ตอนนี้ จึงเอ่ยถามขึ้นเสียงต่ำ "เจ้ายังไหวไหม?"จั๋วซือหรานเลิกคิ้ว จากนั้นจึงถอนหายใจ "ไม่ค่อยดีเท่าไร"ปันอวิ๋นขมวดคิ้ว คิดอยู่ว่าจะปลอบอย่างไร แต่เขาก็ไม่ใช่คนที่มีนิสัยปลอบใจคนก็เลยไม่พูดอะไรไปพักหนึ่งจากนั้นจึงได้ยินจั๋วซือหรานพูดด้วยอาการขมวดคิ้ว "ผิดแผนเสียแล้ว ถ้ามีปฏิกิริยาต่อเรื่องนี้ไวหน่อย ก็คงไม่ปล่อยหวงเจี้ยนถังไปแล้ว ต้องพาเขาลงไปด้วย ทักษะการหลอมสกัดหุ่นเชิดความมืดของเขา ยังพอมีประโยชน์อยู่"ปันอวิ๋นฟังถึงจุดนี้ ก็ขมวดคิ้วขึ้นมา "เท่านี้หรือ?"จั๋วซือหรานมองเขาแล้วจึงได้ยินเขาพูดว่า "ก็แค่หลอมหุ่นเชิดความมืดนี่ ข้าเองก็ทำได้นะ"จั๋วซือหรานคิดๆ แล้วมันก็จริง ถึงแม้หุ่นเชิดความมืดของปันอวิ๋นจะสะอาดกว่ามาก ไม่เหมือนหุ่นเชิดที่หวงเจี้ยนถังหลอมสกัดออกมา เต็มไปด้วยอักขระคำสาปและไม่รู้ว่าจะส่งผลกระทบถึงประสิทธิภาพหรือไม่แต่ว่า เขาเองก็ไม่ใช่ว่าจะลองดูไม่ได้จั๋วซือหรานยิ้มถามว่า "นั่นสิ เช่นนั้นเจ้าจะช่วยข้าไหม?"ปันอวิ๋นยิ้มตอบว่า "แล้วเจ้าจะแต่งงานกับข้าไหมล่ะ?"จั๋วซือหรานหลังจากได้ยินคำนี้ ก็ถอนหายใจออกมาเบาๆปันอวิ๋นร้องชิ เหมือนเดาได้ว่านางจะมีปฏิกิริยา
ปันอวิ๋นไม่พูดอะไรเลย พูดมากก็ผิดมากสมองหญิงของหญิงสาวคนนี้ยอดเยี่ยมจริงๆ พูดเกินมาสักคำอาจะถูกนางแกะรอยบางอย่างออกมาจากในน้ำเสียงได้เลยปันอวิ๋นเม้มปากนิ่งงันอยู่พักหนึ่งจั๋วหวายล้างหน้ากลับมาแล้ว ปันอวิ๋นก็ยังไม่พูดอะไรจั๋วหวายล้างหน้าจนสะอาด แต่จมูกกับดวงตายังคงแดงรื้นเสียงเองก็ยังมีแววสะอื้นอยู่ แต่น้ำเสียงกลับสงบลงไปไม่น้อย ตั้งใจถามจั๋วซือหรานว่า "ท่านพี่ แล้วต่อจากนี้ พวกเราไปไหนกันล่ะ? เรื่องที่สำนักเมฆาวารีคือจบแล้วใช่ไหม?""จบแล้ว" จั๋วซือหรานเท้าคางบนโต๊ะ ดูเอื่อยๆ เฉื่อยๆใครมาเห็นสภาพนี้ของนาง ก็คงมองไม่ออกว่านางเคยขึ้นไปดีดนิ้วล้มเชลยลงไปตั้งมากมายบนเนินเขาเมฆาวารีแน่นอน"งั้นพวกเรากลับกันไหม?" จั๋วหวายถาม เขาเม้มปาก เอ่ยขึ้นเสียงแผ่ว "ข้าคิดถึงท่านแม่แล้ว"เดิมทียังไม่ได้รู้สึกคิดถึงท่านแม่ขนาดนั้น แต่หลังจากรู้เรื่องของท่านพ่อจั๋วหวายก็รู้สึกคิดถึงท่านแม่ขึ้นมาอย่างควบคุมไม่ได้หลายปีมานี้ ความทรมานในใจท่านแม่...จั๋วซือหรานครุ่นคิด "ตาหลักแล้วก็ไม่ใช่จะไม่ได้นะ เดิมทีก็ตัดสินใจไว้แบบนี้นั่นล่ะ แต่ตอนนี้ มีเรื่องอื่นที่อยากไปทำเสียแล้ว"จั๋วซือหรานมองจ
เดิมทีปันอวิ๋นยังรู้สึกลังเลต่อเรื่องที่จั๋วซือหรานคิดจะกลับไปหุบเขาหมื่นพิษพร้อมกับเขาแต่หลังจากที่จั๋วซือหรานยกกับข้าวเหล่านั้นเข้ามา ความคิดของปันอวิ๋นก็ไม่เหลือความลังเลอีกเลยก็แค่กลับหุบเขาหมื่นพิษเองนี่ กลับก็กลับสิวันต่อมาบรรยากาศเศร้าหมองหดหุ่แต่เดิมบนสำนักเมฆาวารี ก็เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงฉับพลันเพราะใครก็คิดไม่ถึง ว่าคนที่ตายไปแล้วแท้ๆ!คนที่ตายไปแล้วและถูกจัดการศพเรียบร้อย แค่รอตั้งศพสักสองสามวัน ก็ไปจัดพิธีฝังพร้อมกันได้พวกนั้นกลับทยอยกัน 'คืนชีพ' ขึ้นมาแล้ว!เหล่าศิษย์ที่เศร้าโศกเสียใจเพราะการตายของพวกเขา หลังจากผ่านความตกตะลึงและความสับสนวุ่นวายไปครู่หนึ่งก็เริ่มดีอกดีใจกันขึ้นมา"ให้ตายเถอะ! พวกเจ้ายังไม่ตาย!""แม่นางจั๋วคนนั้น เดิมทีไม่ได้คิดจะสังหารคนอยู่นี่นี่นา!""ข้าคิดว่าพวกเจ้าตายไปแล้วเสียอีก!""นางออมมือให้แบบนี้ คิดไม่ถึงเลยจริงๆ!"นี่คือเสียงแห่งความยินดีแต่หลังจากเสียงแห่งความยินดี ก็มีเสียงอื่นปรากฏขึ้นแล้วมาจากคนที่ตายแล้วฟื้นพวกนั้น"คนนอกยังรู้จักออมมือมีเมตตาเลย แต่เจ้าสำนักกลับ...ทอดทิ้งพวกเราหรือ?""ข้ายังคิดว่าข้าจะตายแล้วเสี
อันที่จริงคนของสำนักเมฆาวารีไม่คิดที่จะสร้างความลำบากให้กับจั๋วซือหรานถึงอย่างไรเรื่องของสำนัก พวกเขาเองก็ได้รับข่าวมาแล้วรู้เรื่องที่เพื่อนร่วมสำนักเหล่านั้น 'ตายแล้วฟื้น'และรู้ว่าหญิงสาวตรงหน้านี้ ไม่ได้เป็นคนที่จิตใจโหดเหี้ยมแต่ว่าคนเราก็เป็นเช่นนี้ ถ้าหากต้องเผชิญหน้ากับคนที่จิตใจโหดเหี้ยมจริง ก็ยังคงไม่กล้าทำอะไรโดยพลการแต่ถ้าที่เผชิญหน้าด้วยไม่ใช่คนจิตใจโหดเหี้ยม ก็จะไม่หวาดกลัวเท่าไรนักดังนั้นพอคิดถึงเรื่องที่นางทำเอาสำนักปั่นป่วน ในใจถ้าจะบอกว่าไม่มีความขุ่นเคืองเลย ก็คงเป็นไปไม่ได้ดังนั้นตอนนางออกจากเมือง ก็จะขวางไว้หน่อยแล้วค่อยปล่อยไปถ้าบอกว่าจะไม่ปล่อยออกไปจริงๆ ก็ไม่เคยคิดแบบนั้นถึงอย่างไร...ใครอยากจะเก็บคนอันตรายแบบนี้ไว้ในสายตาตัวเองกัน?แต่พวกเขาคิดไม่ถึงว่า นางกลับไม่ทนรอเลยไม้แต่น้อยพอไม่ปล่อยผ่านแค่ครู่เดียว นางก็ลงจากรถม้ามาแล้ว!เดินตรงเข้ามาด้านนอกประตูเมืองพอเห็นนางเดินเข้ามาแบบนี้ พวกเขาก็ลนลานขึ้นมาแล้วตอนที่จั๋วซือหรานยืนอยู่ตรงหน้าพวกเขา สีหน้าพวกเขาก็แข็งไปเล็กน้อยยังเป็นหัวหน้าคนคุ้มกัน ที่ยืนอยู่ด้านหน้าสุดจั๋วซือหรานมองเขานิ่
นางยังคิดว่า กระบี่อาญาสิทธิ์ของแคว้นชาง มีความหมายแตกต่างกับกระบี่อาญาสิทธิ์ที่นางเข้าใจแต่พอดูแล้ว ความหมายเหมือนจะใกล้เคียงกันอยู่ฟาดฟันทรราชย์เบื้องบน และเหล่าขุนนางกังฉินเบื้องล่าง"ดูแล้ว..." จั๋วหวายเองมีความศรัทธาต่อตัวพี่สาวมาแต่ไหนแต่ไร ดังนั้นจึงไม่รู้สึกว่ากระบี่เล่มนี้ที่อ๋องสำเร็จราชการแทนมอบให้พี่สาวมา จะเป็นเกียรติยศและความโปรดปรานที่สูงส่งจึงพูดเพียงแค่ "ดูท่าอ๋องสำเร็จราชการแทนจะเชื่อมั่นในตัวท่านพี่มาก""อื๋อ?" จั๋วซือหรานเองก็ไม่ได้คิดถึงมุมนี้เลย รู้สึกประหลาดใจจริงๆนางกลอกตามองจั๋วหวาย "เชื่อมั่นรึ?""ใช่เลย ต้องเชื่อมั่นท่านพี่ว่าจะไม่รังแกคนอ่อนแอที่ไม่มีความผิด ถึงได้มอบกระบี่เล่มนี้ให้กระมัง" จั๋วหวายเอ่ยขึ้น แล้วจึงเริ่มเข้ารูปแบบอวยพี่สาวแบบไร้สติ "ท่านพี่ของข้าเก่งที่สุดแล้ว ขนาดท่านอ๋องสำเร็จราชการแทนยังรู้เลย!"จั๋วซือหรานหัวเราะขึ้นมาขบวนรถม้าวิ่งแล่นไปข้างหน้าเรื่อยๆความเร็วไม่ได้เร่งนัก จั๋วซือหรานคอยเข้ามาพักในรถเป็นระยะ พอเบื่อก็ออกไปขี่ม้าดูสบายอกสบายใจดีแต่คนที่ทนไม่ไหวก่อนคือจั๋วหวายเขาขี่ม้ามาด้านนอกหน้าต่างรถม้าจั๋วซือหราน
ปันอวิ๋นเดิมทียังทำท่าหาวหวอดอยู่ ชะงักค้างไปทันที อากเองก็อ้าค้างอยู่ตรงนั้นสีหน้าบนหน้าค่อยๆ จนใจขึ้นมาไม่ยอมหยุดเสียทีนะตอนนี้ถ้าเขาจะตระหนักได้ว่าแย่ผิดคน มันยังจะทันไหมนะ?แม่นางคนนี้ไม่ใช่แม่นางธรรมดาเลย ไม่ใช่คนธรรมดาเลยจริงๆ!แม่นางปกติทั่วไปถ้าถูกแหย่แบบนี้ คนไหนบ้างที่จะไม่หน้าแดงเขินอายขึ้นมา?แต่นางก็เหลือเกิน ไม่ใช่แค่ไม่หน้าแดงเขินอาย แต่กลับยังเล่นตามน้ำมาอีก จนตอนนี้ยังทำเอา...ทำเอาเขาหน้าแดงเขินขึ้นมาแล้วเนี่ย!ปันอวิ๋นกระแอมเบาๆ "เจ้าก็เลิกพูดเรื่องนี้เสียทีได้ไหม?"จั๋วซือหรานมองเขาตาโค้ง "ได้อย่างไรกัน ถ้าเลิกพูดไปเจ้าหุบเขาจะคิดว่าข้าไม่ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้น่ะสิ"ปันอวิ๋นกัดฟัน ในใจก็แอบคิดว่ารนหาที่เองแท้ๆ!จากนั้น สายตาเขาก็เหลือบมองไปมุมหนึ่งด้านหลังอย่างไม่มีพิรุธก่อนหน้านี้ปันอวิ๋นก็สังเกตเห็นแล้ว ตอนที่จั๋วซือหรานพูดว่า 'สำออยแบบนี้ยังคิดจะแต่งงานกับข้าอีก'ด้านหลังมีร่างในเสื้อคลุมพร้อมหมวกสานอยู่คนหนึ่ง เดิมทีเอาแต่ก้มหน้าดื่มชา แต่พอได้ยินคำพูดนี้ก็เลยหน้าขึ้นมาทันควันปันอวิ๋นสังเกตเห็นแล้ว จั๋วซือหรานไม่มีทางไม่สังเกตเห็นเพียงแต่นา
น่าจะเพราะค่อนข้างกะทันหัน ดังนั้นอีกฝ่ายจึงยังไม่ได้คิดว่าควรตอบอย่างไรทำได้เพียงแหงนตามองชายหนุ่มตรงหน้า ผ่านม่านบางๆ ที่ห้อยลงมาจากขอบหมวกฟางจั๋วหวายสัมปัสได้ถึงสายตาเขาที่ผ่านผ้าคลุมมาตกบนตัวตนเอง จะว่าไปก็ยังมีความรู้สึกไม่เป็นตัวของตัวเองอยู่จั๋วหวายขมวดคิ้วแน่นขึ้นแต่ก็ไม่ได้ยินเสียงของคนผู้นี้ จั๋วหวายยืนนิ่งอยู่ที่เดิมครู่หนึ่ง อารมณ์ในใจยิ่งซัดสาดมากกว่าเดิมรู้สึกแค่ว่าตัวเองมาเสียเปล่าเสียแล้ว ถ้ารู้แต่แรกคงไม่เข้ามา มองเขาเป็นอากาศธาตุไปก็จบพอคิดถึงจุดนี้ จั๋วหวายก็หมุนตัวจะเดินออกไปตอนนี้เอง กลับได้ยินเสียงของชายที่อยู่ด้านหลังดังลอดเข้ามาเส้นเสียงแหบพร่า ในน้ำเสียงมีความเศร้าและความกร้านชีวิต และยังมีความยินดีกับความเสียดายด้วยเขาเอ่ยขึ้นว่า "โตขึ้นมากเลย"จั๋วหวายรู้สึกว่าตนเองไม่ได้เรื่องเลยจริงๆ เพราะแค่สี่คำที่อีกฝ่ายพูดมา กลับเหมือนทำให้เท้าของตนเองถูกตอกติดไว้กับพื้นอย่างไรอย่างนั้นตอกไว้สนิท ราวกับขยับเขยื้อนไม่ได้เลยแม้แต่น้อยแล้วจมูกก็เริ่มหน่วงๆ ขึ้นมาในใจจั๋วหวายแอบบอกกับตัวเองว่า: จั๋วหวาย เจ้ามันไม่ได้เรื่อง! เจ้ามีพี่สาวที่เก่งกาจ ที
เหลียนเจินจะอย่างไรก็รู้ถึงความสัมพันธ์ของจั๋วซือหรานกับจั๋วเฮ่ออิงอยู่ ดังนั้นอันที่จริงคิดว่าจั๋วซือหรานจะไม่ค่อยพอใจกับเรื่องนี้ตอนที่มารายงานเรื่องนี้ น้ำเสียงนึงค่อนข้างระมัดระวังและลังเลแต่กลับได้ยินเสียงของนายท่านดังลอดเข้ามาจากในห้อง ดูมีความขบขันหน่อยๆ "อย่างนั้นหรือ อย่างนั้นก็ให้พวกเขาคุยกันไปเถอะ""เอ่อ..." เหลียนเจินคิดไม่ถึง ตอนที่ถอนใจโล่งก็รู้สึกประหลาดใจหน่อยๆ "ข้าคิดว่านายท่านจะโมโหเสียอีก""มีอะไรน่าโมโหกัน เด็กหนุ่มยังมีจิตใจแบบเด็กๆ ท้ายสุดใจก็อ่อนอยู่ดี" จั๋วซือหรานนึกไปถึงน้องชายที่ไม่ว่าจะเวลาไหนก็มักจะมีจิตใจอ่อนโยนเมตตาเสมอจากความทรงจำของเจ้าของร่างเดิมต่อให้ถึงตอนท้ายสุด ก็ยังไม่คิดจะทอดทิ้งพี่สาว เจ้าเด็กใจอ่อนคนนั้น...จั๋วซือหรานดึงสติกลับมา เอ่ยต่อว่า "ข้าไม่ได้ใจอ่อนแบบนั้น แต่นี่มันก็เป็นหน้าที่ที่พี่คนโตต้องมีไม่ใช่รึ ข้าคอยเผชิญหน้าลมฝนของโลกใบนี้อย่างเข้มแข็ง ปกป้องเจ้าเด็กที่จิตใจอ่อนโยนนี้ไว้ก็พอ"เหลียนเจินพอได้ยินคำของนายท่าน ก็รู้สึกซาบซึ้งขึ้นมาหน่อยๆ"ยิ่งไปกว่านั้น..." จั๋วซือหรานชะงักไป แล้วเอ่ยต่อว่า "ต่อให้นั่นจะไม่ใช่พ่อของข้า
ท่าทีของเฟิงเหยียน ไม่ถือว่ากระตือรือร้นมากนัก กระทั่งค่อนข้างเย็นชาด้วยซ้ำแต่ก็เป็นเรื่องปกติ หลังจากที่เขาออกจากสำนักในตอนนั้น ก็ไม่ได้มีความฮึกเหิมเหมือนสมัยครั้งยังเด็กอีกมักจะเย็นชา และมักจะเฉยเมยปันอวิ๋นเม้มริมฝีปาก เข้าใจถึงสาเหตุนั้นสภาพการณ์ตอนที่เฟิงเหยียนออกจากสำนักครั้งนั้น เขาเองก็รู้เป็นอย่างดีต่อให้จนถึงตอนนี้ ก็ยังจดจำได้อย่างชัดเจนเพราะเฟิงเหยียนถูกทรยศเป็นคนแรก ดังนั้น ตอนนั้นพวกเขาก็อยู่ในฐานะคนที่ยังไม่ถูกทรยศอันที่จริง จะมากน้อยก็ยังมีความสงสัยว่าถ้าไม่อยู่ในสถานการณ์เดียวกันก็คงไม่เข้าใจอยู่พวกเขารู้สึกว่าเฟิงเหยียนทำเรื่องเล็กเป็นเรื่องใหญ่ เป็นเฟิงเหยียนที่ไม่รู้จักบุญคุณพวกเขารู้สึกว่า เป็นเฟิงเหยียนที่ทำไม่ถูกเฟิงเหยียนเป็นคนอกตัญญูจนต่อมา ต่อมาของต่อมา ทุกคนทยอยกันเดินบนเส้นทางของเฟิงเหยียน ใครก็หนีไม่พ้นการทรยศหรือใช้ประโยชน์ทั้งนั้นตามหลักแล้วควรจะยอมรับชะตากรรมอย่างที่เคยเตือนเฟิงเหยียนเอาไว้ในตอนนั้น และมองว่าสิ่งนั้นเป็นการบ่มเพาะและการให้ความสำคัญจากสำนักแต่เพระาอะไร...ถึงได้ดีใจกันขึ้นมาไม่ได้เลยและหลังจากนั้นอีก แต่ละคนก็ทร
ดังนั้นเขาจึงยังไม่กล้าไปกอดนางไว้แบบนี้ตลอด คอยอยู่ด้วยเงียบๆแต่เขากลับไม่ง่วงเลย ไม่ได้หลับ ไม่ได้ปิดตาด้วยแค่มองนางเงียบๆ สัมผัสถึงความร้อนในตัวนางกับชีพจรนางกระทั่งตัวเขาเองก็ยังบอกไม่ได้ว่าเพราะอะไร แต่ก็มีความรู้สึกอย่างหนึ่ง...รู้สึกสงบใจอย่างมากราวกับว่า ทั้งหมดเปลี่ยนเป็นสมบูรณ์แบบแล้วทั้งที่ความทรงจำในอดีตยังไม่กลับคืนเข้าที่ แต่ความรู้สึกนี้ เหมือนสลักประทับอยู่ในจิตวิญญาณอย่างไรอย่างนั้น ยากที่จะลบเลือนจนกระทั่งลมหายใจของจั๋วซือหรานมั่นคงแล้ว สีหน้ายิ่งมีประกายแดง สภาพดีขึ้นมากแล้วเขามองไปที่คราบเลือดแห้งกรังเหล่านั้นบนใบหน้าจั๋วซือหราน รู้สึกเสียดแทงตาเหลือเกินจึงได้เคลื่อนไหวเบาๆ เดินออกไปด้านนอก กำชับคนรับใช้ให้เตรียมน้ำร้อนมาไม่ให้คนรับใช้เข้ามาปรนนิบัติ แต่เขาหิ้วถังน้ำเข้ามาเองเขาอุ้มนางมาแช่ในถังน้ำ คอยสระชำระเส้นผมนางทีละเล็กทีละน้อย เช็ดคราบเลือดบนผิวนางออกอาบตัวนางจนสะอาดหมดจด อุ้มกลับไปบนเตียง ใช้ผ้าห่มห่อตัวนางจากนั้นจึงใช้พลังวิญญาณธาตุไฟบริสุทธิ์ เป่าผมนางจนแห้งและเพราะมีกลิ่นอายของเขาห่อหุ้มอยู่ จั๋วซือหรานจึงหลับลึกอย่างสบาย ไม่ตื
พลังศักดิ์สิทธิ์หงส์แดงที่บริสุทธิ์ที่สุด ถูกส่งผ่านเข้ามาอย่างนั้นจั๋วซือหรานมีความรู้สึกเหมือนตนเองถูกแช่ไว้ในน้ำอุ่น เป็นความรู้สึกที่สบายอย่างที่สุดในลำคอก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมาด้วยความสบายยิ่งไปกว่านั้น คนเราก็เหมือนจะเป็นเช่นนี้เดิมทีก็ไม่ได้รู้สึกว่าตนเองลำบากยากเย็นอะไรนักแต่ตอนที่ร่างกายสามารถผ่อนคลายลงมาได้ ไม่รู้สึกเจ็บปวดทรมานอีกแล้วพอย้อนคิดไปถึงความยากลำบากเหล่านั้นก่อนหน้า กลับรู้สึกว่าตนเองน่าสงสารขึ้นมาจั๋วซือหรานตอนนี้ก็รู้สึก ว่าตนเอง...ไม่ค่อยได้รับความเป็นธรรมเท่าไรชายคนนี้ เจ้าคนสมควรตายนี่มีสิทธิ์อะไร?มีสิทธิ์อะไรกัน?"..." ชายหนุ่มรู้สึกเจ็บที่ปลายลิ้นเขาขมวดคิ้ว รสชาติคคาวหวานของเลือดแผ่ซ่านในร่องฟันของทั้งสองคนเขามองหญิงสาวตรงหน้า ก็เห็นแววตาของนางมีความหงุดหงิดอยู่หน่อยๆแล้วยังมีสีหน้าท้าทายอีกด้วยดูเหมือนจะจงใจกัดปลายลิ้นเขา น่าจะโมโหเอาการชายหนุ่มไม่ครางออกมาเลย ราวกับไม่รู้สึกเจ็บอย่างไรอย่างนั้นยิ่งไปกว่านั้นยังไม่ใส่ใจ ปลายลิ้นยังโถมใส่นางอย่างเร่าร้อนรุนแรงถ้านางอยากได้ ก็ต้องแล้วแต่นางจั๋วซือหรานดูจนใจหน่อยๆ แต
เหมือนว่าความทรมานทั้งหมดก่อนหน้านี้ ไม่ได้ทรมานอะไรขนาดนั้นและไม่รู้ว่าเจ้าโง่นี้ใช้แรงกระแทกนางมากแค่ไหน...มีหลายครั้ง ที่นางรู้สึกได้ว่า ในมิตินี้เหมือนสั่นไหวขึ้นมาราวกับวิญญาณของนางที่ถูกขังอยู่ในมิติ จะถูกดันกลับเข้าไปที่เดิมเลยจั๋วซือหรานถลึงตาโตขึ้นหน่อย จ้องมองมิติที่โยกไหวหน่อยๆรู้สึกหมดคำจะพูดแมงมุมน้อยงึมงำขึ้นมาข้างๆ "นายท่าน...ในนี้มัน...ร้อนจัง..."จั๋ซซือรหานมองไปทางเหล่าสัตว์อสูรของตนเอง มองออกไม่ยาก พวกมันเหมือนเริ่มมึนๆ จะหลับกันแล้ว พอเห็นแบบนี้ ก็เหมือนจะไม่ได้แตกต่างอะไรนักกับสถานการณ์ครั้งที่แล้วเพียงแต่ครั้งที่แล้ว ตนเองถูกทำจนเกือบจะสลบไปและตอนนี้ ตนเองถูกทำ...จนใกล้จะตื่นขึ้นมาแล้วผู้ชายคนนี้...ร้ายกาจจริงๆนี่มันช่าง....สัมผัสแนบเนื้อบนตัวนางมีเหงื่อบางๆ ชั้นหนึ่ง ผิวที่เคยขาวซีดไปทั้งตัว ตอนนี้พอมีเม็ดเหงื่อเกาะอยู่ จึงยิ่งดูเป็นประกายระยิบระยับขึ้นมาและไม่รู้ว่าผ่านไปนานแค่ไหน..."อือ..." หญิงสาวที่ไม่มีปฏิกิริยามาตลอด ริมฝีปากที่ยังมีรอยเลือดที่ยังเช็ดไม่สะอาด ส่งเสียงครางออกมาเหมือนลูกแมวตัวน้อยฟังดูแล้วเป็นเสียงอือๆ งึมงำๆน
ในใจจั๋วหวายเข้าใจอย่างหนักแน่นว่าเฟิงเหยียนคือผู้ชายทรยศแต่ว่านี่ไม่ได้เป็นอุปสรรคที่ทำให้เขาคิดว่าเฟิงเหยียนจะทำให้พี่สาวดีขึ้นได้คนเราก็มักมีสองมาตรฐานเช่นนี้ ไม่มีทางเลือกดังนั้นจั๋วหวายแม้จะไม่ได้เน้นหนักว่าผู้ชายทรยศคนนั้นคือผู้ชายทรยศ แต่ก็ยังถามขึ้นว่า "เขาจะพาพี่สาวข้าไปไหน?"ปันอวิ๋นได้ยินคำนี้ สายตาก็ลึกซึ้งขึ้นมา "นั่น...เป็นเรื่องของผู้ใหญ่เขา เด็กๆ ไม่ต้องถามเยอะ"จั๋วหวายเบ้ปาก ในใจก็บ่นว่าตนเองไม่ใช่เด็กแล้วเสียหน่อยแต่ปันอวิ๋นในที่สุดก็ไม่ได้บอกจั๋วหวาย ว่าเฟิงเหยียนจะพาจั๋วซือหรานไปที่ไหนในใจปันอวิ๋นชัดเจนดี สภาพของจั๋วซือหรานแย่หนักถึงระดับนี้แล้ว ขนาดยาก็ยังดื่มไม่ลงถ้าคิดจะใช้พลังศักดิ์สิทธิ์ปลอบประโลมตัวนาง รวมถึงปลอบประโลมลูกในท้องนาง...วิธีการที่ดีที่สุด คือสิ่งนั้นอย่างไม่ต้องสงสัยสติสัมปชัญญะของจั๋วซือหรานไม่ได้หลับลึกอย่างสมบูรณ์ ในมิติยังสัมผัสรับรู้ได้ถึงสภาพแวดล้อมรอบๆความรู้สึกนั้น เหมือนกับสติสัมปชัญญะถูกขังอยู่ในมิติอย่างไรอย่างนั้นนางจึงเป็นได้เพียงแค่ผู้ชมเท่านั้น"เฮ้อ ดูท่าเขาจะใช้วิะีนั้นสินะ" จั๋วซือหรานเอ่ยขึ้นขนมถั่วแดงกั
แต่ว่าชายหนุ่มยังคงไม่ตอบเขาเขาเพียงยกมือขึ้นมา สะบัดแขนเสื้อ เผยท่อนแขนออกมาจากในแขนเสื้อจั๋วหวายจึงเห็นว่าท่อนแขนของชายคนนี้ มีลายมัดกล้ามที่สวยงาม กระชับเรียวยาวผิวเองก็ขาวเย็น ไม่รู้ว่าเพราะปกติไม่ค่อยโดนแสงแดดหรือเปล่าและตอนนี้เอง ผิวหนังขาวเย็นที่โผล่ออกมานอกแขนเสื้อพอต้องกับแสงตะวัน จั๋วหวายก็รู้สึกเหมือนขาวจนสะท้อนแสงออกมาเลย!จากนั้น หลังจากสัมผัสกับแสง ก็ค่อยๆ รอยแผลเหมือนไฟลวกที่ค่อยๆ แดงขึ้น ก็ปรากฏมาบนท่อนแขนเขาไม่เพียงเท่านี้ หลังจากที่รอยไหม้เหล่านี้ปรากฏ ท่อนแขนเขาก็มีอักขระประหลาดบางส่วนปรากฏขึ้นมาอย่างรวดเร็วพออักขระคำสาปปรากฏ บาดแผลเผาไหม้พวกนั้นก็ถูกสะกดลงไป บาดแผลบนผิวหนังเริ่มสมานตัวกลับเหมือนเดิม หลังจากแผลสมานดี อักขระคำสาปเหล่านั้นก็ค่อยๆ สลายหายไปบนผิวหนังเขาแต่ไม่นานนัก ก็ปรากฏแผลไฟลวกอีกครั้ง อักขระเหล่านั้นก็ปรากฏขึ้นมาอีกซ้ำไปซ้ำมาแบบนี้ ดูแล้วทำให้คน...รู้สึกประหลาดมากจั๋วหวายมองจนบื้อไปเลยและชายหนุ่มก็ไม่ได้ใส่ใจกับแผลที่หายแล้วก็เกิด เกิดแล้วก็หายพวกนี้เลย ราวกับเหมือนมองไม่เห็นอย่างไรอย่างนั้นและก็เหมือนไม่ได้เจ็บได้ปวดเลย แม้ต
เหมือนว่าพอสายตามองเห็นหญิงสาวในอ้อมกอดปันปวิ๋นที่เหมือนลมพัดก็สลายหายไปได้ ตอนนั้นเอง สัมผัสทั้งหมดก็เหมือนหายวับไปในพริบตาดวงตามองไม่เห็นสิ่งใดอีกแล้ว หุเองก็ไม่ได้ยินเสียงอื่นใดอีกความรู้สึกเดียวที่เหลืออยู่คือความเจ็บปวดรุนแรงเหมือนมีดกรีดกลางใจ ไม่เพียงเท่านี้ สมองก็เหมือนถูกของมีคมกวนคนอย่างไรอย่างนั้น เจ็บขึ้นมาเป็นระยะๆยิ่งเจ็บ ก็ยิ่งอยากจะมองนางให้ชัดจเน ไม่อยากพลาดไปแม้แต่น้อยปันอวิ๋นพอเห็นร่างของเขา และกลิ่นอายนั่นบนตัวปันอวิ๋นในที่สุดก็ถอนใจโล่ง เขามาได้เสียที..."เจ้าหุบเขา?" ศิษย์สำนักข้างๆ ยังระแวดระวังอยู่ปันอวิ๋นบอกกับศิษย์สำนักเสียงเรียบว่า "เขาไม่ทำอะไรหรอก"ศิษย์สำนักพอได้ยินคำนี้ จึงถอนใจโล่งออกมา เพราะตอนที่พวกคนคุ้มกันขวางเขาเมื่อครู่มันเกินต้านแล้วจริงๆปรมาจารย์กู่อย่างพวกเขาเดิมทีก็แพ้ธาตุไฟอยู่แล้ว และชายคนนี้ก็เหมือนจะมีธาตุไฟระดับสูงด้วยพวกเขาไม่มีความสามารถจะไปทัดทานได้เลยปันอวิ๋นพอเห็นร่างสูงใหญ่ตรงหน้า ก็คิดในใจ ยังจะงงอะไรอยู่เล่า ถ้าเจ้ายังงงอยู่ หญิงสาวคนนี้จะไม่ไหวแล้วนะ!"โอ๊ค..." ในปากจั๋วซือหรานมีเลือดสดทะลักออกมาและมือข้างนั
ราวกับว่า...ต่อให้นางจะดูอ่อนแอเหมือนกดให้ตายได้ด้วยนิ้วเดียวแต่ยังคงไม่ยอมให้คนรู้สึกว่าอ่อนแอ ยังคงทำให้คนรู้สึกว่า ถ้าหากอยากจะเป็นศัตรูกับนาง ก่อนนางตายก็จะลากเจ้าลงนรกไปด้วยกันตอนนี้รอยยิ้มที่ดูเกียจคร้านไม่ใส่ใจ กลับยิ่งดูสงบนิ่งมั่นคงราวกับยกของหนักได้อย่างสบายนางเอ่ยขึ้นอย่างเกียจคร้าน "ใครจะรู้ล่ะ? อาจจะขาดหนูไม้ไผ่อยู่กระมัง"ปันอวิ๋นกลั้นหัวเราะไว้ไม่อยู่พอได้ยินหนูไม้ไผ่สองคำนี้ เขาก็รู้แล้ว ว่าตอนที่เขาไปทิ้งจดหมายที่บ้านไม้ไผ่ นางก็เดาได้แล้วว่าเขาทำอะไรเพียงแต่ไม่ได้พูดออกมาเท่านั้นเป็นหญิงสาวที่เจ้าเล่ห์กว่าจิ้งจอกเสียอีกปันอวิ๋นจุ๊ปาก "เจ้านี่ถึงตายไป สมองก็คงจะแล่นอยู่อย่างนี้สินะ?"จั๋วซือหรานแค่เหลือบมองเขา ไม่ได้พูดอะไร มุมปากกลับยกโค้งขึ้นบางๆหลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง คิ้วนางก็ขมวดขึ้นบางๆ"ทำไมหรือ?" ปันอวิ๋นเห็นการเปลี่ยนแปลงของสีหน้านาง จึงขมวดคิ้วเดินเข้ามา สองมือประคองบ่านางไว้อันที่จริงเป็นเพราะเขาไม่ค่อยได้เห็นสีหน้าทรมานจากหน้านางนัก นางมักจะทำเป็นเหมือนไม่เป็นไรเสมอแต่ตอนนี้ บนสีหน้า กลับดูทรมานขึ้นอย่างชัดเจนจากนั้น นางก็เหมือนจะยืน
จั๋วหวายเกือบจะสำรอกออกมาแล้ว!"ถ้าจะอาเจียนก็ออกไปอาเจียนซะ ถ้าทำกู่กล่องนี้ของข้าพัง ข้าจะจับเจ้าแขวนห้อยหัวซะเลย" ปันอวิ๋นเอ่ยขึ้นเสียงเรียบจั๋วหวายหมุนตัวพุ่งออกไป สูดลมหายใจลึกหลายครั้งกว่าจะสงบลงมาได้ จากนั้นจึงเตรียมตัวเตรียมใจ ตอนที่เข้าไปอีกครั้งก็ไม่มีกระทบกระเทือนอย่างแรงแบบก่อนหน้าแล้วแต่สายตากลับไม่ได้มองไปยังแผ่นกระดานที่มีของดิ้นกระแด่วๆ นั่นมองแล้วขนลุกสุดๆ"มีเรื่องอะไร?" ปันอวิ๋นถามขึ้นเสียงเรียบจั๋วหวายเอ่ยเสียงต่ำ "ท่านรู้..." เขาสูดจมูก ถามออกไปว่า "ท่านรู้จักเฟิงเหยียนใช่ไหม?"ปันอวิ๋นเดิมทีกำลังป้อนอาหารเจ้าพวกดุ๊กดิ๊กพวกนั้นพอได้ยินคำนี้ การเคลื่อนไหวก็หยุดลงมา ไม่หันไปมองเขา ผ่านไปครู่หนึ่งจึงถามขึ้นเรียบๆ ว่า "ทำไมล่ะ?""ข้าอยากเจอเขา ข้าอยากจะถามเขา ว่าทำไมทำแบบนี้กับพี่ของข้า" จั๋วหวายขอบตาแดงรื้นเขาสูดหายใจลึกแล้วพ่นออกมา "ข้าเองก็อยากจะถามเขา ว่าช่วยพี่ข้าได้ไหม ถ้าหากไม่ได้ หรือก็คือเขาเป็นผู้ชายทรยศ ไม่ยินยอม เช่นนั้นเขามาบอกกับท่านพี่ได้ไหม ว่าให้เลิกแล้วต่อกันจบๆ ไป"ปันอวิ๋นพอได้ยินคำนี้ จะฟังความเสียใจในใจจั๋วหวายไม่ออกได้อย่างไรกั