มนุษย์กู่ แค่ฟังจากชื่อ ก็น่าจะไม่ใช่ตัวเลือกอะไรที่น่ายอมรับแล้วแต่มนุษย์เราก็เป็นแบบนี้ มักจะถูกครอบงำได้ง่ายจากปรากฏการณ์รื้อหน้าต่างแม้ว่ามนุษย์กู่จะไม่ใช่ตัวเลือกที่ดีมาก แต่ขณะเผชิญหน้าความตาย ก็เหมือนจะเปลี่ยนเป็นอะไรที่ไม่ได้ยอมรับยากขนาดนั้นแล้วผู้จัดการพยักหน้าแทบไม่ทัน รีบร้อนตอบว่า "มนุษย์กู่! ข้ายอมกลายเป็มนุษย์กู่ของท่าน!"เมืองหยางถึงอย่างไรก็เป็นเมืองที่อยู่ใกล้พรมแดนใต้ ดังนั้นจึงค่อนข้างเข้าใจต่อพิษกู่ดังนั้นจึงเข้าใจคร่าวๆ แม้พิษกู่จะรุนแรงมาก แต่ปรมาจารย์กู่ถ้าหากใส่กู่เข้าไปในมนุษย์กู่ที่ตนเองเลี้ยง ก็จะไม่ทำให้ตายไปอย่งแท้จริง ดังนั้นภายใต้สถานการณ์ปกติ จะต้องเจ็บตัวบ้าง แต่ก็ไม่ถึงชีวิตปันอวิ๋นเดิมทีก็อารมณ์ไม่ดีอยู่แล้ว มองออกได้ไม่ยากแต่หลังจากที่ผู้จัดการพยักหน้าหงึกหงัก อารมณ์เขาก็เหมือนจะผ่อนคลายลงมาพอควรผู้จัดการเห็นตราประทับกู่ในมือเขา ปรทับลงมาบนตัวตนเองแม้ใจจะหวาดกลัว แต่ก็ไม่กล้าขยับตัวซี้ซั้วรู้สึกแค่ว่าที่หลังคอเหมือนถูกอะไรบางอย่างเล็กๆ แทงเข้ามา ไม่ได้เจ็บปวดอะไรนัก"เอาล่ะ ตัวข้ายังมีเรื่องต้องไปทำ เท่านี้ก่อนแล้วกัน" ปันอวิ๋นเอ
"ความเร็วนี้ยังพอไหว พยายามไปให้ถึงเขตเมืองอวิ๋นในช่วงค่ำให้ได้" จั๋วซือหรานเอ่ยกำชับ"รับทราบ" เหลียนเจินขานรับจั๋วซือหรานเหลือบมองเขาผาดหนึ่ง "พวกเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง? ยังไหวไหม?"เหลียนเจินซาบซึ้งขึ้นในใจ รู้ว่านายท่านเป็นห่วงสุขภาพของพวกเขา ถึงอย่างไรก่อนหน้าที่จะถูกนางรับตัวมา พวกเขาก็เพิ่งจะผ่านการทรมานของเหอจื้อหย่วนไป"นายท่านวิชาแพทย์ยอดเยี่ยม ใช้ยาได้ราวกับเทพ พวกข้าน้อยฟื้นฟูได้ระดับหนึ่งแล้ว นายท่านวางใจได้เลย พวกข้าน้อยจะไม่ทำให้งานของนายท่านล่าช้าแน่" เหลียนเจินเอ่ยขึ้นเสียงขรึมเขาเองก็รู้สาเหตุและเหตุผลการเดินทางครั้งนี้ของนายท่านจากเจิ้นเจียงแล้ว เข้าใจความรู้สึกของนายท่านดีจั๋วซือหรานพยักหน้า "อืม ถ้าอย่างนั้นก็ดี"สายตานางเหลือบมองไปด้านหลัง เอ่ยกับเหลียนเจินว่า "ท้ายสุดแล้ว พวกเจ้าก็เป็นคนของข้า แล้วข้าเองก็ดีกับคนของข้ามาโดยตลอด ดังนั้นถ้าหากพวกเจ้ามีตรงไหนไม่ค่อยดี ก็ไม่ต้องเอาแต่ทนไว้"จั๋วซือหรานยิ้มๆ "รีบขึ้นรถม้าไปพักผ่อนซะ แล้วให้เจ้าพวกบนรถม้านั่นลงมาวิ่งตามรถก็พอ"บนใบหน้าเคร่งขรึมของเหลียนเจิน ผ่อนคลายลงมาเพราะคำนี้ของนายท่าน เผยรอยยิ้มออกมา"รู
"ได้ๆๆ กินไปๆๆ" จั๋วซือหรานเอ่ยขึ้นอย่างจนใจเทียบกับแมลงกู่ในหลุมฆ่าเหล่านี้ที่ไม่รู้ว่าจะหลอมเป็นนางพญากู่แบบไหน จั๋วซือหรานก็ยังเอ็นดูเจ้าก้อนเนื้อทั้งเจ็ดของตนเองมากกว่า ถึงอย่างไรก็มีความรู้สึกต่อกันนี่นะแม้จะบอกว่าสำหรับแมลงกู่ในหลุมฆ่าพวกนี้ จั๋วซือหรานอันที่จริงก็รู้สึกสนใจอยากจะเปิดกล่องสุ่มดูเหมือนกันแต่ก็ทนดูสภาพน้ำลายสออขงเจ้เาจ็ดตัวนี้ไม่ได้จริงๆความรู้สึกนี้เหมือนกำลังมองเด็กๆ บ้านตัวเองแอบจ้องอาหารในชามคนอื่นจนน้ำลายไหลอย่างไรอย่างนั้น...จั๋วซือหรานยังพูดไม่ทันขาดคำ เจ้าเจ็ดตัวนุ่มนิ่มหนุบหนับตรงหน้านางที่ดูอารมณ์ดีสุดๆ นี้ก็กางฟันแหลมคมของพวกมันเองออกมาในพริบตา ดูดุร้ายมากยื่นไหมกู่ที่คมกริบออกไปฉับพลัน!จั๋วซือหรานถอนใจ เดินไปอยู่ข้างๆ ไม่รบกวนการกินของพวกมันบัวเจ็ดดอกเจ็ดใบแกนกลางเทียนยังคงเบ่งบานได้ไม่เลว ยิ่งไปกว่านั้น ยังไม่เหมือนตอนที่อยู่ในป่าด้วย ที่ส่งผลกระทบกับพื้นที่ออกไปกว้างๆเพียงแค่แผ่ออกไปเป็นรัศมีประมาณบ้านหลังหนึ่งจากจุดที่มันอยู่เท่านั้น ที่มีหมอกพิษของป่าปกคลุมอยู่แมงมุมของนางล้อมอยู่รอบๆ ต้นไม้ต้นนี้ อยู่ในหมอกพิษของมัน ราวกับกลาย
จั๋วซือหรานไม่มีเรื่องอื่นให้ทำ จึงเริ่มตั้งใจค้นคว้าหุ่นเชิดความมืดอย่างจริงจังแม้จะบอกว่าไม่เหมือนคืนนั้น ที่มีพลังวิญญาณความร้อนของใครบางคนคอยขับไล่ความเย็นเยือกให้แต่น่าจะเพราะคนนั้นก่อนหน้านี้คอยเฝ้านางอยู่ทั้งคืน จึงยังพอเหลือประสิทธิภาพอยู่บ้างบวกกับว่า หลังจากที่จั๋วซือหรานค้นคว้าหุ่นเชิดความมืดมานาน เริ่มจะพอคลำๆคุณสมบัติมันได้บ้างแล้วดังนั้น จั๋วซือหรานรูสึกว่า ตนเองน่าจะมีปัญหาไม่มากนักเพียงแต่ว่า นางนำตลับหุ่นเชิด...หรือก็คือที่คุณชายเยี่ยนทิ้งไว้ให้ ตลับหุ่นเชิดที่รื้อออกมาจากบนตัวผู้ดูแลชุยพอเปิดออก ตอนที่ปล่อยหุ่นเชิดความมืดที่ปิดผนึกอยู่ด้านในออกมาจั๋วซือหรานยังรู้สึกตกตะลึงอยู่"นายท่าน นี่มัน..." ราชาแมงมุมหน้าผีเองก็เห็นสถานการณ์นี้ รู้สึกประหลาดใจหน่อยๆจั๋วซือหรานมองหุ่นเชิดความมืดที่ออกมาจากในตลับหุ่นเชิดนี้ เป็นเหมือนกับหุ่นเชิดความที่ได้มาก่อนหน้าตัวนั้น ใส่หุ่นเชิดความมืดเอาไว้ตามหลักการแล้วจะต้องมีปราณหยินอยู่มหาศาล กระทั่งพลังเย็นเยือกยังส่งผลกระทบต่อตัวคนอีกด้วยแต่พอเปิดตลับหุ่นเชิดนี้แล้วปล่อยหุ่นเชิดความมืดออกมา กลับไม่มีกลิ่นอายพลังเย็
จั๋วซือหรานก่อนหน้านี้ได้ยินคนสำนักเมฆาวารีที่เป็นเชลยจากด่านกระดูกแพะก่อนหน้านี้แล้ว ว่าเมืองอวิ๋นถึงแม้จะเป็นเมือง แต่เนื่องจากสำนักเมฆาวารีอยู่ในเนินเขาเมฆาวารีเขตเมืองอวิ๋นเมืองอวิ๋นในความด้านรู้สึกจึงเหมือนเป็นพื้นที่ส่วนตัวของสำนักเมฆาวารีต่อมาจึงได้รับการยืนยันมากขึ้นจากปากของเหลียนเจิน"วัตถุดิบอาหาร วัตถุดิบยา ความต้องการต่างๆ ของสำนักเมฆาวารี ก็ล้วนเข้ามาขอจากเมืองอวิ๋นก่อนเป็นที่แรก ดังนั้นพูดแบบนี้แล้วกัน...เมืองอวิ๋นนั้นแทบเรียกได้ว่ามีสำนักเมฆาวารีเลี้ยงดูอยู่"ดังนั้นถึงได้พูดกันว่าเมืองอวิ๋นเป็นเหมือนพื้นที่ส่วนตัวของสำนักเมฆาวารีถ้าเปลี่ยนคำพูด ขอแค่อยู่ในเมืองอวิ๋น กระทั่งไม่ต้องใช้ไปเนินเขาเมฆาวารีด้วยซ้ำ ความเสี่ยงก็ยังสูงกว่าอยู่ในเมืองหยางหลายเท่าจั๋วซือหรานเข้าใจเหตุผลนี้อยู่แล้วดูจากคนคุ้มกันประตูเมืองก็มองเห็นเงาของสำนักเมฆาวารีได้ไม่ยากคนคุ้มกันเมืองหยาง ดูแล้วอย่างน้อยก็ยังเป็นคนของราชสำนัก แต่คนคุ้มกันเมืองอวิ๋น นอกจากคนในราชสำนักแล้ว ยังมีคนในเครื่องแบบสำนักเมฆาวารีบางส่วนอยู่ด้วย คอยติดตามอยู่ข้างๆไม่รู้ว่ามาคอยช่วยเหลือ หรือมาคอยจับตาดูร
"อะไรนะ?!" บนหน้าคนๆนี้มีความโกรธขึ้นมาแล้ว "เจ้าว่าอะไรนะ?"จั๋วซือหรานหัวเราะพรวด "ข้าบอกว่า เจ้าน่าจะตาบอด ทำไม? ยังฟังไม่ชัดหรือ? ดังนั้นใครกันแน่ที่หูหนวก..."คนคนนี้น่าจะเป็นคนสำนักเมฆาวารี อยู่ในเมืองอวิ๋นคงได้รับการเคารพมาตลอด เกรงว่าคงจะยังไม่เคยเจอสถานการณ์ปฏิบัติด้วยเช่นนี้ชั่วขณะหนึ่งยังไม่รู้ว่าควรจะตอบกลับคำพูดจั๋วซือหรานอย่างไร!เสียงของจั๋วซือหรานยังคงเย็นเยียบ เอ่ยต่อว่า "ป้ายผ่านทางของข้าอยู่ในมือเจ้าแล้ว ข้างบนเขียนตัวตนของข้าอยู่ชัดๆ แต่เจ้า เป็นแค่ประชาชนที่ไม่มีตำแหน่งไม่มีตัวตนฐานะ คนแบบเจ้า ในเมืองหลวงยังต้องมาคุกเข่าคารวะต่อหน้าข้าด้วยซ้ำ เจ้ามันใครกัน...กล้ามีท่าทีแบบนี้กับข้าเรอะ?"ดวงตาของคนผู้นี้ถลึงกลมขึ้นมาทันที "เจ้าว่าอะไรนะ?""ฟังภาษาคนไม่ออกหรือไร?" จั๋วซือหรานเหลือบมองเขาเย็นชา "หรือจะบอกว่า ที่นี่เป็นพื้นที่ของสำนักเมฆาวารี ไม่ถูกควบคุมด้วยกฏเกณฑ์ของราชสำนัก?"คนผู้นี้ถูกจั๋วซือหรานทำให้โกรธจัด ดูแล้วเหมือนจะโต้กลับทันทีคนคุ้มกันข้างกายเขายื่นมือมาขวางไว้ จากนั้นก็ยิ้มให้กับจั๋วซือหราน"ใต้เท้าโปรดระงับโกรธด้วย ท่านกล่าวเกินไปแล้ว! เมืองอ
ก่อนที่เหลียนเจินจะไปหาข่าว ก็เอ่ยขึ้นอย่างไม่ค่อยวางใจว่า "คุณหนู ฟังออกว่าเมื่อครู่นี้พวกเขาจงใจพูดโรงเตี๊ยมสุ่ยอวิ๋นขึ้นมา ยิ่งไปจากนั้นดูจากชื่อก็เดาไม่ยากเลยว่าเกี่ยวข้องกับสำนักเมฆาวารีแน่ มันจะ...ไม่ค่อยปลอดภัยหรือเปล่า?"จั๋วซือหรานมองทางเขา ยิ้มขึ้นบางๆ "ข้าไม่ใช่มาเพื่อความปลอดภัยเสียหน่อย ต่อให้พวกเขาไม่พูด โรงเตี๊ยมสุ่ยอวิ๋นนี่พอฟังก็รู้แล้วว่าเกี่ยวข้องกับสำนักเมฆาวารี ข้าต้องไปอยู่แล้ว"เหลียนเจินก็ตระหนักขึ้นได้ว่าความเป็นห่วงของตนเองจะมากเกินไปแล้ว "ข้าน้อยจะไปตรวจสอบเดี๋ยวนี้""ระวังตัวด้วย" จั๋วซือหรานยัดเจ้าก้อนเนื้อตัวหนึ่งให้เขา แต่พวกก้อนเนื้อหลังจากกินแมลงกู่ในหลุมฆ่านั่นก็ยังหลับลึกอยู่ตลอด ไม่รู้ว่าใกล้จะยกระดับแล้วหรือยังตามหลักการ น่าจะให้พวกมันหลับลึกในมิติน้ำพุวิเศษต่อไป เพราะสำหรับพวกมันแล้ว มิติน้ำพุวิเศษเป็นสถานที่ที่สบายมากที่สุดแต่ตอนนี้ถึงอย่างไรก็อยู่ในรังศัตรูจั๋วซือหรานครุ่นคิด จากนั้นก็หยิบเจ้าก้อนเนื้อตัวหนึ่งออกมา ยัดเข้าไปในเสื้อผ้าเหลียนเจิน"คุณหนู นี่คือ...""แมลงกู่ของข้า แต่ว่าตอนนี้มันกำลังหลับลึก เจ้าพยายามอย่าให้เกิดเรื่องอะไ
ให้ความรู้สึก...แปลกประหลาดมากๆจั๋วซือหรานมองออกถึงความคิดของผู้จัดการ เอ่ยขึ้นเสียงเรียบว่า "เจ้าให้พนักงานนำไปก็พอ ม้าของข้าจะตามไปเอง""อย่างนี้นี่เอง" ผู้จัดการจึงส่งสายตาให้กับพนักงานพนักงานเข้ามานำม้าไปเรือนหลังโรงเตี๊ยมทันทีอันที่จริงสายตาเมื่อครู่นี้ของผู้จัดการ ยังมีความหมายอื่นอยู่ด้วยพนักงานเข้าใจเจตนาเป็นอย่างดี ความหมายของผู้จัดการคือ ให้เขาหาโอกาสมองดูในรถม้าด้วยว่ามีสถานการณ์แบบไหนพนักงานนำรถม้าไปถึงเรือนด้านหลัง จากนั้นก็สังเกตไปรอบๆ พอพบว่าไม่มีคนกำลังมองตนเองเขาก็เลยยื่นมือออกไปเลิกม่ารถม้าออกเบาๆ คิดจะเปิดดูว่าด้านในมีสถานการณ์อย่างไรตอนเพิ่งแง้มเปิดได้เล็กน้อย กระทั่งยังไม่ทันได้มองว่าเป็นอย่างไรความเจ็บปวดที่รุนแรงวูบหนึ่ง ก็ซัดเข้าใส่อวัยวะสัมผัสทั้งหมดของเขา พริบตานั้น เหมือนความคิดกับการคิดอ่านทั้งหมดหายไปจนหมดสิ้นความเจ็บปวด มีแต่ความเจ็บปวด"อ๊าๆๆๆ...!"พนักงานล้มลงพื้นร้องครวญคราง เขากรีดร้องอย่างน่าเวทนา กระทั่งแขกทั้งหมดก็ยังได้ยินอย่างชัดเจน!และตอนนีเ้อง ผู้จัดการที่กำลังนำจั๋วซือหรานไปที่ห้องพักก็ได้ยินเสียงกรีดร้องน่าเวทนานี้ขึ้น
ท่าทีของเฟิงเหยียน ไม่ถือว่ากระตือรือร้นมากนัก กระทั่งค่อนข้างเย็นชาด้วยซ้ำแต่ก็เป็นเรื่องปกติ หลังจากที่เขาออกจากสำนักในตอนนั้น ก็ไม่ได้มีความฮึกเหิมเหมือนสมัยครั้งยังเด็กอีกมักจะเย็นชา และมักจะเฉยเมยปันอวิ๋นเม้มริมฝีปาก เข้าใจถึงสาเหตุนั้นสภาพการณ์ตอนที่เฟิงเหยียนออกจากสำนักครั้งนั้น เขาเองก็รู้เป็นอย่างดีต่อให้จนถึงตอนนี้ ก็ยังจดจำได้อย่างชัดเจนเพราะเฟิงเหยียนถูกทรยศเป็นคนแรก ดังนั้น ตอนนั้นพวกเขาก็อยู่ในฐานะคนที่ยังไม่ถูกทรยศอันที่จริง จะมากน้อยก็ยังมีความสงสัยว่าถ้าไม่อยู่ในสถานการณ์เดียวกันก็คงไม่เข้าใจอยู่พวกเขารู้สึกว่าเฟิงเหยียนทำเรื่องเล็กเป็นเรื่องใหญ่ เป็นเฟิงเหยียนที่ไม่รู้จักบุญคุณพวกเขารู้สึกว่า เป็นเฟิงเหยียนที่ทำไม่ถูกเฟิงเหยียนเป็นคนอกตัญญูจนต่อมา ต่อมาของต่อมา ทุกคนทยอยกันเดินบนเส้นทางของเฟิงเหยียน ใครก็หนีไม่พ้นการทรยศหรือใช้ประโยชน์ทั้งนั้นตามหลักแล้วควรจะยอมรับชะตากรรมอย่างที่เคยเตือนเฟิงเหยียนเอาไว้ในตอนนั้น และมองว่าสิ่งนั้นเป็นการบ่มเพาะและการให้ความสำคัญจากสำนักแต่เพระาอะไร...ถึงได้ดีใจกันขึ้นมาไม่ได้เลยและหลังจากนั้นอีก แต่ละคนก็ทร
ดังนั้นเขาจึงยังไม่กล้าไปกอดนางไว้แบบนี้ตลอด คอยอยู่ด้วยเงียบๆแต่เขากลับไม่ง่วงเลย ไม่ได้หลับ ไม่ได้ปิดตาด้วยแค่มองนางเงียบๆ สัมผัสถึงความร้อนในตัวนางกับชีพจรนางกระทั่งตัวเขาเองก็ยังบอกไม่ได้ว่าเพราะอะไร แต่ก็มีความรู้สึกอย่างหนึ่ง...รู้สึกสงบใจอย่างมากราวกับว่า ทั้งหมดเปลี่ยนเป็นสมบูรณ์แบบแล้วทั้งที่ความทรงจำในอดีตยังไม่กลับคืนเข้าที่ แต่ความรู้สึกนี้ เหมือนสลักประทับอยู่ในจิตวิญญาณอย่างไรอย่างนั้น ยากที่จะลบเลือนจนกระทั่งลมหายใจของจั๋วซือหรานมั่นคงแล้ว สีหน้ายิ่งมีประกายแดง สภาพดีขึ้นมากแล้วเขามองไปที่คราบเลือดแห้งกรังเหล่านั้นบนใบหน้าจั๋วซือหราน รู้สึกเสียดแทงตาเหลือเกินจึงได้เคลื่อนไหวเบาๆ เดินออกไปด้านนอก กำชับคนรับใช้ให้เตรียมน้ำร้อนมาไม่ให้คนรับใช้เข้ามาปรนนิบัติ แต่เขาหิ้วถังน้ำเข้ามาเองเขาอุ้มนางมาแช่ในถังน้ำ คอยสระชำระเส้นผมนางทีละเล็กทีละน้อย เช็ดคราบเลือดบนผิวนางออกอาบตัวนางจนสะอาดหมดจด อุ้มกลับไปบนเตียง ใช้ผ้าห่มห่อตัวนางจากนั้นจึงใช้พลังวิญญาณธาตุไฟบริสุทธิ์ เป่าผมนางจนแห้งและเพราะมีกลิ่นอายของเขาห่อหุ้มอยู่ จั๋วซือหรานจึงหลับลึกอย่างสบาย ไม่ตื
พลังศักดิ์สิทธิ์หงส์แดงที่บริสุทธิ์ที่สุด ถูกส่งผ่านเข้ามาอย่างนั้นจั๋วซือหรานมีความรู้สึกเหมือนตนเองถูกแช่ไว้ในน้ำอุ่น เป็นความรู้สึกที่สบายอย่างที่สุดในลำคอก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมาด้วยความสบายยิ่งไปกว่านั้น คนเราก็เหมือนจะเป็นเช่นนี้เดิมทีก็ไม่ได้รู้สึกว่าตนเองลำบากยากเย็นอะไรนักแต่ตอนที่ร่างกายสามารถผ่อนคลายลงมาได้ ไม่รู้สึกเจ็บปวดทรมานอีกแล้วพอย้อนคิดไปถึงความยากลำบากเหล่านั้นก่อนหน้า กลับรู้สึกว่าตนเองน่าสงสารขึ้นมาจั๋วซือหรานตอนนี้ก็รู้สึก ว่าตนเอง...ไม่ค่อยได้รับความเป็นธรรมเท่าไรชายคนนี้ เจ้าคนสมควรตายนี่มีสิทธิ์อะไร?มีสิทธิ์อะไรกัน?"..." ชายหนุ่มรู้สึกเจ็บที่ปลายลิ้นเขาขมวดคิ้ว รสชาติคคาวหวานของเลือดแผ่ซ่านในร่องฟันของทั้งสองคนเขามองหญิงสาวตรงหน้า ก็เห็นแววตาของนางมีความหงุดหงิดอยู่หน่อยๆแล้วยังมีสีหน้าท้าทายอีกด้วยดูเหมือนจะจงใจกัดปลายลิ้นเขา น่าจะโมโหเอาการชายหนุ่มไม่ครางออกมาเลย ราวกับไม่รู้สึกเจ็บอย่างไรอย่างนั้นยิ่งไปกว่านั้นยังไม่ใส่ใจ ปลายลิ้นยังโถมใส่นางอย่างเร่าร้อนรุนแรงถ้านางอยากได้ ก็ต้องแล้วแต่นางจั๋วซือหรานดูจนใจหน่อยๆ แต
เหมือนว่าความทรมานทั้งหมดก่อนหน้านี้ ไม่ได้ทรมานอะไรขนาดนั้นและไม่รู้ว่าเจ้าโง่นี้ใช้แรงกระแทกนางมากแค่ไหน...มีหลายครั้ง ที่นางรู้สึกได้ว่า ในมิตินี้เหมือนสั่นไหวขึ้นมาราวกับวิญญาณของนางที่ถูกขังอยู่ในมิติ จะถูกดันกลับเข้าไปที่เดิมเลยจั๋วซือหรานถลึงตาโตขึ้นหน่อย จ้องมองมิติที่โยกไหวหน่อยๆรู้สึกหมดคำจะพูดแมงมุมน้อยงึมงำขึ้นมาข้างๆ "นายท่าน...ในนี้มัน...ร้อนจัง..."จั๋ซซือรหานมองไปทางเหล่าสัตว์อสูรของตนเอง มองออกไม่ยาก พวกมันเหมือนเริ่มมึนๆ จะหลับกันแล้ว พอเห็นแบบนี้ ก็เหมือนจะไม่ได้แตกต่างอะไรนักกับสถานการณ์ครั้งที่แล้วเพียงแต่ครั้งที่แล้ว ตนเองถูกทำจนเกือบจะสลบไปและตอนนี้ ตนเองถูกทำ...จนใกล้จะตื่นขึ้นมาแล้วผู้ชายคนนี้...ร้ายกาจจริงๆนี่มันช่าง....สัมผัสแนบเนื้อบนตัวนางมีเหงื่อบางๆ ชั้นหนึ่ง ผิวที่เคยขาวซีดไปทั้งตัว ตอนนี้พอมีเม็ดเหงื่อเกาะอยู่ จึงยิ่งดูเป็นประกายระยิบระยับขึ้นมาและไม่รู้ว่าผ่านไปนานแค่ไหน..."อือ..." หญิงสาวที่ไม่มีปฏิกิริยามาตลอด ริมฝีปากที่ยังมีรอยเลือดที่ยังเช็ดไม่สะอาด ส่งเสียงครางออกมาเหมือนลูกแมวตัวน้อยฟังดูแล้วเป็นเสียงอือๆ งึมงำๆน
ในใจจั๋วหวายเข้าใจอย่างหนักแน่นว่าเฟิงเหยียนคือผู้ชายทรยศแต่ว่านี่ไม่ได้เป็นอุปสรรคที่ทำให้เขาคิดว่าเฟิงเหยียนจะทำให้พี่สาวดีขึ้นได้คนเราก็มักมีสองมาตรฐานเช่นนี้ ไม่มีทางเลือกดังนั้นจั๋วหวายแม้จะไม่ได้เน้นหนักว่าผู้ชายทรยศคนนั้นคือผู้ชายทรยศ แต่ก็ยังถามขึ้นว่า "เขาจะพาพี่สาวข้าไปไหน?"ปันอวิ๋นได้ยินคำนี้ สายตาก็ลึกซึ้งขึ้นมา "นั่น...เป็นเรื่องของผู้ใหญ่เขา เด็กๆ ไม่ต้องถามเยอะ"จั๋วหวายเบ้ปาก ในใจก็บ่นว่าตนเองไม่ใช่เด็กแล้วเสียหน่อยแต่ปันอวิ๋นในที่สุดก็ไม่ได้บอกจั๋วหวาย ว่าเฟิงเหยียนจะพาจั๋วซือหรานไปที่ไหนในใจปันอวิ๋นชัดเจนดี สภาพของจั๋วซือหรานแย่หนักถึงระดับนี้แล้ว ขนาดยาก็ยังดื่มไม่ลงถ้าคิดจะใช้พลังศักดิ์สิทธิ์ปลอบประโลมตัวนาง รวมถึงปลอบประโลมลูกในท้องนาง...วิธีการที่ดีที่สุด คือสิ่งนั้นอย่างไม่ต้องสงสัยสติสัมปชัญญะของจั๋วซือหรานไม่ได้หลับลึกอย่างสมบูรณ์ ในมิติยังสัมผัสรับรู้ได้ถึงสภาพแวดล้อมรอบๆความรู้สึกนั้น เหมือนกับสติสัมปชัญญะถูกขังอยู่ในมิติอย่างไรอย่างนั้นนางจึงเป็นได้เพียงแค่ผู้ชมเท่านั้น"เฮ้อ ดูท่าเขาจะใช้วิะีนั้นสินะ" จั๋วซือหรานเอ่ยขึ้นขนมถั่วแดงกั
แต่ว่าชายหนุ่มยังคงไม่ตอบเขาเขาเพียงยกมือขึ้นมา สะบัดแขนเสื้อ เผยท่อนแขนออกมาจากในแขนเสื้อจั๋วหวายจึงเห็นว่าท่อนแขนของชายคนนี้ มีลายมัดกล้ามที่สวยงาม กระชับเรียวยาวผิวเองก็ขาวเย็น ไม่รู้ว่าเพราะปกติไม่ค่อยโดนแสงแดดหรือเปล่าและตอนนี้เอง ผิวหนังขาวเย็นที่โผล่ออกมานอกแขนเสื้อพอต้องกับแสงตะวัน จั๋วหวายก็รู้สึกเหมือนขาวจนสะท้อนแสงออกมาเลย!จากนั้น หลังจากสัมผัสกับแสง ก็ค่อยๆ รอยแผลเหมือนไฟลวกที่ค่อยๆ แดงขึ้น ก็ปรากฏมาบนท่อนแขนเขาไม่เพียงเท่านี้ หลังจากที่รอยไหม้เหล่านี้ปรากฏ ท่อนแขนเขาก็มีอักขระประหลาดบางส่วนปรากฏขึ้นมาอย่างรวดเร็วพออักขระคำสาปปรากฏ บาดแผลเผาไหม้พวกนั้นก็ถูกสะกดลงไป บาดแผลบนผิวหนังเริ่มสมานตัวกลับเหมือนเดิม หลังจากแผลสมานดี อักขระคำสาปเหล่านั้นก็ค่อยๆ สลายหายไปบนผิวหนังเขาแต่ไม่นานนัก ก็ปรากฏแผลไฟลวกอีกครั้ง อักขระเหล่านั้นก็ปรากฏขึ้นมาอีกซ้ำไปซ้ำมาแบบนี้ ดูแล้วทำให้คน...รู้สึกประหลาดมากจั๋วหวายมองจนบื้อไปเลยและชายหนุ่มก็ไม่ได้ใส่ใจกับแผลที่หายแล้วก็เกิด เกิดแล้วก็หายพวกนี้เลย ราวกับเหมือนมองไม่เห็นอย่างไรอย่างนั้นและก็เหมือนไม่ได้เจ็บได้ปวดเลย แม้ต
เหมือนว่าพอสายตามองเห็นหญิงสาวในอ้อมกอดปันปวิ๋นที่เหมือนลมพัดก็สลายหายไปได้ ตอนนั้นเอง สัมผัสทั้งหมดก็เหมือนหายวับไปในพริบตาดวงตามองไม่เห็นสิ่งใดอีกแล้ว หุเองก็ไม่ได้ยินเสียงอื่นใดอีกความรู้สึกเดียวที่เหลืออยู่คือความเจ็บปวดรุนแรงเหมือนมีดกรีดกลางใจ ไม่เพียงเท่านี้ สมองก็เหมือนถูกของมีคมกวนคนอย่างไรอย่างนั้น เจ็บขึ้นมาเป็นระยะๆยิ่งเจ็บ ก็ยิ่งอยากจะมองนางให้ชัดจเน ไม่อยากพลาดไปแม้แต่น้อยปันอวิ๋นพอเห็นร่างของเขา และกลิ่นอายนั่นบนตัวปันอวิ๋นในที่สุดก็ถอนใจโล่ง เขามาได้เสียที..."เจ้าหุบเขา?" ศิษย์สำนักข้างๆ ยังระแวดระวังอยู่ปันอวิ๋นบอกกับศิษย์สำนักเสียงเรียบว่า "เขาไม่ทำอะไรหรอก"ศิษย์สำนักพอได้ยินคำนี้ จึงถอนใจโล่งออกมา เพราะตอนที่พวกคนคุ้มกันขวางเขาเมื่อครู่มันเกินต้านแล้วจริงๆปรมาจารย์กู่อย่างพวกเขาเดิมทีก็แพ้ธาตุไฟอยู่แล้ว และชายคนนี้ก็เหมือนจะมีธาตุไฟระดับสูงด้วยพวกเขาไม่มีความสามารถจะไปทัดทานได้เลยปันอวิ๋นพอเห็นร่างสูงใหญ่ตรงหน้า ก็คิดในใจ ยังจะงงอะไรอยู่เล่า ถ้าเจ้ายังงงอยู่ หญิงสาวคนนี้จะไม่ไหวแล้วนะ!"โอ๊ค..." ในปากจั๋วซือหรานมีเลือดสดทะลักออกมาและมือข้างนั
ราวกับว่า...ต่อให้นางจะดูอ่อนแอเหมือนกดให้ตายได้ด้วยนิ้วเดียวแต่ยังคงไม่ยอมให้คนรู้สึกว่าอ่อนแอ ยังคงทำให้คนรู้สึกว่า ถ้าหากอยากจะเป็นศัตรูกับนาง ก่อนนางตายก็จะลากเจ้าลงนรกไปด้วยกันตอนนี้รอยยิ้มที่ดูเกียจคร้านไม่ใส่ใจ กลับยิ่งดูสงบนิ่งมั่นคงราวกับยกของหนักได้อย่างสบายนางเอ่ยขึ้นอย่างเกียจคร้าน "ใครจะรู้ล่ะ? อาจจะขาดหนูไม้ไผ่อยู่กระมัง"ปันอวิ๋นกลั้นหัวเราะไว้ไม่อยู่พอได้ยินหนูไม้ไผ่สองคำนี้ เขาก็รู้แล้ว ว่าตอนที่เขาไปทิ้งจดหมายที่บ้านไม้ไผ่ นางก็เดาได้แล้วว่าเขาทำอะไรเพียงแต่ไม่ได้พูดออกมาเท่านั้นเป็นหญิงสาวที่เจ้าเล่ห์กว่าจิ้งจอกเสียอีกปันอวิ๋นจุ๊ปาก "เจ้านี่ถึงตายไป สมองก็คงจะแล่นอยู่อย่างนี้สินะ?"จั๋วซือหรานแค่เหลือบมองเขา ไม่ได้พูดอะไร มุมปากกลับยกโค้งขึ้นบางๆหลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง คิ้วนางก็ขมวดขึ้นบางๆ"ทำไมหรือ?" ปันอวิ๋นเห็นการเปลี่ยนแปลงของสีหน้านาง จึงขมวดคิ้วเดินเข้ามา สองมือประคองบ่านางไว้อันที่จริงเป็นเพราะเขาไม่ค่อยได้เห็นสีหน้าทรมานจากหน้านางนัก นางมักจะทำเป็นเหมือนไม่เป็นไรเสมอแต่ตอนนี้ บนสีหน้า กลับดูทรมานขึ้นอย่างชัดเจนจากนั้น นางก็เหมือนจะยืน
จั๋วหวายเกือบจะสำรอกออกมาแล้ว!"ถ้าจะอาเจียนก็ออกไปอาเจียนซะ ถ้าทำกู่กล่องนี้ของข้าพัง ข้าจะจับเจ้าแขวนห้อยหัวซะเลย" ปันอวิ๋นเอ่ยขึ้นเสียงเรียบจั๋วหวายหมุนตัวพุ่งออกไป สูดลมหายใจลึกหลายครั้งกว่าจะสงบลงมาได้ จากนั้นจึงเตรียมตัวเตรียมใจ ตอนที่เข้าไปอีกครั้งก็ไม่มีกระทบกระเทือนอย่างแรงแบบก่อนหน้าแล้วแต่สายตากลับไม่ได้มองไปยังแผ่นกระดานที่มีของดิ้นกระแด่วๆ นั่นมองแล้วขนลุกสุดๆ"มีเรื่องอะไร?" ปันอวิ๋นถามขึ้นเสียงเรียบจั๋วหวายเอ่ยเสียงต่ำ "ท่านรู้..." เขาสูดจมูก ถามออกไปว่า "ท่านรู้จักเฟิงเหยียนใช่ไหม?"ปันอวิ๋นเดิมทีกำลังป้อนอาหารเจ้าพวกดุ๊กดิ๊กพวกนั้นพอได้ยินคำนี้ การเคลื่อนไหวก็หยุดลงมา ไม่หันไปมองเขา ผ่านไปครู่หนึ่งจึงถามขึ้นเรียบๆ ว่า "ทำไมล่ะ?""ข้าอยากเจอเขา ข้าอยากจะถามเขา ว่าทำไมทำแบบนี้กับพี่ของข้า" จั๋วหวายขอบตาแดงรื้นเขาสูดหายใจลึกแล้วพ่นออกมา "ข้าเองก็อยากจะถามเขา ว่าช่วยพี่ข้าได้ไหม ถ้าหากไม่ได้ หรือก็คือเขาเป็นผู้ชายทรยศ ไม่ยินยอม เช่นนั้นเขามาบอกกับท่านพี่ได้ไหม ว่าให้เลิกแล้วต่อกันจบๆ ไป"ปันอวิ๋นพอได้ยินคำนี้ จะฟังความเสียใจในใจจั๋วหวายไม่ออกได้อย่างไรกั