แน่นอนว่าจั๋วซือหรานจำบุคคลที่อยู่ตรงหน้านางได้ และนางสามารถดึงข้อมูลของบุคคลนี้ออกจากความทรงจำของเจ้าของร่างเดิมได้อย่างราบรื่นมากลูกชายคนโตของจั๋วเห้อหรง จั๋วหยุนชินเขาเป็นลูกชายของจั๋วเห้อหรงและภรรยาคนแรก แต่ภรรยาคนแรกเสียชีวิตไปหลายปีแล้ว จั๋วหรูซินเป็นลูกสาวของจั๋วเห้อหรงและภรรยาคนใหม่จั๋วหยุนชินมีพรสวรรค์อย่างมาก ซึ่งเป็นสาเหตุที่จั๋วเห้อหรงมีอำนาจที่แท้จริงในตระกูลแม้ว่าเขามีความสามารถไม่มากนัก เพียงเพราะลูกชายของเขามีอนาคตที่ดีแม้ว่าเขาจะไม่มีคุณสมบัติที่น่าทึ่งเท่ากับเฟิงเหยียน แต่ในตระกูลเช่นตระกูลจั๋วทีแย่ลงทุกวันและมีพรสวรรค์ที่น้อยกว่าก็ถือว่าดีแล้วและเนื่องจากผลงานที่โดดเด่นของเขาในการฝึกฝนของตระกูลนั้น เขาจึงถูกลัทธิอู๋จี๋สังเกตและถูกเรียกเข้าลัทธิ ซึ่งลัทธิอู๋จี๋เป็นหนึ่งในเจ็ดลัทธิหลักในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา มีเพียงไม่กี่คนในตระกูลจั๋วถูกลัทธิด่าง ๆ เลือก ดังนั้นเนื่องจากมีจั๋วหยุนชิน ฐานะของจั๋วเห้อหรงในตระกูลจึงสูงขึ้นเช่นกันในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา นับตั้งแต่จั๋วหยุนชินไปลัทธิอู๋จี๋ จั๋วเห้อหรง ก็ค่อย ๆ มีอำนาจที่แท้จริงในตระกูลมีความความขัดแย้งระหว่า
จั๋วซือหรานไม่กลัวว่าจั๋วหยุนชินเป็นสมาชิกของลัทธิอยู่แล้ว และมีอีกประเด็นที่สำคัญมาก จั๋วซือหรานค่อนข้างเข้าใจนิสัยของผู้อาวุโสใหญ่ จั๋วหลานผู้อาวุโสใหญ่เป็นคนยึดถือความยุติธรรม เข้มงวด เชื่อแต่หลักฐาน ดื้อรั้นเมื่อเขาเชื่อบางเรื่อง ใครมาโน้มน้าวก็ได้ ล้วนไม่ได้ผลดังนั้นจั๋วซือหรานจึงรู้สึกว่า จั๋วหยุนชินคงไม่เหมือนคนโง่นั้น จั๋วหรูซินขนาดนางยังรู้นิสัยของผู้อาวุโสใหญ่ จั๋วหยุนชินต้องรู้เช่นกันเขาจะไม่หยุดยั้งผู้อาวุโสใหญ่ด้วยคำพูดเพียงไม่กี่คำอย่างแน่นอน แม้ว่าเขาจะเป็นคนที่มีความสามารถในครอบครัว แต่เขาก็เป็นเพียงสมาชิกของตระกูลจั๋วเท่านั้นแม้ว่าเขาเข้าลัทธิแล้ว และอาจทำให้คนของตระกูลจั๋วและเหล่าผู้อาวุโสยกย่องเขาบ้าง แต่ก็ยังไม่ถึงขั้นที่ต้องฝ่าฝืนกฎของตระกูลเพียงเพราะเขาคนเดียวเมื่อเขาเริ่มพูดเช่นนี้ เขาต้องมีแผนสำรองอยู่ข้างหลังดังนั้นจั๋วซือหรานจึงเกียจพูดอะไรกับเขา นางจะรอปฏิบัติก่อนเพื่อล้อเขาพูดถึงประเด็นหลักอย่างรวดเร็วจั๋วซือหรานกล่าวคำอำลา“ จั๋วจิ่วยังต้องกลับไปเยี่ยมท่านแม่ ขอตัวก่อน”ผู้อาวุโสใหญ่ตะโกนด้วยเสียงทุ้ม "จั๋วหยุนชิน คุกเข่าลงเดี๋ยวนี้ เจ้าไม
นับตั้งแต่วินาทีที่จั๋วหยุนชินอ้าปากพูด จั๋วซือหรานก็เข้าใจจุดประสงค์ของเขาจริง ๆท้ายที่สุดแล้ว ตระกูลขุนนางเหล่านี้ก็เหมือนกันหมด พวกเขาคิดคำนวนทุกอย่างใ้ห้ตัวเองได้ประโยชน์สูงสุด และที่พวกเขาเดิมพนันมันตลกมากหากอีกฝ่ายแพ้ พวกเขาต้องให้อีกฝ่ายชำระอย่างหนัก แต่หากตัวเองแพ้ พวกเขาก็จะลงโทษตัวเองเบา ๆจั๋วซือหรานสังเกตข้อนี้ตั้งแต่นางแข่งกับตระกูลเหยียนดังนั้นในเวลานั้น จั๋วซือหรานจงใจเพิ่มเดิมพันเมื่อนางแพ้ เพื่อดึงดูดอีกฝ่ายให้เดิมพัน จากนั้นฉวยโอกศเพิ่มเดิมพันหลังจากที่อีกฝ่ายแพ้แต่ในขณะนี้ จั๋วซือหรานขี้เกียจเสียเวลากับจั๋วหรูซินจั๋วหยุนชินยังคงพูดต่อ และเนื้อหาก็ไม่แตกต่างไปจากที่จั๋วซือหรานคิดไว้“หากหรูซินแพ้ ก็ให้นางรับโทษด้วยการเฆี่ยนตีด้วยตัวเอง ไม่มีใครแทนนางได้”จั๋วซือหรานหรี่ตาลงและคิดกับตัวเอง ดูสิ ลงโทษตัวเองอย่างเบาแม้ว่าเหล่าผู้อาวุโสต้องการไว้หน้าแก่จั๋วหยุนชินบ้าง แต่พวกเขาก็รู้สึกว่าเงื่อนไขของเขาไม่ยุติธรรมเล็กน้อยจั๋วหยุนชินยกมุมปากขึ้นและยิ้มเล็กน้อย จากนั้นเขาหยิบตราออกมาแล้วแขวนไว้ที่เอวของเขา“มันคือตราของแพทย์กลั่นยา”“พี่หยุนชินผ่านการทดสอบ
" เสียวจิ่ว... " จั๋วหลานขมวดคิ้ว ก่อนหน้านี้เขารู้สึกอย่างคลุมเครือว่าเด็กหญิงคนนี้เริ่มห่างไกลจากตระกูลมากขึ้นเรื่อย ๆ และตอนนี้ความรู้สึกนี้ก็ยิ่งชัดเจนยิ่งขึ้นจั๋วซือหรานยิ้มเบา ๆ และพูดว่า "ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ ข้าเข้าใจ เนื่องจากเพื่อตระกูลทั้งนั้น ผู้อาวุโสใหญ่จึงไม่ต้องเกรงใจมากเกินไปหรอก ให้เขากลั่นยาเยอะ ๆ ให้ตระกูลละกันเจ้าค่ะ"หลังจากจั๋วซือหรานพูดจบ นางก็หันหลังกลับและเดินไปจากด้านหน้าของห้องโถงบรรพบุรุษ เพราะหลังจากถูกสังเกตในก่อนหน้านี้ นางเลยเดินไปที่ด้านหน้า ตอนนี้หากนางอยากออกจากที่นี่ นางต้องเดินผ่านฝูงชนที่อยู่ข้างหลังนางทันทีที่นางหันหลังกลับ ทุกคนก็แยกย้ายและหลีกทางให้ก็มีหนึ่งหรือสองคนที่ไม่ยอมหลีกทางให้ พวกเขาพูดประชดว่า "เป็นสมาชิกของตระกูลจั๋วกัน และก็เป็นแพทย์กลั่นยาทั้งคู่ พี่หยุนชินยังรู้จักกลั่นยาให้ตระกูลเยอะหน่อย เจ้าเก่งขนาดนี้และไปแข่งกับตระกูลเหยียนได้ ทำไมไม่เห็นเจ้าออกแรงเพื่อตระกูลบ้างสิ”ผู้อาวุโสใหญ่ขมวดคิ้วและกำลังจะตำหนิคนเหล่านี้จู่ ๆ มีร่างหนึ่งเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วและปรากฏตัวที่ด้านข้างของจั๋วซือหรานความเร็วของนางเร็วมากและการเคลื่อ
เมื่อเส้นเลือดปรากฏบนคอของพวกเขา ทุกคนเงียบลงผมค่อย ๆ ร่วงลงบนพื้นจากไหล่ของพวกเขาสีหน้าของพวกเขาเปลี่ยนไปเล็กน้อย และพวกเขารู้สึกมีอาการปวดแสบปวดร้อนที่คอ แม้ว่าจะความรู้สึกเจ็บนั้นจะไม่รุนแรง แต่ก็ไม่สามารถเพิกเฉยได้เมื่อเขายกมือไปสัมผัสมัน พวกเขารู้สึกถึงบาดแผลบาง ๆ ที่คอของพวกเขา ไม่มีเลือดไหลออกมาอย่างชัดเจน แต่เมื่อพวกเขาสัมผัสด้วยมือ พวกเขารู้สึกได้ถึงเส้นเลือดเหนียว ๆเส้นเลือดนี้ไม่เพียงแต่ทำให้พวกเขาเจ็บปวดรวดร้าวเท่านั้น แต่ยังให้ความรู้สึกหวาดกลัวอีกด้วยเนื่องจากความจริงที่ว่าผู้พิทักษ์เงาหญิงที่อยู่ตรงหน้าพวกเขาสามารถควบคุมพลังของนางได้มากพอที่จะตัดผมได้โดยไม่ทำให้เกิดอาการบาดเจ็บสาหัส ดูเหมือนว่านี่จะเป็นการเตือนซึ่งเห็นได้ชัดว่า ความสามารถของนางแข็งแกร่งอย่างมาก อย่างน้อยผู้ที่ไม่เคยเข้าร่วมการฝึกฝนของตระกูลไม่สามารถเทียบได้ยิ่งไปกว่านั้น เนื่องจากนางสามารถควบคุมบาดแผลที่เกิดเพียงเส้นเลือดบาง ๆ ได้ นั่นหมายความว่าหากนางต้องการทำให้บาดแผลที่ร้ายแรงกว่านี้ คงเป็นไปได้แน่ ๆ เพราะตำแหน่งของบาดแผลนี้เป็นเพียงเส้นผมที่หัก พูดจริง ๆ หากลงมือหนักกว่านี้ก็คือตัดคอให้
นางมองจั๋วหยุนชินอย่างเฉยเมย น้ำเสียงของนางไร้ความรู้สึก น้ำเสียงนั้นไม่เย็นชาหรือยินดี“ข้าบอกเจ้าไปแล้ว ข้าจะแข่งกับเจ้า อย่าบีบบังคับคนสิ รังแกคนของเฟิงเหยียน สนุกมากหรือ หากเจ้ามีทักษะนี้ ไปกลั่นยาให้ตระกูลหน่อยไหม”ยิ่งไปกว่านั้น วิธีที่นางสกัดกั้นการโจมตีของเขายังทำให้จั๋วหยุนชินตกใจเช่นกัน เพราะนางสัมผัสดาบคมของเขาโดยตรง...ด้วยมือเปล่าของนางนิ้วของนางขาวและเรียวยาว และดูเหมือนว่านางสามารถทิ้งบาดแผลอันน่าสยดสยองไว้ได้เพียงแค่รอยขีดข่วนแต่ในขณะนี้ นางบีบที่ขอบดาบของเขา ไม่เพียงแต่ไม่ได้รับบาดเจ็บจากดาบเท่านั้น แต่ยังไม่ได้รับบาดแผลจากพลังของดาบด้วยซ้ำ"เจ้า..." จั๋วหยุนชินจ้องมองผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้าเขานางยืนอยู่ระหว่างเขากับหานกวงด้วยสีหน้าที่ไม่แยแส และนางดันดาบของเขากลับไปในทิศทางของเขาอย่างไม่ตั้งใจจากนั้นนางก็หันไปมองหานกวงงแล้วพูดว่า "ไปกันเถิด"“เจ้าค่ะ” จากนั้นหานกวงหันหลังและเดินตามจั๋วซือหราน แสงสีแดงจาง ๆ ที่ข้างคอของนางจึงค่อย ๆ จางหายไปจนกระทั่งทั้งสองคนจากไป คนในห้องโถงบรรพบุรุษยังคงเงียบดูเหมือนว่าหลังจากจั๋วซือหรานหยุดการโจมตีของจั๋วหยุนชินได้อย่างง
หานกวงคิดถึงการกระทำในก่อนหน้านี้ของจั๋วซือหราน และนางรู้สึกว่าอาจไม่จำเป็นต้องกังวลมากเกินไปหานกวงเหลือบมองมือของจั๋วซือหราน นางรู้สึกสงสัยเล็กน้อย“เมื่อครู่นี้แม่นางเก่งมากนัก แม่นางกล้าสัมผัสดาบด้วยมือเปล่าโดยไม่ได้รับบาดแผลใด ๆ แม้ว่าชายก่อนหน้านี้จะไม่ได้เก่งมากนัก แต่เขาก็ยังคงใช้วิชาดาบของลัทธิอู๋จี๋ ดังนั้นเขาแข็งแกร่งอย่างมาก"“นั่นสินะ” จั๋วซือหรานลดสายตาลงและเหลือบมองที่ฝ่ามือของนาง ฝ่ามือของนางขาวและสะอาด มีเส้นฝ่ามือที่ชัดเจนทุกคนที่เห็นฉากของเมื่อครู่นี้มักจะเชื่อได้ยากว่า มือที่ดูนุ่มนวลมากและไร้พลังโจมตีใด ๆ นี้ได้ปะทะกับคมดาบของลัทธิอู๋จี๋ของจั๋วหยุนชินแม้แต่จั๋วซือหรานเองก็ไม่คาดคิดว่า วิชาสืบทอดของการแพทย์สายวิเศษของชาติที่แล้วถูกปลุกตื่นแล้วจริง ๆมือวิเศษเป็นทักษะชนิดหนึ่งของการแพทย์สายวิเศษในความเป็นจริง แม้แต่จั๋วซือหรานในชาติที้แล้ว ต่อให้นางเก่งการแพทย์สายวิเศษ แต่นางมือวิเศษได้ไม่มากนางมักตกอยู่ในสภาพที่ว่า เกือบจะได้สัมผัสถึงทักษะนี้แล้ว แต่มันก็ยังขาดอีกนิดหนึ่งแต่สุดท้าย ก่อนที่นางได้ปลุกทักษะของมือวิเศษได้ นางก็เสียชีวิตและเดินทางมายังโลกที
จั๋วซือหรานขมวดคิ้วและเดินเข้าไป“ ฝูซู ” จั๋วซือหรานเรียกด้วยเสียงทุ้มลึกเดิมทีฝูซูยังยุ่งในห้องเก็บของ เมื่อเขาได้ยินเสียงนี้ เขารีบวิ่งออกมา “คุณหนู ในที่สุดคุณหนูก็กลับมาแล้ว”“เกิดอะไรขึ้น” จั๋วซือหรานถามฝูซูโบกมือแล้วพูดว่า "ข้ายังคิดอยู่ว่าหลังจากตระกูลเฟิงส่งของขวัญเหล่านี้มา พวกเขาก็ลักพาตัวคุณหนูไปขอรับ"จั๋วซือหรานจึงตระหนักได้ว่า นางลืมเลย และตอนนี้นางตระหนักได้ว่า สาเหตุที่ห้องเก็บของคึกคักก็เพราะตระกูลเฟิงเพิ่งส่งของขวัญเต็มรถมานี่เอง“หากคุณหนูไม่กลับมาอีกนะ ข้าต้องไปบอกฮูหยิน ฮูหยินคงเอาของขวัญเหล่านี้ไปตามหาคุณหนูที่จวนของตระกูลเฟิงแล้วขอรับ” ฝูซูพูดจั๋วซือหรานถาม "ของในห้องเก็บของ ตระกูลเฟิงส่งมาเนี่ยนะ"“ทั้งหมดเลยขอรับ” ฝูซูพยักหน้า “ไม่ใช่แค่ของที่พวกเขาส่งมาในเช้าวันนั้นนะ แต่ยังมีของขวัญอีกมากมายที่ถูกส่งมาในเมื่อเช้านี้ด้วย”ฝูซูไม่กล้าพูดเลยว่า เขาเห็นคุณหนูไปหาตระกูลเฟิง แล้วไม่กลับมา จากนั้นตระกูลเฟิงนำของขวัญมาให้อีก เขาเป็นห่วงมากจนต้องสงสัยว่านี่คือเงินที่คุณหนูแลกด้วยชีวิตหรือเปล่าเขาเกือบจะร้องไห้ฉวนคูนที่ถูกคุณหนูย้ายตำแหน่งงานจากลานนอกไ
ทุกคนรู้สึกว่านางผิด เพียงแค่เพราะ นางไม่ยอมทำตัวเป็นปกติเหมือนพวกเขาสายตาของเหยียนเจินเปล่งประกาย เอ่ยขึ้นว่า "จะไม่มีทางออกเลยหรือไร? ถ้าไม่ไหวจริงๆ ก็ไปเข้ากับจั๋วจิ่วเลย!"เหยียนฉีพอได้ยินก็ตกตะลึง งงงันไป "ได้...ได้หรือ? ตระกูลเหยียนกับนาง...ตอนนี้น่าจะอยู่ในสภาพไม่ตายไม่เลิกรากันแล้วกระมัง?""ตระกูลเหยียนก็คือตระกูลเหยียน" เหยียนเจินไม่แยแส "พวกเราถ้าออกจากตระกูลเหยียน เช่นนั้นความแค้นนั่นก็ไม่เกี่ยวอะไรกับพวกเรา ยิ่งไปกว่านั้นข้าก็มองออกถึงนิสัยจั๋วจิ่ว ขอแค่ไม่ผิดใจกับนาง นางก็จะไม่ทำอะไรคนอื่น"อดพูดไม่ได้ เหยียนเจินมองนิสัยจั๋วซือหรานออกจริงๆดังนั้น พ่อลูกตระกูลเหยียนคู่นี้ หลังจากที่หารือกันเสร็จคืนนี้เช้าวันถัดมาตอนที่ข่าวเรื่องจั๋วซือหรานถูกพระราชทานรางวัลลือมาถึงเมืองหลวง จึงออกจากตระกูลเหยียนไปเงียบๆสถานการณ์ของตระกูลเหยียนเป็นเช่นนี้ ตระกูลอื่นกลับเป็นอีกแบบหนึ่งบรรยากาศของตระกูลเฟิงตึงเครียดมากแต่สิ่งเหล่านี้ เฟิงเหยียนไม่คิดจะเข้าร่วม เขานั่งอยู่ตรงนั้น ไม่ว่าเหล่าผู้อาวุโสจะพูดอะไรกันเขาก็ไม่เข้าร่วมการสนทนาเลยสายตาเหม่อลอยหน่อยๆ ราวกับคิดถึงเรื่อง
"เจ้าอย่ามาพูดให้เกินจริงนัก! ทุกคนรวมตัวกันอยู่ที่นี่ ไม่ใช่เพื่อมาฟังเจ้าพูดเกินจริง!""นั่นสิ ตระกูลฮั่วเพราะอะไรถึงได้ช่วยจั๋วจิ่วแบบนี้ เสี่ยงจะผิดใจกับตระกูลอื่นๆ อีก..."และก็มีเสียงคัดค้านไม่เชื่อปรากฏขึ้นเช่นกันแต่คนฉลาดก็หัวเราะเย็นชาขึ้นา "ใช่สิ ข้าพูดเกินจริงเองนั่นล่ะ พวกเจ้าเห็นว่าตระกูลฮั่วมันโง่สินะ"คนผู้นี้โมโหจนหัวเราะ "ตระกูลฮั่วถูกพวกเราสี่ตระกูลกดมาตั้งหลายปี! พวกเขาในสายตาพวกเราคืออะไร? ผู้ค่าข่าว ผู้จัดการโรงเตี๊ยม...หลายปีมานี้ถูกพวกเราสี่ตระกูลกดดัน""ตอนนี้พวกเขาได้เวลาเฉิดฉายแล้ว โดยไม่สิ้นเปลืองกำลังทหารอีกด้วย ก็แค่เพราะ...เดิมพันถูกกับความโดดเด่นของจั๋วจิ่วเท่านั้น! พวกเจายังคิดว่าเขาจะร่วมมือกับเราเพื่อแก้แค้นหรือ? พวกเรานั่นล่ะที่เป็นศัตรูของเขา!"พูดจบสิ่งเหล่านี้ เขาเองก็ขี้เกียจจะพูดไร้สาระกับคนเหล่านี้แล้วมีแค่วิธีเดียว ออกไป รีบออกไปจากตระกูลที่ไม่มียาอะไรจะช่วยได้แล้วนี่เสียคนผู้นี้ไม่ใช่ใครอื่น พ่อของเหยียนฉีนั่นเองในงานประชุมของตระกูลเช่นนี้ แม้ยังพูดเรื่องเหล่านี้ได้บ้าง แต่เพราะความตรงไปตรงมาและรุนแรงเกินไป ทำให้ก่อนหน้านี้มักจะก่
สิ่งเหล่านี้ จั๋วซือหรานล้วนไม่รู้เหมือนกับที่นางก็ไม่รู้ ว่าตอนนี้ในตระกูลเหล่านั้น ตอนนี้มีสภาพเช่นไรมันวุ่นวายยุ่งเหยิงแค่ไหนเพราะว่า ข่าวที่นางได้รับชัยไม่ใช่เพิ่งลือมาถึงเมืองหลวงเช้าวันนี้แม้จะบอกว่าเช้าวันนี้เพิ่งส่งมาถึงเมืองหลวง แต่ในฐานะตระกูลชั้นสูง เมื่อวานนี้ก็รู้ข่าวที่ค่ายคุ้มกันแล้วดังนั้นเมื่อคืนนี้ ตอนที่จั๋วซือหรานพักผ่อนอยู่ในค่ายคุ้มกันในเมืองหลวง ตระกูลต่างๆ กลับเป็นคนละแบบกันไปเลยในโถงใหญ่งานพิธีตระกูลเหยียน โคมไฟสว่างไสวบรรยายาศกลับตึงเครียด"ตอนนี้อย่างไรถึงจะดี..." คำถามแบบที่ไม่มีความเห็นแบบนี้และมีพวกที่อารมณ์รุนแรง ด่ากราดออกมาทันที "ถ้าไม่ใช่พวกเจ้าคิดแต่จะไปยุ่งกับตระกูลเฟิง คงไม่ทำให้จั๋วจิ่วผิดใจจนเป็นแบบนี้"มีคนไม่ค่อยยอมรับกับคำพูดนี้ "เจ้าพูดอะไรออกมา! จั๋วจิ่วนั่น! ตระกูลเหยียนของพวกเราผิดใจไปตั้งนานแล้ว! คนที่ผิดใจกับนางตอนแรกสุดคือพวกเรา! ตอนนี้ถ้าคิดจะถอยออกมามันทันเสียที่ไหน!""เพราะอะไรถึงไม่ทัน! ทำไมถึงจะไม่ทัน! เพราะอะไรถึงจะไม่ทัน! นางไปร่วมมือกับตระกูลฮั่วแล้ว! ยิ่งไปกว่านั้นจากที่ข้าเห็น ตระกูลจั๋วเหมือนจะต้องกระโจนขึ
ตอนนี้ข่าวที่รู้แน่ชัดแล้วคือ องค์จักรพรรดิเฒ่าจะส่งอำนาจพ่อค้าหลวงของตระกูลจั๋วให้กับนางวังสวนอุทยานหลิ่วพ่านของราชวงศ์เองก็ให้นางด้วยแล้วจากที่พูด กระทั่งจวนชินอ๋องอวี้กับสวนชิวอี ก็จะยอมยกให้นางด้วยแล้วยังมีข่าวที่มากกว่า เริ่มทยอยกันลือออกมา"ได้ยินว่าฝ่าบาทยังถามนางด้วยว่าจะแต่งงานกับอ๋องเซี่ยนหรือเปล่า!""ให้ตายเถอะ! นี่มันสุดยอดไปเลย""จริงด้วย ตระกูลเฟิงทำผิดกับนาง เอาจริงๆ จั๋วจิ่วคนนี้ควรจะไม่เหลือหน้าตาอีกแล้วสิ คิดไม่ถึงเลย ว่าฝ่าบาทถึงกับถามนางว่าจะแต่งงานกับอ๋องเซี่ยนไหม!""จะว่าไป สถานการณ์ตรงหน้านนี้ ชินอ๋องอวี้ท่าจะไม่ไหวแล้วมั๊ง เช่นนั้นหลังจากนี้...ไม่แน่ว่าอ๋องเซี่ยนก็จะเป็น...""จริงด้วย ถ้านางพยักหน้าล่ะก็ อนาคตจะไม่ใช่..."พระมารดาแห่งใต้หล้าหรือ!ตามหลักการ ตัวตนฐานะของจั๋วจิ่วเองก็ไม่ใช่ต่ำต้อย ตระกูลจั๋วเองก็ถือว่าเป็นครอบครัวตระกูลสูงปัญหาคือตอนนี้นางเป็นแค่หญิงสาวที่ถูกทอดทิ้งเท่านั้นพอบวกกับ ก่อนหน้านี้นางเคยหมั้นไปครั้งหนึ่ง ตัวนางเองก็โดนเสน่ห์หนอนพิษกู่จนต้องมาเสียใจที่แต่งงาน แล้วก็ยังเกือบจะได้แต่งงานไปครั้งหนึ่งด้วย ทำเอาพิธีแต่งงานวั
แต่พอคิดดู เขาจะไปทำอะไรแม่นางจิ่วได้กันล่ะ?ดังนั้นทุกคนจึงค่อนข้างวางใจ"เจ้าอยากจะรู้อะไร?"และไม่รู้เพราะเห็นจั๋วซือหรานไม่พูดอะไรเลย คนผู้นี้จึงถามนางขึ้นมาอย่างทนไม่ไหวจั๋วซือหรานยิ้มๆ "ไม่ต้องรีบ ตอนที่ข้าอยากรู้ ข้าจะถามเจ้าเอง""เจ้าตอนนี้ยังไม่อยากรู้หรือ?" สีหน้าของชายหนุ่มดูแล้วแปลกประหลาดสุดๆจั๋วซือหรานตอบเสียงเรียบ "ยังไม่ถึงเวลา รออีกหน่อยเถอะ"จั๋วซือหรานคิดๆ ถามไปคำหนึ่ง "จริงด้วย เจ้าชื่ออะไรล่ะ?"ชายหนุ่มก้มหน้าลงเล็กน้อย ดวงตาเป็นประกาย "ฮาร์วีย์ ข้าชื่อฮาร์วีย์"จั๋วซือหรานพยักหน้า เอ่ยเสียงต่ำเรียกชื่อนี้ขึ้นมา "ฮาร์วีย์หรือ? เข้าใจแล้ว"นางบอกกับเขาว่า "เจ้าก็ตามข้ามาแล้วกัน รอตอนที่ข้าอยากถาม ข้าจะถามเจ้าเอง"จั๋วซือหรานเดินมาถึงกระโจมค่าย ซือคงเซี่ยนเองก็เดินเข้ามาพอเห็นว่าด้านหลังนางมีคนแดนใต้ตามอยู่ ก็รู้สึกประหลาดใจหน่อยๆแต่ว่าซือคงเซี่ยนเองก็ไม่ได้ตกใจมากนัก แค่ถามขึ้นว่า "ซือหาาน ได้ยินว่าเจ้าจะไปส่งเสด็จพ่อกับเสด็จแม่ที่เมืองหลวงด้วยตนเองหรือ?""อืม" จั๋วซือหรานขานกลับเสียงแผ่ว "ถึงอย่างไรข้าก็จะไปเมืองหลวงอยู่แล้ว ถือโอกาสทำให้ไปเลย""
บางครั้ง คำพูดร้ายๆ ก็ไม่จำเป็นต้องพูดขณะที่กำลังโกรธจัดถึงจะมีพลังทำร้ายประหัตประหารกระทั่งในบางโอกาศ พูดออกมาตอนที่ยิ้มๆ ยังมีพลังทำร้ายมากยิ่งกว่าอย่างเช่นตอนนี้ จั๋วซือหรานพูดออกมาด้วยรอยยิ้มตาหยีเช่นนี้ ยิ่งทำให้คนที่พูดว่านางสะกดคำว่าตายไม่เป็นก่อนหน้านี้ เกิดอาการเหงื่อแตกพลั่กขึ้นมาเขาอ้าปากพะงาบๆ ชั่วขณะหนึ่งไม่รู้ว่าควรจะตอบกลับคำนี้ของจั๋วซือหรานอย่างไรจั๋วซือหรานขี้เกียจจะสนใจเขา เอ่ยต่อมาว่า "ถ้าหากมีคนยอมบอกข้าล่ะก็ ข้าก็จะไว้ชีวิตนั้นไว้ โอ้จริงด้วย กระทั่งไม่แตะต้องแมลงกู่บนตัวเลยนะ"และหลังจากที่พวกเขาได้ยินคำนี้ของจั๋วจิ่วแล้วจึงเห็นนางนับจำนวนพวกเขาขึ้นมาอย่างไม่ค่อยตั้งใจนัก "พวกเจ้ามีสิบสี่คน แต่ข้ามีแมลงแค่เจ็ดตัว ก่อนหน้านี้กินไปที่ประตูค่ายแล้วตัวนึง เหลืออีกหกตัว เมื่อครู่กินของพวกเจ้าไปแล้วหกคน พวกเจ้ายังเหลืออีกแปดคนสินะ ทว่ามื้อต่อไปขอแค่เจ็ดคนก็พอ"นางคำนวณขึ้นมาอย่างไม่รีบไม่ร้อน จากนั้นจึงพยักหน้าเอ่ยว่า "เหลือไว้ได้คนนึงจริงๆ"เหล่าปรมาจารย์กู่แดนใต้ดูสิ้นหวังหน่อยๆ เพราะพวกเขาได้ยินคำพูดเมื่อครู่ของจั๋วซือหรานแล้วอะไรคือ...มื้อต่อไป?เจ้
ให้ใครมาเห็น ก็ล้วนไม่ใช่ภาพที่ชวนมองนักหน้าผากคนเหล่านี้ เส้นเลือดที่คอกับแขนขาไขกระดูก ราวกับมีอะไรบางอย่างกำลังมุดทะลวงอยู่อย่างไรอย่างนั้นจั๋วซือหรานรู้ ว่านั่นคือไหมกู่ของเจ้าพวกก้อนเนื้อ พวกมันเข้ากลืนกินแมลงกู่ทั้งหมดที่น่าจะซ่อนและบำรุงอยู่ตามเส้นลมปราณเส้นชีพจรของปรมาจารย์กู่คนเถื่อนเหล่านี้สำหรับคนทั่วไปแล้ว อาจจะไม่คิดว่านี่เป็นเรื่องใหญ่แต่สำหรับคนเถื่อนเหล่านี้แล้ว พวกเขาล้วนเป็นปรมาจารย์กู่นะ แมลงกู่ของพวกเขาล้วนเป็นรากฐานที่ทำให้ตนเองอยู่ได้อย่างมั่นคงไหนจะเรื่องที่แมลงกู่พวกนี้ต้องใช้เลือดเนื้อของตัวพวกเขาในการชุบเลี้ยง ยิ่งเป็นสิ่งที่พวกเขาให้ความสำคัญเข้าไปอีกตอนนี้ถูกแมลงกู่ของจั๋วจิ่ว กินกันอย่างเอร็ดอร่อยมื้อใหญ่...พวกเขาจะไม่โกรธได้อย่างไรแต่นอกจากความโกรธแล้ว ก็ยังมีความตกตะลึงอยู่ด้วยนางเป็นแค่หญิงสาวอายุน้อยคนหนึ่ง แล้วยังอยู่ในดินแดนต้าชาง แล้วไปฝึกวิชากู่มาจากไหน? ฝึกแมลงกู่ที่อหังการขนาดนี้ออกมาได้อย่างไร?เพราะ นางยัดเข้ามาในปากคนอื่นแบบนี้ ไม่ได้กังวลเลยว่าแมลงกู่ของตนเองจะมาเจอกับแมลงที่ร้ายกาจกว่าของตนเองสังหารหรือไม่นางไม่กังวลเลยสั
เอาจริงๆ เจ้าพวกนี้โอดครวญอยู่นานแล้วก่อนหน้านี้จั๋วซือหรานทนการโอดครวญของเจ้าพวกนี้ แล้วไปรักษาทหารบาดเจ็บคนนั้นนี่ทำให้จั๋วซือหรานเกิด...ความรู้สึกของหมอในสนามรบแล้วจริงๆหมอในสนามรบคนอื่นด้านนอกมีเสียงการล่าการสังหารแต่ในสมองนางมีเสียงพวกลูกๆ ทะเลาะกันจะเป็นจะตายจะว่าอย่างไรดี ถ้าว่าจากเรื่องมลภาวะทางเสียงก็ถือว่าพอๆ กัน สถานการณ์ที่นางเจอไม่ได้ด้อยกว่ากันเลย ยิ่งไปกว่านั้นจั๋วซือหรานยังรู้สึกว่า เนื่องจากเจ้าพวกแมลงสามารถกลิ้งไปกลิ้งมาในจิตสำนึกนางได้โดยตรงดังนั้น...บางทีสถานการณ์ที่ตนเองเผชิญจะดูรุนแรงกว่าการรบกวนที่พวกแพทย์สนามรบได้รับเสียอีกแมลงพวกนี้ไม่ได้จงใจเอะอะใส่นาง แต่ก่อนหน้านี้ที่นางยัดขนมชาเขียวเข้าไปในปากปรมาจารย์กู่ที่เตรียมจะระเบิดตัวเองคนนั้นหลังจากที่เก็บขนมชาเขียวกลับมา ขนมชาเขียวก็ดูอิ่มเอมมาก อดไปพูดให้เจ้าก้อนเนื้อตัวอื่นๆ ในมิติน้ำพุวิเศษฟังอย่างอดไม่อยู่ส่วนเจ้าพวกก้อนเนื้อจะว่าอย่างไรดี เพิ่งจะมีสติปัญญาขึ้นมาได้ไม่นานนัก จะมากน้อยก็ยังมีความคิดนิสัยแบบเด็กๆ อยู่ขนมชาเขียวพอเอาของอร่อยที่ผู้ปกครองซื้อให้กลับไปคุยโม้กับเพื่อนๆ คนอื่นในหั
แพทย์ทหารเอ่ยขึ้นเสียงต่ำ "ข้าข้ามีทักษะเช่นนี้...ทหารราบเหล่านั้นก็คงไม่ตายกันแล้ว..."เสียงของเขาเต็มไปด้วยความรู้สึกผิด เขาประจักษ์กับตาแล้วถึงการเปลี่ยนสิ่งเน่าเสียกลายเป็นสิ่งอัศจรรย์ของแม่นางจั๋วจิ่วแล้วพอเห็นว่านางทำตัวราวกับเป็นช่างยอดฝีมือ จัดการเย็บช่องท้องของคนผู้นี้ราวกับเย็บกระเป๋าขาดยิ่งไปกว่านั้นยังจัดการรักษาส่วนที่บาดเจ็บของอวัยวะภายในไปแล้วด้วยนี่ทำให้เขาอดคิดไปถึงทหารที่ตายอย่างน่าเวทนาเหล่านั้น ต่อมาถูกก็ถูกพวกคนเถื่อนเอาหัวขึ้นไปแขวนบนคาน...เขาอดคิดไม่ได้เลย ถ้าหากตนเองมีฝีมือเสียหน่อย ไม่แน่คนเหล่นั้นอาจจะช่วยไว้ได้กระมังคำพูดนี้มีอารมณ์อยู่ด้วย เพราะตอนนี้อารมณ์ของเขาถูกส่งผลกระทบอยู่จริงๆแต่เสียงของจั๋วซือหรานกลับสงบ นางก้มหน้าพูดว่า "ไม่หรอก ถ้าหากเจ็บหนักเกินไป อย่างเช่นหัวขาดออกจากกัน ต่อให้เทพเจ้าก็ทำอะไรไม่ได้ แน่นอนว่าข้าเองก็ไม่มีวิธีเหมือนกัน ข้าเป็นแค่แพทย์ ไม่ใช่พระเจ้า"แม้คำพูดนี้จะดูใจเย็น ราวกับกำลังอธิบายข้อเท็จจริงอยู่ แต่คำพูดนี้ก็ยังทำให้แพทย์ทหารที่ยังรู้สึกโทษตัวเองอยู่ก่อนหน้านี้ อารมณ์ผ่อนคลายลงมาบ้างแล้วจั๋วซือหรานเย็บเข็มส