สุ่ยจิ้งหลานที่ระวังนาง เดิมทีก็คือระวังเรื่องสถานะนี้ของนางนั่นเองตอนที่จั๋วซือหรานออกไป หางตาก็เหลือบไปเห็นร่างบางร่างหนึ่งหลบเข้าไปในมุมกำแพงจั๋วซือหรานเหลือบมองไป ดูจากชุดแล้วก็มองออกไม่ยากถึงความสูงส่งของฐานะในสำนักเมฆาวารีไหนจะสองตาที่คล้ายกับตนเองนั่นอีก...ไม่สิ บางทีควรจะพูดว่า แค่เห็นก็รู้ว่าคิ้วตาคล้ายกับจั๋วเฮ่ออิงจั๋วซือหรานเดาตัวตนฐานะของนางได้แล้ว น่าจะเป็นคุณหนูสำนักเมฆาวารี สุ่ยเชียนโยวลูกสาวคนเดียวของสุ่ยจิ้งหลานจั๋วซือหรานไม่ใช่พระโพธิสัตว์ สุ่ยเชียนโยวคนนี้หลอกน้องชายนาง แล้วยังจับน้องชายนางมาที่สำนักอีก สำหรับจั๋วซือหราน ถือว่าเป็นศัตรูคู่แค้นแต่ตอนนี้ จั๋วซือหรานก็ยังมองดวงตาสุ่ยเชียนโยวเงียบๆดวงตาของคนไม่โกหกใครจั๋วซือหรานมองไม่เห็นแววตาของผู้บริสุทธิ์จากดวงตาที่คล้ายกับตนเองคู่นี้เลยสุ่ยเชียนโยวคนนี้ แม้ร่างกายจะไม่ดี แต่ในดวงตาของนาง กลับไม่มีความใสสะอาดอยู่เลย ดวงตาค่อนข้างซับซ้อนดูท่า นางไม่เพียงแต่รู้เรื่องผู้ทดลองยาเท่านั้น แต่น่าจะค่อนข้างเข้าใจเป็นอย่างดีด้วยจั๋วซือหรานยกมุมปากเดินออกไปยังลานตำหนักหน้าเหล่าเชลยพวกนั้นพอเห็นนางออกม
ขนมชาเขียวพอได้ยินคำชมก็ดีใจ เอ่ยขึ้นอย่างภาคภูมิใจเล็กๆ ว่า "นายท่าน ไหมกู่ที่ข้าวางไว้บนตัวพวกเขา ควบคุมได้แค่วันเดียว หลังจากผ่านไปหนึ่งวันพวกเขาก็ฟื้นแล้ว""ไม่เป็นไร หนึ่งวันก็พอ" จั๋วซือหรานตอบหนึ่งวันก็เพียงพอที่จะปั่นป่วนทิศทางของสำนักเมฆาวารีแล้ว และหนึ่งวันก็เีพยงพอที่จะแพร่กระจายเรื่องเหล่านี้ออกไปด้วยจั๋วซือหรานแม้จะไม่หาเรื่องใครก่อน แต่ก็ไม่ใช่คนที่ใครจะมารังแกได้แล้วก็ไม่ฆ่าคนบริสุทธิ์ไม่เลือกหน้าด้วยถ้าจะให้นางต้องฆ่าคนมากขนาดนี้จริง ดาบมือในต้องยกขึ้นยกลงเสียเวลาตาย นางขี้เกียจสั่งสอนสักหน่อยก็พอแล้วเพียงแต่หลังจากที่พูดเรื่องนี้ไป เจ้าเจ็ดตัวก็ยังคงทะเลาะกันในมิติอยู่ดีไม่ใช่อะไรอื่น เป็นเพราะหุ่นเชิดความมืดที่จั๋วซือหรานรวบรวมมาให้เป็นภาชนะของพวกมัน...หน้าตาไม่เหมือนกันเป็นแบบที่พูดไว้ก่อนหน้านี้ จั๋วซือหรานเข้าใจดี ครอบครัวฝาแฝดซื้ออะไรก็ต้องเหมือนกันให้ตายเถอะ แล้วนางทางนี้มีอยู่เจ็ดตัว จากนั้นหุ่นเชิดความมืดพวกนี้ก็แตกต่างกันอีกนี่จะฆ่านางให้ตายเลยใช่ไหมนะ?จั๋วซือหรานได้ยินเสียงทะเลาะกันของทั้งเจ็ดตัว เอาจริงๆ นะ...หนวกหูชมัดแต่จะว่าอย่า
นางจึงไปรดน้ำให้กับต้นอู๋ถงเสียหน่อยจากนั้นก็บอกกับแมงมุมน้อยว่า "ข้าไม่ได้อารมณ์ไม่ดี แค่รู้สึกว่า..."จั๋วซือหรานคิดๆ ว่าควรใช้คำพูดแบบไหน สุดท้ายจึงพูดแค่ "เศร้าใจ แค่เศร้าใจเท่านั้น"โชคชะตาคงเล่นตลกกระมังถ้าจั๋วเฮ่ออิงยังอยู่ เจ้าของร่างเดิมคงไม่เจอกับวันคืนเช่นนั้นไม่แน่ คงจะเป็นองค์หญิงน้อยในมือของพ่ออยู่ตอลด ไม่ต้องแบกรับภาระหนักอึ้ง และคงไม่ถูกจั๋วหรูซินให้ฉินตวนหยางมาทำร้ายด้วยพิษกู่และก็คงไม่ตายแต่ถ้าเป็นแบบนั้น ก็จะไม่เกิดเรื่องของจั๋วซือหรานอย่างนางขึ้นพอคิดเช่นนี้ นอกจากความเศร้าสลด ก็เหมือนจะไม่มีอารมณ์อื่นใดแล้วจั๋วซือหรานเดินลงมาจากบนเขา ไม่มีใครมาขวางนางก่อนหน้านี้มีคนขวางนาง นั่นก็เพราะได้ยินแค่ข่าวลือ แต่ไม่เข้าใจความสามารถของนางทว่าตอนนี้ ได้เห็นฤทธิ์เดชของนางที่เนินเขาเมฆาวารีแล้ว และการดีดนิ้วของนางที่ 'สังหาร' คนไปมากมายเมื่อครู่ พวกเขาก็ไม่รู้เลยว่านั่นเป็นแค่กลอุอายที่จั๋วซือหรานให้เจ้าพวกก้อนเนื้อเตรียมไว้ล่วงหน้าในสายตาพวกเขา ความแตกต่างของพลังแบบนี้ ใครก็รู้ว่าถ้าขึ้นไปคือตายเปล่า จึงไม่มีใครออกมาตายเปล่ากันดังนั้นจั๋วซือหรานลงจึงลงเ
จั๋วซือหรานเป็นคนฉลาดมาแต่ไหนแต่ไหร บางครั้ง อาจจะต้องการเพียงจุดเดียวเท่านั้นจากนั้นเรื่องราวมากมายในสมอง ก็จะเชื่อมโยงออกมาเป็นเส้นได้ทันทีรายละเอียดมากมายแต่เดิม จะร้อยเรียงเข้าด้วยกันอย่างรวดเร็วสระเย็นที่เฟิงเหยียนอยู่ อักขระประหลาดบนตัวเขา สุราเหมันต์ในน้ำเต้าของเขาจั๋วซือหรานตอนนี้พอย้อนคิดขึ้นมา ก็รู้สึกว่าตนเองแค่ยอมรับการมีอยู่ของสิ่งเหล่านั้น และรู้ถึงบทบาทหน้าที่สิ่งเหล่านั้นเท่านั้นเองไม่ว่าจะอักขระคำสาป สระเย็นหรือว่าสุราน้ำเต้า ก็ล้วนมีไว้เพื่อสะกดพลังศักดิ์สิทธิ์หงส์แดงบนตัวเฟิงเหยียนเท่านั้น เพื่อไม่ให้พลังศักดิ์สิทธิ์ทำร้ายร่างกายเขามากเกินไปแต่ก็ไม่เคยคิดมาก่อนเลย ว่าสิ่งเหล่านี้มันมาอย่างไรกันแน่ สร้างออกมาได้อย่างไร?พอคิดถึงอักขระคำสาปทั้งตัวของสุ่ยจิ้งหลาน หุ่นเชิดความมืดที่ถูกบูชายัญทิ้ง...รวมถึงหวงเจี้ยนถังที่วิชาหุ่นเชิดธรรมดา แต่หลอมสกัดหุ่นเชิดได้ไม่เลว และเพราะการหลอมหุ่นเชิดความมืดสะสมกรรมไว้มากเกินไป คนจึงได้มีสภาพเหมือนศพแห้งไปแล้วและยังมีคำพูดที่มีเชิงเตือนหน่อยๆ ของปันอวิ๋นก่อนหน้านี้ ทำให้นางเข้าใจได้รางๆ ว่าเบื้องหลังของสำนักเมฆาวารี
ถึงอย่างไร ถ้าหากนางเดาไม่ผิดล่ะก็ เป็นไปได้มากว่า พละกำลังหลังจากบูชายัญหุ่นเชิดความมืดเหล่านั้น ไม่แน่ว่าอาจจะเป็นวัตถุดิบสิ้นเปลืองอย่างหนึ่งสำหรับสุราน้ำเต้าของเขา พลังที่เก็บอยู่ในอักขระคำสาปของเขา และวัสดุสิ้นเปลืองในสระเย็นของเขาก็เป็นได้?เรื่องมากมายในใจจั๋วซือหราน สว่างจ้าขึ้นมาทันทีทันใดจั๋วซือหรานร้องชิขึ้นมา เอียงตาสบกับสายตาซับซ้อนของปันอวิ๋นนางเลิกคิ้ว จากนั้นก็หัวเราะ "เจ้าหุบเขาทำไมมองข้าเช่นนั้น?"ปันอวิ๋นเงียบไปพักหนึ่ง "แค่รู้สึกโชคดี ที่ไม่ได้ไปผิดใจอะไรกับเจ้า"จั๋วซือหรานยกมุมปากยิ้มปันอวิ๋นถามขึ้น "ดูท่า เจ้าไปเนินเขาเมฆาวารีครั้งนี้ น่าจะแก้ปัญหาได้แล้วสินะ?"จั๋วซือหรานคิดๆ "ถือว่าแก้ได้แล้วกระมัง แล้วก็...ยังได้ญาติเพิ่มมาด้วย?"จั๋วซือหรานรู้สึกว่าคำพูดนี้ขอตนเองไม่ได้ถูกไปทั้หงมด ถึงอย่างไรตนเองก็ไม่ได้คิดจะไปนับญาติแต่ในตอนนี้ นางก็ยังคิดคำที่ดีกว่าไม่ออกคำพูดนี้ทำเอาปันอวิ๋นงงงัน "นับญาติ?""อืม" จั๋วซือหรานพยักหน้าเบาๆ เอ่ยขึ้นเสียงแผ่ว "สามีของสุ่ยจิ้งหลานคนนั้น..."นางพูด พลางยกมุมปาก เผยรอยยิ้มเย้ยหยัน จากนั้นจึงเรียกออกมาอย่างแผ่วเบา
จั๋วซือหรานไม่มีความรู้สึกแบบนั้น นางไม่ใช่เจ้าของร่างเดิมในใจมากสุดก็แค่รู้สึกไม่ค่อยดี แต่ไม่ได้ไปถึงจุดนั้นความทรงจำเจ้าของร่างเดิม เหมือนถูกกั้นไว้ด้วยกระจกชั้นหนึ่งในสมองของนางต่อให้เห็นอย่างชัดเจนว่าภายในทุกข์ยากลำบากเพียงใดแต่ก็ไม่มีความอบอุ่นใดอยู่ถึงแม้นางจะไม่มีความรู้สึกแบบนี้ แต่ก็ไม่ใช่จะไม่เข้าใจจิตใจจั๋วหวายในตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดในการเติบโตของเด็กชาย คือการอยู่ด้วยกันและการชี้แนะของพ่อในความทรงจำเขา ไม่มีมันเลยสักวันคนอื่นล้วนมีพ่ออยู่ด้วย แต่เขาทำได้แค่ปลอบใจตัวเองอย่างน้อยเนื้อต่ำใจ มีพี่สาวอยู่กับตนเองเขาคิดมาตลอดว่าคนคนนั้นตายไปแล้วแต่ตอนนี้พี่สาวกลับบอกตนเองว่า เขายังอยู่มาตลอด แค่ไม่ได้กลับมาอีกเลยเท่านั้นความรู้สึกจมดิ่งนี้ ไม่เหมือนกับการที่เขาตายไปแล้วอย่างสิ้นเชิงแล้วยังไม่สามารถโกรธแค้นได้ ถึงอย่างไร เขาเองก็ไม่ได้ตั้งใจ...เหตุผลถึงจะเข้าใจแล้ว แต่ก็ยังคงเสียใจจั๋วหวายตาแดงก่ำ ในที่สุดก็กลั้นอารมณ์ไว้ไม่อยู่ โถมใบหน้าซบลงที่ไหล่ของพี่สาวอย่างแรงน้ำตาซึมเข้าไปในเนื้อผ้าบนไหล่จั๋วซือหรานอย่างรวดเร็วจั๋วซือหรานยกมือขึ้นมา ตบเบา
ตอนนี้ จึงเอ่ยถามขึ้นเสียงต่ำ "เจ้ายังไหวไหม?"จั๋วซือหรานเลิกคิ้ว จากนั้นจึงถอนหายใจ "ไม่ค่อยดีเท่าไร"ปันอวิ๋นขมวดคิ้ว คิดอยู่ว่าจะปลอบอย่างไร แต่เขาก็ไม่ใช่คนที่มีนิสัยปลอบใจคนก็เลยไม่พูดอะไรไปพักหนึ่งจากนั้นจึงได้ยินจั๋วซือหรานพูดด้วยอาการขมวดคิ้ว "ผิดแผนเสียแล้ว ถ้ามีปฏิกิริยาต่อเรื่องนี้ไวหน่อย ก็คงไม่ปล่อยหวงเจี้ยนถังไปแล้ว ต้องพาเขาลงไปด้วย ทักษะการหลอมสกัดหุ่นเชิดความมืดของเขา ยังพอมีประโยชน์อยู่"ปันอวิ๋นฟังถึงจุดนี้ ก็ขมวดคิ้วขึ้นมา "เท่านี้หรือ?"จั๋วซือหรานมองเขาแล้วจึงได้ยินเขาพูดว่า "ก็แค่หลอมหุ่นเชิดความมืดนี่ ข้าเองก็ทำได้นะ"จั๋วซือหรานคิดๆ แล้วมันก็จริง ถึงแม้หุ่นเชิดความมืดของปันอวิ๋นจะสะอาดกว่ามาก ไม่เหมือนหุ่นเชิดที่หวงเจี้ยนถังหลอมสกัดออกมา เต็มไปด้วยอักขระคำสาปและไม่รู้ว่าจะส่งผลกระทบถึงประสิทธิภาพหรือไม่แต่ว่า เขาเองก็ไม่ใช่ว่าจะลองดูไม่ได้จั๋วซือหรานยิ้มถามว่า "นั่นสิ เช่นนั้นเจ้าจะช่วยข้าไหม?"ปันอวิ๋นยิ้มตอบว่า "แล้วเจ้าจะแต่งงานกับข้าไหมล่ะ?"จั๋วซือหรานหลังจากได้ยินคำนี้ ก็ถอนหายใจออกมาเบาๆปันอวิ๋นร้องชิ เหมือนเดาได้ว่านางจะมีปฏิกิริยา
ปันอวิ๋นไม่พูดอะไรเลย พูดมากก็ผิดมากสมองหญิงของหญิงสาวคนนี้ยอดเยี่ยมจริงๆ พูดเกินมาสักคำอาจะถูกนางแกะรอยบางอย่างออกมาจากในน้ำเสียงได้เลยปันอวิ๋นเม้มปากนิ่งงันอยู่พักหนึ่งจั๋วหวายล้างหน้ากลับมาแล้ว ปันอวิ๋นก็ยังไม่พูดอะไรจั๋วหวายล้างหน้าจนสะอาด แต่จมูกกับดวงตายังคงแดงรื้นเสียงเองก็ยังมีแววสะอื้นอยู่ แต่น้ำเสียงกลับสงบลงไปไม่น้อย ตั้งใจถามจั๋วซือหรานว่า "ท่านพี่ แล้วต่อจากนี้ พวกเราไปไหนกันล่ะ? เรื่องที่สำนักเมฆาวารีคือจบแล้วใช่ไหม?""จบแล้ว" จั๋วซือหรานเท้าคางบนโต๊ะ ดูเอื่อยๆ เฉื่อยๆใครมาเห็นสภาพนี้ของนาง ก็คงมองไม่ออกว่านางเคยขึ้นไปดีดนิ้วล้มเชลยลงไปตั้งมากมายบนเนินเขาเมฆาวารีแน่นอน"งั้นพวกเรากลับกันไหม?" จั๋วหวายถาม เขาเม้มปาก เอ่ยขึ้นเสียงแผ่ว "ข้าคิดถึงท่านแม่แล้ว"เดิมทียังไม่ได้รู้สึกคิดถึงท่านแม่ขนาดนั้น แต่หลังจากรู้เรื่องของท่านพ่อจั๋วหวายก็รู้สึกคิดถึงท่านแม่ขึ้นมาอย่างควบคุมไม่ได้หลายปีมานี้ ความทรมานในใจท่านแม่...จั๋วซือหรานครุ่นคิด "ตาหลักแล้วก็ไม่ใช่จะไม่ได้นะ เดิมทีก็ตัดสินใจไว้แบบนี้นั่นล่ะ แต่ตอนนี้ มีเรื่องอื่นที่อยากไปทำเสียแล้ว"จั๋วซือหรานมองจ
ท่าทีของเฟิงเหยียน ไม่ถือว่ากระตือรือร้นมากนัก กระทั่งค่อนข้างเย็นชาด้วยซ้ำแต่ก็เป็นเรื่องปกติ หลังจากที่เขาออกจากสำนักในตอนนั้น ก็ไม่ได้มีความฮึกเหิมเหมือนสมัยครั้งยังเด็กอีกมักจะเย็นชา และมักจะเฉยเมยปันอวิ๋นเม้มริมฝีปาก เข้าใจถึงสาเหตุนั้นสภาพการณ์ตอนที่เฟิงเหยียนออกจากสำนักครั้งนั้น เขาเองก็รู้เป็นอย่างดีต่อให้จนถึงตอนนี้ ก็ยังจดจำได้อย่างชัดเจนเพราะเฟิงเหยียนถูกทรยศเป็นคนแรก ดังนั้น ตอนนั้นพวกเขาก็อยู่ในฐานะคนที่ยังไม่ถูกทรยศอันที่จริง จะมากน้อยก็ยังมีความสงสัยว่าถ้าไม่อยู่ในสถานการณ์เดียวกันก็คงไม่เข้าใจอยู่พวกเขารู้สึกว่าเฟิงเหยียนทำเรื่องเล็กเป็นเรื่องใหญ่ เป็นเฟิงเหยียนที่ไม่รู้จักบุญคุณพวกเขารู้สึกว่า เป็นเฟิงเหยียนที่ทำไม่ถูกเฟิงเหยียนเป็นคนอกตัญญูจนต่อมา ต่อมาของต่อมา ทุกคนทยอยกันเดินบนเส้นทางของเฟิงเหยียน ใครก็หนีไม่พ้นการทรยศหรือใช้ประโยชน์ทั้งนั้นตามหลักแล้วควรจะยอมรับชะตากรรมอย่างที่เคยเตือนเฟิงเหยียนเอาไว้ในตอนนั้น และมองว่าสิ่งนั้นเป็นการบ่มเพาะและการให้ความสำคัญจากสำนักแต่เพระาอะไร...ถึงได้ดีใจกันขึ้นมาไม่ได้เลยและหลังจากนั้นอีก แต่ละคนก็ทร
ดังนั้นเขาจึงยังไม่กล้าไปกอดนางไว้แบบนี้ตลอด คอยอยู่ด้วยเงียบๆแต่เขากลับไม่ง่วงเลย ไม่ได้หลับ ไม่ได้ปิดตาด้วยแค่มองนางเงียบๆ สัมผัสถึงความร้อนในตัวนางกับชีพจรนางกระทั่งตัวเขาเองก็ยังบอกไม่ได้ว่าเพราะอะไร แต่ก็มีความรู้สึกอย่างหนึ่ง...รู้สึกสงบใจอย่างมากราวกับว่า ทั้งหมดเปลี่ยนเป็นสมบูรณ์แบบแล้วทั้งที่ความทรงจำในอดีตยังไม่กลับคืนเข้าที่ แต่ความรู้สึกนี้ เหมือนสลักประทับอยู่ในจิตวิญญาณอย่างไรอย่างนั้น ยากที่จะลบเลือนจนกระทั่งลมหายใจของจั๋วซือหรานมั่นคงแล้ว สีหน้ายิ่งมีประกายแดง สภาพดีขึ้นมากแล้วเขามองไปที่คราบเลือดแห้งกรังเหล่านั้นบนใบหน้าจั๋วซือหราน รู้สึกเสียดแทงตาเหลือเกินจึงได้เคลื่อนไหวเบาๆ เดินออกไปด้านนอก กำชับคนรับใช้ให้เตรียมน้ำร้อนมาไม่ให้คนรับใช้เข้ามาปรนนิบัติ แต่เขาหิ้วถังน้ำเข้ามาเองเขาอุ้มนางมาแช่ในถังน้ำ คอยสระชำระเส้นผมนางทีละเล็กทีละน้อย เช็ดคราบเลือดบนผิวนางออกอาบตัวนางจนสะอาดหมดจด อุ้มกลับไปบนเตียง ใช้ผ้าห่มห่อตัวนางจากนั้นจึงใช้พลังวิญญาณธาตุไฟบริสุทธิ์ เป่าผมนางจนแห้งและเพราะมีกลิ่นอายของเขาห่อหุ้มอยู่ จั๋วซือหรานจึงหลับลึกอย่างสบาย ไม่ตื
พลังศักดิ์สิทธิ์หงส์แดงที่บริสุทธิ์ที่สุด ถูกส่งผ่านเข้ามาอย่างนั้นจั๋วซือหรานมีความรู้สึกเหมือนตนเองถูกแช่ไว้ในน้ำอุ่น เป็นความรู้สึกที่สบายอย่างที่สุดในลำคอก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมาด้วยความสบายยิ่งไปกว่านั้น คนเราก็เหมือนจะเป็นเช่นนี้เดิมทีก็ไม่ได้รู้สึกว่าตนเองลำบากยากเย็นอะไรนักแต่ตอนที่ร่างกายสามารถผ่อนคลายลงมาได้ ไม่รู้สึกเจ็บปวดทรมานอีกแล้วพอย้อนคิดไปถึงความยากลำบากเหล่านั้นก่อนหน้า กลับรู้สึกว่าตนเองน่าสงสารขึ้นมาจั๋วซือหรานตอนนี้ก็รู้สึก ว่าตนเอง...ไม่ค่อยได้รับความเป็นธรรมเท่าไรชายคนนี้ เจ้าคนสมควรตายนี่มีสิทธิ์อะไร?มีสิทธิ์อะไรกัน?"..." ชายหนุ่มรู้สึกเจ็บที่ปลายลิ้นเขาขมวดคิ้ว รสชาติคคาวหวานของเลือดแผ่ซ่านในร่องฟันของทั้งสองคนเขามองหญิงสาวตรงหน้า ก็เห็นแววตาของนางมีความหงุดหงิดอยู่หน่อยๆแล้วยังมีสีหน้าท้าทายอีกด้วยดูเหมือนจะจงใจกัดปลายลิ้นเขา น่าจะโมโหเอาการชายหนุ่มไม่ครางออกมาเลย ราวกับไม่รู้สึกเจ็บอย่างไรอย่างนั้นยิ่งไปกว่านั้นยังไม่ใส่ใจ ปลายลิ้นยังโถมใส่นางอย่างเร่าร้อนรุนแรงถ้านางอยากได้ ก็ต้องแล้วแต่นางจั๋วซือหรานดูจนใจหน่อยๆ แต
เหมือนว่าความทรมานทั้งหมดก่อนหน้านี้ ไม่ได้ทรมานอะไรขนาดนั้นและไม่รู้ว่าเจ้าโง่นี้ใช้แรงกระแทกนางมากแค่ไหน...มีหลายครั้ง ที่นางรู้สึกได้ว่า ในมิตินี้เหมือนสั่นไหวขึ้นมาราวกับวิญญาณของนางที่ถูกขังอยู่ในมิติ จะถูกดันกลับเข้าไปที่เดิมเลยจั๋วซือหรานถลึงตาโตขึ้นหน่อย จ้องมองมิติที่โยกไหวหน่อยๆรู้สึกหมดคำจะพูดแมงมุมน้อยงึมงำขึ้นมาข้างๆ "นายท่าน...ในนี้มัน...ร้อนจัง..."จั๋ซซือรหานมองไปทางเหล่าสัตว์อสูรของตนเอง มองออกไม่ยาก พวกมันเหมือนเริ่มมึนๆ จะหลับกันแล้ว พอเห็นแบบนี้ ก็เหมือนจะไม่ได้แตกต่างอะไรนักกับสถานการณ์ครั้งที่แล้วเพียงแต่ครั้งที่แล้ว ตนเองถูกทำจนเกือบจะสลบไปและตอนนี้ ตนเองถูกทำ...จนใกล้จะตื่นขึ้นมาแล้วผู้ชายคนนี้...ร้ายกาจจริงๆนี่มันช่าง....สัมผัสแนบเนื้อบนตัวนางมีเหงื่อบางๆ ชั้นหนึ่ง ผิวที่เคยขาวซีดไปทั้งตัว ตอนนี้พอมีเม็ดเหงื่อเกาะอยู่ จึงยิ่งดูเป็นประกายระยิบระยับขึ้นมาและไม่รู้ว่าผ่านไปนานแค่ไหน..."อือ..." หญิงสาวที่ไม่มีปฏิกิริยามาตลอด ริมฝีปากที่ยังมีรอยเลือดที่ยังเช็ดไม่สะอาด ส่งเสียงครางออกมาเหมือนลูกแมวตัวน้อยฟังดูแล้วเป็นเสียงอือๆ งึมงำๆน
ในใจจั๋วหวายเข้าใจอย่างหนักแน่นว่าเฟิงเหยียนคือผู้ชายทรยศแต่ว่านี่ไม่ได้เป็นอุปสรรคที่ทำให้เขาคิดว่าเฟิงเหยียนจะทำให้พี่สาวดีขึ้นได้คนเราก็มักมีสองมาตรฐานเช่นนี้ ไม่มีทางเลือกดังนั้นจั๋วหวายแม้จะไม่ได้เน้นหนักว่าผู้ชายทรยศคนนั้นคือผู้ชายทรยศ แต่ก็ยังถามขึ้นว่า "เขาจะพาพี่สาวข้าไปไหน?"ปันอวิ๋นได้ยินคำนี้ สายตาก็ลึกซึ้งขึ้นมา "นั่น...เป็นเรื่องของผู้ใหญ่เขา เด็กๆ ไม่ต้องถามเยอะ"จั๋วหวายเบ้ปาก ในใจก็บ่นว่าตนเองไม่ใช่เด็กแล้วเสียหน่อยแต่ปันอวิ๋นในที่สุดก็ไม่ได้บอกจั๋วหวาย ว่าเฟิงเหยียนจะพาจั๋วซือหรานไปที่ไหนในใจปันอวิ๋นชัดเจนดี สภาพของจั๋วซือหรานแย่หนักถึงระดับนี้แล้ว ขนาดยาก็ยังดื่มไม่ลงถ้าคิดจะใช้พลังศักดิ์สิทธิ์ปลอบประโลมตัวนาง รวมถึงปลอบประโลมลูกในท้องนาง...วิธีการที่ดีที่สุด คือสิ่งนั้นอย่างไม่ต้องสงสัยสติสัมปชัญญะของจั๋วซือหรานไม่ได้หลับลึกอย่างสมบูรณ์ ในมิติยังสัมผัสรับรู้ได้ถึงสภาพแวดล้อมรอบๆความรู้สึกนั้น เหมือนกับสติสัมปชัญญะถูกขังอยู่ในมิติอย่างไรอย่างนั้นนางจึงเป็นได้เพียงแค่ผู้ชมเท่านั้น"เฮ้อ ดูท่าเขาจะใช้วิะีนั้นสินะ" จั๋วซือหรานเอ่ยขึ้นขนมถั่วแดงกั
แต่ว่าชายหนุ่มยังคงไม่ตอบเขาเขาเพียงยกมือขึ้นมา สะบัดแขนเสื้อ เผยท่อนแขนออกมาจากในแขนเสื้อจั๋วหวายจึงเห็นว่าท่อนแขนของชายคนนี้ มีลายมัดกล้ามที่สวยงาม กระชับเรียวยาวผิวเองก็ขาวเย็น ไม่รู้ว่าเพราะปกติไม่ค่อยโดนแสงแดดหรือเปล่าและตอนนี้เอง ผิวหนังขาวเย็นที่โผล่ออกมานอกแขนเสื้อพอต้องกับแสงตะวัน จั๋วหวายก็รู้สึกเหมือนขาวจนสะท้อนแสงออกมาเลย!จากนั้น หลังจากสัมผัสกับแสง ก็ค่อยๆ รอยแผลเหมือนไฟลวกที่ค่อยๆ แดงขึ้น ก็ปรากฏมาบนท่อนแขนเขาไม่เพียงเท่านี้ หลังจากที่รอยไหม้เหล่านี้ปรากฏ ท่อนแขนเขาก็มีอักขระประหลาดบางส่วนปรากฏขึ้นมาอย่างรวดเร็วพออักขระคำสาปปรากฏ บาดแผลเผาไหม้พวกนั้นก็ถูกสะกดลงไป บาดแผลบนผิวหนังเริ่มสมานตัวกลับเหมือนเดิม หลังจากแผลสมานดี อักขระคำสาปเหล่านั้นก็ค่อยๆ สลายหายไปบนผิวหนังเขาแต่ไม่นานนัก ก็ปรากฏแผลไฟลวกอีกครั้ง อักขระเหล่านั้นก็ปรากฏขึ้นมาอีกซ้ำไปซ้ำมาแบบนี้ ดูแล้วทำให้คน...รู้สึกประหลาดมากจั๋วหวายมองจนบื้อไปเลยและชายหนุ่มก็ไม่ได้ใส่ใจกับแผลที่หายแล้วก็เกิด เกิดแล้วก็หายพวกนี้เลย ราวกับเหมือนมองไม่เห็นอย่างไรอย่างนั้นและก็เหมือนไม่ได้เจ็บได้ปวดเลย แม้ต
เหมือนว่าพอสายตามองเห็นหญิงสาวในอ้อมกอดปันปวิ๋นที่เหมือนลมพัดก็สลายหายไปได้ ตอนนั้นเอง สัมผัสทั้งหมดก็เหมือนหายวับไปในพริบตาดวงตามองไม่เห็นสิ่งใดอีกแล้ว หุเองก็ไม่ได้ยินเสียงอื่นใดอีกความรู้สึกเดียวที่เหลืออยู่คือความเจ็บปวดรุนแรงเหมือนมีดกรีดกลางใจ ไม่เพียงเท่านี้ สมองก็เหมือนถูกของมีคมกวนคนอย่างไรอย่างนั้น เจ็บขึ้นมาเป็นระยะๆยิ่งเจ็บ ก็ยิ่งอยากจะมองนางให้ชัดจเน ไม่อยากพลาดไปแม้แต่น้อยปันอวิ๋นพอเห็นร่างของเขา และกลิ่นอายนั่นบนตัวปันอวิ๋นในที่สุดก็ถอนใจโล่ง เขามาได้เสียที..."เจ้าหุบเขา?" ศิษย์สำนักข้างๆ ยังระแวดระวังอยู่ปันอวิ๋นบอกกับศิษย์สำนักเสียงเรียบว่า "เขาไม่ทำอะไรหรอก"ศิษย์สำนักพอได้ยินคำนี้ จึงถอนใจโล่งออกมา เพราะตอนที่พวกคนคุ้มกันขวางเขาเมื่อครู่มันเกินต้านแล้วจริงๆปรมาจารย์กู่อย่างพวกเขาเดิมทีก็แพ้ธาตุไฟอยู่แล้ว และชายคนนี้ก็เหมือนจะมีธาตุไฟระดับสูงด้วยพวกเขาไม่มีความสามารถจะไปทัดทานได้เลยปันอวิ๋นพอเห็นร่างสูงใหญ่ตรงหน้า ก็คิดในใจ ยังจะงงอะไรอยู่เล่า ถ้าเจ้ายังงงอยู่ หญิงสาวคนนี้จะไม่ไหวแล้วนะ!"โอ๊ค..." ในปากจั๋วซือหรานมีเลือดสดทะลักออกมาและมือข้างนั
ราวกับว่า...ต่อให้นางจะดูอ่อนแอเหมือนกดให้ตายได้ด้วยนิ้วเดียวแต่ยังคงไม่ยอมให้คนรู้สึกว่าอ่อนแอ ยังคงทำให้คนรู้สึกว่า ถ้าหากอยากจะเป็นศัตรูกับนาง ก่อนนางตายก็จะลากเจ้าลงนรกไปด้วยกันตอนนี้รอยยิ้มที่ดูเกียจคร้านไม่ใส่ใจ กลับยิ่งดูสงบนิ่งมั่นคงราวกับยกของหนักได้อย่างสบายนางเอ่ยขึ้นอย่างเกียจคร้าน "ใครจะรู้ล่ะ? อาจจะขาดหนูไม้ไผ่อยู่กระมัง"ปันอวิ๋นกลั้นหัวเราะไว้ไม่อยู่พอได้ยินหนูไม้ไผ่สองคำนี้ เขาก็รู้แล้ว ว่าตอนที่เขาไปทิ้งจดหมายที่บ้านไม้ไผ่ นางก็เดาได้แล้วว่าเขาทำอะไรเพียงแต่ไม่ได้พูดออกมาเท่านั้นเป็นหญิงสาวที่เจ้าเล่ห์กว่าจิ้งจอกเสียอีกปันอวิ๋นจุ๊ปาก "เจ้านี่ถึงตายไป สมองก็คงจะแล่นอยู่อย่างนี้สินะ?"จั๋วซือหรานแค่เหลือบมองเขา ไม่ได้พูดอะไร มุมปากกลับยกโค้งขึ้นบางๆหลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง คิ้วนางก็ขมวดขึ้นบางๆ"ทำไมหรือ?" ปันอวิ๋นเห็นการเปลี่ยนแปลงของสีหน้านาง จึงขมวดคิ้วเดินเข้ามา สองมือประคองบ่านางไว้อันที่จริงเป็นเพราะเขาไม่ค่อยได้เห็นสีหน้าทรมานจากหน้านางนัก นางมักจะทำเป็นเหมือนไม่เป็นไรเสมอแต่ตอนนี้ บนสีหน้า กลับดูทรมานขึ้นอย่างชัดเจนจากนั้น นางก็เหมือนจะยืน
จั๋วหวายเกือบจะสำรอกออกมาแล้ว!"ถ้าจะอาเจียนก็ออกไปอาเจียนซะ ถ้าทำกู่กล่องนี้ของข้าพัง ข้าจะจับเจ้าแขวนห้อยหัวซะเลย" ปันอวิ๋นเอ่ยขึ้นเสียงเรียบจั๋วหวายหมุนตัวพุ่งออกไป สูดลมหายใจลึกหลายครั้งกว่าจะสงบลงมาได้ จากนั้นจึงเตรียมตัวเตรียมใจ ตอนที่เข้าไปอีกครั้งก็ไม่มีกระทบกระเทือนอย่างแรงแบบก่อนหน้าแล้วแต่สายตากลับไม่ได้มองไปยังแผ่นกระดานที่มีของดิ้นกระแด่วๆ นั่นมองแล้วขนลุกสุดๆ"มีเรื่องอะไร?" ปันอวิ๋นถามขึ้นเสียงเรียบจั๋วหวายเอ่ยเสียงต่ำ "ท่านรู้..." เขาสูดจมูก ถามออกไปว่า "ท่านรู้จักเฟิงเหยียนใช่ไหม?"ปันอวิ๋นเดิมทีกำลังป้อนอาหารเจ้าพวกดุ๊กดิ๊กพวกนั้นพอได้ยินคำนี้ การเคลื่อนไหวก็หยุดลงมา ไม่หันไปมองเขา ผ่านไปครู่หนึ่งจึงถามขึ้นเรียบๆ ว่า "ทำไมล่ะ?""ข้าอยากเจอเขา ข้าอยากจะถามเขา ว่าทำไมทำแบบนี้กับพี่ของข้า" จั๋วหวายขอบตาแดงรื้นเขาสูดหายใจลึกแล้วพ่นออกมา "ข้าเองก็อยากจะถามเขา ว่าช่วยพี่ข้าได้ไหม ถ้าหากไม่ได้ หรือก็คือเขาเป็นผู้ชายทรยศ ไม่ยินยอม เช่นนั้นเขามาบอกกับท่านพี่ได้ไหม ว่าให้เลิกแล้วต่อกันจบๆ ไป"ปันอวิ๋นพอได้ยินคำนี้ จะฟังความเสียใจในใจจั๋วหวายไม่ออกได้อย่างไรกั