตัวทั้งๆ ที่หลายปีนี้ ในฐานะที่เห็นภาชนะพลังศักดิ์สิทธิ์ ก็เจอเรื่องทุกข์ทรมานมาไม่น้อยแล้วแท้ๆ ตามหลักการก็ควรจะไม่รู้สึกกับความเจ็บปวดใดๆ แล้วแต่เพราะความเจ็บปวดนี้ ก็ยังเกร็งขึ้นมาทั้งตัวมือของจั๋วซือหรานจับไปที่เอวของเขาเบาๆ ดังนั้นจึงสัมผัสได้ถึงอาการเกร็งตัวของร่างกายเขาจั๋วซือหรานพอคิดจะลืมตา ก็ถูกมือข้างหนึ่งของเฟิงเหยียนปิดตาไว้ส่วนมืออีกข้างของเขา ก็ช้อนท้ายทอยนางแนบสนิทยิ่งขึ้นจั๋วซือหรานรู้สึกแค่ว่า จูบที่ดึงดันกลับอบอุ่นแต่เดิมของชายหนุ่ม เวลานี
เฟิงเหยียนส่งนางที่ประตูห้องนอน “ถ้าหากมีอะไรให้ข้าช่วย...”เฟิงเหยียนยังพูดไม่จบ จั๋วซือหรานก็โบกไม้โบกมือ “ไม่เป็นไร ตอนนี้ข้าจัดการได้หมด”ฉุนจวินรออยู่ข้างนอก พอเห็นประตูเปิดออกก็เดินเข้ามาจั๋วซือหรานหยุดเท้าลงกะทันหัน เหมือนคิดอะไรขึ้นมาได้ หันหน้ากลับไปหาเฟิงเหยียน “จะว่าไปก็มีเรื่องหนึ่งอยากให้ท่านอ๋องช่วยเหมือนกัน”และไม่รู้ว่าเป็นความความเข้าใจผิดไปเองหรือเปล่า จั๋วซือหรานรู้สึกว่าตอนที่ตนเองพูดว่าต้องการความช่วยเหลือ ในดวงตาของชายหนุ่ม ก็เหมือนมีประกายน้อยๆ วาบขึ้นมาอย่างชัดเจนเหมือนกับว่า อยากให้ความช่วยเหลือแก่นางมากอย่างไรอย่างนั้น“ลองพูดมาสิ” เฟิงเหยียนเอ่ยขึ้นจั๋วซือหรานคิดๆ “ข้าอยากได้เมล็ดพันธุ์คุณภาพดีหลายๆ ชนิดน่ะ พวกพืชไร่ผลไม้ยาสมุนไพรหรือพวกพืชวิเศษอะไรก็ได้”ครั้งนี้ที่เผชิญหน้ากับตระกูลเหยียน ไม่ใช่แค่วัตถุดิบที่ซื้อมาจากหอฟ้าดาวที่ใช้หมด แต่วัตถุดิบยาที่ปลูกไว้ในมิติของจั๋วซือหรานเองก็ใช้ไปไม่น้อยแม้ว่าจะให้เฉวียนคุนใช้น้ำพุวิเศษมาปลูกพืชในสวนบ้านตนเอง แต่ก็ทำมากเกินไปไม่ได้ ไม่เหมือนในมิติของนางเอง ไม่ว่าจะปลูกจนเติบโตแค่ไหน ก็ไม่มีใครล่วงรู้จั
ฉุนจวินม่านตาหดลง เขารีบพุ่งตัวขึ้นมา ยื่นมือมาประคองเฟิงเหยียน อุทานเสียงต่ำ “นายท่าน!”เฟิงเหยียนถูกประคองให้นั่งลงบนแคร่ รับผ้าเช็ดหน้าที่ฉุนจวินส่งมาให้ เช็ดเลือดสดที่ปากและจมูกเขาหอบหายใจต่ำหลายครั้ง จึงยื่นมือมารับน้ำชาที่ฉุนจวินยื่นส่งมาให้ กลั้วปากล้างกลิ่นคาวเลือดในปากออกไปไม่รู้เพราะอะไร ตอนนี้ อารมณ์แรกสุดที่พุ่งขึ้นมาในใจเฟิงเหยียนถึงได้เป็นความโชคดียังดีที่ตอนที่ตนเองจูบนาง ไม่ได้รู้สึกอยากกระอักเลือด ไม่เช่นนั้นจั๋วเสียวจิ่วที่จมูกดีขนาดนั้น จะต้องจับสังเกตได้แน่ในดวงตาของฉุนจวินมีความกังวลอย่างหนักหนาขึ้นมา ขมวดคิ้วแน่นเอ่ยขึ้นว่า “เจ้าพวกนั้นจากตระกูลเฟิงบ้าไปแล้วหรือ?! แค่ช่วงสั้นๆ แค่นี้ถึงกับใช้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ลงโทษท่านถึงสองครั้งเชียว?”ในเสียงของฉุนจวินมีความตกตะลึงอย่างไม่อยากเชื่ออยู่ด้วย คนพวกนั้นในตระกูลเฟิง ต่อให้จะใช้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ลงโทษนายท่านเพื่อตักเตือน แต่ฉุนจวินก็ไม่ใช่ว่าไม่เข้าใจทว่าในเวลาสั้นๆ แค่นี้ กลับลงโทษถึงสองครั้ง! หรือว่าคนเหล่านั้นในตระกูลเฟิง ไม่กลัวที่จะทำให้นายท่านต้องเจอเรื่องอันตรายอย่างนั้นหรือ!ดวงตาเฟิงเหยียนหรุบต่ำ หล
เฟิ่งเหยียนในมือมีหน้ากากเพิ่มมาหนึ่งชิ้น ถูกเขาครบเอาไว้บนหน้า “พอดีเลย ข้าจะไปสักรอบหนึ่ง”เฟิงเหยียนเดินออกมาจากตำหนักเฝินเทียน เดินออกมายังไม่ไกลนัก“นายท่าน” เสียงขรึมต่ำเสียงหนึ่งดังขึ้นด้านหน้าเฟิงเหยียนหยุดเท้าลง ยกมือกดไปบนหน้ากาก หน้ากากที่เดิมทีสะอาดหมดจด รอยไหม้สีแดงประหลาดค่อยๆ ปรากฏขึ้นมาพอแหงนตาก็เห็นเวินป๋อยวนยืนอยู่ไม่ห่างออกไปนัก“ตันติ่งทำไมเจ้ายังอยู่ที่นี่” เสียงของเฟิงเหยียนต่ำขรึมเย็นชา ไม่มีสูงต่ำเวินป๋อยวนตอบกลับ “แค่ออกมาเดินเล่น”“พักผ่อนไวไวแล้วกัน” เฟิงเหยียนพูดประโยคนี้จบ ก็ไม่ได้คิดจะพูดอะไรให้มากความนัก ยกเท้าเดินออกมาเวินป๋อยวนมองแผ่นหลังที่จากไปของเขา เอ่ยขึ้นอย่างมีมารยาท “นายท่านก็กลับดีดี”เฟิงเหยียนเดินมาไกลแล้ว เวินป๋อยวนกลับยังคงมองทิศทางที่เขาเดินไป แต่ในประกายในดวงตาเวินป๋อยวนกลับค่อยๆ สงสัยนายท่านก่อนหน้านี้ไม่ใช่บอกว่าช่วงนี้ไม่อยู่ที่เมืองหลวงหรือ? นี่กลับมาเมื่อไรกัน? ทำไมจึงไม่มีข่าวคราวเลย......เช้าวันถัดมา จั๋วซือหรานพาแม่กับน้องชายส่งไปที่ตลาดมืดในรถม้า จั๋วหวายทั้งอยากรู้อยากเห็นทั้งกระวนกระวาย “ท่านพี่ ที่นี่คือต
ชายสองคนที่เดินเข้ามาอย่างขึงขัง ร่างกายค่อนข้างกำยำ ผิวสีคล้ำ บนคอกับแขนมีรอยสักสีดำประหลาดอยู่เส้นผมถักเป็นเปียเล็กมันวาวหลายเส้น ปลายเปียเล็กยังห้อยไว้ด้วยลูกปัดหลากสีคิ้วเข้มตาโต รูปทรงคิ้วตาคมชัดมีมิติ แปลกใหม่ไม่คุ้นตา มองแล้วไม่เหมือนคนแคว้นชางสีผิว หน้าตากับการแต่งกายเหมือนมาจากแดนใต้ทางนั้นจั๋วซือหรานมองพวกเขาเรียบๆ ตอนแรกยังคิดว่าพวกคนชายแดนทางใต้เข้ามาหาเรื่องเลยนางกลับไม่รู้สึกแปลกประหลาด ถึงอย่างไรตอนนี้นางก็ยังขังคนชายแดนทางใต้ไว้ที่คุกใต้ดินตำหนักตำหนักชิ่งหมิงถึงสองคนครั้งนี้ถือว่าทำลายแผนร้ายของนักปราชญ์หญิงแดนใต้ของพวกเขาไปอีกครั้ง ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็มีความบาดหมางกันขึ้นมาบ้างแล้วพอเห็นท่าทางเดินเข้ามาของพวกเขา เซี่ยอวิ๋ฯเหนียงกับจั๋วหวายก็ตึงเครียดขึ้นมามีแต่จั๋วซือหราน ที่ยืนอยู่ตรงหน้าพวกเขา ด้วยท่าทีไม่วิตกกังวล ในสีหน้าไม่มีความหวาดกลัวกระทั่งความลนลานลูกน้องของหอเฟิ่งเสวี่ยที่อยู่ข้างๆ คนหนึ่งเอ่ยขึ้นว่า “แม่นางจั๋วจิ่ว ทางนี้คือเจ้าสำนักทั้งสองของพวกเรา”ที่ยืนอยู่ตรงหน้า คือเจ้าสำนักสองคนของหอเฟิ่งเสวี่ย: สองพี่น้องหลงซ่งกับหลงหยวนจั๋วซือ
หลังจากนั้นจึงเห็นคิ้วงามที่เลิกขึ้นเบาๆ ของหญิงสาวสะสวยคนนี้ ค่อยๆ ลดระดับลงมา“ทำให้เจ้าสำนักทั้งสองให้ความสำคัญเช่นนี้ได้ ดูท่าจะเป็นเงินก้อนเลยเอาการเลย...” จั๋วซือหรานคำนี้พูดออกมาเหมือนยิ้มเหมือนไม่ยิ้มในใจหลงซ่งเต้นตึกตัก นายท่านคิดจะปกปิดตัวตนฐานะมาตลอด จะมาพังด้วยมือพี่น้องอย่างพวกเขาไม่ได้! เขาทำไมถึงรู้สึกว่าแม่นางจั๋วจิ่วคนนี้ เหมือนจะรู้อะไรไปทั้งหมดกันนะ?จั๋วซือหรานเอ่ยขอบคุณ “ไม่ว่าอย่างไร ก็ขอบคุณเจ้าสำนักทั้งสองมาก ให้หน้าขนาดนี้ ข้าคิดว่าแม่กับน้องชายของข้าระหว่างทางนี้คงไม่ถูกละเลยแน่ๆ”“แม่นางจิ่วโปรดวางใจ” หลงหยวนถอนใจโล่งออกมา น่าจะได้สติกลับมาแล้วว่าตนเองเกือบจะเปิดโปงตัวตนของนายท่านเสียแล้วพอเห็นว่ากว่าจะกลบเกลื่อนลงมาได้ จึงถอนใจโล่งออก หรุบตาลงต่ำพอหรุบตาลง หลงหยวนม่านตาก็หดลง กระทั่งคอหอยยังเกร็งเป็นระยะเพราะสายตาที่เขาเห็น คือแขนเสื้อของแม่นางจั๋วจิ่วตรงหน้า...ยิ่งไปกว่านั้นสายตานี้ของเขา ก็มองเห็นเข้ากับหนวดอ่อนนุ่มสีแดงหลายเส้นกับครึ่งตัวของแมลงตัวอ้วนกลมขนาดลูกชิ้น หดกลับเข้าไปที่แขนเสื้อของนางพอดี! หลงซ่งกับหลงหยวนมาจากดินแดนทางใต้! จะไม่
เพราะเป็นเพื่อนสนิท ปันอวิ๋นจึงเข้าใจความหมายที่เขาคิดจะแสดงออกมาหรือก็คือ ปันอวิ๋นเดาได้นานแล้วบางทีตอนนั้นเพื่อจะให้จั๋วซือหรานหลีกเลี่ยงโชคชะตาเช่นนี้ ตนเองจึงเลือกที่จะลืมเลือนแต่สุดท้ายพอวกไปวนมา ก็กลับมาเดินอยู่บนเส้นทางเดิมเจ้าสิ่งที่เรียกว่าโชคชะตานี่ ลึกลับเอามากๆบางครั้งเหมือนจะมีเมตตา แต่บางครั้งก็เหมือนไม่เคยปราณีใครผู้ใด"แล้วเจ้าตอนนี้...คิดจะทำอย่างไร?" ปันอวิ๋นถามเขาจ้องเฟิงเหยียนตาไม่กระพริบเอาจริงๆ ปันอวิ๋นใช้มองจากมุมมองคนนอกอย่างมีเหตุมีผล ยังหวังว่าจั๋วซือหรานจะสามารถปล่อยวางได้แต่พอคิดถึงว่าถ้าหากจั๋วซือหรานปล่อยวางแล้วล่ะก็ ด้วยโชคชะตาภาชนะพลังศักดิ์สิทธิ์หงส์แดงของเฟิงเหยียน ผลสรุปสุดท้าย ก็คือตายก่อนวัยอันควรอยู่ดีและเพราะรู้เรื่องนี้ ดังนั้นปันอวิ๋นจึงหยุดไปครู่หนึ่ง เอ่ยเสริมมาคำนึง "ถังฉือเคยบอกข้าไว้ ในโถงวิญญาณอสูร พวกสัตว์เทพที่ถูกเก็บกลับมาเหล่านั้น..."ปันอวิ๋นขมวดคิ้ว คิดถึงคำพูดของถังฉือถังฉือมีบาปหนาจากการฆ่าฟันคนมากมาย กลายเป็นคนเย็นชาไร้หัวใจไปแล้ว ถ้าหากไม่เย็นชาไร้หัวใจ ป่านนี้คงเป็นบ้าไปแล้วดังนั้นตอนที่เขาพูดถึงเรื่องเห
ปันอวิ๋นส่งให้เขาชามหนึ่ง ตนเองก็ด้วยทั้งสองคนไม่พูดพล่ามทำเพลง กระดกรวดเดียวจนหมดราวกับว่า สุราที่มาช้าไปหลายปีนี้ ในที่สุดก็ได้ดื่มเสียทีราวกับว่าภาพเด็กน้อยที่แอบขโมยสุราพวกนั้นมาดื่ม ซ้อนทับเข้ามากับพวกเขาในเวลานี้"ช่วงนี้เจ้า ไม่ได้ติดต่อกับพวกเขาเลยหรือ?"หลังจากร่ำสุราลงท้องไปสองชาม จิตใจก็เหมือนจะผ่อนคลายลงมาไม่น้อย ปันอวิ๋นถามขึ้นอย่างสบายๆ เป็นกันเองเฟิงเหยียนฟังออก ว่าเขาถามถึงเหล่าพี่น้องพวกนั้นเขาตอบอืมไปคำหนึ่ง "ไม่ได้ติดต่อกันเลย""เช่นนั้นก็คงไม่รู้สถานการณ์ของพวกเขาเลยสินะ" ปันอวิ๋นเอ่ยขึ้นเฟิงเหยียนไม่ยอมรับหรือปฏิเสธกับสิ่งนี้ ถือว่ายอมรับไปกลายๆปันอวิ๋นยิ้มๆ เหมือนจะเย้ยหยันตนเอง "แต่ก็ไม่โทษพวกเขาที่ไม่ติดต่อเจ้า ด้วยสถานการณ์ของพวกเขาตอนนี้ ก็ไม่มีหน้ามาติดต่อเจ้าจริงๆ นั่นล่ะ"ได้ยินคำนี้ของปันอวิ๋น เฟิงเหยียนก็ไม่พูดอะไรอีกปันอวิ๋นเอ่ยต่อว่า "ซงซีตอนนี้ทุกวันเหมือนขลุกอยู่แต่ในห้องหลอมสกัด หลอมสกัดอยู่ทุกวันไม่ได้พักเลย"เฟิงเหยียนพอได้ยินคำนี้ คิ้วก็ขมวดขึ้นบางๆ"เยี่ยนเหวย...ก็สูบเลือดออกมาทุกวัน อยู่แบบไม่เหมือนผู้เหมือนคน ผู้อาวุโสหวงจ
บางทีคงเป็นเพราะการคุยแบบเปิดอกก่อนหน้านี้ ทำให้ระยะทางขอเพื่อนสนิทสองคนที่เคยห่างไปตามกาลเวลา ย่อหดลงไปไม่น้อยเลยกระมังดังนั้นพอได้ยินปันอวิ๋นบอกว่าไม่ต้องขอบคุณ เฟิงเหยียนจึงเหลือบมองเขา น้ำเสียงเปลี่ยนไป "ก็ได้ เช่นนั้นก็ไม่ขอบคุณแล้วกัน"เฟิงเหยียนสั่งขึ้นมา "ไป ไปเอาสุรามาให้ข้าหน่อย"แม้จะพูดเช่นนี้ แต่ในเสียงกลับไม่ได้ออกคำสั่งอะไร ฟังแล้วเหมือนการใช้งานระหว่างเพื่อนกันมากกว่าปันอวิ๋นชะงักไปเล้กน้อย เพราะตอนพวกเขายังเด็ก ก็เคยใช้งานกันและกันแบบนี้ไป ไปเอาสุรามาหน่อยได้ งั้นเจ้าก็เอาปลาไปย่างซะข้าเห็นว่าเจ้าหน้าตาเหมือนปลาถ้าเจ้ายังพูดอีกรอบ จะโดนข้ากดจนจมถังสุราตายไปเลยเพราะคำพูดนี้ของเฟิงเหยียน ทั้งสองคนก็เหมือนกลับไปสมัยยังเด็กในชั่วพริบตาปันอวิ๋นยกมุมปากขึ้นบางๆ ลุกขึ้นไปให้คนรับใช้ส่งสุราเข้ามาคือสุราห้าพิษที่เขาจะหมักอยู่ทุกปี และใช้แมลงพิษมาหลอมจริงๆ แต่ตัวสุรากลับไม่มีพิษใดๆ กระทั่งยังหอมอบอวลเข้มข้นเป็นพิเศษ เป็นสุราที่หาได้ยากยิ่งและเป็นความลับที่ไม่เผยแพร่สู่ภายนอกของหุบเขาหมื่นพิษ ปกติมีแค่เจ้าหุบเขาที่รู้แต่ปันอวิ๋น หลังจากออกสำนักมา ก็ไม่ได้ด
จะเหมือนว่าตบหน้าใส่ตนเองอย่างแรง ทั้งที่เดิมทีก็อยู่บนโชคชะตาที่ขมขื่นอยู่แล้ว กระทั่งยังเป็นการตบหน้าตนเองในตอนนั้นอีกด้วยแบบนั้น...มันขมขื่นเกินไป พวกเขาเดิมทีก็ยากลำบากอยู่แล้วปันอวิ๋นนิ่งงันไปพักหนึ่ง อันที่จริงรู้สึกเหมือนไม่รู้จะเริ่มพูดจากตรงไหนดีอยู่หน่อยๆความเงียบงันดำเนินต่อไประยะหนึ่งยังคงเป็นเฟิงเหยียนที่เอ่ยเสียงต่ำขึ้นมาก่อน "ขอบคุณมาก"ปันอวิ๋นได้ยินคำนี้ ก็รู้สึกแปลกประหลาด อารมณ์เองก็ไม่ค่อยมั่นคงทั้งที่มั่นคงมาตลอดแท้ๆหลังผ่านไปพักหนึ่ง ปันอวิ๋นจึงเอ่ยตอบว่า "เรื่องเล็กน้อย"ตอนที่ได้ยินคำนี้ สายตาของเฟิงเหยียนก็เหมือนขยับนิดๆยังจำได้ว่า ตอนยังเด็กถ้าปันอวิ๋นช่วยเขาทำอะไร ขอแค่เขาขอบคุณ ปันอวิ๋นก็จะพูดคำว่า 'เรื่องเล็กน้อย' ออกมาเสมอต่อให้บางครั้ง จะไม่ใช่เรื่องเล็กเลยก็ตาม แต่ก็ยังทำให้เขารู้สึกว่า ไม่ต้องเกรงใจ ยังมีพี่น้องคนนี้ช่วยแบกอยู่เฟิงเหยียนหยุดไปครู่หนึ่ง เอ่ยเสียงเรียบขึ้นว่า "ก่อนหน้านี้ ข้าเจอกับหลงเฉินมา"พอได้ยินชื่อนี้ที่คุ้นเคย ม่านตาปันอวิ๋นก็หดลงเล็กน้อยเฟิงเหยียนเอ่ยต่อว่า "เขามีชีวิตไม่ค่อยดีนัก เหมือนตอนนั้นหลังจากที่เขาท
ท่าทีของเฟิงเหยียน ไม่ถือว่ากระตือรือร้นมากนัก กระทั่งค่อนข้างเย็นชาด้วยซ้ำแต่ก็เป็นเรื่องปกติ หลังจากที่เขาออกจากสำนักในตอนนั้น ก็ไม่ได้มีความฮึกเหิมเหมือนสมัยครั้งยังเด็กอีกมักจะเย็นชา และมักจะเฉยเมยปันอวิ๋นเม้มริมฝีปาก เข้าใจถึงสาเหตุนั้นสภาพการณ์ตอนที่เฟิงเหยียนออกจากสำนักครั้งนั้น เขาเองก็รู้เป็นอย่างดีต่อให้จนถึงตอนนี้ ก็ยังจดจำได้อย่างชัดเจนเพราะเฟิงเหยียนถูกทรยศเป็นคนแรก ดังนั้น ตอนนั้นพวกเขาก็อยู่ในฐานะคนที่ยังไม่ถูกทรยศอันที่จริง จะมากน้อยก็ยังมีความสงสัยว่าถ้าไม่อยู่ในสถานการณ์เดียวกันก็คงไม่เข้าใจอยู่พวกเขารู้สึกว่าเฟิงเหยียนทำเรื่องเล็กเป็นเรื่องใหญ่ เป็นเฟิงเหยียนที่ไม่รู้จักบุญคุณพวกเขารู้สึกว่า เป็นเฟิงเหยียนที่ทำไม่ถูกเฟิงเหยียนเป็นคนอกตัญญูจนต่อมา ต่อมาของต่อมา ทุกคนทยอยกันเดินบนเส้นทางของเฟิงเหยียน ใครก็หนีไม่พ้นการทรยศหรือใช้ประโยชน์ทั้งนั้นตามหลักแล้วควรจะยอมรับชะตากรรมอย่างที่เคยเตือนเฟิงเหยียนเอาไว้ในตอนนั้น และมองว่าสิ่งนั้นเป็นการบ่มเพาะและการให้ความสำคัญจากสำนักแต่เพระาอะไร...ถึงได้ดีใจกันขึ้นมาไม่ได้เลยและหลังจากนั้นอีก แต่ละคนก็ทร
ดังนั้นเขาจึงยังไม่กล้าไปกอดนางไว้แบบนี้ตลอด คอยอยู่ด้วยเงียบๆแต่เขากลับไม่ง่วงเลย ไม่ได้หลับ ไม่ได้ปิดตาด้วยแค่มองนางเงียบๆ สัมผัสถึงความร้อนในตัวนางกับชีพจรนางกระทั่งตัวเขาเองก็ยังบอกไม่ได้ว่าเพราะอะไร แต่ก็มีความรู้สึกอย่างหนึ่ง...รู้สึกสงบใจอย่างมากราวกับว่า ทั้งหมดเปลี่ยนเป็นสมบูรณ์แบบแล้วทั้งที่ความทรงจำในอดีตยังไม่กลับคืนเข้าที่ แต่ความรู้สึกนี้ เหมือนสลักประทับอยู่ในจิตวิญญาณอย่างไรอย่างนั้น ยากที่จะลบเลือนจนกระทั่งลมหายใจของจั๋วซือหรานมั่นคงแล้ว สีหน้ายิ่งมีประกายแดง สภาพดีขึ้นมากแล้วเขามองไปที่คราบเลือดแห้งกรังเหล่านั้นบนใบหน้าจั๋วซือหราน รู้สึกเสียดแทงตาเหลือเกินจึงได้เคลื่อนไหวเบาๆ เดินออกไปด้านนอก กำชับคนรับใช้ให้เตรียมน้ำร้อนมาไม่ให้คนรับใช้เข้ามาปรนนิบัติ แต่เขาหิ้วถังน้ำเข้ามาเองเขาอุ้มนางมาแช่ในถังน้ำ คอยสระชำระเส้นผมนางทีละเล็กทีละน้อย เช็ดคราบเลือดบนผิวนางออกอาบตัวนางจนสะอาดหมดจด อุ้มกลับไปบนเตียง ใช้ผ้าห่มห่อตัวนางจากนั้นจึงใช้พลังวิญญาณธาตุไฟบริสุทธิ์ เป่าผมนางจนแห้งและเพราะมีกลิ่นอายของเขาห่อหุ้มอยู่ จั๋วซือหรานจึงหลับลึกอย่างสบาย ไม่ตื
พลังศักดิ์สิทธิ์หงส์แดงที่บริสุทธิ์ที่สุด ถูกส่งผ่านเข้ามาอย่างนั้นจั๋วซือหรานมีความรู้สึกเหมือนตนเองถูกแช่ไว้ในน้ำอุ่น เป็นความรู้สึกที่สบายอย่างที่สุดในลำคอก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมาด้วยความสบายยิ่งไปกว่านั้น คนเราก็เหมือนจะเป็นเช่นนี้เดิมทีก็ไม่ได้รู้สึกว่าตนเองลำบากยากเย็นอะไรนักแต่ตอนที่ร่างกายสามารถผ่อนคลายลงมาได้ ไม่รู้สึกเจ็บปวดทรมานอีกแล้วพอย้อนคิดไปถึงความยากลำบากเหล่านั้นก่อนหน้า กลับรู้สึกว่าตนเองน่าสงสารขึ้นมาจั๋วซือหรานตอนนี้ก็รู้สึก ว่าตนเอง...ไม่ค่อยได้รับความเป็นธรรมเท่าไรชายคนนี้ เจ้าคนสมควรตายนี่มีสิทธิ์อะไร?มีสิทธิ์อะไรกัน?"..." ชายหนุ่มรู้สึกเจ็บที่ปลายลิ้นเขาขมวดคิ้ว รสชาติคคาวหวานของเลือดแผ่ซ่านในร่องฟันของทั้งสองคนเขามองหญิงสาวตรงหน้า ก็เห็นแววตาของนางมีความหงุดหงิดอยู่หน่อยๆแล้วยังมีสีหน้าท้าทายอีกด้วยดูเหมือนจะจงใจกัดปลายลิ้นเขา น่าจะโมโหเอาการชายหนุ่มไม่ครางออกมาเลย ราวกับไม่รู้สึกเจ็บอย่างไรอย่างนั้นยิ่งไปกว่านั้นยังไม่ใส่ใจ ปลายลิ้นยังโถมใส่นางอย่างเร่าร้อนรุนแรงถ้านางอยากได้ ก็ต้องแล้วแต่นางจั๋วซือหรานดูจนใจหน่อยๆ แต
เหมือนว่าความทรมานทั้งหมดก่อนหน้านี้ ไม่ได้ทรมานอะไรขนาดนั้นและไม่รู้ว่าเจ้าโง่นี้ใช้แรงกระแทกนางมากแค่ไหน...มีหลายครั้ง ที่นางรู้สึกได้ว่า ในมิตินี้เหมือนสั่นไหวขึ้นมาราวกับวิญญาณของนางที่ถูกขังอยู่ในมิติ จะถูกดันกลับเข้าไปที่เดิมเลยจั๋วซือหรานถลึงตาโตขึ้นหน่อย จ้องมองมิติที่โยกไหวหน่อยๆรู้สึกหมดคำจะพูดแมงมุมน้อยงึมงำขึ้นมาข้างๆ "นายท่าน...ในนี้มัน...ร้อนจัง..."จั๋ซซือรหานมองไปทางเหล่าสัตว์อสูรของตนเอง มองออกไม่ยาก พวกมันเหมือนเริ่มมึนๆ จะหลับกันแล้ว พอเห็นแบบนี้ ก็เหมือนจะไม่ได้แตกต่างอะไรนักกับสถานการณ์ครั้งที่แล้วเพียงแต่ครั้งที่แล้ว ตนเองถูกทำจนเกือบจะสลบไปและตอนนี้ ตนเองถูกทำ...จนใกล้จะตื่นขึ้นมาแล้วผู้ชายคนนี้...ร้ายกาจจริงๆนี่มันช่าง....สัมผัสแนบเนื้อบนตัวนางมีเหงื่อบางๆ ชั้นหนึ่ง ผิวที่เคยขาวซีดไปทั้งตัว ตอนนี้พอมีเม็ดเหงื่อเกาะอยู่ จึงยิ่งดูเป็นประกายระยิบระยับขึ้นมาและไม่รู้ว่าผ่านไปนานแค่ไหน..."อือ..." หญิงสาวที่ไม่มีปฏิกิริยามาตลอด ริมฝีปากที่ยังมีรอยเลือดที่ยังเช็ดไม่สะอาด ส่งเสียงครางออกมาเหมือนลูกแมวตัวน้อยฟังดูแล้วเป็นเสียงอือๆ งึมงำๆน
ในใจจั๋วหวายเข้าใจอย่างหนักแน่นว่าเฟิงเหยียนคือผู้ชายทรยศแต่ว่านี่ไม่ได้เป็นอุปสรรคที่ทำให้เขาคิดว่าเฟิงเหยียนจะทำให้พี่สาวดีขึ้นได้คนเราก็มักมีสองมาตรฐานเช่นนี้ ไม่มีทางเลือกดังนั้นจั๋วหวายแม้จะไม่ได้เน้นหนักว่าผู้ชายทรยศคนนั้นคือผู้ชายทรยศ แต่ก็ยังถามขึ้นว่า "เขาจะพาพี่สาวข้าไปไหน?"ปันอวิ๋นได้ยินคำนี้ สายตาก็ลึกซึ้งขึ้นมา "นั่น...เป็นเรื่องของผู้ใหญ่เขา เด็กๆ ไม่ต้องถามเยอะ"จั๋วหวายเบ้ปาก ในใจก็บ่นว่าตนเองไม่ใช่เด็กแล้วเสียหน่อยแต่ปันอวิ๋นในที่สุดก็ไม่ได้บอกจั๋วหวาย ว่าเฟิงเหยียนจะพาจั๋วซือหรานไปที่ไหนในใจปันอวิ๋นชัดเจนดี สภาพของจั๋วซือหรานแย่หนักถึงระดับนี้แล้ว ขนาดยาก็ยังดื่มไม่ลงถ้าคิดจะใช้พลังศักดิ์สิทธิ์ปลอบประโลมตัวนาง รวมถึงปลอบประโลมลูกในท้องนาง...วิธีการที่ดีที่สุด คือสิ่งนั้นอย่างไม่ต้องสงสัยสติสัมปชัญญะของจั๋วซือหรานไม่ได้หลับลึกอย่างสมบูรณ์ ในมิติยังสัมผัสรับรู้ได้ถึงสภาพแวดล้อมรอบๆความรู้สึกนั้น เหมือนกับสติสัมปชัญญะถูกขังอยู่ในมิติอย่างไรอย่างนั้นนางจึงเป็นได้เพียงแค่ผู้ชมเท่านั้น"เฮ้อ ดูท่าเขาจะใช้วิะีนั้นสินะ" จั๋วซือหรานเอ่ยขึ้นขนมถั่วแดงกั