จากนั้นเขาก็นำสิ่งของที่เหมือนทรงกระบอกนั้น ส่งให้กับชายหนุ่มที่อยู่ข้างๆ อีกคนรับไป เอียงตาถามขึ้นว่า “เป็นอย่างไร?”“ก่อนหน้านี้เจ้าบอกว่านางมีแค่วิชายุทธ์ วิชาแพทย์ หลอมยากับวิชากู่ แต่ไม่เคยพูดเลยว่านางกระทั่งควบคุมสัตว์ก็ยังทำได้ด้วย” คนผู้นี้เอ่ยขึ้นเสียงต่ำชายหนุ่มที่ข้างเขา กลางหน้าผากมีตราประทับจันทราอยู่เจ้าสำนักหอจันทร์เงิน อินเจ๋ออันนั่นเองอินเจ๋ออันถามขึ้นเสียงเรียบ “ดังนั้น?”“ดังนั้น?” ชายหนุ่มข้างกายอินเจ๋ออันถึงแม้จะปิดบังใบหน้าครึ่งล่างไว้ แต่ก็มองออกได้ไม่ยาก จมูกที่โด่งเป็นสัน คิ้วตาโครงหน้าคม และสีฟ้าอ่อนๆ ที่เหมือนลอดออกมาจากในดวงตานี่เป็นดวงตาที่ศิษย์แห่งห้าตระกูลซางของเมืองหลวงเท่านั้นถึงจะมีและเช่นเดียวกับตระกูลเหยียนที่ถนัดวิชาแพทย์ ตระกูลเฟิงถนัดการรบ ตระกูลฮั่วถนัดข่าวกรอกง ตระกูลจั๋วถนัดการค้าตระกูลซางเองก็มีด้านที่ตนเองแข็งแกร่งที่สุด นั่นก็คือ...การควบคุมสัตว์“ถ้าเป็นคนอื่น ข้ายังสามารถไม่สนใจได้ ควบคุมสัตว์หรือ? ถ้าอย่างนั้นข้าก็อยากจะเจอนางหน่อยแล้ว” ในดวงตาสีน้ำเงินของชายหนุ่ม มีความสนใจอย่างเปี่ยมล้น“ได้ยินว่านางปลุกพลังวิญญาณตระกู
ถ้าหากคนที่นำหน้าตอนนี้คืออิงเซ่า บางทีอาจจะคิดได้ลึกซึ้งและกว้างไกลกว่านี้แต่บังเอิญคนที่อยู่ตรงหน้านี้คือฉีฮ่าวฉีฮ่าวไม่ละเอียดรอบคอบเหมือนอิงเซ่า เขาเป็นคนนิสัยตรงไปตรงมา ใช้ชีวิตแบบมีบุญคุณต้องทดแทนมาโดยตลอดพอได้ยินคำพูดนี้ของจั๋วซือหราน ฉีฮ่าวก็พยักหน้าหนักๆ “คุณหนูจิ่ววางใจเถอะ! ฉีฮ่าวคนนี้จะยืนอยู่ข้างกายคุณหนูเอง!”จั๋วซือหราพอได้ยินคำนี้ ก็หรุบตาต่ำลงยิ้มๆ “คำพูดของท่านแม่ทัน ไม่กลัวว่าจั๋วจิ่วคนนี้จะทำให้ท่านแม่ทัพต้องไปทำเรื่องเลวๆ อย่างนั้นหรือ?”จั๋วซือหรานพูดพลาง เงยตามองไปยังชายร่างสูงใหญ่ตรงหน้าคนนี้ “ถึงอย่างไรชื่อเสียงของจั๋วจิ่วในเมืองหลวงก็ย่ำแย่อยู่นา”แม่ทัพฉีฮ่าวหลังจากได้ยินคำพูดนี้ของนาง บนหน้าก็เผยรอยยิ้มจริงใจออกมา น้ำเสียงเองฟังแล้วเด็ดขาด ไม่มีลังเลแม้แต่น้อย“ไม่กลัว” ฉีฮ่าวตอบ “ข้าเชื่อสิ่งที่ตนเองเห็นเท่านั้น ข้าเห็นว่าแม่นางจิ๋วเป็นคนดี เช่นนั้นคนอื่นจะพูดอะไรก็ไม่มีผลทั้งนั้น”“ยิ่งไปกว่านั้นข้าเชื่อว่า แพทย์ที่ทรงคุณธรรมที่ช่วยเหลือวิกฤติของค่ายป้องกันกับค่ายลาดตระเวนไว้เช่นนี้ ต่อให้ไม่มีมนุษย์คนไหนรัก ก็ไม่มีทางเป็นคนชั่วช้าสามานย์แน่นอน
หลังจากดึงผ้าที่อุดปากทหารที่กำลังคลั่งคนหนึ่งออก มือของข้างหนึ่งก็ถือยาไว้ มืออีกข้างบีบคางของทหาร เตรียมจะกรอกยาพอปากของทหารคลั่งไม่ถูกอุดไว้ ก็จะกัดเข้าไปที่มือของนางอย่างดุร้าย“ระวัง!” แพทย์ทหารรร้องตกตะลึงขึ้นมา ส่วนทหารคนอื่นก็ตกตะลึงด้วยเช่นกันฉีฮ่าวทนไม่ไหวเดินขึ้นมาสองก้าวจากนั้นทุกคนก็เห็นมือของนาง ฉากหลบออกมาด้วยการเคลื่อนไหวเล็กน้อยแม้จะเบี่ยงหลบการกัดของทหารคลั่ง แต่หลังมือก็ยังถากกับฟันของทหารคลั่งคนนั้นไป จนเกิดเป็นรอยที่ไม่ใช่แผลลึกขึ้นหยดเลือดสีแดงไหลซึมออกจากบาดแผลเลือดนี้พอประทับบนผิวขาวนวลของนาง ก็ชัดเจนจนแยงตา และแยงเข้าไปในตาของทุกคนด้วยเช่นกันแต่ว่าพวกเขากลับมองไม่เห็นสีหน้าอะไรจากหน้าของนางเลยอย่าว่าแต่จะขมวดคิ้วเลย กระทั่งหนังตาก็ยังไม่เลิกขึ้นด้วยซ้ำยิ่งไปกว่านั้นแขนที่บาดเจ็บข้างนั้นของนาง การเคลื่อนไหวก็ไม่สับสนเลยแม้แต่น้อย ยังขยับไปตามทิศทางเดิม บีบคางทหารคลั่งเอาไว้ข้างหนึ่งออกแรงให้เขาขยับตัวอีกไม่ได้ จากนั้นก็กรอกยาลงไปทั้งชามจั๋วซือหรานปล่อยมือออกจากทหารคลั่งคนนั้น และทำเช่นเดียวกันต่อไปกับทหารคลั่งคนที่สองจากนั้นจึงเก็บมือกลั
จั๋วซือหรานที่นั่งอยู่ห่างๆ กำลังเย็บแขนข้างหนึ่งอยู่เงียบๆทหารคลั่งตอนแรกยังแยกเขี้ยวใส่นาง รู้สึกเหมือนอยากจะพุ่งเข้าไปกัดนางให้ตายเสียให้ได้ แต่สีหน้าของนางก็ยังไม่เปลี่ยน ยังคงเย็บต่อไปเงียบๆ ครู่หนึ่งก็เอียงตามองไปยังแพทย์ทหารที่กำลังมองอย่างเคลิบเคลิ้มแล้วเอ่ยขึ้น “ประมาณนี้นั่นล่ะ อีกเดี๋ยวท่านก็ลองหาพวกสัตว์อะไรมาทดลองดู หลักการก็เป็นเช่นนี้ ไม่ได้มีเคล็ดลับอะไร ฝึกมากๆ ก็ชำนาญเอง”แพทย์ทหารพยักหน้าหงึกหงัก ตอนที่มองจั๋วซือหราน ดวงตาก็เปล่งประกาย “ขอบคุณแม่นางจิ่วมาก! เรื่องนี้มีประโยชน์กับพวกเรามาก! ในค่ายทหารเนื่องจากสถานการณ์การฝึกฝนต่างๆ เรื่องการบาดเจ็บภายนอกพบเห็นได้บ่อยมาก...”จั๋วซือหรานทำงานของตนเอง พลางฟังเสียงสนทนาของอิงเซ๋ากับฉีฮ่าวที่อยู่ไม่ไกลออกไปนักด้วยระดับความเฉียบคมของสัมผัสทั้งห้านางตอนนี้ ต่อให้ไม่สามารถฟังออกทุกถ้อยคำอย่างชัดเจน แต่พอฟังประโยคสำคัญบางส่วน จากนั้นก็จะแกะความหมายออกมาได้เองจนในที่สุดที่เสร็จสิ้นสถานการร์ของค่ายป้องกัน ฟ้าก็เริ่มมืดแล้วดวงตะวันลับขอบฟ้า แสงยามเย็นย้อมท้องฟ้าไปทั้งผืน“ทางนี้หลักๆ ก็เสร็จเรียบร้อยแล้ว เช่นนั้นข้
แต่เพราะสถานการณ์ของสองวันนี้ก็ยังต้องกระโจนออกมาเหมือนสุ...บางทีอาจไม่ควรจะเรียกว่ากระโจนออกมาเหมือนสุนัขจนตรอกแต่เป็นโมโหจากความล้มเหลวอดพูดไม่ได้เลย ว่าจั๋วซือหรานคาดเดาไว้แม่นยำมากไม่นานก่อนหน้านี้ ตอนที่นางยังวุ่นอยู่ในค่ายป้องกันในอุทยานหลิ่วพ่านที่ห่างออกไปอ๋องอวี้ชินผู้สูงส่งโกรธเดือดดาล จนคนรับใช้ถูกไล่ออกไปแล้วสองคนถ้วยถาดกระจัดกระจายระเนระนาดเต็มพื้นชายหนุ่มในชุดหรูหรานั่งบนที่นั่งหลัก ใบหน้าเองก็หล่อเหลาอยู่ แต่ดวงตาทั้งสองกลับแดงก่ำ เหมือนดวงตาถูกแผดเผาด้วยความโกรธอย่างไรอย่างนั้น“ไม่ได้เรื่อง! ไม่ได้เรื่อง! ไม่ได้เรื่อง!”เพล้ง! เสียงแตกสะท้านดังขึ้นอีกครั้ง กาน้ำชาชั้นดีใบหนึ่ง ถูกขว้างจนแตกกระจายบนพื้น“มีแต่พวกไม่ได้เรื่อง! เจาหมิ่นอยู่ไหน! ? นางไม่ใช่บอกแล้วหรือ ว่านี่เป็นแผนที่สมบูรณ์แบบ?! แล้วนี่คือแผนสมบูรณ์แบบที่นางว่าหรือ?”ซือคงอวี้โมโหเดือดดาล เขาหัวเราะเย็นชาขึ้นมาทีหนึ่ง “ข้าได้ยินว่านางออกจากวังหลวงไปแล้วใช่ไหม? พอเห็นว่าล้มเหลวก็เลยหนีหางจุกตูดหรือ? แผนการยอดเยี่ยมเสียเหลือเกิน...”ตอนนี้เอง เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นที่ปากประตู “องค์ชายห้าอย่า
ความหยิ่งทะนงในใจซือคงเจาหมิ่น ทำให้นางไม่ยอมแพ้จั๋วซือหราน ตนเองแค่แพ้ไปครั้งเดียวเท่านั้น วันข้างหน้ายังอีกยาวไกลเพียงแต่ นี่ถือเป็นการไม่ยอมแพ้ต่อจั๋วซือหรานของตัวนาง และไม่ใช่ว่าไม่ยอมรับ จั๋วซือหรานนั้นเป็นคนที่มีฝีมืออยู่อย่างน้อยในกลุ่มรุ่นราวคราวเดียวกันในเมืองหลวง ก็แทบจะหาหญิงสาวแบบนางไม่ได้เลยแล้วซือคงอวี้ล่ะ?ซือคงเจาหมิ่นมองคนโง่ที่คิดว่าตัวเองฉลาดตรงหน้านี้ ในใจก็หัวเราะเย็นชา รอยยิ้มบนหน้ากลับไม่เปลี่ยนแปลงใดเลยซือคงเจาหมิ่นรู้สึกแย่กับเจ้าโง่ตรงหน้านี้มานานแล้วเดิมทีนางได้รับคำสั่ง ว่าสามารถถอนตัวออกจากแคว้นชางได้ แต่นางเดิมทีคิดว่าก่อนจะออกไปจะเล่นงานจั๋วซือหรานอีกสักที หลายปีนี้ในเมืองหลวงแคว้นชาง กว่าจะได้มาเจอคู่มือ แต่ดันมาแพ้ไปเสียแล้วนางเองก็ไม่คิดที่จะให้จั๋วซือหรานต้องลำบาก ดังนั้นจึงเข้ามาหาซือคงอวี้โดยเฉพาะ“เจาหมินความสามารถไม่เพียงพอเอง เสด็จพี่อย่าทรงกริ้วเลย” สีหน้าของซือคงเจาหมิ่นยังคงไม่เปลี่ยนแปลงซือคงอวี้ร้องเชอะเย็นชาขึ้นมา แต่คำพูดเมื่อครู่ของเจาหมิ่น ก็พูดตรงใจเขาพอดีคนแบบเขา อวดดีทะนงตน ยิ่งทำให้เชื่องได้ยาก ในสายตาเขาก็ยิ่งรู้
ซือคงเจาหมิ่นเอ่ยขึ้นอย่างยอมรับและเต็มใจ “เพคะ เสด็จพี่วางใจเถอะ ก็แค่ของบางอย่างใช้หมดไปแล้ว จำเป็นต้องไปเอามาจากชายแดนใต้ อย่างพวกกู่พวกยาอะไรพวกนี้ ถ้าเอามาทำประโยชน์ให้เสด็จพี่ได้ เจาหมิ่นไปจัดการเองยังวางใจได้มากกว่า”ซือคงอวี้แม้จะไม่ค่อยรู้สึกดีนักกับน้องสาวต่างสายเลือดคนนี้ แต่ก็อดพูดไม่ได้ ว่าคำพูดของนางมันน่าฟังจริงๆซือคงเจาหมิ่นตอนนี้จึงออกจากเมืองหลวง......จั๋วซือหรานหลังออกจากค่ายป้องกันกลับมายังเมืองหลวง ก็ไม่ได้แวะไปที่หน่วยสืบสวนพิเศษทันทีสำหรับสถานการณ์เหล่านี้ในเมืองหลวงปัจจุบัน หน่วยสืบสวนพิเศษจึงเป็นเหมือนพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ ถ้าหากอยากจะได้ความเงียบสงบหน่อย ไม่ที่หน่วนสืบสวนพิเสษรับรองไม่มีปัญหาแต่จั๋วซือหรานก็ยังตรงไปที่ตลาดมืดเสียรอบหนึ่งตอนที่นางไปถึงตลาดมืด การเผชิญหน้ากับตระกูลเหยียนก็ถือว่าจบไปแล้วพอเห็นจั๋วซือหรานเข้ามา ในดวงตาเจ้าสำนักหอฟ้าดาวก็เหมือนมีความอบอุ่นและรอยยิ้มขึ้นมาอย่างหาได้ยาก“คุณหนูจิ่ว”“เจ้าสำนัก”“คุณหนูจิ่วเหนื่อยมาทั้งวัน ยังไม่กลับไปพักผ่อนอีกหรือ?” เจ้าสำนักหอฟ้าดาวถามขึ้นจั๋วซือหรานยิ้มตาโค้ง “ทำไมหรือ เจ้าสำนักม
“เจ้าบอกว่าใครนะ?” จั๋วซือหรานมีสีหน้าประหลาดเผยออกมา นางเหลือบมองไปยังอิ๋นไห่ที่รายงานอยู่หน้าประตู ในดวงตาของเจี่ยงเทียนซิงเองก็ประหลาดใจหน่อยๆ เห็นได้ชัดว่ารู้สึกไม่อยากเชื่อเล็กๆ กับความยุ่งยากที่มาหาแบบกะทันหันนี้“เจ้าสำนักจันทร์เงิน” อิ๋นไห่เอ่ยตอบจั๋วซือหรานชี้ไปที่ตนเอง “มาหาข้าหรือ?”“ใช่แล้ว น่าจะเพราะรู้ว่าท่านมายังหอฟ้าดาว จึงเข้ามาขอพบ” อิ๋นไห่พยักหน้าจั๋วซือหรานขมวดคิ้วเจี่ยงเทียนซิงเองก็ขมวดคิ้ว เห็นได้ชัดว่าไม่เข้าใจเอาเสียเลย “เขามาทำอะไรกัน...”ส่วนจั๋วซือหรานก็เอ่ยขึ้นเสียงเรียบว่า “มาแก้แค้นกระมัง วันนั้นตอนอยู่ที่ลานทดสอบ ข้าก็ไม่เกรงใจเขาเลย”จั๋วซือหรานเอียงตามองเจี่ยงเทียนซิง “ต่อให้ไม่ได้มาล้างแค้น ก็น่าจะมาหาเรื่องข้านั่นล่ะ...”เจี่ยงเทียนซิงนิ่งงันครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง กลอกตามองไปทางจั๋วซือหราน “ถ้าเจ้าไม่อยากพบ ข้าให้อิ๋นไห่พาเจ้าออกไปทางประตูหลังได้นะ อินเจ๋ออันทางนี้ให้ข้ารับมือก็พอ”อันที่จริงจั๋วซือหรานก็กลัวความยุ่งยากหน่อยๆ หลักๆ คือ เรื่องยุ่งยากมากเกินไปแล้วแต่พอคิดๆ ชีวิตคนเราเดิมทีก็มีความยุ่งยากที่ต้องไล่แก้ไปทีละเรื่องๆ อยู่แล้ว
"เดิมทีข้าแค่คิดจะจับเจ้าเป็นๆ พากลับไปสอบสวนเสียหน่อย ว่าเจ้าไปรเียนรู้ทักษะภาษาสัตว์ที่แทบจะสาปสูญไปแล้วของตระกูลซางมาได้อย่างไร" ซางเชวี่ยน้ำเสียงเย็นชาลงไปอีกจั๋วซือหรานมองนาง มุมปากยกขึ้นจนเป็นร้อยยิ้มจางๆ ไม่มีความอบอุ่นใดๆ กระทั่งไม่มีอารมณ์ใดอีกด้วยราวกับไม่ว่าซางเชวี่ยกับคนตระกูลซางพวกนี้จะพูดอะไรหรือทำอะไร ก็ไม่อาจส่งผลอะไรกับใจนางได้เลยจั๋วซือหรานเอ่ยขึ้น "คนที่บีบเค้นถามข้า บอกว่าข้าแอบเรียนวิชาแพทย์ของตระกูลพวกเขา ตอนนี้ยังนอนอยู่ในบ้าน บางครั้งก็อั้นฉี่ไม่ไหวอยู่เลย "จั๋วซือหรานมองดวงตาซางเชวี่ย "เจ้าอยากจะลองไหม?"ซางเชวี่ยหัวเราะเย็นชา "ข้ายังพูดไม่จบเลยนะ ข้าเดิมทีคิดจะจับเจ้าเป็นๆ แต่ตอนนี้ ข้าเปลี่ยนความคิดแล้ว คนอย่างเจ้า เป็นตัวแปรที่ไม่สามารถควบคุมได้ ไม่รู้ว่าจะเอาความยุ่งยากหรือการเปลี่ยนแปลงมามากแค่ไหน ตายๆ ไปเสียดีกว่า คนตายไปคือปลอดภัยที่สุด ไม่ว่าสำหรับใครก็เป็นเช่นนี้"เสียงเพิ่งหยุดลง ข้อมือของซางเชวี่ยก็สั่นไหวอย่างรุนแรงแสงเงินสายหนึ่ง รวดเร็วมาก! แล่นตรงเข้ามาทางจั๋วซือหรานจั๋วซือหรานหรี่ตาลงเล็กน้อย ยื่นมือออกทันทีแต่นางยังไม่ทันยื่นมือ
"นี่มัน...ไหมกู่?" ซางถิงอยู่ใกล้ๆ จั๋วซือหราน ดังนั้นจึงเห็นเส้นใยเหล่านี้ยิงออกมาจากมือนางและเพราะสามารถมองเห็นได้ชัด ดังนั้นซางถิงจึงมองออกรางๆ ว่าเส้นใยแต่ละเส้นเหล่านี้ กลับไม่เหมือนตาข่ายใยแมงมุมอะไรแต่คล้ายกับ...ไหมกู่ไหมกู่ที่แมลงกู่พ่นออกมาหญิงสาวคนนี้...ใช้วิชากู่ได้ด้วย!ซางถิงก่อนหน้านี้รู้สึกแค่ว่า จั๋วซือหรานถึงแม้จะเก่งกาจ แต่ว่าตนเองก็ออมมือไปบนเวทีด้วยไม่ได้ใช้วิญญาณเลือดอสูรออกมาด้วยซ้ำแต่ตอนนี้ดูแล้ว จั๋วซือหรานที่อยู่บนเวทีเองก็เหมือนจะออมมืออยู่ไม่น้อยเลย ทั้งสองฝ่ายต่างออมมือจนสู้ออกมาเป็นแบบนั้นคนของโถงตัดหัวตระกูลซาง เห็นได้ชัดว่าคิดไม่ถึงเหมือนกัน ว่าจั๋วซือหรานจะใช้วิชากู่ได้ด้วย!หญิงสาวคนนี้! คิด! จะทำอะไรกันแน่!วิชาแพทย์ วิชาสกัดยา วิชายุทธ์ ตอนนี้วิชาควบคุมสัตว์กับวิชากู่ก็ยัง...!คนของโถงตัดหัวล้วนมองนางอย่างระแวดระวัง หลังจากกันไหมกู่ของนางออกไปแล้ว ก็ยังไม่กล้าทำอะไรบุ่มบ่ามแต่ก็มีอยู่สองสามคนที่ไม่ระวังถูกไหมกู่ของนางเปื้อนเข้าไป ล้วนล้มลงพื้นครวญครางเจ็บปวดขึ้นมาสายตาซางเชวี่ยก็จับจ้องที่จั๋วซือหรานเช่นกัน "วิชากู่เจ้าก็เป็นด้วย
"แต่จากที่ข้ารู้ แมลงพิษที่ใช้เป็นกู่มาหลอมได้...แมงมุมเองก็ถือเป็นหนึ่งในนั้น" จั๋วซือหรานเอ่ยขึ้นพอจั๋วซือหรานพูดคำนี้ คนของโถงตัดหัว สีหน้าก็เปลี่ยนไปทันทีจั๋วซือหรานยิ้มๆ "เล่นกู่หรือ? ช่วงนี้ข้าก็สนใจกับการเล่นกู่เหมือนกัน ดังนั้น ตาข่ายของพวกเจ้า ฉันเลยทดสอบไปแล้ว ตอนนี้ตาข้าแล้วกระมัง?"ตอนที่จั๋วซือหรานพูดคำนี้ ซางถิงก็ตกตะลึงไปเขารู้สึกว่าคำพูดนี้ดูคุ้นหู ตอนอยู่บนเวที จั๋วซือหรานก็พูดแบบนี้กับเขาเหมือนกันและหลังจากที่นางพูดคำนี้ ก็โต้กลับอย่างรุนแรงใส่เขาทันทีตอนนี้ นางพูดแบบนี้ออกมาอีกครั้งไม่รู้เพราะอะไร ซางถิงรู้สึกว่า น่าจะเป็นความรู้สึกคล้ายๆ กับก่อนหน้านี้กระมังคนอย่างจั๋วซือหราน ตอนที่เป็นคู่ต่อสู้ของนาง คงรู้สึกตำมือเป็นอย่างมาก มาเจอคนแบบนี้ เหมือนเจอกับเข็มแหลมรอบด้านจริงๆไม่ว่าจะสัมผัสจากมุมไหน ก็ล้วนทิ่มแทงมือทั้งสิ้น!แต่ตอนที่ไม่ได้เป็นคู่ต่อสู้กับนาง แล้วมาเป็นสหายร่วมรบที่มีเป้าหมายเดียวกันก็เหมือนจะรู้สึกว่าวางใจได้อย่างประหลาดเลยทีเดียวตอนที่ได้ยินนางพูดเช่นนี้ ก็เหมือนจะไม่มีอะไรให้สับสนแล้วซางเชวี่ยหัวเราะเย็นชาขึ้นมาในกลุ่มโถงตัดหั
"มันต้องไม่ปกติอยู่แล้ว! นั่นมันวิชาลับสืบทอดของโถงตัดหัว" ซางถิงเอ่ยขึ้น "ตาข่ายแมงมุมของพวกเขาล้วนหลอมขึ้นมา ก็เพราะเอาไว้ควบคุมฝ่ายตรงข้าม""ในเมื่อควบคุมจั๋วซือหรานได้แล้ว" ผู้หญิงเสียงเย็นชานั่นเอ่ยขึ้นมา "ก็เก็บซางถิงเสีย ข้าเห็นตอนที่เขาสู้กับจั๋วซือหรานบนเวที สู้จนหมดเรี่ยวหมดแรงแล้ว ยังไม่รู้ว่าจับแอบเก็บไพ่ตายอะไรที่ไม่อยากให้ใครเห็นไว้หรือเปล่า? ดูแล้วประหลาดๆ"ซางถิงพอได้ยินเนื้อหาคำพูดของซางเชวี่ย สีตาก็เปลี่ยนไปเขากำกำปั้นแน่น เขาซ่อนไพ่ตายความสามารถที่ไม่อยากให้คนอื่นรู้ไว้จริง เขาสามารถเปิดช่องพลังได้แต่ไม่เหมือนกับเปิดช่องพลังทั่วไป เขาไม่เพียงแต่สามารถเปิดช่องพลัง ยกระดับความสามารถตนเองขึ้นชั่วคราว ยิ่งไปกว่านั้น ยังไม่รู้สึกอ่อนล้าหลังจากที่ใช้พลังเกินตัวอีกด้วยเพราะการเปิดช่องพลังของเขา ไม่ได้เกิดจากใช้พลังงานของตนเองจนหมดแล้วดูดซับพลังวิญญาณฟ้าดินการเปิดช่องพลังของเขา คือใช้พละกำลังของสัตว์ที่ควบคุม ไม้ตายนี้เรียกว่า...วิญญาณเลือดอสูรไขาไม่เพียงแต่สามารถใช้พลังของสัตว์ที่ควบคุมได้ แต่ยังใช้พลังวิญญาณของสัตว์ควบคุมได้ในบางระดับด้วย กระทั่ง ยังสามารถทำให้
เขาสัมผัสได้ว่าบนบาดแผลทั้งสองที่ถูกดาบของนางแทงไว้ จนทำให้หินต้องห้ามยังแตกก่อนหน้านี้เวลานี้มันคันยุบยิบ ราวกัยว่า...กำลังผสานอย่างรวดเร็วจั๋วซือหรานเอ่ยขึ้นเสียงต่ำ "รักษาให้เจ้าก่อน อีกเดี๋ยวถ้าสู้ขึ้นมา จะได้ไม่ขี้เกียจ"ซางถิงเกือบจะโมโหจนหัวเราะขึ้นมายังไม่ทันที่เขาจะได้พูด ในกลุ่มคนเหล่านั้นที่ล้อมเข้ามา ก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้น"จั๋วซือหราน เจ้าสังหารลูกหลานตระกูลข้าไป แอบเรียนวิชาลับตระกูลข้า โทษนี้สมควรตาย แต่เห็นแก่ว่าเจ้าไม่ใช่คนในตระกูลเรา ไม่เข้าใจกฏเกณฑ์ของตระกูล จะไว้ชีวิตเจ้า แล้วจะพาเจ้ากลับไปช่วยอธิบายให้หน่อย ว่าไปร่ำเรียนวิชาลับตระกูลเรามาจากที่ไหน"จั๋วซือหรานพอได้ยินเนื้อหานี้ "เข้ามาเพราะความสามารถข้าจริงๆ ด้วย"ซางถิงหัวเราะเฮอะขึ้นมา เอ่ยเสียงต่ำกับจั๋วซือหรานว่า " ข้าก็บอกว่าแล้วไม่ได้มาหาข้า ในเมื่อมันไม่เกี่ยวกับข้า ข้าไปได้แล้วใช่ไหม?"จั๋วซือหรานหัวเราะเหอะๆ " อย่าสิ ข้ารักษาให้เจ้าแล้วนะ รับแล้วก็ตอบแทนกันหน่อยมันเป็นมารยาท"ซางถิงกัดฟัน "แล้วทำไมเจ้าไม่พูดเสียหน่อยว่าบาดแผลพวกนั้นมันมายังไง..."ตอนนี้เอง เสียง 'คาดโทษ' จั๋วซือหรานก่อนหน้านี้ก
เพราะเวลาค่อนข้างดึกแล้ว กระทั่งสนามประลองทางนี้ก็ยังเงียบสงบ ดังนั้นที่นี่ต่อให้สู้กันขึ้นมาตอนนี้ ก็ไม่ได้ดึงดูดสายตาใครยิ่งไปกว่านั้น ตลาดมืดก็มีกฏของตลาดมืด คนของตลาดมืดก็มีวิถีการดำรงชีวิตของตนเองเช่นกันในนี้กฏที่ใช้ได้ทั่วไปข้อหนึ่งคือ...อย่ายุ่งเรื่องชาวบ้านดังนั้นพวกเขาต่อให้ตายกันที่นี่ ก็น่าจะไม่ส่งผลกระทบอะไรมากนักตลาดมืดฝังศพเอาไว้แทบทุกที่ นี่คือที่มาของคำพูดนี้ดังนั้นในกลุ่มคนเหล่านี้ หลังจากเข้ามาล้อมซางถิงกับจั๋วซือหรานแล้ว เดิมทีรอบๆ ก็ยังมีคนอยู่อีกส่วนหนึ่งดูจากท่าทางแล้วไม่ธรรมดาเลย ทยอยกันกระจายตัวออกเหมือนสัตว์ ตอนนี้ที่นี่จึงสงบมาก...แทบไม่มีคนเลยคืนเดือนมืดลมพัดแรง ค่ำคืนแห่งการสังหารดูจากเสื้อผ้าคนเหล่านี้ อันที่จริงยังมองไม่ออกถึงตัวตนฐานะแท้จริงของพวกเขาแตว่า ขอแค่คนรู้จริงเรื่องกลุ่มอย่างซางถิง ก็จะมองออกถึงกลุ่มได้อย่างรวดเร็วซางถิงมองกลุ่มออกจากเครื่องมือควบคุมสัตว์ของพวกเขาอย่างรวดเร็วซางถิงเอียงหน้าเล็กน้อย บอกกับจั๋วซือหรานด้านหลังว่า "ระวังด้วย คนพวกนี้ ทั้งหมดเป็นคนของโถงตัดหัวตระกูลซาง"โถงตัดหัว?" จั๋วซือรหานฟังคำนี้แล้วก็เอ่ย
แต่ยังไม่ทันได้แตะไหล่ของจั๋วซือหราน นางก็มีปฏิกิริยากลับมาอย่างรวดเร็ว“เจ้า” จั๋วซือหรานเห็นหน้าคนด้านหลังอย่างชัดเจนผมสีขาวรุงรังกับดวงตาสีฟ้าทึมที่เป็นเอกลักษณ์ แสดงชัดถึงตัวตนฐานะของเขา นี่คือคู่มือที่ประลองกับนางบนเวทีเมื่อครู่นี้นั่นเองดวงตาสีฟ้าทึมของเขาจ้องมองจั๋วซือหราน “ข้ายังคิดว่าเจ้าไปแล้วเสียอีก ทำไม? กำลังรอข้าหรือ?”จั๋วซือหรานมองเขา “เจ้านี่...มั่นใจในตัวเองเสียจริงนะ”“ใช่สิ” รอยยิ้มในดวงตาสีฟ้าทึมของเขายิ่งเพิ่มมากขึ้น “ข้ากับเจ้ามันคนประเภทเดียวกัน เป็นพวกที่มั่นใจในตนเองแบบนั้น”จั๋วซือหรานหัวเราะ จากนั้นจึงเห็นแขนที่ห้อยอยู่ข้างตัวเขา ยังมีเลือดสดไหลอาบลงมา กลิ่นคาวเลือดบนตัวเขายังไม่หายไป“เจ้าน่าจะรักษาแผลก่อนแล้วค่อยมาพูดจาคุยโตนะ” จั๋วซือหรานเอ่ยขึ้น“เรื่องเล็กน่า” ซางถิงเอ่ยตอบจั๋วซือหรานคิดๆ เอ่ยขึ้นว่า “เมื่อครู่เจ้าออมมือไว้ ไม่งั้นคงไม่เจ็บขนาดนี้”“ใช่เลย ข้าออมมือไว้ ก็เลยลดความยุ่งยากลงไปได้พอควร” ซางถิงตอบจั๋วซือหรานยิ้ม “อินเจ๋ออันไม่ใช่ความยุ่งยากหรือ?”“เขา? เขาจะไปยุ่งยากอะไร...” ซางถิงดูไม่ใส่ใจกับเรื่องนี้ เอ่ยต่อว่า “ข้าออมมือ
ได้ยินคำนี้ ฮั่วจือโจวยกมุมปากขึ้น “คุณหนูเฟิงสือ เจ้าคิดมากเกินไปแล้ว ข้าก็แค่อยากร่วมมือกับแม่นางจิ่วเท่านั้น”เฟิงหร่านมองเขา แม้บนปากจะไม่คัดค้าน แต่ในใจก็แอบคิด นั่นก็เพราะเจ้ายังสัมผัสไม่ได้ถึงเสน่ห์ของพี่หญิงจั๋วเท่านั้นส่วนเจี่ยงเทียนซิงที่อยู่ข้างๆ พอได้ยินคำพูดของเฟิงหร่าน ก็ไม่ได้ส่งเสียงอะไร เพียงแต่รอยยิ้มในดวงตาค่อยลดลงมาเท่านั้นครู่ต่อมา จึงเอ่ยเสียงต่ำขึ้นว่า “แต่ว่าตระกูลเฟิงของพวกเจ้า ไม่ใช่ว่าดูถูกซือหรานหรอกหรือ เพราะอะไรกัน? พวกเจ้าเห็นสิ่งนี้เป็นของไร้ค่า แต่ก็ไม่ยอมให้คนอื่นได้ครอบครองหรือ? ใหญ่โตเสียจริง”สำหรับคำพูดของเจี่ยงเทียนซิง เฟิงหรานกระทั่งโต้แย้งก็ยังแย้งออกมาไม่ได้นางริมฝีปากสั่นระริก ครึ่งมาจึงบอกว่า “สรุปคือ หลังจากนี้จะมีวิธีเอง”ฝูซูมองจากข้างๆ เขารู้แน่นอนว่าคุณหนูของตนเองยอดเยี่ยมแค่ไหนทำให้คนหลงใหลได้แค่ไหนและก็รู้ว่าคุณหนูเฟิงสือถูกคุณหนูทำให้หลงไปแล้ว การที่พูดแบบนี้ออกมาก็ไม่ได้ผิดอะไรแต่ปฏิกิริยาของเจี่ยงเทียนซิงนี่ กลับทำให้ฝูซูอดเหลือบมองเขาขึ้นมากหน่อยไม่ได้ในใจฝูซูก่อนหน้านี้ก็รู้สึกว่าเจี่ยงเทียนซิงคนนี้เหมือนจะ...รู้สึก
“นี่ฝูซูกับเฮยหลิงยังไว้หน้าพวกเจ้าอยู่นะ ถึงยังไม่จับตะเกียบ ไม่อย่างนั้นพวกเจ้าแค่น้ำแกงก็ไม่ได้ชิมด้วยซ้ำ” เจี่ยงเทียนซิงวางตะเกียบลงหัวเราะฮั่วจือโจวไม่อยากเชื่อ ถามขึ้นว่า “นี่คือของที่แม่นางจั๋วจิ่วทำหรือ? จริงหรือเปล่า?”“เป็นของที่คุณหนูข้าทำเอง” ฝูซูพยักหน้าอินเจ๋ออันมองเขา ถามขึ้นว่า “คุณชายฮั่ว ยอมรับแล้วหรือยัง?”ฮั่วจือโจวถอนหายใจเบาๆ พยักหน้าเจี่ยงเทียนซิงเห็นท่าทางแขกยึดครองตำแหน่งเจ้าภาพของอินเจ๋ออันแล้วก็หัวเราะพรวดขึ้นมา “เปาน้อย เจ้าเองก็ไว้หน้าตัวเองหน่อยดีไหม คำพูดนี้ข้าต่างหากที่ควรถาม? เจ้าน่ะยอมรับแล้วหรือยัง?”“ถ้าข้าไม่ยอมรับ แล้วข้าจะเอาเงินมาให้พวกเจ้าด้วยตัวเองทำไมกัน?!” อินเจ๋ออันจ้องอย่างมาดร้ายไปทางเจี่ยงเทียนซิงตัวเขาเองอาจจะไม่ทันสังเกต ว่าตนเองกระทั่งลืมไปแล้วว่าต่อต้านชื่อเรีย ‘เปาน้อย’ อยู่เฟิงหร่านนั่งอยู่ข้างๆ ไม่พูดอะไรมาตลอด สนใจแค่การกินอาหารบนโต๊ะอย่างรวดเร็วราวพายุดูดเท่านั้นนางกินไปด้วย พิจารณาชายหนุ่มสามคนนี้ไปด้วยในใจจู่ๆ ก็เกิดความรู้สึกวิตกกังวลขึ้นมาเฟิงหร่านเกิดวิตกกังวลขึ้นมาแทนพี่ชายตนเอง นางชื่นชมในใจ พี่หญิงจั๋วน