นี่เป็นอะไรกันเนี่ย นางดูดพลังหยางและเติมพลังหยินจากเขา เขาต้องเอาคืนหรือแต่จั๋วซือหรานยังไม่ทันคิดเรื่องนี้ เฟิงเหยียนก็ปล่อยนางไปแล้ว สีหน้าของเขาดูราวกับว่าเขาไม่ได้ทำอะไรเลย สงบและไร้เดียงสาในทางตรงกันข้าม ริมฝีปากของนางแดงและบวม และการที่นางยกมือและเช็ดปากของนางเบา ๆ ทำให้นางดูกังวลและอึดอัดมากยิ่งขึ้น“ ท่านอ๋อง เจ้า...”“หากข้าไม่ดูดกลับบ้าง พรุ่งนี้เจ้าจะถูกพลังนั้นเผา” เฟิงเหยียนกล่าวจั๋วซือหรานจำได้ว่าหลังจากนางรักษาอาการบาดเจ็บให้เขาแล้ว นางถูกพลังอันยิ่งใหญ่ของเขาปลุกเข้าร่างกายของนาง และวันรุ่งขึ้น นางเจ็บตัวจนตั้งสติไม่ได้เมื่อได้ยินคำพูดของเฟิงเหยียน จั๋วซือหรานก็รู้สึกโล่งใจเล็กน้อยนางกลอกตาและเอื้อมมือไปจับข้อมือของเฟิงเหยียนเฟิงเหยียนเพียงรู้สึกได้ถึงมีพลังอันบริสุทธิ์กำลังไหลเข้าสู่ระบบเส้นลมปราณของเขา เขารู้สึกสบายตัวมากเขารู้สึกพลังนั้นไม่ใช่พลังไฟของตระกูลเฟิง และไม่ใช่พลังไม้ของตระกูลจั๋วนั่นเป็นพลังที่บริสุทธิ์และมหัศจรรย์มาก ซึ่งเขาไม่สามารถอธิบายได้ชั่วขณะหนึ่งจั๋วซือหรานกล่าวว่า "เอาเป็นว่าข้าตอบแทนข้าละกัน เนื่องจากเจ้าปฏิบัติต่อข้าด้วยคว
“ใช่แล้ว เหยียนเอ๋อร์ เจ้าแก้ปัญหานี้ได้หรือไม่” ผู้อาวุโสถามเฟิงเหยียนตรวจดูเป็นคร่าว ๆ เขาตอบ "ข้าหมดปัญญาขอรับ"ผู้อาวุโสอีกท่านหนึ่งยอมรับความจริงนี้ไม่ได้ เขาคิดเช่นนี้ ซึ่งเป็นเรื่องปกติ เพราะเขาเป็นผู้ที่ฝึกฝนเฟิงช่านเอง และเฟิงช่านก็ยังเป็นรุ่นหลังที่เขาให้ความสำคัญมากที่สุดอีกด้วยแต่ตอนนี้เฟิงช่านกลายเป็นเช่นนี้ผู้อาวุโสท่านนี้พูดอย่างวิตกกังวล “ทำไมจะไม่มีทางออก ทำไมจะไม่มีทางแก้ปัยหาล่ะ เจ้าดูออกอยู่ใช่ไหม พวกเขาถูกวางยาพิษทั้งนั้น ในเมื่อถูกวางยาพิษ เจ้าต้องมีทางแก้ปัญหาสิ”ผู้อาวุโสจ้องมองที่ดวงตาของเฟิงเหยียนอยู่ครู่หนึ่ง ดวงตาของผู้อาวุโสโหดร้ายเล็กน้อย"เจ้าร้อยพิษไม่กล้ำกลายมิใช่หรือ"สีหน้าของเฟิงเหยียนไม่มีการเปลี่ยนแปลงเลยสักนิดเขามีพลังอันรุนแรงที่สุด ตระกูลของเขาได้ผนึกพลังศักดิ์สิทธิ์ส่วนใหญ่ไว้ในตัวร่างกายของเขา เขามีไฟที่รุนแรงและทรงพลังเช่นนี้เขายังจะถูกพิษกัดกร่อนได้อย่างไร พิษทั้งหมดจะถูกไฟเผาจนไม่เหลืออะไรเลยเฟิงเหยียนเหลือบมองผู้อาวุโสท่านนี้ เขาตอบ "ข้าร้อยพิษไม่กล้ำกลายก็จริง แต่พวกเขาไม่ใช่"“แล้ว แล้วตอนนี้เราต้องทำอย่างไรดี” ไม่น่าแปลกใ
มีความสามารถแต่ถูกทำร้ายหรือได้รับอันตรายตระกูลเฟิงนำหน้ามาเป็นเวลานาน ดังนั้นต้องมีใครบางคนไม่ยอมตระกูลเฟิงแน่ ๆจั๋วซือหรานไม่รู้ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในจวนเฟิงนางกลับบ้านและรีบไปพักผ่อน จากนั้นนางเข้าไปในพื้นที่น้ำพุวิเศษของนางจั๋วซือหรานมองแวบเดียว นางตกใจทันทีเดิมทีนางไม่มีความรู้สึกมากมายต่อพลังวิเศษไม้โดยกำเนิดของตระกูลจั๋ว แต่เมื่อนางเห็นพืชอันสีเขียวชอุ่มในพื้นที่น้ำพุวิเศษอัตราการเติบโตของพืชเหล่นนี้เร็วกว่าอัตราการเติบโตในพื้นที่น้ำพุวิเศษของชีวิตก่อนหน้านี้ตั้งสามหรือห้าเท่าอย่างเห็นได้ชัดจั๋วซือหรานตกใจอย่างมาก และนางพอใจมากจริง ๆ ดังนั้นนางจึงขยันทำงานหนักในพื้นที่น้ำพุวิเศษตลอดทั้งคืนจนกระทั้งเช้าวันรุ่งขึ้น จั๋วซือหรานตื่นขึ้นมา นางยังรู้สึกตัวเองเหนื่อยอยู่เล็กน้อยแม้ว่านางหลับไปแล้วก็ตามเหมือนฝันว่านางโดนฆาตกรไล่ตามทั้งคืน นางพยายามวิ่งหนีในฝันไปทั้งคืน นางมีความรู้สึกเช่นนี้ นางจึงรู้สึกเหนื่อยเมื่อตื่นนอนนางไม่ได้เหนื่อยทางกายภาพ แต่เหนื่อยตรงจิตใจล้วน ๆฝูซูรายงานที่นอกประตู “คุณหนูขอรับ มีแขกมาขอรับ”จริง ๆ แล้วน้ำเสียงของฝูซูค่อนข้างเคร่งขรึมเล็ก
จั๋วซือหรานมองแขกที่มาจากราชวงศ์ แขกที่กำลังนั่งอยู่สวมชุดที่งดงามไม่มีความอบอุ่นในรูม่านตาของนาง ส่วนใหญ่เป็นเพราะแขกท่านนี้จ้องมองนางอย่างไม่รู้จักเก็บตัวรอยยิ้มนั้นเต็มไปด้วยความคิดอันชั่วร้าย ซึ่งทำให้นางรู้สึกหมั่นไส้" แม่นางจิ่ว ไม่เจอกันนานเลย” ซือคงยวี่พูดขณะที่เขามองจั๋วซือหราน เขายิ้ม “ตอนแรกข้ายังคิดอยู่ว่า เมื่อแม่นางจิ่วต้องพบกับความวุ่นวายมากมายในเมืองหลวงในเมื่อเร็ว ๆ นี้ แม่นางคงต้องเหนื่อยทั้งใจและกาย แต่ข้าคิดไม่ถึง..."ขณะที่เขาพูด เขามองจั๋วซือหรานอย่างละเอียด เขายิ้มและพูด" แม่นางจิ่วยังคงสวยราวกับดอกไม้ ไม่เพียงแต่สีหน้าของแม่นางไม่ซีดเซียวและเหนื่อยล้า แต่แม่นางยังสวยและมีเสน่ห์มากกว่าที่เราเคยเจอในก่อนหน้านี้”จั๋วซือหรานไม่ปฏิเสธคำชมของเขา นางยิ้มอย่างไร้ความจริงใจและพูด "ท่านมาที่นี่ มีธุระอันใด"“มีสิขอรับ” อ๋องชินยวี่ยิ้มและตอบ เขาปรบมือเบา ๆ จากนั้นมีคนรับใช้เดินเข้ามาจากประตูและยื่นใบรายการของขวัญให้จั๋วซือหรานด้วยความเคารพจั๋วซือหรานรับใบรายการนี้แล้วเลิกคิ้วเล็กน้อย “อ๋องชินหมายความหว่า”อ๋องชินยวี่ยิ้มและกล่าวว่า "ข้ามาที่นี่ด้วยมือเปล่าได้ส
ซือคงยวี่กล่าวต่อ "และข้าถือโอกาศนี้ฉลองให้กับแม่นางจิ่วพอดี "“ฉลองหรือเพคะ” จั๋วซือหรานถามกลับ“ แม่นางจิ่วสอบติดแพทย์กลั่นยา ชนะตระกูลเหยียน และตอนนี้เจ้าได้ปลุกพลังสายเลือดแห่งตระกูลสายเลือดของตระกูลจั๋วแล้วด้วยซ้ำ เราไม่ควรฉลองกันหรือ” ซือคงยวี่ยิ้มและตอบ“ท่านอ๋องได้รับข่าวไวจังเพคะ” จั๋วซือหรานกระตุกริมฝีปากของนางซือคงยวี่ยิ้มและเดินไปหาจั๋วซือหราน เขาเอื้อมมือไปตบไหล่ของนางเบา ๆ แล้วพูดว่า "ดังนั้นข้าเลยตั้งใจเลื่อนงานเลี้ยงน้ำชาให้แม่นางจิ่วโดยเฉพาะ แม่นางจิ่ว คราวนี้เจ้าคงจะไม่ปฏิเสธข้าแล้วใช่ไหม"ในขณะที่ซือคงยวี่พูด เขาก็ตบไหล่ของจั๋วซือหรานเบา ๆ เมื่อเขาพูดจบ มือของเขาก็ตบไหล่ของนางเป็นครั้งสุดท้าย จากนั้นเขาก็วางมือที่ไหล่ของนางจั๋วซือหรานสังเกตถึงความแข็งแกร่งบนไหล่ของนาง นางขมวดคิ้วและพูดอย่างเย็นชา "หากท่านอ๋องไม่อยากเอามือข้างนี้แล้ว ท่านอ๋องบอกหม่อมฉันก็ได้ ทำไมต้องวางผิดที่ล่ะ"“เจ้าพูดอะไรนะ” ซือคงยวี่ไม่ทราบตัวเองไม่ได้ยินคำพูดของจั๋วซือหรานชัดเจน หรือเขาฟังผิดเพราะเช่นเดียวกับคนรับใช้ที่คิดไว้ในก่อนหน้านี้ ไม่เคยมีใครกล้าพูดเช่นนี้ต่อหน้าเขาเลยดังนั
ซือคงยวี่ตกตะลึง เหมือนเขาคิดไม่ถึงว่า...เพราะการเคลื่อนไหวของจั๋วซือหรานเร็วเกินไปผู้หญิงที่อ่อนแอซึ่งได้รับการปกป้องอย่างชัดเจนจากน้องเจ็ดในก่อนหน้านี้ดูเหมือนมาอยู่ข้างหน้าในชั่วพริบตาเดียวซือคงยวี่มองไปที่นาง" แม่นางจิ่ว เจ้ามายถึงอะไร"“ไหนบอกว่ามีงานเลี้ยงน้ำชาไม่ใช่หรือ” จั๋วซือหรานมองเขาอย่างเย็นชา“ใบเชิญอยู่ล่ะ เอามาให้ข้าสิ”ซือคงยวี่เงียบไปครู่หนึ่ง หลังจากเขารู้ตัว เขาจึงส่งสัญญาณมือแก่คนรับใช้ของเขาคนรับใช้ของเขารีบเข้ามาและถือใบเชิญไว้ในมือจั๋วซือหรานรับใบเชิญนี้อย่างไม่สนใจ นางพูดเบา ๆ “ ข้าจะไปอยู่ เช่นนั้น หากท่านอ๋องมีอะไรแล้ว…”นางทำท่า 'ได้โปรด' ไปที่ประตูซือคงยวี่มีสีหน้าที่แยกมาก จนกระทั่งรอยยิ้มของเขาเต็มไปด้วยการฝืนใจ เหมือนเขายิ้มแค่ผิวผืนแต่ด้วยฐานะและความเย่อหยิ่งของตนเอง เขาไม่ควรทะเลาะกับแม่นางจิ่ว มิดเช่นนั้นจะกลายเป็นว่า เขาดูเสียมารยาทอย่างมากเขาโกรธอย่างมาก จนเขาต้องบีบประโยคหนึ่งออกมาจากระหว่างฟัน "เช่นนั้น แม่นางจิ่ว เราพบกันใหม่ในวันนั้น"จั๋วซือหรานกระตุกริมฝีปากของนางแล้วพูดว่า "ข้าขอตัวไม่ไปส่ง"หลังจากได้ยินคำพูดนี้ ในที่สุดซ
ทันใดนั้นเขาทรงตัวไม่อยู่ และเขารู้สึกตัวเองกำลังจะล้มลงกับพื้น แต่สุดท้ายเขาล้มลงพื้นไม่ได้ซือคงเซี่ยนหันไปของแม่นางที่อยู่ด้านหลังเขาอย่างช่วยไม่ได้ บัดนี้แม่นางผู้นี้กำลังเอานิ้วแตะไปที่หลังของเขา“เจ้า... ทรงพลังจริง ๆ…” ซือคงเซี่ยนพูด ในที่สุดน้ำเสียงของเขาก็ค่อนข้างผ่อนคลายจั๋วซือหรานดึงเก้าอี้มาให้เขานั่งลง จากนั้นนางขมวดคิ้วแล้วถามเขา "ท่านอ๋อง เกิดอะไรขึ้นกันแน่"ก่อนหน้านี้ นางยุ่งอยู่กับการเผชิญหน้ากับซือคงยวี่ เลยไม่สนใจกับสภาพของซือคงเซี่ยนมากนัก นางสังเกตเห็นเพียงว่าเขาผอมลงอย่างมาก และนางรู้สึกเขาซีดเซียวมากเวลานี้ จั๋วซือหรานจึงเห็นสภาพของเขาได้อย่างชัดเจน เขาไม่ใช่เพียงผอมแห้งและซีดเซียวแล้ว“ทำไมเจ้าถึงเป็นเช่นนี้” จั๋วซือหรานขมวดคิ้วและจับชีพจรที่ข้อมือของซือคงเซี่ยนทันทีทันทีที่พลังของการแพทย์สายวิเศษทะลุผ่านเส้นเลือดที่ข้อมือ จั๋วซือหรานก็ขมวดขึ้น “นี่ เจ้า…”ชีพจรเช่นนี้แสดงว่าเขาต้องถูกทรมานอย่างมาก“ข้าเป็นเพียงลูกสาวธรรมดา ๆ ของตระกูล ดังนั้นตอนนั้นข้าจึงไม่มีกำลังสู้กับตระกูลเหยียนได้ เลยถูกพวกเขาใส่ร้ายและกล่าวหา ข้าได้ถูกลงโทษอย่างรุนแรง แต่ข้า
“ส่วนรายละเอียด...ข้าไม่ทราบ...ข้าก็ไม่แน่ใจ ข้าแค่ได้ยินแค่ไม่กี่คำ...ดูเหมือนพูดว่า...วางยาพิษ... ..”สภาพร่างกายของซือคงเซี่ยนอ่อนแอมาก และหลังจากเขาพูดไปสองสามคำ ลมหายใจของเขาก็อ่อนลงนางไม่รู้ว่าเขาหนีออกจากจวนอ๋องชินยวี่ได้อย่างไรจั๋วซือหราน มวดคิ้วและกดเขาลงบนเก้าอี้เตียงที่อยู่ด้านข้างทันทีฝูซูรู้สึกคุณหนูของเขาทำเช่นนี้ไม่เหมาะ เพราะคุณหนูของเขาเป็นเด็กผู้หญิง และท่านอ๋องเซี่ยนเป็นผู้ชาย...แต่จั๋วซือหรานดึงเสื้อผ้าของซือคงเซี่ยนออก นางหันไปหาฝูซู แล้วพูดว่า "อย่าอยู่เฉย ๆ มาช่วยหน่อยสิ"เมื่อฝูซูเห็นบาดแผลบนตัวของซือคงเซี่ยน เขาตกใจทันที "นี่ นี่ นี่ นี่..."ฝูซูรีบเดินเข้าไปช่วยจั๋วซือหรานปลดกระดุมเสื้อของซือคงเซี่ยน เปิดตัวร่างกายที่เต็มไปด้วยบาดแผลฝูซูเห็นสภาพร่างกายเช่นนี้ เขาอดไม่ได้ที่ต้องกัดฟัน บางครั้งผู้คนอาจรู้สึกถึงความเจ็บปวดเมื่อเขาเห็นอาการบาดเจ็บบางอย่างดูเหมือนเขาจะเจ็บปวดเช่นกันฝูซูมององค์ชายท่านนี้ ดูเหมือนองค์ชายท่านนี้กำลังจะหายใจไม่ได้แล้วจั๋วซือหรานหยิบเข็มเงินออกมาหนึ่งแถวแล้วปักเข็มไปที่ร่างของซือคงเซี่ยนทีละอันหลังจากให้ยาเพิ่มอีกสอ
จั๋วซือหรานคาดไว้แล้ว จึงไม่ได้ห้ามแสดงชัดเจนว่าไม่กลัวว่าเฟิงเหยียนจะรู้ กระทั่งพูดได้ว่า ตั้งใจให้เฟิงเหยียนรู้ด้วยซ้ำแล้วก็เป็นไปตามคาด นี่ก็ไม่ใช่เข้ามาแล้วหรือชายหนุ่มนิ่งงันไปครู่หนึ่ง จึงรู้ว่า "ทำไมต้องเป็นปันอวิ๋น"จั๋วซือหรานฟังออก ว่าระหว่างชายหนุ่มกับปันอวิ๋น น่าจะมีอะไรกันอยู่ไม่เช่นนั้นปันอวิ๋นเองก็คงไม่ดื้อแพ่งคิดแต่จะบรรลุความร่วมมือหมั้นหมายกับนางแล้ว"แล้วทำไมถึงเป็นปันอวิ๋นไม่ได้" จั๋วซือหรานยิ้มเรียบๆ สายตามองเขา "เขาก็หน้าตาดีอยู่นี่""แค่เพราะเรื่องนี้หรือ?" ในดวงตาคิ้วที่เฉียมคมลึกซึ้งของชายหนุ่ม มีอารมณ์อื่นแทรกเข้ามา"ไม่อย่างนั้นจะเพราะอะไรล่ะ?" จั๋วซือหรานตอบ "เพียงแต่ ท่านอ๋องเอาฐานะอะไรเข้ามาถามข้ากัน?"จั๋วซือหรานมองสีหน้าเขา ในที่สุดก็ไม่เหลือรอยยิ้มใดอีก แม้แต่รอยยิ้มบางๆ ที่ไม่ได้อยู่ในดวงตาก่อนหน้า ก็หายไปจากใบหน้างามของนางหมดแล้ว"จะยุ่งมากไปหน่อยหรือเปล่า?" จั๋วซือหรานมองเขาสายตาเย็นชาชายหนุ่มถูกนางจ้องเย็นชาเช่นนี้ ก็รู้สึกแปลกๆ เหมือนในใจอะไรบางอย่างขาดหายไป เหมือนมุมไหนสักมุมกำลังถูกทิ่มแทงราวกับว่า...ไม่ควรเป็นเช่นนี้ ไม่ควรจะ
จั๋วซือหรานตอนออกจากโรงหมอ ฟ้าก็มืดไปแล้วนางก้าวเดินออกจากโรงหมออย่างสบาย ผู้จัดการก็รีบเดินตามขึ้นมา "คุณหนู! ให้ข้าเรียกรถม้าให้ท่านไหม?""ไม่ต้อง" จั๋วซือหรานโบกไม้โบกมือ "ข้าเดินกลับไปก็พอ นั่งมาทั้งวันก็ได้ยืดเส้นยืดสายหน่อยพอดี"ผู้จัดการเดิมทีคำพูดติดอยู่มุมปากแล้ว กังวลว่านางที่เป็นหญิงสาวคนเดียวเดินกลับตอนกลางคืนอาจจะไม่ปลอดภัยแต่พอคำพูดขึ้นมาถึงมุมปากก็รู้สึกว่าตนเองโง่หรือเปล่า นี่มันใครกัน? นี่ใช่หญิงสาวอ่อนแอเสียที่ไหน? นี่แม่นางจิ่วนะ!กังวลว่าแม่นางจิ่วเดินกลับบ้านแล้วไม่ปลอดภัยเรอะ? สู้กังวลคนอื่นที่มายั่วโมโหแม่นางจิ๋วว่าจะปลอดภัยหรือเปล่าดีกว่า...จั๋วซือหรานเดินไปครึ่งหนึ่งแล้ว จึงพบว่าตนเองหิวจะแย่แล้ว จึงเดินไปยังร้านข้างทางร้านหนึ่ง ซื้อขนมปิ่ง ถือไว้ในมือ เดินไปด้วยพลางกินหงุบหงับไปด้วยตอนที่เดินยังไม่ถึงครึ่ง จั๋วซือหรานก็กินขนมปิ่งในมือหมดไปแล้ว ดูดนิ้วของตัวเองเบาๆหลังจากนั้นนางจึงมองนิ้วมันแผลบของตนเอง ยืนคิดๆ อยู่กับที่ เอ่ยขึ้นเสียงเรียบ "ตามข้ามาตั้งนานแล้ว มีผ้าเช็ดมือไหม? ข้าอยากเช็ดมือ""..." รอบๆ นอกจากสายลมยามราตรีแล้ว ก็ไม่มีการเคลื่อนไห
"เจ้าบอกข้าหน่อยว่านี่มันโรคอะไร? เฮอะ! เจ้าอย่ามาทำตัวรู้มากนัก ข้าจะบอกเจ้าให้ ข้าไม่ได้ป่วยเป็นอะไรเสียหน่อย! เจ้ามาทำตัวลึกลับแบบนี้คิดว่ามีคนหลงเชื่อ แล้วยกเจ้าเป็นหมอเทวดาเรอะ ก็แค่เด็กน้อยยังไม่โต ทำเป็ฯรู้มาก น่าขันเสียจริง"พนักงานข้างๆ คนหนึ่งรำคาญขึ้นมาแล้ว คิดจะไล่คนออกไป แต่ใครจะรู้ ว่าจั๋วซือหรานกลับไม่ได้รำคาญเลยสีหน้าบนหน้าไม่เปลี่ยนไปมากนัก แค่มองคนคนนี้นิ่งๆ เอ่ยขึ้นว่า "ใครบอกเจ้าว่าเจ้าไม่ป่วย?"ชายหนุ่มตอบกลับทันที "ข้ามันคนแกร่ง! ไถนาได้สามไร่! กินข้าวมื้อละสามชาม!"พอสิ้นเสียงคนผู้นี้ จั๋วซือหรานก็เอ่ยรับเสียงเรียบ "แต่บนเตียงกลับทนได้ไม่ถึงสามนาที ไตพร่องพลังชี่ขาด น้ำเชื้อจึงเบาบาง แค่ลูกเจ้าก็มีไม่ได้ นี่หนักหนาอยู่นะ"จั๋วซือหรานพูด พลางเขียนตำรับยาพอได้ยินนางพูดเช่นนี้ รอบๆ จึงมีเสียงหัวเราะขึ้น โดยเฉพาะตอนที่เห็นคนที่ดุดันขนาดนั้นก่อนหน้านี้ เวลานี้กลับถูกแม่นางจั๋วจิ่วพูดไปสองสามคำจนหน้าซีด พูดอะไรไม่ออกไปแล้ว...มีคนแอบกระซิบว่า "สีหน้าเขาดูแย่มากนะ คงไม่ใช่ถูกแม่นางจั๋วจิ่วแทงถูกจุดเข้ากระมัง...""น่าขำชะมัด แม่นางจั๋วจิ่วนี่เก่งกาจจริงๆ"ชายห
หานกวงถามคำนี้อย่างระมัดระวัง จั๋วซือหรานยิ้มออกมาบางๆ มองหานกวง "ทำไมหรือ? กลัวว่าข้าจะไม่เอาซื่อจื่อของพวกเจ้าแล้ว?"หานกวงคิด ตอบกลับเสียงต่ำ "ไม่ใช่แค่นั้น ข้ายังกังวลแม่นางจิ่วจะหุนหันพลันแล่นเพราะรู้สึกน้อยใจ แล้วไปแสร้งทำตัวเอาใจกับคนที่ไม่ได้ชอบ"จั๋วซือหรานโบกมือเอ่ยขึ้น "เรื่องนี้ไม่ต้องกังวล ข้าไม่เคยทำให้ตัวเองต้องน้อยใจมาโดยตลอด และแทบจะไม่เคยแสร้งทำตัวเอาใจใครด้วย แทนที่เจ้าจะมากังวลเรื่องนี้ สู้ไปกังวลว่าข้าไม่ชอบซื่อจื่อของเจ้าแล้วหรือเปล่าดีกว่านะ"หานกวงเบิกตากลม สายตาลนลานขึ้นอย่างเห็นได้ชัด "ไม่หรอกกระมัง?"จั๋วซือหรานยักไหล่เอ่ยเอ่ยขึ้นยิ้มๆ "ไม่แน่นะ? คนที่ไม่ชอบข้า ข้าเองก็ไม่ชอบ ข้าเองก็เป็นพวกรักก็รักชังก็ชังเสียด้วย""แต่ แต่ว่า..."จั๋วซือหรานไม่รอให้หานกวงเติมเชื้อฟืนอะไรให้เจ้านายนาง เอ่ยขึ้นว่า "ยิ่งไปกว่านั้นนั่นก็เป็นเจ้าหุบเขาหมื่นพิษเลยนะ ข้าต้องการให้เขาชี้แนะวิชากู่กับข้า แล้วเขาก็หน้าตาใช้ได้ด้วย"หานกวงในใจร้อนรนขึ้นมา แต่ก็พูดอะไรมากไม่ได้ เพราะนางตอนนี้เริ่มกลัวแล้ว กลัวว่าตนเองยิ่งพูดอะไรต่อหน้าแม่นางจิ่วก็จะยิ่งไปเติมฟืนไฟให้นายท่านตนเอง
จั๋วซือหรานส่งสายตาปลอบโยนให้นาง "ไม่ต้องเครียด"หานกวงกลับผ่อนคลายไม่ลง การคุกคามชีวิตในคำพูดนั้นของชายหนุ่มเจ้าเล่ห์คนนี้ก็เรื่องหนึ่ง ส่วนอีกเรื่องหนึ่ง นางฟังออกว่า แม่นางจิ่วเหมือนจะสนใจขึ้นมาจริงๆ แล้ว!แต่ แต่ว่า...! หานกวงรู้ว่านายท่านกับแม่นางจิ่วหวานชื่นมีอะไรกันแล้วนะดังนั้นอันที่จริงก็จินตนาการไม่ออกเลย ภาพที่แม่นางจิ่วไม่ได้ตกร่องปล่องชิ้นกับนายท่าน แต่กลับไปอยู่กับคนอื่นแทนหลังจากนั้น หานกวงก็เห็นแม่นางจิ่วนั่งลงบนเก้าอี้ เอนหลังเข้าหาเก้าอี้ สองมือกอดที่หน้าอก มองเรียบๆ ไปทางปันอวิ๋นท่าทางนี้ของแม่นางจิ่ว...หานกวงรู้สึกคุ้นเคย รู้สึก...เหมือนว่าตอนแม่นางจิ่วจะเริ่มเจรจาเงื่อนไขกับใคร หรือเริ่มจะหลอกลวงใคร ก็จะมีท่าทางประมาณนี้ปรากฏขึ้นดังนั้นหานกวงที่เดิมทีเตรียมจะอ้าปากเตือน จึงอดทนเอาไว้ อยากจะเห็นว่าแม่นางจิ่วจะมีปฏิกิริยาเช่นไรจั๋วซือหรานมองปันอวิ๋น "เช่นนั้นก็ไม่ต้องลำบากเจ้าหุบเขาช่วยข้าจัดการองครักษ์เงาหรอก เพียงแต่ว่า เจ้าหุบเขาในเมื่อคิดจะเจรจาร่วมมือกับข้า..."ในตาจั๋วซือหรานมีรอยยิ้มจางๆ ปรากฏขึ้นมา สวยงามมากแต่ตอนที่ปันอวิ๋นเห็นรอยยิ้มที่สวยง
ปันอวิ๋นจุ๊ปาก พูดกับตนเองเสียงต่ำ "หญิงสาวที่เก่งเกินไปจะไม่ยอมใครง่ายๆ สินะ"จั๋วซือหรานยกมุมปากขึ้น "เจ้าหุบเขาถ้าหากบอกว่าหญิงสาวที่ฉลาดเกินไปหลอกยากล่ะก็ มันก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ"ปันอวิ๋นครุ่นคิด เอ่ยต่อว่า "เฟิงเหยียนหมั้นไปแล้วแท้ๆ ถ้าเจ้าแต่งกับข้า ก็จะยิ่งทำให้เขาโมโหไม่ใช่รึ?""เจ้าหุบเขาไปรู้มาจากไหนว่าข้าเป็นคนที่จะใช้ชีวิตตัวเองเข้าไปล้างแค้นผู้อื่น?" จั๋วซือหรานถามขึ้น "เขาจะไปหมั้นกับใครก็ดี หรือจะไปแต่งกับใครก็ดี ล้วนไม่คู่ควรให้ข้าเอาชีวิตของข้าไปเดิมพันว่าเขาจะเสียใจไม่เสียใจ"ปันอวิ๋นเห็นรอยยิ้มบนหน้านางงดงามมาก เสียงเองก็ดูสงบมั่นคงเหมือนพูดเรื่องหนักให้เป็นเบา "ไม่มีใครคูควรให้ข้าเอาชีวิตไปเดิมพันว่าอีกฝ่ายจะเสียใจหรือไม่ ชีวิตข้าสำคัญที่สุด""จุ๊" ปันอวิ๋นจุ๊ปากอีกครั้ง คิ้วงามขมวดขึ้น "ดูท่าจะกล่อมอย่างไรก็ไม่คล้อยตามเลยนะ""เจ้าหุบเขาถ้าหากชอบข้าขนาดนี้ ก็ลองคิดหาวิธีอื่นเถอะ" จั๋วซือหรานยิ้มเรียบๆ ทำสัญญาณมือไปทางประตู "หากไม่มีเรื่องอะไรแล้ว ก็อย่าทำให้ข้าเสียเวลาการตรวจไข้เลย กว่าข้าจะมานั่งตรวจให้มันไม่ง่ายนะ"หานกวงที่อยู่ข้างๆ ยังคงมองชายตรงหน้าอย่าง
หลังจากที่นิ่งงันไปชั่วคราว รอยยิ้มบนหน้าก็ค่อยๆ เก็บลงไป จากนั้นจึงเอ่ยขึ้นว่า "เช่นนั้นหรือ ไร้เมตตาขนาดนี้เชียว นี่ข้าคิดว่าที่ข้าส่งนางพญากู่ให้เจ้าไปเจ็ดตัว กระทั่งอาวุธกู่ก็ยังหาขยะไปส่งให้ตรงหน้าเจ้า ข้าคิดว่าพวกเราควรจะ...สนิทสนมกันบ้างแล้วเสียอีก?"จั๋วซือหรานพอได้ยิน คิ้วก็ขมวดขึ้นมา ม่านตาหดลง มองไปทางเขาทันควัน "เจ้าคือ...ปันอวิ๋นสินะ?""ข้าเอง" รอยยิ้มบนใบหน้าปันอวิ๋นยังไม่หายไปไหน พูดไปด้วย พลางยื่นมือขยับไปมาท่าทางง่ายๆ เช่นนี้ ถ้าหากในสายตาคนอื่น ก็อาจจะรู้สึกแปลกประหลาดอยู่แต่พออยู่ในสายตาจั๋วซือหราน ก็ไม่ได้เห็นเป็นเช่นนั้น เพราะท่าทางง่ายๆ นี้ ชายหนุ่คนนี้ก็จัดการผ่อนหนักเป็นเบา ถอนไหมกู่ที่พันอยู่บนตัวเหล่านั้นออกไปจนหมดนี่แข็งแกร่งกว่าพวกปรมาจารย์กู่ดินแดนทางใต้ที่ค่ายคุ้มกันเหล่านั้นไม่รู้กี่เท่า พวกเขารวมกันก็ยังไม่ร้ายกาจเท่าปันอวิ๋นเลยจั๋วซือหรานไม่เคยดูแคลนศัตรูแหวนเสวียนเหยียนถูกนางปิดออกแล้ว ชัว่พริบตา พลังยิ่งใหญ่ระดับปกฟ้าคลุมดินก็แผ่กว้างออกไปโดยมีนางเป็นศูนย์กลางในสายตาก่อนหน้านี้ของปันอวิ๋นก็ค่อนข้างสนใจแล้ว ตอนนี้พอสัมผัสได้ถึงการเปลี่ยนแ
เสียงจั๋วซือหรานไม่มีความอบอุ่นอยู่อีก ที่นางพูดมาก็ไม่ใช่เรื่องหลอกนางเองก็เพิ่งมีปฏิกิริยาพริบตาที่จับชีพจรเขา ชีพจรประหลาดแบบนี้ เป็นความอ่อนแอใกล้ตายอย่างไรอย่างนั้นแต่พลังวิญญาณคนผู้นี้ก็แข็งแกร่งมากจริงๆ ชีพจรโบราณเช่นนี้จั๋วซือหรานไม่เคยพบมาก่อนตัวนางเองนอนนี้ก็ชีพจรเช่นนี้ หรือก็คือ หลังจากที่ตนเองมีเจ้าก้อนเนื้อทั้งเจ็ด ชีพจรก็จะเริ่มประหลาดไปพูดให้เข้าใจง่ายอีกหน่อยก็คือ...ชีพจรของปรมาจารย์กู่จะแปลกแบบนี้เพราะปรมาจารย์กู่ที่เก่งกาจจะเลี้ยงแมลงกู่ไว้ในร่าง เพื่อให้สะดวกปล่อยมาใช้านยิ่งไปกว่นั้นเพราะวิชากู่สามารถควบคุมได้ จึงเลี้ยงไว้ในตนเองเสียเลย แล้วก็ไม่ต้องกังวลว่าจะมีผลร้ายกับร่างกาด้วย แล้วยังประหยัดกล่องแมลงกู่ได้อีกดังนั้นจั๋วซือหรานพริบตานี้จึงรู้ถึงอาชีพของอีกฝ่าย บวกกับเสื้อผ้าเขาที่มีลายไม่ค่อยชัด...ดูไม่ใช่ลักษณะแของแคว้นชางเลยยิ่งไปกว่านั้นพอจินตนาการถึงเหล่าปรมาจารย์กู่ดินแดนทางใต้ที่หนีออกมาจากค่ายคุ้มกัน จั๋วซือหรานจึงโจมตีขึ้นเป็นอันดับแรกคิดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายกลับรับไว้อย่างสบายสิ่งนี้ทำให้ในใจจั๋วซือหรานดำดิ่ง จนต้องมองตรงๆ คนตรงหน้านี้ เ
ส่วนมือของหานกวง กระทั่งทาบไว้บนกระบี่ที่เอวแล้วแต่คนที่นั่งอยู่ด้านหน้าโต๊ะตรวจจั๋วซือหราน สีหน้ากลับไม่มีความเป็นศัตรูเลยจั๋วซือหรานตอนนี้ก็เงยหน้ามองคนตรงหน้าอดพูดไม่ได้เลย ว่านี่เป็นใบหน้าที่หล่อเหลามาก คนเราพอเจอกับคนที่หน้าตาดี ในใจก็มักจะใจกว้างขึ้นมาจั๋วซือหรานก่อนหน้านี้เพราะเห็นหน้าเฟิงเหยียนมากไป ดังนั้นเรื่องการตัดสินความสวยความหล่อนี้จึงสูงมากแต่ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ในใจก็ยังอดยอมรับไม่ได้ ว่าชายหนุ่มตรงหน้าคนนี้ หน้าตาดีเอามากๆหล่อเหลา แล้วยังเป็นแบบนี้เฟิงเหยียนยังไม่อาจเทียบได้ สองคนลักษณะแตกต่างกันเฟิงเหยียนให้ความรู้สึกเหมือน หล่อแบบหาที่ติไม่ได้แต่ชายหนุ่มตรงหน้านี้ เทียบจะบอกว่าหล่อเหลา สู้บอกว่างามสง่าดีกว่า ใบหน้าแม้จะดูสง่างาม แต่มองจากรายละเอียดเค้าโครงหูตาจมูก ก็ดูอ่อนโยนกว่า ไม่ได้แข็งกระด้างนักยิ่งไปกว่านั้น ตอนที่เขายิ้ม ในดวงตาก็มีแววเจ้าเล่ห์เล็กๆอยู่ ทั่วทั้งตัวดูมีท่วงท่าความเจ้าเล่ห์แผ่ออกมาว่าอย่างไรดี คือ...ไม่ใช่คนดีนั่นล่ะเขานั่งอยู่ตรงหน้าจั๋วซือหราน มองนางเหมือนยิ้มเหมือนไม่ยิ้ม สายตาพิจารณาไปมาอยู่บนตัวนางจากนั้นจึงหัวเราะเส