“หรานหราน ที่นี่ที่ไหนลูก เรามาทำอะไรที่นี่”อวิ๋นเหนียงรู้สึกประหม่าเล็กน้อย จั๋วหวายอยู่ด้านข้าง เขายิ่งหวาดกลัวโดยไม่กล้าพูดอะไร เพราะอวิ๋นเหนียงเป็นฮูหยินที่อยู่ในบ้านตลอด และนางอาจไม่รู้จักหลายเรื่องและสถานที่มากมายแต่จั๋วหวายพอรู้อะไรบางอย่าง ตัวอย่างเช่น ในตอนท้ายของถนนที่ไม่ค่อยมาคนเดินเข้ามาเป็นสถานที่ที่ไม่สามารถเข้าถึงได้มากยิ่งขึ้น - หน่วยสืบสวนพิเศษ“ท่านพี่ ท่านพี่...” จั๋วหวายกระซิบ “เรา เรามาทำอะไรที่นี่ และ…”จั๋วหวายพูดและมองดูชายที่นั่งตรงข้ามเขาอย่างระมัดระวังเขาพูดต่อด้วยเสียงแผ่วเบาว่า “...มากับท่านอ๋องด้วย”อวิ๋นเหนียงยิ่งรู้สึกไม่สบายใจมากขึ้น “ หรานหราน มีอะไรเกิดขึ้นหรือเปล่า”แม้ว่าอวิ๋นเหนียงเป็นแม่เลี้ยงลูกที่ไม่สนใจเรื่องทางโลก แต่นางก็ไม่ได้โง่เช่นกัน ท่านอ๋องที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสนั่งรถม้าคนเดียวกับพวกเขา... อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้ต้องอันตรายแน่ ๆหลังจากรถม้าจอดสนิท จั๋วซือหรานจับไหล่ของท่านแม่ของนางด้วยมือทั้งสองข้าง“ท่านแม่ไม่ต้องกังวล ท่านแม่แล เสี่ยวหวายอยู่ที่นี่ ปลอดภัยแน่นอน” จั๋วซือหรานกล่าวแต่เมื่ออวิ๋นเหนียงได้ยินคำพูดของลูกสาว นาง
ยังไม่มีการตอบสนองเพราะเมื่อจั๋วซือหรานเป่านกหวีด จั๋วหวายกำลังยืนอยู่ใกล้ ๆ ดังนั้นเมื่อเขาเห็นพี่สาวของเขาเล่นเป่านกหวีด และไม่มีการตอบสนองใด ๆเขาบอกพี่สาว "บางที... เขาอาจไม่อยู่พอดี หรือเขากำลังพักผ่อนอยู่พอดี เลยไม่ได้ยิน เสียงนกหวีดนี้ก็ไม่ดังด้วย..."จั๋วซือหรานฟังออก เสี่ยวหวายกำลังช่วยบรรเทาความลำบากใจของนาง นางยิ้มเบา ๆ และคิดกับตัวเองว่านางไม่ต้องการเขาช่วยบรรเทาความลำบากใจหรอกเพราะจั๋วซือหรานเชื่อว่า ชิ่งหมิงต้องยินจริง ๆ ตั้งแต่แรกอยู่แล้วตราบใดที่ชิ่งหมิงเป็นคนธรรมดา จั๋วซือหรานยังไม่แน่ใจขนาดนี้นักแต่เขาคือชิ่งหมิง ผู้ที่สามารถทำให้ซือหลี่ตันติ่งย้ำว่า หากรับปากชิ่งหมิง ชิ่งหมิงจะเชื่อจริง ๆ นางต้องทำให้ได้ มิเช่นนั้น นางอย่ารับปากใด ๆ กับชิ่งหมิงเลยจั๋วซือหรานรู้สึกว่าบุคคลเช่นนี้จะต้องทำตามที่เขาพูดอย่างแน่นอนเขาเอาเป่านกหวีดนี้ให้นาง เพราะฉะนั้นเขาต้องได้ยินแน่นอนอย่างที่นางคิดไว้จริง ๆ หลังจากนั้นไม่นานเสียงทื่อดังขึ้นพวกเขาเห็นว่ากำแพงที่อยู่ตรงหน้าพวกเขา ในส่วนของบ้านหลังที่สามเริ่มขยับทันทีเหมือนมีกลไกบางอย่างถูกเปิดใช้งานจากนั้นมีประตูบาน
ทันทีที่จั๋วซือหรานพูดจบ นางเห็นชายหนุ่มที่เดินอยู่ตรงหน้านางแทบจะล้มบนพื้นหลังจากเขาพยายามทรงตัวให้ได้ เขาก็หันไปมองนางแล้วถาม "เรื่อง เรื่องอะไร"จั๋วซือหรานกล่าวต่อ "เมื่อเร็ว ๆ นี้ข้าต้องจัดการปัญหาบางอย่าง แต่ข้ากังวลความปลอดภัยของทุกคน ข้าคิดไปคิดมา ในเมืองหลวง หากพูดว่ามีที่ใดเป็นสถานที่ที่มีกำแพงเหล็ก ตรงนี้แหละ"เมื่อชิ่งหมิงได้ยินคำพูดของจั๋วซือหราน เขากลั้นตัวไม่ได้แล้วเขารีบถาม “ปัญหาหรือ ซือหราน เจ้าเจอปัญหาอะไร”เขาทำตัวเหมือนเขารอไม่ไหวแล้ว เขาต้องการไปช่วยนางด้วยตัวเอง“ข้าจัดการได้ แต่แค่เรื่องนี้ เจ้าช่วยข้าได้ไหม” จั๋วซือหรานกล่าว นางมองเขาด้วยสายตาที่บิดเบี้ยว แล้วพูดเสริม“ท่านเจ้าคะ”ชิ่งหมิงตอบ "ไม่มีปัญหา มันแค่..."ชิ่งหมิงมองไปที่ซือคงเซี่ยนซือคงเซี่ยนทักทายเขาเมื่อเห็นแววตาของชิ่งหมิง จั๋วซือหรานรู้สึกว่าอาจเป็นเพราะฐานะของซือคงเซี่ยน ซึ่งทำให้ชิ่งหมิงรู้สึกลำบากใจเพราะโดยปกติแล้ว หน่วยสืบสวนพิเศษจะไม่เข้าไปยุ่งเรื่องของราชวงศ์โดยไม่คาดคิด ก่อนที่จั๋วซือหรานจะพูดอะไรต่อ ชิ่งหมิง พูด "...ข้าไม่รู้ว่าเขาเป็นใคร แค่นั้นเอง"หลังจากจั๋วซือหรานได
จั๋วซือหรานเดินออกจากห้องซือคงเซี่ยนมองไปที่ประตูที่ปิดอยู่ ในที่สุดเขาก็หายใจยาว ๆ แล้วนอนลงบนเตียงอันนุ่ม ๆ ห้องนี้คงไม่มีคนพักเป็นเวลานานดังนั้นจึงมีกลิ่นที่อธิบายไม่ได้ในอากาศในฐานะองค์ชายที่ใช้ชีวิตดีมาก่อน ซือคงเซี่ยนไม่น่าจะอยู่ในสภาพแวดล้อมเช่นนี้ได้แต่น่าประหลาดใจ ภายใต้สภาพแวดล้อมเช่นนี้ เขารู้สึกสบายใจมากเช่นเดียวกับที่ซือหรานเคยพูด นี่คือสถานที่ที่มีกำแพงเหล็ก ทำให้เขารู้สึกปลอดภัยจากก้นบึ้งของหัวใจซือคงเซี่ยนไม่สามารถบอกได้ว่าอารมณ์ของเขาเป็นอย่างไร เมื่อนึกถึงความทรมานที่เขาได้รับในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา และจากนั้นก็ได้รับความสงบสุขในขณะนี้ เขารู้สึกราวกับว่าเขาอยู่ในอีกโลกหนึ่งเขานอนบนเตียง เขารู้สึกซาบวึ้งในใจ เขาเลยยกแขนขึ้นและบังดวงตาไว้ซือคงเซี่ยนยิ้มอย่างจำใจ เขาอดไม่ได้ที่ต้องคิดว่าไม่ใช่ว่าเขามั่นใจในตัวจั๋วซือหรานมากเกินไปแต่เป็นเพราะที่ตลอดมา การกระทำของจั๋วซือหราน ทำให้ผู้คนต้องเชื่อในความสามารถของนางจริง ๆดังนั้น ซือคงเซี่ยนจึงอดไม่ได้ที่ต้องสงสัยว่าในขณะนี้ เป็นไปได้ไหมว่า... เขาสามารถเอาชนะซือคงยวี่ได้โดยที่เขาไม่ต้องทำอย่างอื่น แค่นอนในห
สีหน้าของฉูนจวีนเปลี่ยนไปทันที และเขาก็หันไปมองที่ห้องใต้ดิน "เกิดอะไรขึ้น ท่านขอรับ ข้าน้อยขอเข้าไปดูก่อนขอรับ"เฟิงเหยียนไม่ได้คิดมากและพยักหน้าหลังจากฉูนจวีนลงไปแล้ว เฟิงเหยียนก็หันไปมองผู้พิทักษ์เงาที่รายงานในก่อนหน้านี้ "พูดต่อ"ผู้พิทักษ์เงาจึงกล่าวต่อว่า “ไปหน่วยสืบสวนพิเศษขอรับ ข้าคิดว่า แม่นางจิ่วอาจทราบเรื่องที่ที่เกิดขึ้นอย่างลับ ๆ ในเมื่อเร็ว ๆ นี้”เมื่อได้ยินคำพูดนี้ เฟิงเหยียนก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย “นางฉลาดมาก ตราบใดที่นางได้ข่าวแม้แต่น้อย นางก็สามารถเดาสถานการณ์คร่าว ๆ ของเรื่องได้”ช่วงนี้ อาจเป็นเพราะนางต้องยุ่งจัดการตระกูลเหยียน และตระกูลจั๋ว นางจึงไม่กระตือรือร้นกับเหตุการณ์ลับบางอย่างในเมืองหลวงไม่เช่นนั้น นางคงสังเกตเห็นตั้งนานแล้วเฟิงเหยียนฟังผู้พิทักษ์เงารายงานไป และสนใจกับการเคลื่อนไหวในห้องใต้ดินด้วยไม่มีการเคลื่อนไหวใด ๆนี่ยิ่งทำให้เฟิงเหยียนรู้สึกต้องมีอะไรผิดปกติแน่ ๆ เขาขมวดคิ้วผู้พิทักษ์เงาสังเกตสีหน้าของเขาและถามว่า "ท่านขอรับ มีอะไรผิดปกติหรือขอรับ"“ไม่มีการเคลื่อนไหวเลย” เฟิงเหยียนกล่าว มือของเขาวางไปที่เอวของเขาและจับด้ามกระบี่เสวียนเหย
เขาดึงกระบี่เสวียนเหยียนออกมา ในขณะที่เขาดึงกระบี่เสวียนเหยียนออกมา ลมดาบที่แผดเผาก็ลอยออกไปกระทบผีอันร้ายควบคุมทั้งสี่นั้น แต่ดูเหมือนว่าพลังนั้นไม่สามารถสร้างอันตรายใด ๆ ต่อพวกมันได้เฟิงเหยียนหรี่ตาลงและมองดูสถานการณ์ของพวกเขาอย่างเย็นชาไม่ บางทีอาจไม่ควรพูดว่า เขาไม่สามารถทำร้ายพวกเขาได้ เพราะเขาเห็นรอยแผลเป็นที่น่ากลัวบนร่างกายของพวกเขาที่เกิดจากลมดาบครั้งก่อนได้อย่างชัดเจนแต่ควรพูดว่าถึงแม้พลังนั้นทำให้พวกเขาต้องรับบาดแผล แต่ก็ไม่สามารถห้ามพวกเขาได้ ดูเหมือนพวกเขาไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวดกระบี่เสวียนเหยียนของเฟิงเหยียนมีพลังไฟวิเศษที่บริสุทธิ์และรุนแรงที่สุดของตระกูล ในนั้นซึ่งเต็มไปด้วยพลังศักดิ์สิทธิ์ของตระกูลไม่ต้องพูดถึงอย่างอื่น พลังนี้สามารถนำความเจ็บปวดมาสู่ผู้คนได้อย่างแน่นอนแต่ดูเหมือนพวกเขาทั้งสี่ไม่รู้สึกเจ็บปวดเลยการโจมตีของเฟิงเหยียนทำให้พวกเขาหยุดชั่วขณะหนึ่งเท่านั้นจากนั้น ดูเหมือนว่าพวกเขาถูกพลังนี้ดึงดูด และพวกเขาก็เอียงหัวและมองดูสองคนที่ยืนที่ประตูห้องใต้ดินดูเหมือนว่าพวกเขาสนใจเนื้อและเลือดสดนี้มากกว่าเมื่อเฟิงเหยียนสังเกตพวกเขากำลังมองมา เฟ
เฟิงเหยียนลดสายตาลง เขาเห็นจั๋วซือหรานยื่นมือไปด้านหลัง และค่อย ๆ จับปลายดาบของเขาอย่างนุ่มนวลแต่การกระทำนี้ไม่ได้ทำให้เฟิงเหยียนไม่พอใจเลยในทางตรงกันข้าม ทันทีที่จั๋วซือหรานมีการกระทำเช่นนี้ เฟิงเหยียนก็ตระหนักว่า " จั๋วเสียวจิ่ว เจ้าช่วยเขาได้ไหม"เมื่อฉูนจวีนได้ยินคำพูดของเฟิงเหยียน ดวงตาอันแดงก่ำเขาที่เคยเต็มไปด้วยความปรารถนาที่อยากตายดูเหมือนตอนนี้ดวงตาคู่นี้มีประกายแห่งความหวังที่อาจเรียกได้ว่าเป็นความหวังเล็ก ๆเพราะหากเป็นคนอื่น ตอนนี้ฉูนจวีนคงไม่มีความหวังหรอกแต่คนนี้ไม่ใช่ใครอื่นนอกจาก... จั๋วซือหรานผู้หญิงคนนี้ทำให้ผู้คนประหลาดใจอยู่เสมอ นางทำให้คนต้อง...ตั้งตารอจริง ๆท้ายที่สุดแล้ว ใครจะอยากตาย หากพวกเขาสามารถมีชีวิตอยู่ได้จั๋วซือหรานหรี่ตาลงและมองดูอาการบาดเจ็บของฉูนจวีนอยู่ครู่หนึ่ง นางพยักหน้าเล็กน้อยแล้วกระซิบว่า "อาการบาดเจ็บมันไม่สำคัญเท่าไร ที่สำคัญที่สุดคือนี่.. นี่ถือเป็นยาพิษหรือพิษกู่กันแน่..."ฉูนจวีนซึ่งแต่เดิมเขาอยากตายอย่างเดียวแล้ว แต่เมื่อเขาได้ยินคำพูดของจั๋วซือหราน เขาตกใจอย่างมากในมุมมองของเขา เขาเอาชีวิตรอดได้จากเนื่องจากอาการบาดเจ็บข
เฟิงเหยียนฟังออกความหมายหยอกล้อในคำพูดของนาง แต่ภาพตรงหน้าเขาช่างน่าสลดใจอย่างเห็นได้ชัดหากเป็นคนอื่นเห็นนางยังพูดล้อเล่น คนผู้นั้นต้องโกรธแน่นอนถึงเวลาไหนแล้ว นางยังมีอารมณ์มาพูดเล่นแต่เฟิงเหยียนรู้ว่านางคือจั๋วซือหราน นางไม่ใช่คนธรรมดายิ่งนางยังพูดตลกในที่นี่ได้มากเท่าไร ก็ยิ่งหมายความว่าสถานการณ์อาจไม่ร้ายแรง อย่างน้อยก็ไม่ร้ายแรงเท่าที่เขาจินตนาการเพราเฟิงเหยียนเดาออกได้ง่าย ๆ และสาเหตุที่คนพวกนั้นทำเช่นนั้นก็ง่ายเหลือเกินเขารู้สึกว่าไม่ว่าใครจะอยู่เบื้องหลัง พวกเขาทั้งหมดทำเช่นนี้เพื่อกำจัดตระกูลเฟิงจั๋วซือหรานไม่รู้ว่าเฟิงเหยียนกำลังคิดอะไรอยู่ หากนางรู้ นางคงจะรู้สึกอย่างแน่นอนว่า หัวใจขององค์หญิงเจาหมิ่นจะแตกสลายเป็นชิ้น ๆเพราะท้ายที่สุดแล้ว องค์หญิงผู้รอบคอบคนนั้นยังคงรอช่วยเฟิงเหยียนและช่วยเหลือตระกูลเฟิงอยู่เลยเฟิงเหยียนพูดด้วยน้ำเสียงทุ้ม “เจ้าหมายถึง นี่คือโรคระบาดจริง ๆ ใช่ไหม”จั๋วซือหรานไม่สามารถตอบเขาได้ว่า นี่อาจเป็นไวรัสซอมบี้บางชนิด อันที่จริง นางไม่แน่ใจว่านี่คืออะไร อย่างน้อยนางก็ยังไม่ได้ศึกษาคนตายทั้งสี่คนเลยนางไม่รู้ว่ามันคืออะไร นางรู้สึกว
“นี่ฝูซูกับเฮยหลิงยังไว้หน้าพวกเจ้าอยู่นะ ถึงยังไม่จับตะเกียบ ไม่อย่างนั้นพวกเจ้าแค่น้ำแกงก็ไม่ได้ชิมด้วยซ้ำ” เจี่ยงเทียนซิงวางตะเกียบลงหัวเราะฮั่วจือโจวไม่อยากเชื่อ ถามขึ้นว่า “นี่คือของที่แม่นางจั๋วจิ่วทำหรือ? จริงหรือเปล่า?”“เป็นของที่คุณหนูข้าทำเอง” ฝูซูพยักหน้าอินเจ๋ออันมองเขา ถามขึ้นว่า “คุณชายฮั่ว ยอมรับแล้วหรือยัง?”ฮั่วจือโจวถอนหายใจเบาๆ พยักหน้าเจี่ยงเทียนซิงเห็นท่าทางแขกยึดครองตำแหน่งเจ้าภาพของอินเจ๋ออันแล้วก็หัวเราะพรวดขึ้นมา “เปาน้อย เจ้าเองก็ไว้หน้าตัวเองหน่อยดีไหม คำพูดนี้ข้าต่างหากที่ควรถาม? เจ้าน่ะยอมรับแล้วหรือยัง?”“ถ้าข้าไม่ยอมรับ แล้วข้าจะเอาเงินมาให้พวกเจ้าด้วยตัวเองทำไมกัน?!” อินเจ๋ออันจ้องอย่างมาดร้ายไปทางเจี่ยงเทียนซิงตัวเขาเองอาจจะไม่ทันสังเกต ว่าตนเองกระทั่งลืมไปแล้วว่าต่อต้านชื่อเรีย ‘เปาน้อย’ อยู่เฟิงหร่านนั่งอยู่ข้างๆ ไม่พูดอะไรมาตลอด สนใจแค่การกินอาหารบนโต๊ะอย่างรวดเร็วราวพายุดูดเท่านั้นนางกินไปด้วย พิจารณาชายหนุ่มสามคนนี้ไปด้วยในใจจู่ๆ ก็เกิดความรู้สึกวิตกกังวลขึ้นมาเฟิงหร่านเกิดวิตกกังวลขึ้นมาแทนพี่ชายตนเอง นางชื่นชมในใจ พี่หญิงจั๋วน
สายตาฮั่วจือโจวมองจั๋วซือหรานอย่างลึกซึ้งตระกูลขุนนางเหล่านี้ล้วนเป็นแบบเดียวกัน จั๋วซือหรานเองก็เดินออกมาจากตระกูลขุนนาง ดังนั้นจึงเข้าใจเป็นอย่างดีต่อให้ทุกคนจะเป็นลูกหลานในตระกูลเหมือนกัน และก็จะมีพวกลูกหลานที่ได้รับการปฏิบัติกับให้ความสำคัญมากกว่า และก็จะมีลูกหลานที่ถูกมองข้ามหรือเมินเฉยแต่นี่ก็จะขึ้นอยู่กับฝีมือของรุ่นพ่อและฝีมือของตนเองดูจากจั๋วซือหรานแล้วมองออกไม่ยาก กระทั่งฝีมือของรุ่นพ่อก็ยังไม่แน่ว่าจะสำคัญ เพราะพ่อของนางนั้นไม่อยู่มานานแล้วมีเพียงฝีมือของตนเองที่ถูกให้ความสำคัญมากที่สุดดังนั้นในฐานะที่เป็นลูกหลานในตระกูล หากคิดจะได้รับการให้ความสำคัญของตระกูล อย่างน้อยก็ต้องทำผลงานออกมาให้ได้สถานการณ์ของฮั่วจือโจวตอนนี้ก็น่าจะเป็นเช่นนี้เขามีฝีมืออยู่บ้าง และมีอุดมการณ์ของตนเองด้วยเช่นกัน แต่ก็จำเป็นต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ จะตัดสินใจอย่างบุ่มบ่ามไม่ได้เพราะในตระกูลเช่นนี้ คนมากมายล้วนเป็นแบบเดียวกัน โอกาสอาจจะมีแค่ครั้งเดียว ถ้าทำผลงานไม่ได้ หลังจากนี้ทรัพยายากรก็อาจจะไม่เอนมาทางเขาอีกแล้วจุดนี้ จั๋วซือหรานไม่ลังเลที่จะพูดออกมาสายตาฮั่วจือโจวหยุดอยู่ที่แ
จั๋วซือหรานยิ้มๆ “ก็ต้องตั้งแต่ตอนที่เจ้าตามพวกเราเข้ามาแล้วน่ะสิ”ฮั่วจือโจวลุกขึ้นยืน เดินตรงเข้ามาทางนี้ นั่งลงข้างโต๊ะพวกเขา“เมื่อครู่แผนของแม่นางจิ่ว ข้าได้ยินแล้ว” ฮั่วจือโจวเองก็ไม่ปิดบัง พูดออกมาตรงๆเขาพูดประโยคนี้ออกมา ก็หวังว่าจั๋วซือหรานจะไม่ต้องมาเสียเวลาคิดมากในเรื่องนี้แล้วแต่ฮั่วจือโจวคิดไม่ถึงว่าจั๋วซือหรานจะพูดว่า “ข้าจงใจพูดออกมาให้เจ้าได้ยิน”สีหน้าฮั่วจือโจวตกตะลึงไปทันที “อะไรนะ?”จั๋วซือหรานยิ้มตาโค้งเอ่ยขึ้นว่า “คุณชายสามฮั่วฟังแผนการของข้าแล้วรู้สึกอย่างไรบ้าง?”“ไม่เลว” ฮั่วจือโจวตอบ “มิน่าสี่ตระกูลที่เหลือจึงมองเจ้าเป็นหนามยอกอก”รอยยิ้มบนหน้าจั๋วยังไม่จางหาย “ถ้าข้าไม่จงใจพูดให้เจ้าได้ยิน แล้วจะกล่อมให้เจ้ามาร่วมมือได้อย่างไรกัน?”“ร่วมมือ?” ฮั่วจือโจวตกตะลึงจั๋วซือหรานตอบ “อืม ข้าไม่มีเจตนาจะทำให้ตระกูลฮั่วต้องลำบากใจ ถ้าแค่ตระกูลฮั่วไม่ทำให้ข้าลำบากใจน่ะนะ แต่ข้าเองก็เข้าใจ บุ่มบ่ามไปแย่งธุรกิจของคนอื่น ดูแล้วยังไงก็ไม่เหมาะสม และยังเป็นในสถานการณ์ที่ข้ามั่นใจว่าข้าคว้ามันมาได้ด้วย”ฟังคำพูดนี้ของจั๋วซือหรานแล้ว ฮั่วจือโจวก็หัวเราะขึ้นมา เขาก
“ทำให้มันคึกคักขึ้น?” เฟิงหร่านตาเป็นประกาย ความชื่นชมต่อตัวจั๋วซือหรานของนางไม่ได้แค่นิดหน่อยแล้วตอนนี้มองจั๋วซือหรานด้วยตาเป็นประกาย “พี่หญิงจั๋ว จะทำให้มันคึกคักขึ้นได้อย่างไรหรือ?”จั๋วซือหรานคิดๆ เอ่ยขึ้นว่า “วิธีการมีอยู่เยอะเลยทีเดียว ก็ให้เจ้าไปแสดงพ่นไฟ เฮยหลิงไปแสดงหน้าอกทลายหินอะไรแบบนั้น หรือไม่ข้าก็ให้พวกแมลงไปแสดงละครหุ่นกระบอก? ต้องสนุกคึกคักแน่ๆ...”“พ่น พ่น...พ่นไฟ??” ในสายตาเฟิงหร่านเต็มไปด้วยความไม่อยากเชื่อก็จริง สำหรับนางที่เป็นคุณหนูลูกขุนนางเช่นนี้ทุกการกระทำทั้งหมดของจั๋วซือหราน กระทั่งแค่ลมหายใจของนาง ก็ดูจะผิดแปลกไปจากคนอื่นๆ ในตระกูลขุนนางเหล่านั้น “พ่นไฟเป็นไหม? ถ้าไม่เป็นเดี๋ยวไว้ข้าหาเวลาสอนเจ้า” จั๋วซือหรานวางตะเกียบลง “สรุปคือ ถ้าถึงเวลาต้องเปิดกิจการ ก็หาการแสดงอะไรมา จากนั้นพอเปิดร้านก็เตรียมการให้ลูกค้าแต่ละโต๊ะหลังจากที่กินอาหารเสร็จ ก็มอบอาหารเพิ่มให้อีกหนึ่งจานแบบไม่ต้องจ่ายเงินอะไรแบบนี้”“ประชาชนกินเพื่ออยู่ ขอแค่ของอร่อย ยังต้องกลัวว่าจะไม่มีใครมาอีกหรือ” จั๋วซือหรานคิดคิด เอ่ยต่อว่า “ไหนจะเรื่องที่อาหารของที่นี่รสชาติแย่แค่ไหน น่าจะไ
จั๋วซือหรานตอบ “เดี๋ยวเจ้าลองชิมก็รู้แล้ว...”ผ่านไปครู่หนึ่ง อาหารก็ส่งขึ้นมา หน้าตาแย่เอามากๆเจี่ยงเทียนซิงจึงเพิ่งได้ยินประโยคหลังของจั๋วซือหราน “...ไม่ใช่ห่วยแตกแบบธรรมดาด้วย”เจี่ยงเทียนซิง “...”เฟิงหร่าน “...”ฝูซู “...”เฮยหลิง “...”ทุกคนทยอยกันพูดไม่ออกจั๋วซือหรานหยิบตะเกียบขึ้นมา คีบคำหนึ่งส่งเข้าปาก หลังจากเคี้ยวไปสองคำ ก็ขมวดคิ้วขึ้นมา “พวกเจ้าลองชิมสิ ห่วยแตกแบบไม่ธรรมดาจริงๆ”เฮยหลิงยังพอไหว ถึงอย่างไรก่อนหน้านี้ก็ใช้ชีวิตยากลำบากมาแล้ว ขยับตะเกียบ หลังจากกินคำแรกไปเห็นได้อย่างชัดเจน ว่าเขาเหมือนจะโกรธขึ้นแล้วเฟิงหร่านเองพอเห็นสถานการณ์ จึงวางตะเกียบลงเงียบๆเจี่ยงเทียนซิงถาม “เจ้าหิวแล้ว แต่จงใจมายังร้านอาหารที่รสชาติแย่หรือ?”จั๋วซือหรานเอ่ยขึ้น “ลองชิมดูก่อน แบบนี้ภายหลังจะได้มีความแตกต่าง”เจี่ยงเทียนซิงก็เชื่อฟังคำพูดของนาง คีบขึ้นมาพอส่งเข้าปาก จึงเพิ่งมีปฏิกิริยากับคำพูดของจั๋วซือหราน “...ภายหลัง?”ตอนนี้เอง อะไรบางอย่างที่อยู่ในปาก ในที่สุดก็ทำเอาประสามรับรสของเขาถูกปะทะอย่างรุนแรง“ถุด” เจี่ยงเทียนซิงพ่นอาหารในปากออกมา รู้สึกว่าคำวิจารณ์ก่อน
พอได้ยินคำพูดของเจี่ยงเทียนซิง จั๋วซือหรานก็เลิกคิ้ว “นั่นก็จริงอยู่”เจี่ยงเทียนซิงถามขึ้น “บาดแผลของเจ้าไม่เป็นไรหรือ?”“ถ้าเจ้าถามช้าอีกหน่อย มันก็หายสนิทแล้ว” จั๋วซือหรานมองตำแหน่งบาดแผลเหล่านั้นบนร่างกายตนเองผาดหนึ่ง“ที่ข้าพูดไม่ได้หมายถึงบาดแผลในการประลองเมื่อครู่ แต่เป็นของเมื่อคืนนี้” เจี่ยงเทียนซิงบอกมาเฟิงหร่านอยู่ข้างๆ ได้ยินคำพูดของเจี่ยงเทียนซิง จึงรีบกำชับขึ้นมาว่า “จริงด้วย พี่หญิงจั๋ว ท่านไม่เป็นอะไรแล้วหรือ? ข้าได้ยินเรื่องที่ท่านเข้าไปในศาลบรรพบุรุษเมื่อคืนนี้แล้ว นั่นมันอันตรายมากเลย! ท่านไม่ได้บาดเจ็บใช่ไหม?”จั๋วซือหรานเหลือบมองแม่นางคนนี้ “พี่ชายของเจ้า กลับบ้านไปแล้วหรือยัง?”เฟิงหร่านตกตะลึง จากนั้นจึงพยักหน้า “กลับมาแล้ว”“เช่นนั้นเขาไม่ได้บอกเจ้าหรือ?” จั๋วซือหรานถามขึ้นมาอีกเฟิงหร่านถอนหายใจอีกครั้ง “อารมณ์ของพี่ชายเหมือนไม่ค่อยดีนัก หลังจากกลับมา ผู้อาวุโสหลายคนที่อยากไปคุยกับเขา ก็ล้วนถูกไล่ออกมาหมด ข้าเองก็ไม่กล้าเข้าไปวุ่นวาย”นางมองจั๋วซือหรานตาแป๋ว “พี่หญิงจั๋ว เป็นเพราะท่านหรือเปล่า?”“หือ?” จั๋วซือหรานส่งเสียงสงสัยขึ้นมาเฟิงหร่านถามขึ้น
“ไม่มีเคล็ดวิชาอะไร กระทั่งไม่มีถุงเก็บสัตว์ด้วยซ้ำ แต่กลับเก็บแมงมุมหน้าผีระดับราชาลงไปได้ในชั่วพริบตา” ซางเชวี่ยเอ่ยขึ้นเสียงต่ำ “ก่อนหน้านี้ตอนที่นางอัญเชิญราชาแมงมุมหน้าผีออกมา พวกเราถูกทำให้เข้าใจผิดจนคิดว่าอีกฝ่ายอัญเชิญออกมา คู่มือของนางคนนั้น แม้ความเร็วในการอัญเชิญจะเร็ว แต่ก็ยังต้องมีเคล็ดวิชาอะไรอยู่”“ตอนนั้นถูกเบนความสนใจจนไม่ทันสังเกต ตอนนี้กลับมองเห็นชัดเจนแล้ว ไม่แน่ว่าตอนที่นางอัญเชิญมาก็เป็นเช่นนี้ ไม่มีเคล็ดวิชาอะไรในการเก็บหรือเรียก” คนตระกูลซางที่ถูกจั๋วซือหรานแย่งราชาแมงมุมหน้าผีไปคนนั้นเอ่ยขึ้นเสียงขรึมเขาจู่ๆ ก็รู้สึกโชค ที่ตอนไปจัดการราชาแมงมุมหน้าผีในป่าลึกลับตอนนั้น ตนเองไม่ได้เผชิญหน้ากับจั๋วซือหรานเหมือนคนพวกนั้นตอนนั้นเขายังรู้สึกว่า ราชาแมงมุมหน้าผีถูกแย่งไปเพราะโชคดีที่ไม่ได้มาเจอกับเขา ดังนั้นจึงแย่งไปได้อย่างราบรื่นแต่พอเห็นตรงนี้ ในใจเขาก็แอบรู้สึกโชคดี ยังดีที่ตนเองโชคดี! ไม่ได้ไปเจอเข้ากับจั๋วซือหรานในตอนนั้น! ไม่เช่นนั้น เขาคงได้กลายเป็นวิญญาณเร่ร่อนอยู่ในป่าลึกลับเหมือนคนอื่นๆ พวกนั้นแน่!และบนเวทีประลองตอนนี้ หลังจากจั๋วซือหรานเก็บราชาหน้
เปรี๊ยะ...! ตอนที่เสียงนี้ดังขึ้น แจ่มชัดอย่างมากต่อให้ในสถานที่ที่สับสนวุ่นวายอย่างในลานประลอง ก็ยังแจ่มชัดอย่างมาก!ทุกคนล้วนมีปฏิกิริยากันขึ้นว่ามาต้นเสียงมาจากไหนแต่เพียงไม่นาน ก็มีคนพบขึ้นแล้ว“ดู...ดูสิ! ให้ตายเถอะ...เว เวที แตก...แตกออกแล้ว!”ภายใต้การจับตามองของทุกคน ด้านใต้ร่างกายของซางถิง แตกออกมาเป็นรอยแยกรอยหนึ่ง!“นั่น...นั่นไม่ใช่เวทีที่ทำจากหินต้องห้ามหรือ? ทำ ทำไมถึง...แตกล่ะ?”ระดับความแข็งของหินต้องห้ามแค่จินตนาการก็รู้แล้ว ไหนจะคุณสมบัติพิเศษของหินต้องห้ามที่สามารถสะกดพลังวิญญาณของมนุษย์ได้ถ้าหากไม่สามารถใช้พลังวิญญาณ แล้วคิดจะสร้างรอยแตกแก่หินต้องห้าม นั่นมันฝันกลางวันชัดๆทว่าตอนนี้ กลับมีคนทำได้แล้วก็คือคนที่เดิมทีถูกทุกคนดูถูกบนเวทีประลอง ถูกทุกคนเข้าใจว่าสู้หลอกๆ เข้าใจว่านางไม่มีฝีมือการต่อสู้...คนที่เป็นแค่หญิงสาวในสายตาของทุกคนคนนั้นจัดการหั่น...เวทีประลองที่ทำจากหินต้องห้ามนี้จนแตกหลังจากที่ทุกคนตระหนักขึ้นได้ ทั่วทั้งลานก็เงียบลงมาทันทีจั๋วซือหรานมองไปทางอินเจ๋ออัน อินเจ๋ออันก็สีหน้าปั้นยากขึ้นมา กระทั่งประกาศแพ้ชนะก็ยังลืมทำ ยืนแข็งทื
เพราะบนเวทีประลอง ไม่ค่อยจะมีความยอดเยี่ยมที่พิเศษนัก หรือก็คือ การต่อสู้ที่งดงามยอดเยี่ยม คนที่เก่งกาจจริงๆ ใครก็ไม่อยากจะมาเสียเวลาบนเวทีประลองระดับต่ำๆ เช่นนี้ปกติจึงมีแต่การต่อสู้ที่ไม่ได้ยอดเยี่ยมอะไรนัก และเพราะเหตุนี้ ทุกคนจึงอยากจะลองเดิมพันกัน อยากจะเห็นการต่อสู้ที่เลือดสาดยิ่งขึ้น เพราะมันต้องมีอะไรสักอย่างที่ดึงดูดสายตาแต่ตอนนี้ การต่อสู้บนเวที ไม่จำเป็นต้องเลือดสาด แค่นี้ก็ยอดเยี่ยมเพียงพอแล้วยิ่งไปกว่านั้นพวกเขาก็มองออก!สถานการณ์ตอนนี้เหมือนเคยเจอมาก่อนเพียงไม่นาน ก็มีคนมีปฏิกิริยาขึ้นมา“ไม่ใช่เหมือนกับตอนยกแรกหรือ? แค่พลิกกลับมาเท่านั้น”“จริงด้วย! ตอนยกแรก เป็นหญิงสาวถูกอีกฝ่ายใช้แส้ไล่ฟาดบีบจนเข้าไปในระยะโจมตีของสัตว์ประหลาด!”“แต่ว่าตอนนี้เหมือนนางมาไล่บี้ชายคนนี้ไปในระยะของสัตว์ประหลาด...?”“ไม่ ไม่ใช่ นางบีบชายคนนี้ ตรงไปยังจุดโจมตีถัดไปของนาง!”“พอพูดเช่นนี้ ตอนยกแรกคงไม่ใช่ว่านางยอมให้คนอื่นชนะหรอกใช่ไหม...?”จั๋วซือหรานได้ยินเสียงเหล่านี้ หางตายกโค้งนางคิดจะให้ทุกคนรู้สึกเช่นนี้ พอเป็นแบบนี้ก็คงไม่มีใครรู้สึกว่านางไม่มีฝีมือ เอาชนะมาได้เพราะอีกฝ