“หรานหราน ที่นี่ที่ไหนลูก เรามาทำอะไรที่นี่”อวิ๋นเหนียงรู้สึกประหม่าเล็กน้อย จั๋วหวายอยู่ด้านข้าง เขายิ่งหวาดกลัวโดยไม่กล้าพูดอะไร เพราะอวิ๋นเหนียงเป็นฮูหยินที่อยู่ในบ้านตลอด และนางอาจไม่รู้จักหลายเรื่องและสถานที่มากมายแต่จั๋วหวายพอรู้อะไรบางอย่าง ตัวอย่างเช่น ในตอนท้ายของถนนที่ไม่ค่อยมาคนเดินเข้ามาเป็นสถานที่ที่ไม่สามารถเข้าถึงได้มากยิ่งขึ้น - หน่วยสืบสวนพิเศษ“ท่านพี่ ท่านพี่...” จั๋วหวายกระซิบ “เรา เรามาทำอะไรที่นี่ และ…”จั๋วหวายพูดและมองดูชายที่นั่งตรงข้ามเขาอย่างระมัดระวังเขาพูดต่อด้วยเสียงแผ่วเบาว่า “...มากับท่านอ๋องด้วย”อวิ๋นเหนียงยิ่งรู้สึกไม่สบายใจมากขึ้น “ หรานหราน มีอะไรเกิดขึ้นหรือเปล่า”แม้ว่าอวิ๋นเหนียงเป็นแม่เลี้ยงลูกที่ไม่สนใจเรื่องทางโลก แต่นางก็ไม่ได้โง่เช่นกัน ท่านอ๋องที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสนั่งรถม้าคนเดียวกับพวกเขา... อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้ต้องอันตรายแน่ ๆหลังจากรถม้าจอดสนิท จั๋วซือหรานจับไหล่ของท่านแม่ของนางด้วยมือทั้งสองข้าง“ท่านแม่ไม่ต้องกังวล ท่านแม่แล เสี่ยวหวายอยู่ที่นี่ ปลอดภัยแน่นอน” จั๋วซือหรานกล่าวแต่เมื่ออวิ๋นเหนียงได้ยินคำพูดของลูกสาว นาง
ยังไม่มีการตอบสนองเพราะเมื่อจั๋วซือหรานเป่านกหวีด จั๋วหวายกำลังยืนอยู่ใกล้ ๆ ดังนั้นเมื่อเขาเห็นพี่สาวของเขาเล่นเป่านกหวีด และไม่มีการตอบสนองใด ๆเขาบอกพี่สาว "บางที... เขาอาจไม่อยู่พอดี หรือเขากำลังพักผ่อนอยู่พอดี เลยไม่ได้ยิน เสียงนกหวีดนี้ก็ไม่ดังด้วย..."จั๋วซือหรานฟังออก เสี่ยวหวายกำลังช่วยบรรเทาความลำบากใจของนาง นางยิ้มเบา ๆ และคิดกับตัวเองว่านางไม่ต้องการเขาช่วยบรรเทาความลำบากใจหรอกเพราะจั๋วซือหรานเชื่อว่า ชิ่งหมิงต้องยินจริง ๆ ตั้งแต่แรกอยู่แล้วตราบใดที่ชิ่งหมิงเป็นคนธรรมดา จั๋วซือหรานยังไม่แน่ใจขนาดนี้นักแต่เขาคือชิ่งหมิง ผู้ที่สามารถทำให้ซือหลี่ตันติ่งย้ำว่า หากรับปากชิ่งหมิง ชิ่งหมิงจะเชื่อจริง ๆ นางต้องทำให้ได้ มิเช่นนั้น นางอย่ารับปากใด ๆ กับชิ่งหมิงเลยจั๋วซือหรานรู้สึกว่าบุคคลเช่นนี้จะต้องทำตามที่เขาพูดอย่างแน่นอนเขาเอาเป่านกหวีดนี้ให้นาง เพราะฉะนั้นเขาต้องได้ยินแน่นอนอย่างที่นางคิดไว้จริง ๆ หลังจากนั้นไม่นานเสียงทื่อดังขึ้นพวกเขาเห็นว่ากำแพงที่อยู่ตรงหน้าพวกเขา ในส่วนของบ้านหลังที่สามเริ่มขยับทันทีเหมือนมีกลไกบางอย่างถูกเปิดใช้งานจากนั้นมีประตูบาน
ทันทีที่จั๋วซือหรานพูดจบ นางเห็นชายหนุ่มที่เดินอยู่ตรงหน้านางแทบจะล้มบนพื้นหลังจากเขาพยายามทรงตัวให้ได้ เขาก็หันไปมองนางแล้วถาม "เรื่อง เรื่องอะไร"จั๋วซือหรานกล่าวต่อ "เมื่อเร็ว ๆ นี้ข้าต้องจัดการปัญหาบางอย่าง แต่ข้ากังวลความปลอดภัยของทุกคน ข้าคิดไปคิดมา ในเมืองหลวง หากพูดว่ามีที่ใดเป็นสถานที่ที่มีกำแพงเหล็ก ตรงนี้แหละ"เมื่อชิ่งหมิงได้ยินคำพูดของจั๋วซือหราน เขากลั้นตัวไม่ได้แล้วเขารีบถาม “ปัญหาหรือ ซือหราน เจ้าเจอปัญหาอะไร”เขาทำตัวเหมือนเขารอไม่ไหวแล้ว เขาต้องการไปช่วยนางด้วยตัวเอง“ข้าจัดการได้ แต่แค่เรื่องนี้ เจ้าช่วยข้าได้ไหม” จั๋วซือหรานกล่าว นางมองเขาด้วยสายตาที่บิดเบี้ยว แล้วพูดเสริม“ท่านเจ้าคะ”ชิ่งหมิงตอบ "ไม่มีปัญหา มันแค่..."ชิ่งหมิงมองไปที่ซือคงเซี่ยนซือคงเซี่ยนทักทายเขาเมื่อเห็นแววตาของชิ่งหมิง จั๋วซือหรานรู้สึกว่าอาจเป็นเพราะฐานะของซือคงเซี่ยน ซึ่งทำให้ชิ่งหมิงรู้สึกลำบากใจเพราะโดยปกติแล้ว หน่วยสืบสวนพิเศษจะไม่เข้าไปยุ่งเรื่องของราชวงศ์โดยไม่คาดคิด ก่อนที่จั๋วซือหรานจะพูดอะไรต่อ ชิ่งหมิง พูด "...ข้าไม่รู้ว่าเขาเป็นใคร แค่นั้นเอง"หลังจากจั๋วซือหรานได
จั๋วซือหรานเดินออกจากห้องซือคงเซี่ยนมองไปที่ประตูที่ปิดอยู่ ในที่สุดเขาก็หายใจยาว ๆ แล้วนอนลงบนเตียงอันนุ่ม ๆ ห้องนี้คงไม่มีคนพักเป็นเวลานานดังนั้นจึงมีกลิ่นที่อธิบายไม่ได้ในอากาศในฐานะองค์ชายที่ใช้ชีวิตดีมาก่อน ซือคงเซี่ยนไม่น่าจะอยู่ในสภาพแวดล้อมเช่นนี้ได้แต่น่าประหลาดใจ ภายใต้สภาพแวดล้อมเช่นนี้ เขารู้สึกสบายใจมากเช่นเดียวกับที่ซือหรานเคยพูด นี่คือสถานที่ที่มีกำแพงเหล็ก ทำให้เขารู้สึกปลอดภัยจากก้นบึ้งของหัวใจซือคงเซี่ยนไม่สามารถบอกได้ว่าอารมณ์ของเขาเป็นอย่างไร เมื่อนึกถึงความทรมานที่เขาได้รับในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา และจากนั้นก็ได้รับความสงบสุขในขณะนี้ เขารู้สึกราวกับว่าเขาอยู่ในอีกโลกหนึ่งเขานอนบนเตียง เขารู้สึกซาบวึ้งในใจ เขาเลยยกแขนขึ้นและบังดวงตาไว้ซือคงเซี่ยนยิ้มอย่างจำใจ เขาอดไม่ได้ที่ต้องคิดว่าไม่ใช่ว่าเขามั่นใจในตัวจั๋วซือหรานมากเกินไปแต่เป็นเพราะที่ตลอดมา การกระทำของจั๋วซือหราน ทำให้ผู้คนต้องเชื่อในความสามารถของนางจริง ๆดังนั้น ซือคงเซี่ยนจึงอดไม่ได้ที่ต้องสงสัยว่าในขณะนี้ เป็นไปได้ไหมว่า... เขาสามารถเอาชนะซือคงยวี่ได้โดยที่เขาไม่ต้องทำอย่างอื่น แค่นอนในห
สีหน้าของฉูนจวีนเปลี่ยนไปทันที และเขาก็หันไปมองที่ห้องใต้ดิน "เกิดอะไรขึ้น ท่านขอรับ ข้าน้อยขอเข้าไปดูก่อนขอรับ"เฟิงเหยียนไม่ได้คิดมากและพยักหน้าหลังจากฉูนจวีนลงไปแล้ว เฟิงเหยียนก็หันไปมองผู้พิทักษ์เงาที่รายงานในก่อนหน้านี้ "พูดต่อ"ผู้พิทักษ์เงาจึงกล่าวต่อว่า “ไปหน่วยสืบสวนพิเศษขอรับ ข้าคิดว่า แม่นางจิ่วอาจทราบเรื่องที่ที่เกิดขึ้นอย่างลับ ๆ ในเมื่อเร็ว ๆ นี้”เมื่อได้ยินคำพูดนี้ เฟิงเหยียนก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย “นางฉลาดมาก ตราบใดที่นางได้ข่าวแม้แต่น้อย นางก็สามารถเดาสถานการณ์คร่าว ๆ ของเรื่องได้”ช่วงนี้ อาจเป็นเพราะนางต้องยุ่งจัดการตระกูลเหยียน และตระกูลจั๋ว นางจึงไม่กระตือรือร้นกับเหตุการณ์ลับบางอย่างในเมืองหลวงไม่เช่นนั้น นางคงสังเกตเห็นตั้งนานแล้วเฟิงเหยียนฟังผู้พิทักษ์เงารายงานไป และสนใจกับการเคลื่อนไหวในห้องใต้ดินด้วยไม่มีการเคลื่อนไหวใด ๆนี่ยิ่งทำให้เฟิงเหยียนรู้สึกต้องมีอะไรผิดปกติแน่ ๆ เขาขมวดคิ้วผู้พิทักษ์เงาสังเกตสีหน้าของเขาและถามว่า "ท่านขอรับ มีอะไรผิดปกติหรือขอรับ"“ไม่มีการเคลื่อนไหวเลย” เฟิงเหยียนกล่าว มือของเขาวางไปที่เอวของเขาและจับด้ามกระบี่เสวียนเหย
เขาดึงกระบี่เสวียนเหยียนออกมา ในขณะที่เขาดึงกระบี่เสวียนเหยียนออกมา ลมดาบที่แผดเผาก็ลอยออกไปกระทบผีอันร้ายควบคุมทั้งสี่นั้น แต่ดูเหมือนว่าพลังนั้นไม่สามารถสร้างอันตรายใด ๆ ต่อพวกมันได้เฟิงเหยียนหรี่ตาลงและมองดูสถานการณ์ของพวกเขาอย่างเย็นชาไม่ บางทีอาจไม่ควรพูดว่า เขาไม่สามารถทำร้ายพวกเขาได้ เพราะเขาเห็นรอยแผลเป็นที่น่ากลัวบนร่างกายของพวกเขาที่เกิดจากลมดาบครั้งก่อนได้อย่างชัดเจนแต่ควรพูดว่าถึงแม้พลังนั้นทำให้พวกเขาต้องรับบาดแผล แต่ก็ไม่สามารถห้ามพวกเขาได้ ดูเหมือนพวกเขาไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวดกระบี่เสวียนเหยียนของเฟิงเหยียนมีพลังไฟวิเศษที่บริสุทธิ์และรุนแรงที่สุดของตระกูล ในนั้นซึ่งเต็มไปด้วยพลังศักดิ์สิทธิ์ของตระกูลไม่ต้องพูดถึงอย่างอื่น พลังนี้สามารถนำความเจ็บปวดมาสู่ผู้คนได้อย่างแน่นอนแต่ดูเหมือนพวกเขาทั้งสี่ไม่รู้สึกเจ็บปวดเลยการโจมตีของเฟิงเหยียนทำให้พวกเขาหยุดชั่วขณะหนึ่งเท่านั้นจากนั้น ดูเหมือนว่าพวกเขาถูกพลังนี้ดึงดูด และพวกเขาก็เอียงหัวและมองดูสองคนที่ยืนที่ประตูห้องใต้ดินดูเหมือนว่าพวกเขาสนใจเนื้อและเลือดสดนี้มากกว่าเมื่อเฟิงเหยียนสังเกตพวกเขากำลังมองมา เฟ
เฟิงเหยียนลดสายตาลง เขาเห็นจั๋วซือหรานยื่นมือไปด้านหลัง และค่อย ๆ จับปลายดาบของเขาอย่างนุ่มนวลแต่การกระทำนี้ไม่ได้ทำให้เฟิงเหยียนไม่พอใจเลยในทางตรงกันข้าม ทันทีที่จั๋วซือหรานมีการกระทำเช่นนี้ เฟิงเหยียนก็ตระหนักว่า " จั๋วเสียวจิ่ว เจ้าช่วยเขาได้ไหม"เมื่อฉูนจวีนได้ยินคำพูดของเฟิงเหยียน ดวงตาอันแดงก่ำเขาที่เคยเต็มไปด้วยความปรารถนาที่อยากตายดูเหมือนตอนนี้ดวงตาคู่นี้มีประกายแห่งความหวังที่อาจเรียกได้ว่าเป็นความหวังเล็ก ๆเพราะหากเป็นคนอื่น ตอนนี้ฉูนจวีนคงไม่มีความหวังหรอกแต่คนนี้ไม่ใช่ใครอื่นนอกจาก... จั๋วซือหรานผู้หญิงคนนี้ทำให้ผู้คนประหลาดใจอยู่เสมอ นางทำให้คนต้อง...ตั้งตารอจริง ๆท้ายที่สุดแล้ว ใครจะอยากตาย หากพวกเขาสามารถมีชีวิตอยู่ได้จั๋วซือหรานหรี่ตาลงและมองดูอาการบาดเจ็บของฉูนจวีนอยู่ครู่หนึ่ง นางพยักหน้าเล็กน้อยแล้วกระซิบว่า "อาการบาดเจ็บมันไม่สำคัญเท่าไร ที่สำคัญที่สุดคือนี่.. นี่ถือเป็นยาพิษหรือพิษกู่กันแน่..."ฉูนจวีนซึ่งแต่เดิมเขาอยากตายอย่างเดียวแล้ว แต่เมื่อเขาได้ยินคำพูดของจั๋วซือหราน เขาตกใจอย่างมากในมุมมองของเขา เขาเอาชีวิตรอดได้จากเนื่องจากอาการบาดเจ็บข
เฟิงเหยียนฟังออกความหมายหยอกล้อในคำพูดของนาง แต่ภาพตรงหน้าเขาช่างน่าสลดใจอย่างเห็นได้ชัดหากเป็นคนอื่นเห็นนางยังพูดล้อเล่น คนผู้นั้นต้องโกรธแน่นอนถึงเวลาไหนแล้ว นางยังมีอารมณ์มาพูดเล่นแต่เฟิงเหยียนรู้ว่านางคือจั๋วซือหราน นางไม่ใช่คนธรรมดายิ่งนางยังพูดตลกในที่นี่ได้มากเท่าไร ก็ยิ่งหมายความว่าสถานการณ์อาจไม่ร้ายแรง อย่างน้อยก็ไม่ร้ายแรงเท่าที่เขาจินตนาการเพราเฟิงเหยียนเดาออกได้ง่าย ๆ และสาเหตุที่คนพวกนั้นทำเช่นนั้นก็ง่ายเหลือเกินเขารู้สึกว่าไม่ว่าใครจะอยู่เบื้องหลัง พวกเขาทั้งหมดทำเช่นนี้เพื่อกำจัดตระกูลเฟิงจั๋วซือหรานไม่รู้ว่าเฟิงเหยียนกำลังคิดอะไรอยู่ หากนางรู้ นางคงจะรู้สึกอย่างแน่นอนว่า หัวใจขององค์หญิงเจาหมิ่นจะแตกสลายเป็นชิ้น ๆเพราะท้ายที่สุดแล้ว องค์หญิงผู้รอบคอบคนนั้นยังคงรอช่วยเฟิงเหยียนและช่วยเหลือตระกูลเฟิงอยู่เลยเฟิงเหยียนพูดด้วยน้ำเสียงทุ้ม “เจ้าหมายถึง นี่คือโรคระบาดจริง ๆ ใช่ไหม”จั๋วซือหรานไม่สามารถตอบเขาได้ว่า นี่อาจเป็นไวรัสซอมบี้บางชนิด อันที่จริง นางไม่แน่ใจว่านี่คืออะไร อย่างน้อยนางก็ยังไม่ได้ศึกษาคนตายทั้งสี่คนเลยนางไม่รู้ว่ามันคืออะไร นางรู้สึกว
แม้จะบอกว่าเป็นความฝัน แต่อันที่จริงจั๋วซือหรานก็ค่อยๆ เข้าใจแล้ว ว่าเพราะอะไรหลังจากฝันถึงเขาครั้งที่แล้วจนมาถึงครั้งนี้ นานมากแล้วที่ไม่ได้ฝันถึงเขาอีกพอมาคิดอย่างละเอียด เหมือนว่าตอนฝันถึงเขาครั้งที่แล้ว จะเป็นหลังจากที่นางมีสัมพันธ์ทางกายกับเขาดังนั้นจั๋วซือหรานจึงค่อยๆ เข้าใจ บางทีน่าจะเป็นเพราะสาเหตุนี้การดูดหยางบำรุงหยินของนางก็ดูดซับมาจนพอเข้าใจแล้ว เหมือนว่าพอดูดซับมาถึงระดับหนึ่ง ก็จะเกิด...ถ้าจะพูดว่าเป็นความฝัน สู้บอกว่าเป็นการสื่อสารทางจิตใต้สำนึกกับความทรงจำของเฟิงเหยียนส่วนที่ถูกผนึกไปจะดีกว่า?และไม่ว่าจะ 'ความฝัน' ครั้งที่แล้ว หรือว่าครั้งนี้ก็มองออกได้ไม่ยากเฟิงเหยียนน่าจะเข้าใจต่อสถานการณ์อยู่ ดังนั้นบางทีจิตใต้สำนึกเขายังคงอยู่มาตลอด เพียงแต่ถูกสมองทื่อๆ นี่กดเอาไว้ หรือบางทีคงถูกสภาผู้อาวุโสลงมือสะกดเอาไว้ไม่แน่ว่า อาจจะต้องมีชนวนเหตุบางอย่าง ถึงจะสามารถปลุกขึ้นมาได้จั๋วซือหรานอยากจะรู้ชนวนเหตุนั้นว่าคืออะไรกันแน่"ต้องทำยังไงเจ้าถึงจะดีขึ้นมา?" จั๋วซือหรานถามแต่เฟิงเหยียนกลับเหมือนจะจำจุดสำคัญนั้นไม่ได้แล้ว ขมวดคิ้ว สีหน้าดูเหมือนขมขื่น เหมือนว
ในห้วงฝันนางมองมือตัวเอง สับสนไปหมดทั้งตัว เหมือนยังตั้งตัวกลับมาไม่ได้เพราะนางถ้าไม่หลับลึก ก็จะเอาจิตใต้สำนึกส่งเข้าไปในมิติ จึงฝันน้อยครั้งมากดังนั้นตอนที่ดำดิ่งสู่ห้วงฝัน นางยังรู้สึกไม่คุ้นอยู่หน่อยๆ มองมือตนเอง รู้สึกไม่คอ่ยเป็นจริงสักเท่าไรวินาทีต่อมา มือข้างหนึ่งก็ทาบมาบนมือของนางมือข้างนั้น ข้อต่อกระดูกชัดเจน นิ้วเรียวยาว เล็บตัดมาดูสะอาดสะอ้าน ผิวหนังขาวซีดเย็นเหมือนไม่โดนแดดมานานสายตาของจั๋วซือหรานจ้องนิ่งอยู่บนมือข้างนี้ จากนั้นจึงค่อยๆ ยกขึ้นมามองไปยังเจ้าของมือนี้ ใบหน้าหล่อเหลาไม่มีที่ตินั่นทั้งที่เป็นใบหน้าที่เพิ่งเห็นไปก่อนหลับตาลงเมื่อครู่แท้ๆ แต่ตอนนี้พอมอง กลับยังคงทำให้นางรู้สึกเหมือนไม่เจอกันเสียนานสายตาของชายหนุ่มอบอุ่น ด้านในมีความรู้สึกอารมณ์เหมือนความเจ็บปวดแฝงอยู่"จั๋วเสียวจิ่ว..." เขาก้มหน้าลงเรียกนางจั๋วซือหรานมองเขา จากนั้นจึงออกแรงบีบมือเขา และน่าจะเพราะออกแรงมากเกินไปปลายเล็บจึงเหมือนจิกลงไปในเนื้อเขาฝันถึงเขาอีกแล้วจั๋วซือหรานมีปฏิกิริยาขึ้นมา ครั้งนี้เหมือนกับครั้งนั้นเลย ฝันถึงเฟิงเหยียนยิ่งไปกว่านั้นยังดูเหมือนจริงเป็นพิ
กลางดึก จั๋วซือหรานกัดริมฝีปาก กอดหมอน เดินเท้าเปล่าจากห้องด้านนอกเข้าไปยังห้องด้านใน!คิ้วงามของนางขมวดแน่น สีหน้าที่มีสีเลือดฟื้นมาบ้างแล้ว ตอนนี้กลับขาวซีดขึ้นมาในใจนางเองก็พูดไม่ออก เดิมทีตอนที่หลับก็ยังดีอยู่ พอกลางดึกจู่ๆ ก็ไม่ไหวขึ้นมาเสียแล้วหน้าอกปั่นป่วนอย่างรุนแรง เป็นความรู้สึกทรมานแบบที่นางผ่านมาก่อนหน้าไม่ผิดเพี้ยนถ้าบอกว่าคนคนนี้ไม่เข้ามาก็ว่าไปอย่าง แต่นี่ก็เข้ามาแล้วว่ากันว่าพอเคยสบายแล้ว จะยากที่จะกลับไปลำบากตอนนี้จะให้นางปล่อยชายหนุ่มที่เหมือนกับ 'ยาบำรุงครรภ์' นี้ไว้ข้างในเฉยๆ โดยไม่ใช้ แล้วต้องมานั่งทนกระอักเลือดต่อล่ะก็...ขอโทษด้วย สกุลจั๋วอย่างนางไม่ใช่คนประเภทนั้นนางเข้าใจแล้ว ก่อนที่จะหลับไปเมื่อคืนนี้ ตอนที่เฟิงเหยียนบอกว่าจะนอนด้านนอก ริมฝีปากที่เม้มแน่นนั้นกำลังอดกลั้นเรื่องอะไรน่าจะคิดไว้แล้วว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้สารเลว!จั๋วซือหรานครั่นเนื้อครั่นตัวตื่นมากลางดึก ต่อให้เป็นคนที่มีสติเยือกเย็นแค่ไหน ก็ยังมีอาการหงุดหงิดงัวเงียหลังตื่นนอนนางเดินเท้าเปล่าเข้าไปห้องด้านใน อากาศในหุบเขาตอนกลางคืนเย็นมากนางสวมแค่เสื้อบางๆ ชุดหนึ่ง ทั้งตัวเย
แต่กลับรู้ตัวตนฐานะผู้ชายทรยศของเฟิงเหยียนได้ ไม่ต้องคิดเลยว่าคงเป็นจั๋วหวายพล่ามออกมาแน่"จั๋วหวายมาบอกเจ้าหรือ?" ปันอวิ๋นถามขึ้นคำหนึ่งจวงอี๋ไห่ พยักหน้าอย่างระมัดระวัง "คุณชายเสี่ยวหวายไม่หลอกข้าหรอก คุณชายเสี่ยวหวายบอกว่าเป็นผู้ชายทรยศ เช่นนั้นกว่าครึ่งก็ต้องเป็นผู้ชายทรยศแล้ว"ปันอวิ๋นถอนหายใจแผ่วเบาในห้อง จั๋วซือหรานนั่งลงข้างโต๊ะเฟิงเหยียนไม่พูดอะไร รินน้ำชาให้นางถ้วยหนึ่งจั๋วซือหรานกำถ้วยไว้ ใช้นิ้วมือลูบไล้ขอบถ้วยเบาๆ"อีกเดี๋ยวพออาหารส่งเข้ามา ก็กินสักหน่อยแล้วค่อยนอนพัก" เฟิงเหยียนเอ่ยขึ้นแต่ในน้ำเสียงแฝงไว้ด้วยความหนักแน่นที่ห้ามปฏิเสธจั๋วซือหรานแหงนตามองเขา กำลังจะบอกว่ายังไม่หิวก็เห็นริมฝีปากบางของชายคนนี้เม้มเบาๆ เอ่ยเสียงต่ำว่า "ข้าไม่มีสิทธิ์จะมาหารือกับเจ้าจริงๆ นั่นล่ะ..." สายตาเขาทอดลงไปที่ท้องน้อยนาง แววตาลึกซึ้งจากนั้นจึงเอ่ยต่อว่า "แต่การจะเตือนให้เจ้ากินอะไรดีดีก็ยังพอมีสิทธิ์อยู่" สายตาเขายกขึ้นมาจากท้องน้อยจั๋วซือหรานเลื่อนมาที่ดวงตานาง จ้องมองดวงตานาง เอ่ยต่อว่า "ถึงอย่างไรเมื่อครู่ก็เพิ่งช่วยเจ้ากลับมา ยิ่งไปกว่นั้นเรื่องถูกพลังศักดิ์สิท
เขาไม่เพียงแต่ไม่ใช่สามีของนาง เขายังเป็นคู่หมั้นในนามของหญิงสาวคนอื่นอีกด้วยสีหน้าของเฟิงเหยียนแข็งทื่อไปแล้ว แต่ท้ายสุดก็ยังพูดอะไรไม่ออกเพราะในคำพูดจั๋วซือหราน ไม่มีส่วนที่ผิดเลยแม้แต่น้อยแม้จะบอกว่าเด็กคนนี้ ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับเขาก็ตามแต่ครั้งก่อนหน้านั้น เป็นเพราะจั๋วซือหรานถูกวางแผนร้ายใส่ ถึงทำให้นางสับสนหลงใหลจนมีสัมพันธ์กับเขาถ้าจะบอกว่า เขาเอาเปรียบหญิงสาวไป ก็ไมไ่ด้พูดเกินเลยนักเอาเปรียบหญิงสาว จนทำนางตั้งท้อง ไม่เคยจะมารับผิดชอบอะไรตอนนี้กลับจะมาชี้มือชี้ไม้เรื่องของนางพอสรุปมาแบบนี้ มันก็ช่าง...แย่มากจริงๆเฟิงเหยียนเองก็รู้ว่าตนเองนั้นแย่มาก พูดอะไรออกมาไม่ได้ไปชั่วขณะปันอวิ๋นรู้สึกกระอักกระอ่วนแทนสหายเก่า เขากระแอมออกมาเบาๆ ทีหนึ่ง ไกล่เกลี่ยขึ้นว่า "เอาล่ะเอาล่ะ..."เขาเองก็ไม่รู้ว่าควรพูดอะไร ถึงอย่างไร ทั้งสองคนตอนนี้จะไม่ได้เป็นคู่รัก แต่ความสัมพันธ์แบบนี้...มันก็ดูคลุมเครือ กลืนไม่เข้าคายไม่ออกอยู่ นี่มันช่าง...ดังนั้นปันอวิ๋นเลยเปิดประเด็นขึ้น อึกอักในปากอยู่พักหนึ่ง กว่าจะพูดออกมาได้ "...พวกเจ้าหิวหรือยัง? ให้เหล่าจวนทำอะไรให้กินหน่อยดีไหม?"
นางยืนเงียบๆ อยู่ตรงนั้น แหงนตาขึ้นมองพวกเขาสายตาของเฟิงเหยียนอึ้งไปเล็กน้อย เห็นนางยืนอยู่ในประตูด้วยสีหน้านิ่งขรึมเขารู้สึกลำคอแห้งผากอย่างประหลาด ความรู้สึกนั้น บางทีควรจะเรียกว่า...ตึงเครียดไหม?"เจ้า...ตื่นขึ้นมาตอนไหนน่ะ?" เฟิงเหยียนถามจั๋วซือหรานมองเขา "ไม่นานเท่าไร"เหมือจะมองออกถึงความกระอักกระอ่วนของเขา หรืออาจจะไม่สรุปคือ มุมปากจั๋วซือหรานยกขึ้นบางๆ พูดมาคำหนึ่ง "ท่านอ๋องน้อย ไม่เจอกันเสียนาน"นางทำแบบนี้โดยไม่เอ่ยถึงคำพูดก่อนหน้านั้นแม้แต่น้อยเฟิงเหยียนอ้าปากพะงาบ ต่อให้คิดจะพูดอะไร แต่ชั่วขณะหนึ่งก็เหมือนจะพูดออกมาไม่ได้จึงแค่ถามขึ้นอย่างเป็นห่วง "ดีขึ้นบ้างหรือยัง?"จั๋วซือหรานพยักหน้า "ดีขึ้นมากแล้ว"กระทั่งปันอวิ๋นก็ยังมองออกถึงเรื่องระหว่างพวกเขา ไม่รู้เพราะเจ้าสมองกลับนี่ไปแตะเนื้อต้องตัวทำอะไรนาง หรือเป็นเพราะคำพูดเมื่อครู่นางได้ยินคำพูดของเฟิงเหยียน...สรุปคือ ปันอวิ๋นมองพวกเขาทั้งสองคน แล้วก็รู้สึกกลืนไม่เข้าคายไม่ออกแทนพวกเขาทั้งสองคนปันอวิ๋นคิดๆ ดู ตอนที่ตนเองอยู่กับจั๋วซือหรานก็ยังไม่ได้กลืนไม่เข้าคายไม่ออกขนาดนี้รู้สึกร้อนใจแทนเจ้าบ้านี่จร
เพราะเป็นเพื่อนสนิท ปันอวิ๋นจึงเข้าใจความหมายที่เขาคิดจะแสดงออกมาหรือก็คือ ปันอวิ๋นเดาได้นานแล้วบางทีตอนนั้นเพื่อจะให้จั๋วซือหรานหลีกเลี่ยงโชคชะตาเช่นนี้ ตนเองจึงเลือกที่จะลืมเลือนแต่สุดท้ายพอวกไปวนมา ก็กลับมาเดินอยู่บนเส้นทางเดิมเจ้าสิ่งที่เรียกว่าโชคชะตานี่ ลึกลับเอามากๆบางครั้งเหมือนจะมีเมตตา แต่บางครั้งก็เหมือนไม่เคยปราณีใครผู้ใด"แล้วเจ้าตอนนี้...คิดจะทำอย่างไร?" ปันอวิ๋นถามเขาจ้องเฟิงเหยียนตาไม่กระพริบเอาจริงๆ ปันอวิ๋นใช้มองจากมุมมองคนนอกอย่างมีเหตุมีผล ยังหวังว่าจั๋วซือหรานจะสามารถปล่อยวางได้แต่พอคิดถึงว่าถ้าหากจั๋วซือหรานปล่อยวางแล้วล่ะก็ ด้วยโชคชะตาภาชนะพลังศักดิ์สิทธิ์หงส์แดงของเฟิงเหยียน ผลสรุปสุดท้าย ก็คือตายก่อนวัยอันควรอยู่ดีและเพราะรู้เรื่องนี้ ดังนั้นปันอวิ๋นจึงหยุดไปครู่หนึ่ง เอ่ยเสริมมาคำนึง "ถังฉือเคยบอกข้าไว้ ในโถงวิญญาณอสูร พวกสัตว์เทพที่ถูกเก็บกลับมาเหล่านั้น..."ปันอวิ๋นขมวดคิ้ว คิดถึงคำพูดของถังฉือถังฉือมีบาปหนาจากการฆ่าฟันคนมากมาย กลายเป็นคนเย็นชาไร้หัวใจไปแล้ว ถ้าหากไม่เย็นชาไร้หัวใจ ป่านนี้คงเป็นบ้าไปแล้วดังนั้นตอนที่เขาพูดถึงเรื่องเห
ปันอวิ๋นส่งให้เขาชามหนึ่ง ตนเองก็ด้วยทั้งสองคนไม่พูดพล่ามทำเพลง กระดกรวดเดียวจนหมดราวกับว่า สุราที่มาช้าไปหลายปีนี้ ในที่สุดก็ได้ดื่มเสียทีราวกับว่าภาพเด็กน้อยที่แอบขโมยสุราพวกนั้นมาดื่ม ซ้อนทับเข้ามากับพวกเขาในเวลานี้"ช่วงนี้เจ้า ไม่ได้ติดต่อกับพวกเขาเลยหรือ?"หลังจากร่ำสุราลงท้องไปสองชาม จิตใจก็เหมือนจะผ่อนคลายลงมาไม่น้อย ปันอวิ๋นถามขึ้นอย่างสบายๆ เป็นกันเองเฟิงเหยียนฟังออก ว่าเขาถามถึงเหล่าพี่น้องพวกนั้นเขาตอบอืมไปคำหนึ่ง "ไม่ได้ติดต่อกันเลย""เช่นนั้นก็คงไม่รู้สถานการณ์ของพวกเขาเลยสินะ" ปันอวิ๋นเอ่ยขึ้นเฟิงเหยียนไม่ยอมรับหรือปฏิเสธกับสิ่งนี้ ถือว่ายอมรับไปกลายๆปันอวิ๋นยิ้มๆ เหมือนจะเย้ยหยันตนเอง "แต่ก็ไม่โทษพวกเขาที่ไม่ติดต่อเจ้า ด้วยสถานการณ์ของพวกเขาตอนนี้ ก็ไม่มีหน้ามาติดต่อเจ้าจริงๆ นั่นล่ะ"ได้ยินคำนี้ของปันอวิ๋น เฟิงเหยียนก็ไม่พูดอะไรอีกปันอวิ๋นเอ่ยต่อว่า "ซงซีตอนนี้ทุกวันเหมือนขลุกอยู่แต่ในห้องหลอมสกัด หลอมสกัดอยู่ทุกวันไม่ได้พักเลย"เฟิงเหยียนพอได้ยินคำนี้ คิ้วก็ขมวดขึ้นบางๆ"เยี่ยนเหวย...ก็สูบเลือดออกมาทุกวัน อยู่แบบไม่เหมือนผู้เหมือนคน ผู้อาวุโสหวงจ
บางทีคงเป็นเพราะการคุยแบบเปิดอกก่อนหน้านี้ ทำให้ระยะทางขอเพื่อนสนิทสองคนที่เคยห่างไปตามกาลเวลา ย่อหดลงไปไม่น้อยเลยกระมังดังนั้นพอได้ยินปันอวิ๋นบอกว่าไม่ต้องขอบคุณ เฟิงเหยียนจึงเหลือบมองเขา น้ำเสียงเปลี่ยนไป "ก็ได้ เช่นนั้นก็ไม่ขอบคุณแล้วกัน"เฟิงเหยียนสั่งขึ้นมา "ไป ไปเอาสุรามาให้ข้าหน่อย"แม้จะพูดเช่นนี้ แต่ในเสียงกลับไม่ได้ออกคำสั่งอะไร ฟังแล้วเหมือนการใช้งานระหว่างเพื่อนกันมากกว่าปันอวิ๋นชะงักไปเล้กน้อย เพราะตอนพวกเขายังเด็ก ก็เคยใช้งานกันและกันแบบนี้ไป ไปเอาสุรามาหน่อยได้ งั้นเจ้าก็เอาปลาไปย่างซะข้าเห็นว่าเจ้าหน้าตาเหมือนปลาถ้าเจ้ายังพูดอีกรอบ จะโดนข้ากดจนจมถังสุราตายไปเลยเพราะคำพูดนี้ของเฟิงเหยียน ทั้งสองคนก็เหมือนกลับไปสมัยยังเด็กในชั่วพริบตาปันอวิ๋นยกมุมปากขึ้นบางๆ ลุกขึ้นไปให้คนรับใช้ส่งสุราเข้ามาคือสุราห้าพิษที่เขาจะหมักอยู่ทุกปี และใช้แมลงพิษมาหลอมจริงๆ แต่ตัวสุรากลับไม่มีพิษใดๆ กระทั่งยังหอมอบอวลเข้มข้นเป็นพิเศษ เป็นสุราที่หาได้ยากยิ่งและเป็นความลับที่ไม่เผยแพร่สู่ภายนอกของหุบเขาหมื่นพิษ ปกติมีแค่เจ้าหุบเขาที่รู้แต่ปันอวิ๋น หลังจากออกสำนักมา ก็ไม่ได้ด