“ขอรับ ขอรับ” จ้านหลูพูดอย่างหวาดกลัว เขาคิดครู่หนึ่ง เขารู้สึกว่าเขาไม่ควรถกินชกับข้าวของแม่นางจิ่วโดยเปล่าประโยชน์แล้วอีกอย่าง หากแม่นางจิ่วคิดจะทำร้ายเจ้านาย เขาไม่ฟังคำสั่งของนางแน่นอน แต่เป็นเพียงเรื่องการเอากับข้าวมาให้และการฝากบอกคำพูดของนางเท่านั้นต่อให้เขาต้องเผชิญหน้ากับหน้าเย็นชาของเจ้านาย แต่เขาก็ต้องพูดอย่างหวาดกลัว" แม่นางจิ่วให้ข้าถามท่านว่า ก่อนหน้านี้ ท่านดูถูกนางหรือเปล่า ท่านจึงไม่อยู่ทานข้าวเย็นด้วยกัน ตอนนี้ท่านเสียใจไหมขอรับ"ทันทีที่จ้านหลูพูดคำเหล่านี้ เจ้านายของเขาก็จ้องมองเขาอย่างโหดเหี้ยมจ้านหลูรีบอธิบาย " แม่นางจิ่วให้ข้าพูดเช่นนี้ขอรับ"“นางยังพูดอะไรอีก” เฟิงเหยียนถามอย่างไร้ความรู้สึกจ้านหลูรู้สึกว่าหนังศีรษะของเขาแข็ง เขารีบตอบ " แม่นางจิ่ว ยังบอกด้วยว่า นี่ถือว่าเป็นของขวัญการเสนอตัวเองของนางขอรับ"เมื่อได้ยินคำพูดนี้ เฟิงเหยียนก็เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยจ้านหลูมองเขาแล้วถามว่า "ท่านจะรับไว้ไหมขอรับ หากท่านไม่อยากรับไว้ ข้าน้อยช่วยเอาไปคืนแม่นางไหมขอรับ"เฟิงเหยียนมองเขาอย่างเย็นชา "ยังไม่ออกไปหรือ""ขอรับ ข้ารับทราบ" จ้านหลูตอบด้วยความดีใจ "ข
ทุกคนต้องยอมรับว่า กรรมพันธุ์ของตระกูลเฟิงนอกจากพลังวิเศษโดยกำเนิดน่ารำคัญไปหน่อย ผู้คนต้องชื่นชมว่าตระกูลนี้หน้าตาดีจริง ๆทุกคนของตระกูลเฟิงมีรูปร่างสูงและตรง พวกเขาดูดีทั้งนั้นแม้ว่าผู้เฒ่าจะอายุมากขึ้น แต่มองจากรูปร่าง หน้าตาและบุคลิกของพวกเขา ยังสามารถมองเห็นเอกลักษณ์ของพวกเขา แม้ว่าพวกเขาแก่ลงแล้ว ยังมีบุคลิกเฉพาะตัวของพวกเขาเพียงแต่หน้าตาของเฟิงเหยียน ไม่มีใครเทียบได้อย่างแน่นอน แม้แต่ในตระกูลเฟิง เขาก็ถือว่าดีที่สุดในบรรดาดีที่สุดเฟิงเหยียนเดินเข้าไปในห้องโถงด้านหน้า เหลือบมองพวกเขาเบา ๆ และไม่พูดอะไรผุ้อาวุโสท่านหนึ่งพูดเป็นคนแรก "เหยียนเอ๋อร์ ข้าคิดไม่ถึงเลยว่า เจ้าจะไม่ถูกกับตระกูลเหยียน เพราะผู้หญิงคนนั้นจริง ๆ สำหรับตระกูลเรา การที่ทำให้ตระกูลเหยียนโกรธ ไม่ใช่พฤติกรรมที่ฉลาด"เฟิงเหยียนเงยหน้าขึ้นและมองเขา "ทำให้พวกเขาโกรธ ไม่ฉลาดอย่างไร"ผู้อาวุโสอีกท่านหนึ่งถอนหายใจ "เจ้ารู้ด้วยว่า อาการของตระกูลเราต้องการพึ่งพาตระกูลเหยียนตลอด... "เสียงของเฟิงเหยียนสงบมาก “ข้า ต้องการหรือ”ผู้อาวุโสท่านนี้ตอบคำถามนี้ไม่ได้ อันที่จริง ทุกคนรู้ดีว่า ไม่ว่าอุปสงค์และอุปทานระห
สีหน้าของเหล่าผู้อาวุโสแข็งทื่อจริงด้วย หากเป็นผู้อื่น พวกเขายังสามารถคิดแผนรับมือโดยคิดว่าคนผู้นั้นมีความคิดเหมือนคนทั่วไป แต่จั๋วจิ่วนั้น...นางบ้าคลั่งจริง ๆดูเหมือนนางมีความคิดไม่เหมือนผู้อื่น ดูเหมือนนางไม่สนใจว่าจะมีใครคอยหนุนหลังนางหรือไม่ นางไม่สนใจว่าตระกูลของคู่แข่งจะแข็งแกร่งเพียงใด นางอยากโจมตีผู้ใดเมื่อใด นางโจมตีทันทีแม้ว่าพวกเขาจะมาจากตระกูลเฟิง ซึ่งมีชื่อเสียงอย่างมาก แต่ในขณะนี้ เหล่าผู้อาวุโสก็หมดคำพูดเช่นกันเฟิงเหยียนพูดเบา ๆ “นางทำให้ตระกูลเหยียนอับอายมากจนทุกคนรู้ สุดท้าย มันเป็นเพียงการชนะเพื่อเรียกร้องการเดิมพันเท่านั้น ให้เหยียนชางคุกเข่าลงและยอมรับความพ่ายแพ้ นางให้ความสำคัญกับการเดิมพันอย่างมาก”ผู้อาวุโสท่านหนึ่งอดไม่ได้ที่ต้องพูดว่า "แล้วทำไมเจ้าถึงอยากเดิมพันกับนางล่ะ"เฟิงเหยียนจ้องมองเขาอย่างเย็นชาและไม่แยแส "หากนางสามารถรักษาข้าได้ ทำไมข้าไม่เดิมพันกับนางล่ะ หรือข้าต้องเหมือนพวกท่าน ฝากความหวังไว้กับคนของตระกูลเหยียน เช่นนั้นจะแก้ปัญหาได้หรือ"เฟิงเหยียนไม่ไคิดจะอยู่นานเกินไป เขาหันหลังกลับและเดินไปที่ทางเข้าห้องโถงด้านหน้า“เหยียนเอ๋อร์...”
โดยปกติแล้ว เรื่องที่ทำได้ง่ายเกินไปจะทำให้ผู้คนเกิดความสงสัยอยู่เสมอแต่มันง่ายมากในขณะนี้ และทุกอย่างดูสมเหตุสมผล ทุกการสงสัยมีคำตอบหมดดังนั้นพวกเขาไม่เพียงแต่ไม่สงสัยและระมัดระวังเท่านั้น แต่... พวกเขากลับผ่อนคลายลงมากแม้ว่าจั๋วจิ่วผู้นี้จะมีความสามารถและทรงพลังมากแค่ไหนก็ตาม ก็เป็นเพียงคนตัวเล็กที่น่าสมเพชและไม่ได้รับการหนุนหลังจากตระกูลชายชุดดำสามคนมาถึงประตูห้องนอนของจั๋วซือหรานอย่างราบรื่นพวกเขาไม่ได้พูดอะไรเพื่อไม่ให้นางตื่นตระหนกดังนั้นพวกเขาจึงสบตากัน และดวงตาของพวกเขาดูเหมือนจะมีความหมายเหมือนกัน นี่มันง่ายเกินไป ไม่มีการป้องกันแต่สิ่งที่พวกเขาทั้งสามไม่รู้ก็คือทุกการเคลื่อนไหวของพวกเขาถูกหลอดอันสีดำสังเกตบนหลังคากระจกของหอระฆังที่อยู่ห่างไกลออกไป มีร่างสีดำเรียวยาวนอนอยู่ที่นั่นอย่างเงียบ ๆ โดยมีของที่เป็นสีดำขนาดใหญ่พาดอยู่บนสันหลังคาของหอระฆังรูม่านตาของนางอยู่ใกล้กับกล้องส่องทางไกลของของชิ้นใหญ่นี้ นิ้วเรียวเล็กของนางกำลังค่อย ๆ ปรับความแม่นยำของการมองเห็นเป้าเล็งเคลื่อนไป ๆ มา ๆ บนร่างกายของทั้งสามคนจั๋วซือหรานพึมพำกับตัวเอง "พวกเจ้าไม่ระมัดระวังเลย
กลิ่นหอมแปลก ๆ อบอวลไปทั่วทั้งห้องในไม่ช้า ชายชุดดำผู้นี้ก็สังเกตร่างกายของตัวเองเริ่มอ่อนแอลง ไม่เพียงแต่ร่างกายของเขาค่อย ๆ หมดแรงเท่านั้น แต่เขาก็ค่อย ๆ พร่ามัวไปด้วยและผู้สมรู้ร่วมคิดทั้งสองของเขาที่ได้รับบาดเจ็บด้านนอกก็ค่อย ๆ หมดสติไปก่อนที่พวกเขาหมดสติไป ดวงตาของพวกเขาก็มองไปในทิศทางนั้นพวกเขาไม่รู้ว่ามันเป็นอาการประสาทหลอนเมื่อพวกเขาหมดสติหรือว่าพวกเขามองเห็นนางจริง ๆ บนหลังคาหอระฆังที่อยู่ไกล ๆ มีร่างผอมของใครบางคนกำลังแบกอาวุธยาวเครื่องหนึ่งและกำลังยืนขึ้น...ก่อนที่พวกเขาจะหมดสติไป ความคิดสุดท้ายในสมองของพวกเขาคือ ตระกูลใหญ่เช่นนี้ต้องตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้เพราะพวกเขาประเมินนางต่ำเกินไป ทำไมพวกเขาทั้งสามถึงไม่ได้ประสบการณ์จากตัวอย่างของคนอื่นบ้างล่ะเพราะหากดูถูกผู้หญิง จะเกิดปัญหาใหญ่แน่ ๆจั๋วซือหรานดูสถานการณ์ที่นี่จากระยะไกลกล้องส่องทางไกล จริง ๆ แล้วก่อนที่นางออกมา นางได้จุดธูปที่ทำให้คนสลบในห้องเพื่อให้ไม่มีภัยเดิมทีนางยังรู้สึกอยู่ว่า นางกำลังทำสิ่งที่ไม่จำเป็นโดยไม่คาดคิด...มีคนถูกหลอกจริง ๆจั๋วซือหราน"เชอะ"หนึ่งที วางของชิ้นใหญ่บนไหล่ของนางเข้าไป
กวนคุนรีบรับเหรียญที่เจ้านายยื่นให้ด้วยมือทั้งสองข้าง "บ่าวรีบไปเดี๋ยวนี้ขอรับ"เขารีบออกไปอย่างรวดเร็วจนกระทั่งเขาออกจากจวน เขาจึงตระหนักได้ถึงคำพูดของคุณหนูจิ่ว“อะไรนะ...นักฆ่าหรือ”หลังจากนั้นไม่นาน จวนของท่านอ๋องเซี่ยนห้องโถงด้านหน้าสว่างไสว ซือคงเซี่ยนสวมเสื้อคลุมและนั่งบนเก้าอี้ เขากำลังรับถ้วยชาร้อนจากคนรับใช้และจิบชาหนึ่งคำเขามองคนรับใช้ที่อยู่ใต้เก้าอี้ของเขา เหรียญในมือของคนรับใช้คนนี้คือของที่เขามอบให้กับจั๋วซือหรานจริง ๆ“ใช่ขอรับ คุณหนูให้บ่าวมาส่งข่าวถึงท่านอ๋องขอรับ ว่ามีนักฆ่า แอบมาที่จวน แต่คุณหนูคุมพวกมันไว้แล้ว คุณหนูบอกว่าตราบใดที่บ่าวแค่นี้ ท่านจะรู้ว่าต้องทำอย่างไร ”ฉวนคูนวิ่งถึงที่นี่สุดพลัง เขาแทบจะหายใจไม่ได้ เขากลั้นหายใจและวิ่งถึงที่นี่ และหลังจากรายงานเรื่องที่จั๋วซือหรานให้เขาพูด เขาจึงเริ่มหายใจแรง ๆซือคงเซี่ยนนั่งอยู่ที่นั่น เขายกมือขึ้นแล้วบีบดั้งจมูกตรงของเขา ขมวดคิ้วเล็กน้อย สีหน้าของเขาแสดงถึงความทำอะไรไม่ถูกและความกังวลเขาใช้นิ้วจับหน้าผากแล้วเหลือบมองฉวนคูน "คุณหนูของเจ้าปลอดภัยอยู่ไหม"ฉวนคูนคิดสักพักแล้วตอบว่า "กราบท่านอ๋อง ดูจาก
ต่งคังตระหนักได้อย่างรวดเร็วโดยธรรมชาติว่า นี่ไม่ใช่ทางที่ไปจวนของท่านอ๋องจริง ๆ แต่ท่านอ๋องเซี่ยนเป็นผู้ที่นำทาง ดังนั้นแม้ว่าจะไม่ใช่ทางไปจวนอ๋องก็ตาม...ไหน ๆ ก็มาแล้ว เขาก็ไม่ละเลยเรื่องนี้ดังนั้น เมื่อพวกเขาหยุดที่หน้าบ้านของจั๋วซือหราน ผู้ที่อยู่หน้าบ้านจวนของจั๋วซือหราน ได้แก่ ซือคงเซี่ยน, ต่งคัง ซึ่งผู้เป็นผู้อำนวยการของกรมสอบสวนคดีอาญา และเจ้าหน้าที่ลาดตระเวนสองทีม รวมเป็นสิบคนพวกเขาเห็นร่างผอมบางยืนอยู่ที่ประตูบ้านจาดที่ไกล ๆ แม่นางผู้นี้มีผมยาวไว้ด้านหลัง ถือตะเกียงอยู่ในมือดูเหมือนมีพลังที่แข็งแกร่งในความเหงาซือคงเซี่ยนเสียนรัดบังเหียนให้แน่น เขาหยุดม้าที่หน้าประตู พลิกตัวลงจากม้าทันที แล้ววิ่งไปหาจั๋วซือหราน " แม่นางจิ่ว เจ้าสบายดีไหม"ซือคงเซี่ยนถามไปและมองจั๋วซือหรานอย่างละเอียดด้วย แต่เขาไม่เห็นอาการบาดเจ็บใด ๆ บนร่างกายของนางซือคงเซี่ยนจึงรู้สึกโล่งใจและถอนหายใจด้วยความโล่งอกจั๋วซือหรานส่ายหัว "ข้าสบายดี" นางยิ้มอย่างหมดคำพูด "ทำไมเจ้าถึงมาที่นี่ด้วยตัวเอง คนรับใช้ที่ข้าส่งไปบอกข่าวไม่ชัดเจนหรือ"“คนรับใช้ของเจ้าพูดชัดเจนเพียงพอแล้ว แต่เขาอาจจะวิ่งไปจนส
พูดตามตรง หากนางไม่มีความสามารถเพียงพอที่จะควบคุมมือสังหารได้หากนักฆ่าประสบความสำเร็จจริง ๆ จะไม่มีใครรู้ว่านางตายที่นี่เป็นเวลาสักพักหนึ่งซือคงเซี่ยนสังเกตเรื่องนี้เหมือนกัน เขาขมวดคิ้วแน่น "จวนของเจ้าเงียบและว่างเปล่าเหลือเกิน นี่อันตรายเกินไป หากเจ้าเป็นอะไรในจวนจริง ๆ ข้าขอพูดอะไรไม่น่าฟังหน่อย เจ้าตายในนี้ ไม่มีใครรู้แน่ ๆ ”จั๋วซือหรานหรี่ตาลง และไม่มีความกลัวหรือความตื่นตระหนกบนใบหน้าที่สวยงามของนาง นางโค้งมุมปากเล็กน้อย "แต่..."นางเงยหน้าขึ้นและมองไปที่ซือคงเซี่ยน "...และในทางกลับกัน ก็เหมือนกันนี่"เมื่อซือคงเซี่ยนได้ยินคำพูดนี้ เขาก็ตกตะลึงใช่และในทางกลับกันก็เหมือนกัน วันนี้หากนางฆ่านักฆ่าเหล่านั้นที่นี่ กลัวว่า... จะไม่มีใครรู้เรื่องนี้ด้วยซ้ำและ... ซือคงเซี่ยนคิดออกว่า เนื่องจากนางสามารถควบคุมมือสังหารทั้งสามคนนั้นได้ นางต้องสามารถฆ่ามือสังหารทั้งสามคนนั้นได้เพราะโดยทั่วไป การจับคนที่ยังมีชีวิตอยู่นั้นยากกว่าการฆ่าตายซือคงเซี่ยนเข้าใจทันทีว่า ทำไมจั๋วซือหรานจึงไว้ชีวิตพวกเขาซือคงเซี่ยนพึมพำ "ดังนั้น เจ้าต้องการ..."“ในความเป็นจริง ข้าเป็นหมอ ดังนั้นโดยป
"เจ้า...เจ้าเจ้า..." เสียงของคนคุ้มกันประตูตะกุกตะกักขึ้นมาเขาเห็นหญิงสาวตรงหน้าหรี่ตายิ้ม แต่กลับไม่รู้สึกว่าอบอุ่นเลย ซ้ำยังสัมผัสได้ถึงอาการเย็นวาบที่แผ่นหลังอีกด้วยก่อนหน้าที่จั๋วซือหรานจะมาถึงเมืองหยางหน่วยคนคุ้มกันที่ผู้เฒ่าเหอส่งออกมารับมือจั๋วซือหราน แต่กลับล้มเหลวแถมยังบาดเจ็บ ก็กลับมาถึงจวนตระกูลเหอแล้วพอรู้ว่าพวกเขากลับมาอย่างล้มเหลว แล้วตลับหุ่นเชิดยังถูกแย่งไปอีกด้วย ผู้เฒ่าเหอก็โมโหหัวฟัดหัวเหวี่ยงไม่ได้สนใจพวกคนคุ้มกันที่บาดเจ็บกลับมาเหล่านั้นเลย กระทั่งพวกเขาอันที่จิรงมีคนหนึ่งไม่ได้กลับมาด้วย ไม่รู้ว่าตายไปแล้วหรือยังแต่ภายใต้สถานการณืเช่นนี้ ผู้เฒ่าเหอเองก็ยังจะลงโทษพวกเขาก่อนหน้าที่จั๋วซือหรานจะมาถึงเมืองหยาง พวกเขาก็ถูกผู้เฒ่าเหอลงโทษด้วยแส้มาตลอดแรกสุดที่บาดเจ็บจากหมอกพิษที่ป่าทวนแสง แล้วยังรีบกลับมาอย่างสุดกำลัง บวกกับการลงแส้ของผู้นำตระกูลนี่อีกพวกเขาล้วนกลายเป็นธนูแผ่วปลายกันหมดแล้ว หายใจรวยรินและตอนนี้เอง ผู้เฒ่าเหอหยุดฟาดแส้ ไม่ใช่เพราะเห็นบาดแผลพวกเขาแล้วใจอ่อนลงมา แต่เป็นเพราะเอาแต่หวดแส้แบบนี้ ผู้เฒ่าเหอเองก็เหนื่อยขึ้นมาแล้วเท่านั้น
หัวหน้าคนคุ้มกันถอนหายใจออกมาเบาๆ "เป็นข้าที่เลินเล่อเอง ตอนที่แม่นางเข้าเมืองข้าลืมเตือนแม่นาง ว่าในเมืองหยางนี้มีเจ้าถิ่นอยู่""ถ้าหากไปเจอเข้า เลี่ยงไว้หน่อยก็จะดี ถึงอย่างไรแม่นางก็ไม่ได้คิดจะอยู่นานอยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องไปเจอกับเรื่องยุ่งยากโดยไม่จำเป็น แม่นางมาจากเมืองหลวง คิดว่าก็น่าจะเข้าใจ ว่ามันจะมีพวกคน...ที่เหมือนกับพวกคางคงอะไรแบบนั้น" หัวหน้าคนคุ้มกันเอ่ยขึ้นจั๋วซือหรานเข้าใจความหมายของเขา ก็ใช่ คางคกเวลาปีนขึ้นมาหลังเท้า ต่อให้ไม่กัดคน ก็ยังน่าขยะแขยงจั๋วซือหรานเลิกคิ้วขึ้น "ตระกูลเหอหรือ?"หัวหน้าคนคุ้มกันพยักหน้า "ตระกูลเหอขอรับ"เขาควรจะคิดถึงตั้งนานแล้ว ว่าคนตรงหน้าคนนี้ ตอนอยู่ที่เมืองหลวง ก็ไม่ได้เป็นคนที่ยอมให้ใครมาข่มเหงง่ายๆ ไม่ต้องพูดถึงเมืองหยางเลยคิดๆ แล้วก็ใช่ คนตรงหน้าคนนี้คือคนที่ไม่เห็นห้าตระกูลใหญ่ของเมืองหลวงในสายตา เป็นหญิงสาวที่ถูกตระกูลขับไล่ แต่กลับถูกผู้อาวุโสมาเชิญให้กลับตระกูล...คนเช่นนี้ จะมาหวาดกลัวตระกูลเหอในเมืองหยางได้อย่างไรกันแต่หัวหน้าคนคุ้มกันยังคงจดจำบุญคุณที่จั๋วซือหรานมีต่อค่ายคุ้มกันและท่านแม่ทัพ ดังนั้น ไม่ว่าจั๋วซือหรา
จั๋วซือหรานชูเข็มในมือขึ้น เอ่ยว่า "สมอง"จากนั้นก็ใช้เข็มชี้ไปที่ห่วงแขนขาทั้งสี่ "ระบบประสาท"ดีมาก ตอนนี้ก็เข้าใจได้แล้วจั๋วซือหรานตาเป็นประกาย!ไม่ว่าจะแมงมุมน้อยหรือพวกก้อนเนื้อ ตอนนี้ก็น่าจะสัมผัสได้ถึงอารมณ์ลิงโลดของจั๋วซือหรานแล้วเพราะตาของนางเปล่งประกายมาก!จากนั้นนางจึงชูเข็มในมือขึ้นอีกครั้ง "สมอง"ชี้ไปที่ห่วงแขนขาทั้งสี่ "ระบบประสาท"หลังจากพูดซ้ำเช่นนี้ไปหลายรอบ ตอนที่แมงมุมน้อยกับพวกก้อนเนื้อทวนซ้ำคำพูดกับท่าทางของนางได้การเคลื่อนไหวของนางในที่สุดก็มีการเปลี่ยนแปลง!นางบีบขนมถั่วแดงไว้ในมือ เอ่ยขึ้นว่า "สมอง""เอ๋?" ในดวงตาเล็กๆ ของขนมถั่วแดงเบิกกว้างสงสัย ไม่ใช่เข็มนั่นที่เป็นสมองหรือ?จากนั้นนายท่านก้ดึงไหมกู่ของมันออกมาหลายเส้น เอ่ยขึ้นว่า "ระบบประสาท"จั๋วซือหรานตาเป็นประกายจนเหมือนดวงดาว "ไม่ต้องอธิบายแล้ว" นางหัวเราะขึ้นมา "ข้านี่มันอัจฉริยะจริงๆ อัจฉริยะ"เหล่าก้อนเนื้อันที่จริงก็ยังไม่ค่อยเข้าใจความหมายของนายท่นา แต่สัมผัสได้ถึงอารมณ์เบิกบานของนายท่าน พวกมันก็รู้สึกดีใจตามขึ้นมาแมงมุมน้อยเหมือนจะเข้าใจบ้าง แต่ก็ไม่แน่ใจนัก ดังนั้นจึงไม่ได้พูดแท
นิ้วของจั๋วซือหรานมีแสงหยกครบอยู่ชั้นหนึ่ง ยื่นตรงไปยังเข็มยาวสีดำที่ปักอยู่ตรงท้ายทอยของหุ่นเชิดความมืดเล่มนั้นขนมชาเขียวอยู่ข้างหูนาง เอ่ยขึ้นอย่างกังวล "นายท่าน ข้ารู้สึกว่าเจ้าสิ่งนี้อันตรายมากเลย...ท่านต้องระวังหน่อยนะ"ขนมชาเขียวไม่ได้ร่าเริงเหมือนขนมถั่วแดง น่าจะเพราะมันมีพลังของไฟเย็นข่งเชวี่ยอยู่กับตัวดังนั้นการที่มันพูดเช่นนี้ จึงทำให้จั๋วซือหรานรู้สึกแปลกใจมาก"อื๋อ? ทำไมพูดแบบนั้นล่ะ?" จั๋วซือหรานมองไปทางมันขนมชาเขียวส่ายหัว เพราพวกมันล้วนเป็นก้อนเนื้อ พูดว่าส่ายหัว อันที่จริงก็คือก็โยกไปมาของครึ่งท่อนบนขนมชาเขียวบอกว่า "ข้าเองก็บอกไม่ถูก แค่รู้สึก ว่ามันเย็นเยือกมาก""เย็นเยือก..." จั๋วซือหรานทวนซ้ำคำพูดนี้ของขนมชาเขียวจั๋วซือหรานรู้ เพราะขนมชาเขียวมีพลังของไฟเย็นข่งเชวี่ยอยู่กับตัว ดังนั้นมันจึงค่อนข้างฉับไวกับสิ่งที่เย็นเยียบยิ่งไปกว่านั้นหุ่นเชิดความมืดคนนี้กับอักขระคำสาปบนตัวเหล่านั้น จะมองอย่างไรก็ไม่เหมือนสิ่งที่มีพลังหยางเลยในใจจั๋วซือหรานคิดอะไรไว้บ้างแล้ว แสงหยกบนมือนางค่อยๆ สลายไป ค่อยๆ เปล่งแสงสีสันสวยงาม และมีความร้อนเหมือนเปลวไฟขึ้นมานางควบร
แต่อันที่จริงด้านในมีโพรงสวรรค์อยู่สมบัติที่นางสะสมมาจากชาติที่แล้วและชาตินี้ ห้องคลังก็ล้วนอยู่ในบ้านหลังนี้ทั้งสิ้นคลังของนางพูดได้ว่าใหญ่โตเอามากๆ กระทั่งคลังยังถูกแบ่งออกเป็นหลายประเภทด้วย คลังยา คลังอาวุธ คลังเสบียงอาหารประจำวัน คลังของจิปาถะเป็นต้นนอกจากนี้ ยังมีห้องหลอมสกัดยาของนางด้วย...อันที่จริงในชาติที่แล้ว มิติห้องหลอมสกัดยานี้ไม่ได้เอามาใช้หลอมยา แต่บางครั้งนางนำมาใช้เป็นการทดลองยาอะไรพวกนี้พอมาชาตินี้ ก็นำมาใช้หลอมยาสกัดยา ก็ยังถือว่าตรงสายงานเฉพาะทางอยู่ ไม่เสียเปล่าแล้วยังมีห้องเพาะเลี้ยงของตนเองด้วย ตอนนั้นตั้งใจจะมาเพาะเลี้ยงพวกของที่ไม่ค่อยอยากให้ใครรู้ พวกเห็ดอะไรทำนองนี้ในมิติของนาง ด้านนอกเป็นพื้นที่โล่ง พวกพืชเองก็ปลูกแบบสะเปะสะปะแต่ว่าพวกเห็ดมันคือเชื้อราจริงๆ อยู่ด้านนอกก็ปลูกไม่ค่อยโต ดังนั้นจั๋วซือหรานจึงจงใจสร้างห้องเพาะขึ้นมาโดยเฉพาะเพียงแต่ตอนนี้ยังว่างอยู่จั๋วซือหรานก่อนหน้านี้โยนหุ่นเชิดความมืดเข้ามาในห้องเพาะปลูกนี้ชั่วคราวแต่ตอนนี้ มันไม่อยู่ด้านในแล้วถ้าตามที่แมงมุมน้อยว่า มันหลบอยู่ที่ด้านหลังของบ้านจั๋วซือหรานเดินเข้าไป ยื่นหน้
"ดังนั้นจึงมาลงมือกับเจ้าหรือ?" จั๋วซือหรานมองไปทางแมงมุมน้อย "ถึงอย่างไรพอพูดขึ้นมา เจ้าเองก็ก็เป็นสิ่งมีพิษที่หาได้ยากด้วยนี่ แล้วยังเป็นระดับราชาสัตว์ด้วย ถ้าเขาเสพติดพิษขึ้นมาด้วยคุณสมบัติร่างกายแบบนั้นจริงล่ะก็..."จั๋วซือหรานตบเบาๆ ลงไปบนแขนเคียวของราชาแมงมุมหน้าผี "เจ้าเองก็ตัวใหญ่ขนาดนี้ ถือเป็นของบำรุงที่ไม่เลยเลยทีเดียว"จั๋วซือหรานก็เหมือนตระหนักได้ถึงแก่นแท้เรื่องราวในชั่วพริบตาราชาแมงมุมหน้าผีได้ยินการคาดเดากับการวิเคราะห์ของจั๋วซือหราน ก็คิดขึ้นมาถึงความเป็นไปได้นี้ พอคิดไปถึงว่าตนเองเกือบถูกคนเอาไปเป็นของบำรุงแล้ว ก็อดตัวสั่นขึ้นมาไม่ได้"ยังดีที่นายท่านช่วยเหลือไว้" แมงมุมน้อยเอ่ยขึ้นแม้จะบอกว่า จั๋วซือหรานเข้าใกล้แก่นแท้ของเรื่องราวไปแล้วในชั่วพริบตานั้น แต่นางก็เหมือนไม่ได้ใส่ใจอะไรนักนางโบกไม้โบกมือ เอ่ยขึ้นว่า "ช่างเถอะ ไม่มีอะไรน่าคิดเล็กคิดน้อย ด้วยพลังของคนเมื่อครู่นี้ ถ้าไม่จำเป็นจริงๆ ข้าก็ไม่ไปหาเรื่องเขาหรอก คนแบบนั้น การสู้ให้ตายกันไปข้าง น่าจะไม่ใช่เรื่องที่ดีเท่าไร"จั๋วซือหรานพูดไปด้วยพลางสังเกตสภาพของแมงมุมน้อยไปด้วย จากนั้นจึงตบเบาๆ แล้วเอ่ยขึ
เจ้าคิดว่าข้าทรยศเจ้า ใช้ประโยชน์จากเจ้า เจ้าคิดว่าเจ้าสูงส่งเต็มประดานักหรือ?! เจ้ามันก็จนตรอกแล้วเท่านั้น!รอให้เจ้าจนตรอกเสียก่อน เพื่อจะมีชีวิตต่อไปเจ้าก็ต้องทรยศคนทั้งหมดเหมือนกัน! เจ้าจะลงหมอบคลานกับพื้นส่ายหางอย่างน่าสงสาร!เจ้าไม่ได้ดีกว่าข้าหรอก! เจ้าก็จะเป็นเหมือนข้า! ถึงอยี่างไร ข้าก็เป็นคนสอนเจ้ามา!"หลงเฉินพูดจบ ก็หัวเราะขึ้นอย่างบ้าคลั่งเขาไม่ได้สังเกตเห็นสีตาของเฟิงเหยียน ที่ตอนนี้เหมือนจะเปลี่ยนเป็นลึกซึ้งขึ้นมาพอควรเสียงของเฟิงเหยียนกดลงต่ำมาก แต่กลับหนักแน่น "ข้าไม่มีทางเป็นแบบนั้น"เขาหันกลับไปมองชายหนุ่มที่น่าเศร้าซึ่งพร้อมจะทำทุกอย่างเพื่อความอยู่รอดในสมองก็อดคิดถึงเรื่องเหล่านั้นสมัยยังเด็กขึ้นมาไม่ได้เสียงที่อ่อนโยนอบอุ่นของชายคนนี้ นั่งอยู่ใต้ต้นดอกท้อบานสะพรั่ง หลับตาพริ้ม กำลังดื่มชาขาวดอกสาลี่ยิ้มตาหยีบอกกับเขาว่า "เหยียนเอ๋อร์ อันที่จริงเจ้าไม่ต้องพยายามอยากจะเติบโตอยากจะแข็งแกร่งขนาดนั้นหรอก เพราะพอเติบโตแล้ว...มันไม่น่าอภิรมย์เลยสักนิด คำของข้า รอเจ้าโตแล้วก็จะเข้าใจเอง"ตอนนั้นใบหน้าที่อ่อนโยนอบอุ่นของชายคนนี้ ค่อยๆ ซ้อนทับกับใบหน้าที่บ้าคล
สีหน้าหลงเฉินปั้นยากมาก แต่...ไอ้การข่มกันของธาตุนี้เหมือนกับเป็นความสามารถแต่กำเนิด! ควบคุมได้ยากมากดังนั้นในพริบตาที่อุณหภูมิร้อนแรงบนตัวเฟิงเหยียน กับประกายไฟไร้รูปร่างปรากฏขึ้นร่างของหลงเฉินก็เบี่ยงหลบไปอย่างควบคุมไม่ได้เขียนเอ่ยเสียงแข็ง "เจ้า...จะทำอะไร"เฟิงเหยียนเหมือนห่อไว้ด้วยเปลวไฟทั้งตัว ทั้งร่างราวกับเป็นลูกไฟ อุณหภูมิสูงขึ้นอย่างร้ายกาจแล้วจึงเดินไปด้านหน้าโดยไม่สนใจใครไม่นานนักก็มาถึงตำแหน่งใจกลางหมอกพิษ จึงมองเห็นบัวเจ็ดดอกเจ็ดใบใจกลางเทียนช่อนั้นมันเป็นเหมือนกับชื่อเลย มีเจ็ดดอก ใบเจ็ดใบ ทุกดอกล้วนเป็นสีม่วง เกสรสีเหลืองยาวมาก ราวกับเป็นเทียนแล่มหนึ่งอย่างไรอย่างนั้นมันบานอยู่ในบ่อน้ำเล็กๆ บ่อน้ำยังใหญ่ไม่เท่าใบหน้าเลย แต่ของเหลวที่อยู่ด้านใน ดูแล้วกลับเป็นสีม่วงเข้ม!และเจ้าของเหลวสีม่วงเข้มเหล่านี้ พอเดือดระเหย แล้วผสมเข้ากับความชื่นในอากาศของป่าทวนแสง นานวันเข้าจึงกลายเป็นหมอกพิษที่เข้มข้นขึ้น"ที่แท้ท่านก็คอยคุ้มครองเจ้าสิ่งนี้นี่เอง" เฟิงเหยียนเอ่ยขึ้นมาคำหนึ่งหลังจากนั้นจึงยื่นมือไปทางบัวเจ็ดดอกเจ็ดใบแกนกลางเทียนช่อนั้น"หยุดนะ!" หลงเฉินตะโก
หลงเฉินเนื่องจากร่างกายแบกพลังมังกรหนามม่วงไว้ แต่สิ่งที่ต้องนำมาสะกดนั้นตรงข้ามกับเฟิงเหยียนหลงเฉินเป็นประเภทที่ต้องพึ่งพาคุณสมบัติต่อพิษ ถ้าหากไม่มีการหาสิ่งที่พิษ พิษของมังกรหนามม่วงในร่างกายก็จะเริ่มทำร้ายตนเองอันที่จริงถ้าหากจั๋วซือหรานอยู่ที่นี่แล้วมีปฏิกิริยากับเนื้อหาที่เฟิงเหยียนพูดมาล่ะก็ คงจะมีคำจำกัดความให้อย่างรวดเร็วว่า:นี่มันก็เหมือนกับติดยาเสพติดนี่นาสถานการณ์ของหลงเฉินตอนนี้เป็นเช่นนี้จริงๆ"เพราะที่พรมแดนใต้มีสิ่งมีพิษอยู่มากกว่า" เฟิงเหยียนเอ่ยขึ้น "แต่ก่อน บางทีท่านก็หายไประยะหนึ่ง บอกว่าตนเองปิดด่าน หลังจากกลับมาสีหน้ากับสภาพก็ไม่ค่อยสู้ดีนักตอนนี้พอคิดๆ ดู ท่านก็น่าจะไปเอาสิ่งมีพิษมาใช้ประโยชน์กับตัวเองสินะ...ท่านอยู่แค่ในป่านี้ ก็เพราะที่นี่มีหมอกพิษข้าเดาว่าท่านคิดจะสูดรับหมอกพิษเหล่านี้แล้ว ค่อยไปยังใจกลางหมอกพิษเอาสมบัติที่ก่อหมอกพิษหนาแน่นนี้มาใช้ประโยชน์กับตนเองและสาเหตุที่ก่อนหน้านี้ท่านลงมือกับสัตว์อสูรของจั๋วเสียวจิ่ว ก็น่าจะเพราะแมงมุมตัวนั้นไปพบกับสมบัติที่ใจกลางหมอกพิษ แล้วกำลังจะเก็บมันมาสินะยิ่งไปกว่านั้นยังเป็นเพราะ แมงมุมตัวนั้นก็เ