หลังจากเดินมาถึงเขตขุนนางทางตอนเหนือของเมือง ถนนก็กว้างขึ้นและวุ่นวายน้อยลง ฝูซูก็กังวลน้อยลงเขาถามจั๋วซือหราน "คุณหนูขอรับ เราจะไปจวนเหยียนใช่ไหใขอรับ"แม้ว่าเขาจะเป็นคนที่ไม่ละเอียด แต่เขาก็ไม่ได้โง่จริง ๆ เดินมาถึงเขตนี้แล้ว ไม่มีทางหรอกว่าเขาไม่ทราบที่นี่คือที่ไหนแต่เขาไม่ได้รับคำตอบจากคุณหนู ฝูซู สึหันไปมองนาง และเขาก็เห็นคุณหนูของเขาดูฟุ้งซ่านเล็กน้อย"คุณหนูขอรับ"“ฮะ” จั๋วซือหรานกลับมามีสติอีกครั้ง“เราจะไปจวนเหยียนด้วยกันใช่ไหมขอรับ”“จ้ะ เจ้ารู้ตัวแล้วหรือ แสดงว่าฉลาดขึ้นล่ะสิ” จั๋วซือหรานยิ้มฝูซูรู้สึกเขินอายเล็กน้อย เขารู้สึกตัวเองถูกคุณหนูปฏิบัติเหมือนเด็ก ๆ อยู่เสมอเขาคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วถาม “คุณหนูกังวลเพราะเหตุนี้หรือเปล่า ข้าเห็นคุณใจไม่อยู่กับตัวเลย”เนื่องจากฝูซูไม่เหมือนฉวนคูน เขาไม่ทราบแผนการที่จั๋วซือหรานวางไว้ในก่อนหน้านี้ ดังนั้นในขณะนี้ เขาจึงคิดว่าจั๋วซือหราน กังวลเพราะนางต้องเป็นตัวแทนของตระกูลจั๋วและต้องเจรจากับตระกูลเหยียนจั๋วซือหรานเลิกคิ้ว "เรื่องนี้หรือ เรื่องนี้ไม่มีอะไรที่ต้องกังวล ข้าแค่คิดเรื่องอื่น... "“เรื่องอื่นหรือขอรับ” ฝูซูรู้
เมื่ออยู่ต่อหน้าคุณหนูของตัวเอง ฝูซูค่อนข้างผ่อนคลายแต่เขาสามารถปรับตัวเองเมื่อต้องอยู่ต่อหน้าคนภายนอก ดังนั้นเมื่อเขาเห็นร่างที่ยืนอยู่หน้าประตูจวนเหยียน เขาทักทายชายผู้นั้นอย่างสุภาพ " อรุณสวัสดิ์ยามเช้า คุณชายเหยียน "ผู้ที่รออยู่ที่ประตูไม่ใช่ใครอื่นนอกจากเหยียนฉีเหยียนฉีแสดงรอยยิ้มอันอบอุ่นและมองไปที่จั๋วซือหรานเมื่อเทียบกับทัศนคติที่สุภาพของฝูซูแล้ว จั๋วซือหรานทำตัวผ่อนคลายกว่ามาก " ทำไมเจ้าถึงรออยู่ที่นี่ "“ข้ากังวลยามเฝ้าประตูต้อนรับไม่ดี” เหยียนฉีกล่าวว่า “ตอนนี้เจ้าเป็นแขกผู้มีเกียรติในบ้านของข้า เชิญเข้าบ้านขอรับ”“สุภาพมาก” จั๋วซือหรานยิ้มและเดินตามเหยียนฉีเข้าไปเนื่องจากนางเจรจากับเหยียนฉีมาโดยตลอด และแทบไม่มีการติดต่อกับสมาชิกคนอื่น ๆ ของตระกูลเหยียน เมื่อเห็นนางเดินเข้ามา ผู้อาวุโสหลายคนในห้องโถงด้านหน้าจึงรู้สึกอึดอัดเล็กน้อยหากจะบอกว่าพวกเขาอึดอัด พวกเขาตื่นตระหนกมากกว่าในทางตรงกันข้าม จั๋วซือหรานกลับดูอารมณ์ดี หลังจากนางเดินเข้าไป นางเหลือบมองพวกเขา นางมีท่าทางอย่างผ่อนคลาย และมีน้ำเสียงอย่างสงบ"อรุณสวัสดิ์ทุกคน"ในความเป็นจริง เมื่อผู้อาวุโสของตระก
สีหน้าของผู้อาวุโสที่เคยพูดแหน็บแนมกับจั๋วซือหรานในก่อนหน้านี้ดูแข็งทื่อเล็กน้อย เดิมทีเขากำลังรอจั๋วจิ่วดุคนรับใช้ที่เสียมารยาทใครจะรู้ว่าจั๋วจิ่วไม่ดุคนรับใช้เลย นางแค่ยกคางขึ้นเล็กน้อยแล้วพูดว่า "ข้านับเรียบร้อยแล้ว จำนวนทั้งหมดมีเท่านี้ ข้ายังได้เตรียมใบรายการวัสดุยาที่ตระกูลจั๋วต้องการให้ปแล้ว ความหมายของตระกูลจั๋วคือส่งมอบยาภายในวันนี้จะดีที่สุด หากไม่สามารถขนส่งทั้งหมดได้ ถยอยส่งก็ได้”ผู้อาวุโสที่พูดอย่างเหน็บแนมในก่อนหน้านี้พูดอีกครั้งว่า "จะส่งเร็วอย่างนี้ได้อย่างไร เราต้องนับเงินด้วยไม่ใช่หรือ หากเจ้านับผิดล่ะ ทำอย่างไรดี เพราะเจ้ายังกล้าเล่นงานกับตระกูลเจ้าเลย มีอะไรหรือที่เจ้าไม่กล้าทำ”เหยียนฉีขมวดคิ้วขึ้น " ผู้อาวุโสห้า "เขาทราบดี ผู้อาวุโสห้ามีความสัมพันธ์ที่ดีกับผู้อาวุโสสี่ และผู้อาวุโสสี่ของตระกูลเหยียนตัดสินใจผิดในระหว่างการแข่งขันกับ จั๋วซือหราน และทำข้อตกลงเขาไม่ควรตกลงเอาไว้ ซึ่งทำให้ตระกูลเหยียนต้องประสบความสูญเสียแม้ตอนนี้ผู้อาวุโสห้ายังสำนึกผิดในห้องอยู่เลย ยิ่งไม่ต้องพูดถึงอาการของเหยียนชาง...แต่เหยียนฉีทราบดี จั๋วซือหรานไม่ใช่ผู้ที่ยอมให้คนอื่นมาบ
อันที่จริง ก่อนหน้านี้ฝูซูยังไม่เข้าใจฉวนคูนนับเงินเสร็จแล้ว ทำไมต้องแบ่งเงินเป็นเช่นนี้ เงินในกล่องถูกแบ่งออกเป็นสองส่วน และถูกแนบไว้ด้านล่างของกล่องและด้านในของฝาของกล่องแต่ในขณะนี้ เมื่อฝูซูชักดาบออก และตัดฝากล่องออก ทันใดนั้นเขาก็เข้าใจทำไมฉวนคูนถึงจัดเรียงเงินเป็นเช่นนี้ เพราะแบ่งเงินได้สะดวกฝูซูนำเงินครึ่งหนึ่งและฝากล่องกลับมา และยืนเงียบ ๆ อยู่ด้านหลังของจั๋วซือหรานจั๋วซือหรานไม่อยากอยู่ที่นี่ต่อ นางเพียงแต่เงยหน้าขึ้นและมองเหยียนฉี แล้วพูดว่า " ตระกูลจั๋วให้ส่งวัสดุยาไปที่จวนจั๋วภายในวันนี้ ข้าเชื่อว่าพวกเจ้าได้เตรียมไว้แล้ว"เหยียนฉีดูกังวล จริง ๆ แล้วเขาไม่ได้กังวลจั๋วซือหรานเอาวัสดุยาโดยไม่จ่ายเงิน เดิมทีตระกูลของพวกเขาพ่ายแพ้จั๋วซือหรานอยู่แล้ว และพวกเขาสัญญาไว้ว่าพวกเขาจะจัดหายาให้นางโดยนางมิต้องจ่ายเงินใด ๆสิ่งที่เขากังวลคือในที่สุดเขาก็ได้คลายความสัมพันธ์กับผู้หญิงคนนี้แล้ว และตอนนี้ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับนางก็เป็นเช่นนี้อีกครั้งเมื่อเห็นจั๋วซือหรานกำลังจะออกไป เหยียนฉีก็ก้าวไปข้างหน้าสองสามก้าวแล้วพูดว่า " แม่นางจิ่ว... "จั๋วซือหรานมองเขาแล้วพูดว่า "ส่วนย
อารมณ์ของเขาเย็นลงกว่าเดิม และเขาไม่มีความรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของตระกูลเลยด้วยซ้ำแม้ว่าในอดีต เฟิงเหยียนจะมีนิสัยเย็นชา แต่เขายังคงมีความรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของตระกูลและให้ความสำคัญกับเกียรติยศของตระกูลเป็นอย่างมาก แต่ตั้งแต่นั้นมา ดูเหมือนทุกอย่างเปลี่ยนไปเหยียนฉีไม่ทราบในช่วงเวลาที่เฟิงเหยียนอยู่ในสวนดาบ เขาต้องประสบกับเรื่องใด ๆ จึงต้องให้ชายหนุ่มผู้ดีเช่นนี้กลายเป็นคนปัจจุบันนี้ แต่คงเป็นเรื่องที่ทำให้เขาเจ็บปวดมากยิ่งไปกว่านั้น ความแข็งแกร่งของเฟิงเหยียนยังได้รับการปรับปรุงในอัตราที่น่าประหลาดใจจริง ๆ แต่เดิมเขาเป็นคนที่มีความสามารถอย่างมากอยู่แล้ว ตอนที่เขากลับมา เขามีความสามารถที่มโดดเด่นมากยิ่งขึ้นตั้งแต่นั้นมา ทัศนคติที่เฟิงเหยียนมีต่อตระกูลของเขาเปลี่ยนไปอย่างมาก และทัศนคติของตระกูลที่มีต่อเฟิงเหยียนก็เปลี่ยนไปเช่นกัน ราวกับว่า... พวกเขากลัวเขามากดังนั้นเหยียนฉีไม่กล้าถามตลอด มีอยู่ครั้งหนึ่ง ในวันเกิดของ เฟิงเหยียน เหยียนฉีถามในยามที่เขาเมาเหล้า "ทำไมตอนนี้เจ้าไม่ค่อยให้ความสนใจกับตระกูลเหมือนเมื่อก่อน"แม้ว่าเขาจะถามคำถามนี้ในยามที่เขาเมา แต่เหยียนฉียังจำคำตอบของเฟ
ไม่มีใครกล้ามารบกวนจั๋วหยุนชินจนกระทั่ง... ผู้อาวุโสห้า จั๋วฉี่ กลับมาที่จวนจั๋วด้วยความโกรธ และข่าวก็แพร่กระจายไปทั่วจวนจั๋วจั๋วหรูซินรู้สึกตกใจและมีความสุข นางยังคิดอยู่ว่า จั๋วซือหรานจะโชคดีขนาดนี้ดูเหมือนว่าพระเจ้าจะเข้าข้างนางจั๋วหรูซินอดไม่ได้อีกต่อไป นางรีบวิ่งกลับไปที่บ้านของนางอย่างมีความสุข นางเปิดประตูห้องของท่านพี่ของนางทันทีที่ประตูถูกเปิดออก กลิ่นยาก็ฟุ้งกระจายออกมาโผล่มาใส่หน้าจั๋วหรูซิน นางไม่รู้ว่ากลิ่นนั้นคืออะไร น่าจะมีกลิ่นยาอยู่บ้าง แต่ก็มีกลิ่นไหม้ที่อธิบายไม่ได้ปนอยู่ด้วยทำให้กลิ่นนี้สับสนและซับซ้อนมากแต่จั๋วหรูซินไม่สนใจเรื่องนี้ นางตะโกนอย่างมีความสุข " ท่านพี่"จั๋วหยุนชินไม่ได้ดูร่าเริงและหล่อเหลาเหมือนเมื่อก่อนอีกต่อไป เขาดูซีดเซียวมาก นี่อาจเป็นเพราะเขากลั่นยาเหนื่อยเหลือเกินยิ่งกว่านั้น เขาดูหงุดหงิดมากและเต็มไปด้วยความไม่อดทนสีหน้าของจั๋วหรูซินเริ่มระมัดระวังทันทีที่นางเห็นหน้าท่านพี่ของนาง“เกิดอะไรขึ้น” จั๋วหยุนชินถามอย่างเย็นชาจั๋วหรูซินอ่อนแอลงมากเมื่อนางพูดว่า " ผู้อาวุโสห้า ได้นำข่าวกลับมา หนูคิดว่าท่านพี่คงจะสนใจ... "ในเวล
หลังจากฝูซูพูดจบ ดวงตาของเขาก็แดงก่ำ "พี่...พี่สาว พี่เสี่ยงชีวิตเพื่อหนีออกจากจวนมารายงานให้คุณหนูทราบ พี่ถึงกับอาเจียนเป็นเลือด..."เมื่อจั๋วซือหรานฟังคำพูดก่อนหน้าของฝูซู สีหน้าของนางยังดูสงบ แต่ยังคงค่อนข้างใจเย็น เพราะในเมื่อนางกล้าทำเช่นนี้ นั่นหมายความว่านางได้คาดการณ์ไว้แล้วว่า สุดท้ายตระกูลจั๋วต้องทราบเรื่องนี้เพราะโลกใบนี้ไม่มีความลับใดที่จะไม่มีวันรั่วไหล เป็นเพียงเรื่องของเวลาเท่านั้นจั๋วซือหรานไม่แปลกใจเลย เพราะนางคาดการณ์ไว้แล้วว่าจะเป็นเพียงเรื่องของเวลาเท่านั้นที่นางและตระกูลจั๋วจะเลิกกันโดยสิ้นเชิงแต่สิ่งที่ทำให้จั๋วซือหรานตกใจก็คือ ฝูซางเสี่ยงชีวิตและหนีออกจากจวนจั๋วจั๋วซือหรานขมวดคิ้วและพูดอย่างกังวลว่า "ทำไมตอนนี้เจ้าเพิ่งเรื่องนี้ ฝูซางอยู่ที่ไหน"“พี่...อยู่ที่ห้องตรงนั้น” ฝูซูร้องไห้หนักมากจนสะอึก เขาเดินตาม จั๋วซือหรานและไปที่ห้องนั้นระหว่างทาง ฝูซูยังคงกังวลเล็กน้อย แน่นอนว่าเขากังวลและเป็นห่วงพี่สาวของเขามาก แต่เขาก็กังวลเช่นกัน...“คุณหนู ฮูหยินและคุณชายจั๋วหวาย...คุณหนูไม่รีบไปหาพวกเขาก่อนหรือขอรับ” ฝูซูถามด้วยน้ำเสียงสะอื้นจั๋วซือหรานพูดอย่าง
สีหน้าของจั๋วซือหรานซีดเผือด นางขมวดคิ้ว“หยุดพูดเรื่องไร้สาระเช่นนั้นได้แล้ว ประหยัดพลังงานเสียที” เสียงของจั๋วซือหรานทุ้มลึก และฟังดูเศร้าเล็กน้อยเพราะนางโกรธแต่มีความรู้สึกบางอย่างที่อธิบายไม่ได้ ฝูซางรู้สึกโล่งใจเล็กน้อย รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนริมฝีปากของนาง และนางก็มองจั๋วซือหรานด้วยดวงตาที่เปิดกว้างหลังจากนั้นไม่นาน นางก็พูดเบา ๆ และแผ่วเบาว่า "ข้าอยาก... อยู่กับคุณหนูไปอีกร้อยปีจริง ๆ ..."น้ำตาไหลออกมาจากหางตาของฝูซาง นางไม่ทราบนางจะตายหรือไม่ เพราะก่อนหน้านี้ ร่างกายของนางยังคงรู้สึกไม่สบายอย่างยิ่งเนื่องจากอาการบาดแต่ ณ ตอนนี้ นางรู้สึกดีขึ้น อาจจะเพราะนางจะตายแล้ว ตอนนี้เลยรู้สึกอาการดีฝูซางคิดเรื่องนี้ในใจ และอดไม่ได้ที่ต้องพูดออกมาเช่นนี้จั๋วซือหรานขมวดคิ้ว "บ้าอะไร! เจ้ารู้สึกอาการดีขึ้นเพราะข้ากำลังรักษาเจ้าอยู่ แม้ว่าข้าจะรับประกันไม่ได้ว่า เจ้าจะมีชีวิตอยู่ต่ออีกร้อยปี แต่ข้ายังพอสามารถรักษาอาการบาดเจ็บของเจ้าได้ "ทันใดนั้น ฝูซางตกใจและดีใจอย่างมาก เมื่อนางจะอ้าปากพูด ก็มีของบางอย่างยัดเข้าไปในปากของนาง มันเป็นยาเม็ดกลม ๆ และกลิ่นหอมของยาก็ล้นออกมาฝูซางเบิกต
ดังนั้น กลุ่มองครักษ์เหล่านี้ก็คือคนของรองแม่ทัพจากค่ายคุ้มกันและค่ายป้องกันลาดตระเวนที่จั๋วซือหรานพามาก่อนหน้านี้พวกเขาเดิมทีก็ศรัทธาในตัวจั๋วซือหรานอยู่แล้วตอนนี้พอเห็นจั๋วซือหรานนั่งอยู่บนแมงมุมขนาดยักษ์ตัวนั้นด้านหน้าสุดก็ยิ่งรู้สึกเคารพยำเกรงขึ้นมาจั๋วซือหรานไม่รู้การเคลื่อนไหวในเมืองหลวงตอนนี้เลยแต่นางก็มีลางสังหรณ์ขึ้นมารางๆ ว่าเส้นทางครั้งนี้อาจจะไม่ได้ราบรื่นนักไม่แน่ว่าซือคงอวี้ยังมีการลอบโจมตีอยู่จั๋วซือหรานเดาไม่ผิดจริงๆ แต่นางเองก็คิดไม่ถึง ว่าคนที่ซุ่มโจมตีอยู่จะเป็นตัวซือคงอวี้เองเลยครั้นจะบอกว่าเป็นตัวเขาเองก็ยังไม่ถูกนัก เขายังคงมาคนบางส่วนมา แค่องครักษ์สองกลุ่มเท่านั้น กลุ่มหนึ่งมีสิบห้าคน รวมกันแล้วก็แค่สามสิบคนพอเทียบกับขบวนองครักษ์ที่ยิ่งใหญ่นับร้อยขององค์จักรพรรดิเฒ่าแล้วดูไม่จืดเลยจริงๆกระทั่งว่า จั๋วซือหรานแทบจะไม่เกิดความระแวดระวังอะไรขึ้นมาเลยแต่นางก็รู้ว่าการดูถูกศัตรูนั้นไม่ถูกต้อง ดังนั้นยังพยายามกระตุ้นความระแวดระวังขึ้นมาซือคงอวี้อยู่ไม่ห่างไปนัก ขี่ม้าพันธุ์ดีสูงใหญ่ตัวหนึ่งอยู่เขามองบนแผ่นหลังแมงมุมตัวยักษ์นั่นอยู่ห่างๆ มีเงา
ชัดเจนมาก เฟิงหร่านก่อนที่จะมาหาเขา ในใจได้ตัดสินใจไว้แล้วก่อนหน้านี้เขายังรู้สึกว่า ไม่ว่าอย่างไร ต่อให้จะเน่าถึงรากแค่ไหน ก็ยังเป็นตระกูลของตนเองลูกชายไม่รังเกียจที่แม่น่าเกลียด สุนัขไม่รังเกียจที่บ้านจน...แต่ตอนนี้เฟิงหร่านรู้สึกขึ้นแล้วจริงๆ ว่าสุนัขก็ยังรังเกียจความโง่เขลาของตาแก่พวกนี้เป็นศัตรูก่อกบฏ...กล้ากันเสียเหลือเกิน!คิดแล้วคงเป็นเพราะต้าชางหลายปีนี้ ให้หน้ากับพื้นที่กับพวกตระกูลใหญ่มากเกินไป ปล่อยปละจนพวกเขาทำตัวเกะกะระราน!เฟิงหร่านเองก็ทนไม่ไหวแล้ว คิดแต่อยากจะรีบหนีออกไปแต่ก็ออกไปแบบนี้เลยไม่ได้ ก่อนหน้าที่จะออกไป ตนเองก็มีเรื่องที่ต้องทำดังนั้นนางจึงมาหาเฟิงเหยียนด้านนอกมีเสียงฝีเท้าใกล้เข้ามาเรื่อย เฟิงหร่านเองก็ปีนกำแพงออกไปโดยไม่หันกลับเพียงครู่เดียว องครักษ์ตระกูลเฟิงกลุ่มหนึ่งก็เข้ามาในเรือน"ซื่อจื่อ มีคนน่าสงสัยเข้ามาไหม?" หัวหน้าองครักษ์ถามขึ้นเฟิงเหยียนมองพวกเขาสายตาเย็นชา "พวกเจ้านั่นล่ะที่ข้าเห็นว่าน่าสงสัยที่สุด"หัวหน้าองครักษ์ขมวดคิ้ว "แต่เมื่อครู่นี้มีหน่วยลาดตระเวนเห็นคุณหนูเฟิงสือตามท่านเข้ามา...""เช่นนั้นก็ให้หน่วยลาดตระเวนคนน
ความเย็นเยือกของฝักกระบี่ สัมผัสลงบนคอของผู้ที่เข้ามาถ้าหากเขาชักกระบี่ล่ะก็ ตอนนี้ที่สัมผัสกับคอก็จะไม่ใช่ฝักกระบี่ที่เย็นเยียบ แต่เป็นคมกระบี่ที่แหลมคมแทนเฟิงเหยียนขมวดคิ้วมองคนที่เข้ามา ถามขึ้นว่า "เฟิงสือ เจ้าทำตัวลับๆ ล่อๆ ทำไมกัน""ท่าน ท่านพี่!" เฟิงหร่านรู้สึกว่าหัวใจตนเองแทบจะทะลักออกจากคอหอยแล้วเฟิงเหยียนเก็บกระบี่ลงไป แขวนกระบี่เสวียนเหยียนไปที่เอว ไปที่บ่อน้ำในเรือนตักน้ำล้างมือในเรือนเขา เดิมทีควรจะมีคนรับใช้อยู่ แต่ตอนนี้กลับว่างเหล่า ไม่มีอะไรเลยเหล่าผู้อาวุโสเดิมทีก็ส่งคนรับใช้เข้ามา แต่ถูกเขาปฏิเสธไป พวกหูตาเหล่านี้ ถ้าเขาปล่อยให้เข้ามา มันจะยุ่งยากเวลากำจัดออกไปดังนั้นในเรือนเขาจึงว่างเปล่า เขาลงมือรับผิดชอบอาหารการกินของตนเอง ก็ไม่ได้รู้สึกอึดอัดตรงไหนเฟิงหร่านตามอยู่ด้านหลังเฟิงเหยียน รีบร้อนเอ่ยขึ้นว่า "ท่านพี่ ท่านไม่สงสัยเลยหรือว่าคนใช้ในเรือนท่าน เหล่าองครักษ์เงาของท่านหายไปไหนหมด? หรือว่าท่านจำอะไรไม่ได้เลยจริงๆ?"เฟิงเหยียนขมวดคิ้ว น้ำใสในถังที่มือกระฉอกไปมามองคลื่นน้ำในถังไม้ที่สะท้อนเงาจันทร์บนฟ้าไหวๆ ใจของเขาก้เหมือนจะสั่นคลอนหน่อยๆเขาไม
ในตระกูลชั้นสูงอันที่จริงก็มีเหตุการณ์อยู่ไม่น้อย เรื่องการนินทาคนอื่นลับหลังน่าจะไม่ใช่แค่ในตระกูลชั้นสูงหรอก ไอ้เรื่องการซุบซิบนินทาเรื่องชาวบ้าน ที่ไหนก็มีทั้งนั้นเผชิญหน้ากับสถานการณ์เช่นนี้ แต่ไหนแต่ไรเฟิงเหยียนไม่เคยมีปฏิกิริยาใหญ่โตเรพาะภายใต้สถานการณ์ปกติ เขาไม่ได้สนใจหัวข้อสนทนาของผู้อาวุโสพวกนี้ และไม่อยากจะเข้าร่วมด้วยดังนั้นปกติจึงไม่ใส่ใจ เข้าหูซ้ายทะลุหูขวาก็ถือว่ามีมารยาทให้แล้ว หลายครั้งที่แม้แต่หูซ้ายก็ยังไม่เข้าแต่ตอนนี้ เฟิงเหยียนกลับไม่ได้ไม่สนใจแยแสกับหัวข้อสนทนาและเนื้อหาในคำพูดของเหล่าผู้อาวุโสเหมือนกับว่า ความรู้สึกบางอย่างในใจที่พูดออกมาไม่ได้กำลังคุกรุ่น ทำให้เขาเกิดความรำคาญขึ้นมาอย่างไม่มีสาเหตุ อยากจะฉีกปากแก่ๆ พวกนี้ทิ้งเสียเจ้าพวกขยะพูดอะไรซี้ซั้วไปเรื่อย ไม่รู้จักหุบปากเงียบๆ เสียบ้าง!หญิงสาวคนนั้นเป็นใคร หรือเขาจะไม่รู้ลึกเท่าพวกเขา?ใครก็เข้ามาแตะต้องได้เรอะ? ตลกตายในคืนนั้นที่สวนชิวอีก นางกับเขามีครั้งแรกด้วยกันชัดๆพวกเขาอะไรอะไรมาพูดว่า "ใครก็เข้ามาแตะต้องได้" กัน?ในใจเฟิงเหยียนรำคาญมาก แต่ก็ยังรู้สึกว่า แค่เพื่อหญิงสาวคนเดีย
ทุกคนรู้สึกว่านางผิด เพียงแค่เพราะ นางไม่ยอมทำตัวเป็นปกติเหมือนพวกเขาสายตาของเหยียนเจินเปล่งประกาย เอ่ยขึ้นว่า "จะไม่มีทางออกเลยหรือไร? ถ้าไม่ไหวจริงๆ ก็ไปเข้ากับจั๋วจิ่วเลย!"เหยียนฉีพอได้ยินก็ตกตะลึง งงงันไป "ได้...ได้หรือ? ตระกูลเหยียนกับนาง...ตอนนี้น่าจะอยู่ในสภาพไม่ตายไม่เลิกรากันแล้วกระมัง?""ตระกูลเหยียนก็คือตระกูลเหยียน" เหยียนเจินไม่แยแส "พวกเราถ้าออกจากตระกูลเหยียน เช่นนั้นความแค้นนั่นก็ไม่เกี่ยวอะไรกับพวกเรา ยิ่งไปกว่านั้นข้าก็มองออกถึงนิสัยจั๋วจิ่ว ขอแค่ไม่ผิดใจกับนาง นางก็จะไม่ทำอะไรคนอื่น"อดพูดไม่ได้ เหยียนเจินมองนิสัยจั๋วซือหรานออกจริงๆดังนั้น พ่อลูกตระกูลเหยียนคู่นี้ หลังจากที่หารือกันเสร็จคืนนี้เช้าวันถัดมาตอนที่ข่าวเรื่องจั๋วซือหรานถูกพระราชทานรางวัลลือมาถึงเมืองหลวง จึงออกจากตระกูลเหยียนไปเงียบๆสถานการณ์ของตระกูลเหยียนเป็นเช่นนี้ ตระกูลอื่นกลับเป็นอีกแบบหนึ่งบรรยากาศของตระกูลเฟิงตึงเครียดมากแต่สิ่งเหล่านี้ เฟิงเหยียนไม่คิดจะเข้าร่วม เขานั่งอยู่ตรงนั้น ไม่ว่าเหล่าผู้อาวุโสจะพูดอะไรกันเขาก็ไม่เข้าร่วมการสนทนาเลยสายตาเหม่อลอยหน่อยๆ ราวกับคิดถึงเรื่อง
"เจ้าอย่ามาพูดให้เกินจริงนัก! ทุกคนรวมตัวกันอยู่ที่นี่ ไม่ใช่เพื่อมาฟังเจ้าพูดเกินจริง!""นั่นสิ ตระกูลฮั่วเพราะอะไรถึงได้ช่วยจั๋วจิ่วแบบนี้ เสี่ยงจะผิดใจกับตระกูลอื่นๆ อีก..."และก็มีเสียงคัดค้านไม่เชื่อปรากฏขึ้นเช่นกันแต่คนฉลาดก็หัวเราะเย็นชาขึ้นา "ใช่สิ ข้าพูดเกินจริงเองนั่นล่ะ พวกเจ้าเห็นว่าตระกูลฮั่วมันโง่สินะ"คนผู้นี้โมโหจนหัวเราะ "ตระกูลฮั่วถูกพวกเราสี่ตระกูลกดมาตั้งหลายปี! พวกเขาในสายตาพวกเราคืออะไร? ผู้ค่าข่าว ผู้จัดการโรงเตี๊ยม...หลายปีมานี้ถูกพวกเราสี่ตระกูลกดดัน""ตอนนี้พวกเขาได้เวลาเฉิดฉายแล้ว โดยไม่สิ้นเปลืองกำลังทหารอีกด้วย ก็แค่เพราะ...เดิมพันถูกกับความโดดเด่นของจั๋วจิ่วเท่านั้น! พวกเจายังคิดว่าเขาจะร่วมมือกับเราเพื่อแก้แค้นหรือ? พวกเรานั่นล่ะที่เป็นศัตรูของเขา!"พูดจบสิ่งเหล่านี้ เขาเองก็ขี้เกียจจะพูดไร้สาระกับคนเหล่านี้แล้วมีแค่วิธีเดียว ออกไป รีบออกไปจากตระกูลที่ไม่มียาอะไรจะช่วยได้แล้วนี่เสียคนผู้นี้ไม่ใช่ใครอื่น พ่อของเหยียนฉีนั่นเองในงานประชุมของตระกูลเช่นนี้ แม้ยังพูดเรื่องเหล่านี้ได้บ้าง แต่เพราะความตรงไปตรงมาและรุนแรงเกินไป ทำให้ก่อนหน้านี้มักจะก่
สิ่งเหล่านี้ จั๋วซือหรานล้วนไม่รู้เหมือนกับที่นางก็ไม่รู้ ว่าตอนนี้ในตระกูลเหล่านั้น ตอนนี้มีสภาพเช่นไรมันวุ่นวายยุ่งเหยิงแค่ไหนเพราะว่า ข่าวที่นางได้รับชัยไม่ใช่เพิ่งลือมาถึงเมืองหลวงเช้าวันนี้แม้จะบอกว่าเช้าวันนี้เพิ่งส่งมาถึงเมืองหลวง แต่ในฐานะตระกูลชั้นสูง เมื่อวานนี้ก็รู้ข่าวที่ค่ายคุ้มกันแล้วดังนั้นเมื่อคืนนี้ ตอนที่จั๋วซือหรานพักผ่อนอยู่ในค่ายคุ้มกันในเมืองหลวง ตระกูลต่างๆ กลับเป็นคนละแบบกันไปเลยในโถงใหญ่งานพิธีตระกูลเหยียน โคมไฟสว่างไสวบรรยายาศกลับตึงเครียด"ตอนนี้อย่างไรถึงจะดี..." คำถามแบบที่ไม่มีความเห็นแบบนี้และมีพวกที่อารมณ์รุนแรง ด่ากราดออกมาทันที "ถ้าไม่ใช่พวกเจ้าคิดแต่จะไปยุ่งกับตระกูลเฟิง คงไม่ทำให้จั๋วจิ่วผิดใจจนเป็นแบบนี้"มีคนไม่ค่อยยอมรับกับคำพูดนี้ "เจ้าพูดอะไรออกมา! จั๋วจิ่วนั่น! ตระกูลเหยียนของพวกเราผิดใจไปตั้งนานแล้ว! คนที่ผิดใจกับนางตอนแรกสุดคือพวกเรา! ตอนนี้ถ้าคิดจะถอยออกมามันทันเสียที่ไหน!""เพราะอะไรถึงไม่ทัน! ทำไมถึงจะไม่ทัน! เพราะอะไรถึงจะไม่ทัน! นางไปร่วมมือกับตระกูลฮั่วแล้ว! ยิ่งไปกว่านั้นจากที่ข้าเห็น ตระกูลจั๋วเหมือนจะต้องกระโจนขึ
ตอนนี้ข่าวที่รู้แน่ชัดแล้วคือ องค์จักรพรรดิเฒ่าจะส่งอำนาจพ่อค้าหลวงของตระกูลจั๋วให้กับนางวังสวนอุทยานหลิ่วพ่านของราชวงศ์เองก็ให้นางด้วยแล้วจากที่พูด กระทั่งจวนชินอ๋องอวี้กับสวนชิวอี ก็จะยอมยกให้นางด้วยแล้วยังมีข่าวที่มากกว่า เริ่มทยอยกันลือออกมา"ได้ยินว่าฝ่าบาทยังถามนางด้วยว่าจะแต่งงานกับอ๋องเซี่ยนหรือเปล่า!""ให้ตายเถอะ! นี่มันสุดยอดไปเลย""จริงด้วย ตระกูลเฟิงทำผิดกับนาง เอาจริงๆ จั๋วจิ่วคนนี้ควรจะไม่เหลือหน้าตาอีกแล้วสิ คิดไม่ถึงเลย ว่าฝ่าบาทถึงกับถามนางว่าจะแต่งงานกับอ๋องเซี่ยนไหม!""จะว่าไป สถานการณ์ตรงหน้านนี้ ชินอ๋องอวี้ท่าจะไม่ไหวแล้วมั๊ง เช่นนั้นหลังจากนี้...ไม่แน่ว่าอ๋องเซี่ยนก็จะเป็น...""จริงด้วย ถ้านางพยักหน้าล่ะก็ อนาคตจะไม่ใช่..."พระมารดาแห่งใต้หล้าหรือ!ตามหลักการ ตัวตนฐานะของจั๋วจิ่วเองก็ไม่ใช่ต่ำต้อย ตระกูลจั๋วเองก็ถือว่าเป็นครอบครัวตระกูลสูงปัญหาคือตอนนี้นางเป็นแค่หญิงสาวที่ถูกทอดทิ้งเท่านั้นพอบวกกับ ก่อนหน้านี้นางเคยหมั้นไปครั้งหนึ่ง ตัวนางเองก็โดนเสน่ห์หนอนพิษกู่จนต้องมาเสียใจที่แต่งงาน แล้วก็ยังเกือบจะได้แต่งงานไปครั้งหนึ่งด้วย ทำเอาพิธีแต่งงานวั
แต่พอคิดดู เขาจะไปทำอะไรแม่นางจิ่วได้กันล่ะ?ดังนั้นทุกคนจึงค่อนข้างวางใจ"เจ้าอยากจะรู้อะไร?"และไม่รู้เพราะเห็นจั๋วซือหรานไม่พูดอะไรเลย คนผู้นี้จึงถามนางขึ้นมาอย่างทนไม่ไหวจั๋วซือหรานยิ้มๆ "ไม่ต้องรีบ ตอนที่ข้าอยากรู้ ข้าจะถามเจ้าเอง""เจ้าตอนนี้ยังไม่อยากรู้หรือ?" สีหน้าของชายหนุ่มดูแล้วแปลกประหลาดสุดๆจั๋วซือหรานตอบเสียงเรียบ "ยังไม่ถึงเวลา รออีกหน่อยเถอะ"จั๋วซือหรานคิดๆ ถามไปคำหนึ่ง "จริงด้วย เจ้าชื่ออะไรล่ะ?"ชายหนุ่มก้มหน้าลงเล็กน้อย ดวงตาเป็นประกาย "ฮาร์วีย์ ข้าชื่อฮาร์วีย์"จั๋วซือหรานพยักหน้า เอ่ยเสียงต่ำเรียกชื่อนี้ขึ้นมา "ฮาร์วีย์หรือ? เข้าใจแล้ว"นางบอกกับเขาว่า "เจ้าก็ตามข้ามาแล้วกัน รอตอนที่ข้าอยากถาม ข้าจะถามเจ้าเอง"จั๋วซือหรานเดินมาถึงกระโจมค่าย ซือคงเซี่ยนเองก็เดินเข้ามาพอเห็นว่าด้านหลังนางมีคนแดนใต้ตามอยู่ ก็รู้สึกประหลาดใจหน่อยๆแต่ว่าซือคงเซี่ยนเองก็ไม่ได้ตกใจมากนัก แค่ถามขึ้นว่า "ซือหาาน ได้ยินว่าเจ้าจะไปส่งเสด็จพ่อกับเสด็จแม่ที่เมืองหลวงด้วยตนเองหรือ?""อืม" จั๋วซือหรานขานกลับเสียงแผ่ว "ถึงอย่างไรข้าก็จะไปเมืองหลวงอยู่แล้ว ถือโอกาสทำให้ไปเลย""