“ก็แหงละสิ พี่รองตายไปแล้ว ลูกของเขายังเด็กเกินกว่าจะแบกรับค้ำยันอะไรได้”“ในเวลานี้ การร่วมมือกับพี่ห้าถือเป็นการตัดสินใจที่ชาญฉลาดที่สุด”ฉินจื๋อเจี้ยนขมวดคิ้ว “พวกเขาร่วมมือกันแล้ว ครั้งนี้ที่ท่านมหาราชครูเกิดเรื่อง จิ่งสือเยี่ยนน่าจะให้ความช่วยเหลือเขา”“ถ้าจิ่งสือเยี่ยนเข้ามาแทรกแซง เรื่องนี้อาจจะกลายเป็นเรื่องยุ่งยาก”จิ่งโม่เยี่ยเย้ยหยัน “จะมีปัญหายังไงกัน ก็แค่ฆ่าพวกมันทั้งหมด”ฉินจื๋อเจี้ยนถอนหายใจ “ถึงแม้ว่าการฆ่าพวกเขาจะลดปัญหาลงบ้าง แต่มันก็จะนำปัญหาอื่นๆ ตามมาอีกมากมาย”ตอนนี้จิ่งโม่เยี่ยเต็มไปด้วยความโกรธแค้น สิ่งที่เขาคิดในใจมีเพียงแค่ฆ่า ฆ่าและฆ่าแต่สติของเขาบอกว่าสิ่งที่ฉินจื๋อเจี้ยนพูดนั้นถูกต้อง การฆ่าคนเหล่านี้ไม่ได้ช่วยแก้ปัญหาอย่างแท้จริงเขายับยั้งความปรารถนาที่จะฆ่า ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำว่า “สิ่งที่อยู่ในคำฟ้องของพระสนมสวี่ไปตรวจสอบแล้วหรือยัง?”ฉินจื๋อเจี้ยนพยักหน้า “ตรวจสอบแล้ว ทุกอย่างเป็นความจริง”“เนื่องจากวันนี้เกิดเรื่องกะทันหัน และเราลงมืออย่างรวดเร็ว หลักฐานเหล่านั้นจึงยังอยู่”จิ่งโม่เยี่ยเย้ยหยัน “พระสนมสวี่ทำเรื่องดีๆ ได้สักที”คว
เฟิ่งชูอิ่งถือเป็นดอกไม้เหล็กที่ผลิบานในคุกอย่างแท้จริง นางได้สร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ของการติดคุก กลายเป็นตำนานที่ไม่มีใครเทียบได้ยิ่งไปกว่านั้น ระหว่างที่นางอยู่ในคุก จิ่งโม่เยี่ยยังให้คนนำอาหารและเครื่องดื่มไปให้นางกินทุกวันถ้าจะบอกว่าแบบนี้คือการรับความลำบาก งั้นนักโทษคนอื่นๆ ก็คงตกนรกไปแล้วจิ่งโม่เยี่ยมองเขาแล้วพูดว่า "ในคุกมันชื้นและเย็น ร่างกายของนางก็ไม่ค่อยดีอยู่แล้ว จะไม่เรียกว่าลำบากได้อย่างไร"ฉินจื๋อเจี้ยนรีบพูดว่า "ท่านอ๋องพูดถูก พระชายาต้องทนทุกข์ทรมานอย่างมากในคุกของจวนผู้ว่าราชการ""ทั้งหมดนี้เป็นเพราะคนสารเลวจากจวนมหาราชครู ดังนั้นต้องให้พวกมันชดใช้ด้วยเลือด"จิ่งโม่เยี่ยไม่สนใจเขา หันหลังเดินออกไปฉินจื๋อเจี้ยนถามว่า "ท่านอ๋อง ท่านจะไปไหนดึกดื่นป่านนี้"จิ่งโม่เยี่ยตอบว่า "นางจะไปหาชูอิ่ง"แผนการจัดการกับมหาราชครูได้วางไว้แล้ว รายละเอียดการปฏิบัติการมีฉินจื๋อเจี้ยนดูแลอยู่ ไม่จำเป็นต้องให้เขาเป็นห่วงมากนักเฟิ่งชูอิ่งบอกว่าพวกเขาจบกันแล้ว แต่นางยังเป็นภรรยาของเขา พวกเขาจะจบกันแบบนี้ได้อย่างไรนางพักอยู่ที่จวนปู๋เยี่ยโหว ปู๋เยี่ยโหวมีใจคิดไม่ซื่อกับนาง
ปู๋เยี่ยโหวหัวเราะอย่างมีเลศนัย “ให้เจ้าได้ลิ้มรสเสียบ้างว่าขี้เมาเป็นอย่างไร”จิ่งโม่เยี่ยไม่สนใจเขา คว้ามือเฟิ่งชูอิ่งเข้ามากอดไว้แน่นแล้วกระโดดลงไปด้านล่างเฟิ่งชูอิ่งดูเหมือนจะสนุกกับการกระทำนี้ จึงร้องออกมาด้วยความตื่นเต้น “ว้าว! เอาอีก!”จิ่งโม่เยี่ย “......”ตอนนี้เขารู้สึกสับสนเล็กน้อยเขาไม่คิดว่าเฟิ่งชูอิ่งจะกลายเป็นแบบนี้เมื่อเมาเขายืนนิ่งอยู่กับที่ เฟิ่งชูอิ่งจึงเอื้อมมือไปตีแผงอกของเขา “เอาอีกสิ!”ปู๋เยี่ยโหวยืนอยู่บนหลังคา มองดูภาพด้านล่างแล้วหัวเราะอย่างขบขันเขาอยากรู้ว่าจิ่งโม่เยี่ยจะรับมืออย่างไร เพราะจิ่งโม่เยี่ยมักจะเคร่งขรึมและไม่เคยทำเรื่องไร้สาระแบบนี้ด้วยเหตุนี้ปู๋เยี่ยโหวจึงอยากรู้ว่าจิ่งโม่เยี่ยจะทำอย่างไรต่อจิ่งโม่เยี่ยยังคงยืนนิ่ง เฟิ่งชูอิ่งไม่พอใจจึงเอื้อมมือไปบิดหูเขา “เร็วสิ เอาอีก!”จิ่งโม่เยี่ย “......”เขาโตมาขนาดนี้ ยังไม่มีใครกล้าบิดหูเขาสักคน!และการบิดหู ในความคิดของเขามันมีความรู้สึกใกล้ชิดแฝงอยู่ด้วยเขาไม่กลัวที่นางบิดหูเขา กลัวแต่นางจะไม่สนใจเขาถ้านางไม่เมา นางคงไม่ทำแบบนี้แน่เขาไม่พูดอะไรมาก คว้าตัวเฟิ่งชูอิ่งขึ้นมากอดแล้
ปู๋เยี่ยโหวได้ยินดังนั้นก็ถามด้วยความสงสัยว่า “ตอนที่เจ้าตาย เจ้าไม่มีลูกตาและคางหรือ”เฉี่ยวหลิงตอบว่า “ข้าตายที่กรมราชทัณฑ์ ตอนนั้นก่อนตายข้าน่าจะถูกทรมานอย่างหนัก”ปู๋เยี่ยโหวมองนางด้วยความตกใจ ก่อนหน้านี้เขาไม่รู้เลยว่านางเคยมีประสบการณ์เช่นนี้เฉี่ยวหลิงถามว่า “ท่านมองข้าเช่นนี้ทำไม”ปู๋เยี่ยโหวไม่ตอบ แต่ถามกลับว่า “คงเจ็บมากสินะ”เฉี่ยวหลิงครุ่นคิดสักครู่แล้วกล่าวว่า “ผ่านมานานแล้ว ข้าจำไม่ได้แล้ว แต่คงจะเจ็บมาก”“แต่ข้าโชคดีที่ได้พบคุณหนู มิฉะนั้นวิญญาณข้าคงแตกสลายไปแล้ว”ก่อนหน้านี้ ปู๋เยี่ยโหวไม่รู้เรื่องราวเหล่านี้ของเฉี่ยวหลิง คิดแค่ว่านางดูห้าวหาญบวกกับที่นางชอบทุบตีเขาอยู่เสมอ เขาจึงมักหลีกเลี่ยงนางตอนนี้ถึงได้รู้ว่า แท้จริงแล้วนางเป็นคนที่น่าสงสารมากคนหนึ่งถูกควักลูกตา กระชากคาง ต้องเจ็บปวดมากขนาดไหนกัน?เฉี่ยวหลิงเห็นแววตาของเขาก็ถามว่า “ท่านมองข้าเช่นนี้ทำไม”ปู๋เยี่ยโหวถามว่า “เจ้ารู้หรือไม่ว่าใครฆ่าเจ้า”เฉี่ยวหลิงตอบว่า “ก็พวกขันทีในกรมราชทัณฑ์นั่นแหละ แต่คุณหนูได้แก้แค้นให้ข้าแล้ว”ปู๋เยี่ยโหวกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบๆ ว่า “พวกในกรมราชทัณฑ์เป็นแค่หมาที
เฟิ่งชูอิ่งกำลังหลับสะลึมสะลือ แต่จู่ๆ ก็สัมผัสได้ว่ามีมือข้างหนึ่งล้วงเข้ามาในอกของนางนางคว้ามือของคนผู้นั้นเอาไว้แล้วจับบิดสุดแรง ทั้งที่ดวงตาทั้งสองข้างยังปิดสนิท“อ๊าก” เสียงร้องโหยหวนดังขึ้นมาพร้อมกับเสียงสบถด่า “เฟิ่งชูอิ่ง เจ้าเป็นบ้าไปแล้วหรือ?”เฟิ่งชูอิ่งพลันเบิกตาโพลง ก่อนจะมองเห็นใบหน้าซีดเซียวของใครคนหนึ่ง ที่แม้จะหล่อเหลา แต่กลับดูเจ้าชู้สำส่อนครู่ต่อมานางก็สังเกตเห็นลัคนาของเขา มันเป็นสีดำทมิฬไปทั้งแถบ มีเพียงคนที่ใกล้จะตายเท่านั้นถึงจะมีโหงวเฮ้งเช่นนี้ ความทรงจำช่วงหนึ่งพลันไหลบ่าเข้ามาในสมอง นางจึงทดลองเอ่ยเรียกออกไปว่า “เฉินเยี่ยนเซิง?”เฉินเยี่ยนเซิงกุมมือที่เกือบจะถูกบิดจนหักของตัวเอง ตอบกลับด้วยสีหน้าไม่สบอารมณ์ “เจ้าบ้าไปแล้วหรือ ถึงกล้าบิดมือข้าเช่นนี้?” “เจ้าอย่าลืมนะ อีกไม่กี่วันเจ้าจะต้องแต่งงานกับผีขี้โรคอย่างอ๋องฉู่ เจ้าเป็นคนขอร้องให้ข้าพาหนีเองนะ!”เฟิ่งชูอิ่ง : “......”คำพูดของเขาตรงกับความทรงจำที่ปรากฏขึ้นในสมองของนางพอดิบพอดี แล้วก็เหมือนกับบทในนิยายที่ญาติผู้น้องของนางอ่านเมื่อไม่กี่วันก่อนทุกกระเบียดนิ้วด้วย เพราะว่านางร้ายในนิยายเล่มน
หลังได้ยินเสียงดังกล่าว เสียงเซ็งแซ่วุ่นวายภายในห้องก็กลายเป็นความเงียบสงัดในพริบตา สายตาของคนทั้งหมดหันมองไปทางประตูบานนั้นเฟิ่งชูอิ่งก็สงสัยใคร่รู้มิใช่น้อย นางอยากจะเห็นด้วยตาตัวเองว่าจอมวายร้ายที่ปั่นหัวคู่พระนางจนแทบเป็นบ้า ซึ่งนักเขียนบรรยายเอาไว้ว่ารูปโฉมดุจเซียนผู้ร่วงหล่นสุราลัย ทว่านิสัยใจคอโหดเหี้ยมอำมหิตผู้นั้น แท้จริงแล้วมีรูปร่างหน้าตาเป็นเช่นไรทว่าเมื่อนางมองเห็นจิ่งโม่เยี่ยเจ้าของบรรดาศักดิ์ฉู่อ๋อง ก็ถึงกับตกตะลึงตาค้างไปเลยยามนี้เป็นช่วงปลายฤดูใบไม้ผลิแล้ว เขากลับสวมเสื้อคลุมขนจิ้งจอกสีขาว องคาพยพทั้งห้าถูกสรรสร้างมาอย่างพิถีพิถัน นัยน์ตาดอกท้อคู่นั้นเป็นสีดำขลับ งามจนแยกมิออกเลยว่าเป็นบุรุษหรืออิสตรีในมือของเขาถือคัมภีร์พระไตรปิฎก มุมปากประดับรอยยิ้มจางๆ ให้บรรยากาศงามสง่าหลุดพ้นจากโลกีย์ทั้งปวง เหมือนเทพเซียนที่พลัดหลงจากสวรรค์ลงมายังโลกมนุษย์โดยแท้ เพียงแต่สีหน้าของเขาออกจะซีดเซียวเล็กน้อย ท่าทางคล้ายคนป่วยไข้อยู่หลายส่วน ทว่าท่าทางอ่อนแอนั้นกลับทำให้คนรู้สึกอยากจะปกป้องทะนุถนอมอย่างบอกไม่ถูกเฟิ่งชูอิ่งสรุปได้ว่า นี่มันปีศาจ[footnoteRef:1]ชัดๆ! [1: ปีศา
เฟิ่งชูอิ่งตัวสั่นระริกอย่างไม่อาจควบคุม ก่อนจะเหลือบมองเฉินเยี่ยนเซิงที่ถูกแล่เนื้อเถือหนังจนแดงเถือกไปทั้งตัวนางไม่อยากโดนแล่ จะต้องหาทางเอาตัวรอดให้ได้นางกรอกตาไปมา ก่อนจะกล่าวด้วยดวงตาแดงระเรื่อ “วันนี้ข้ากับเฉินเยี่ยนเซิงปรึกษาเรื่องหนีตามกันในห้องนี้จริงๆ“แต่ตอนนั้นข้าทำไปเพราะถูกเขาบีบบังคับ ก็เลยต้องยอมตามน้ำคนหน้าซื่อใจคดอย่างเขาไปก่อน“ท่านอ๋องก็ทราบ หลังจากบิดามารดาของข้าตายไป ข้าก็ไม่รู้จะหันหน้าไปพึ่งใคร ต้องจำใจไปอยู่อาศัยที่จวนสกุลหลิน“แต่ผู้คนในจวนสกุลหลินกลับหวังฮุบสมบัติของบิดามารดาข้า คิดจะทำร้ายข้าให้ถึงแก่ความตาย“พวกเขากลัวว่าหากข้าแต่งออกไปแล้ว จะขนทรัพย์สินทั้งหมดไปเป็นสินเดิมเจ้าสาวด้วย ดังนั้นก็เลยไม่อยากให้ข้าแต่งเข้าจวนอ๋องของท่าน“ดังนั้นหลินหว่านถิงกับเฉินเยี่ยนเซิงก็เลยวางแผนร่วมกัน พยายามพูดจาใส่ร้ายท่านอ๋องให้ข้าฟังบ่อยๆ หว่านล้อมให้ข้าหนีตามเขาไปพร้อมทรัพย์สิน จะได้ฉวยโอกาสนั้นจัดการปลิดชีพข้า“โดยที่พวกเขาไม่รู้เลยว่าเมื่อสิบปีที่แล้ว ท่านอ๋องเคยช่วยชีวิตข้าครั้งหนึ่งตอนอยู่ในบ่อน้ำพุร้อนของจวนกลางหุบเขา ข้าจึงปักใจอยากแต่งงานกับท่านตั้งแต
เขาเอ่ยถึงตรงนั้นแล้วหยุดมองจิ่งโม่เยี่ยด้วยความเวทนา “ท่านก็จะประสบอุบัติเหตุตายได้ทุกรูปแบบเลยล่ะ ท่านอาจจะกินอาหารติดคอตาย ดื่มน้ำสำลักตาย เดินๆ อยู่ก็สะดุดล้มตาย...”“เงียบซะ!” จิ่งโม่เยี่ยเอ่ยเสียงเย็นชาเจ้าอาวาสถอนหายใจ “รู้ว่าเจ้าไม่อยากฟังอะไรแบบนี้ ทว่ามันคือความเป็นจริง”“แม้สวรรค์จะเป็นผู้กำหนดชะตากรรมของมนุษย์ แต่บางครั้งก็อาจจะถูกคนช่วงชิงไปได้เหมือนกัน”“เมื่อไหร่ที่คนถึงคราวดวงตก ความซวยทั้งหลายแหล่ก็จะประดังประเดเข้ามาหาพร้อมกัน”“ถึงตอนนั้นคนอื่นก็ไม่จำเป็นต้องลงมือให้เสียแรงเปล่า เพราะเดี๋ยวเจ้าก็ตายแบบไม่รู้ตัวเอง”“ดังนั้นเรื่องเร่งด่วนในยามนี้ คือการตามหาตัวผู้เชี่ยวชาญศาสตร์ลี้ลับให้พบ ปัญหาจะได้คลี่คลาย”เขาพูดมาถึงตรงนี้แล้วเอ่ยด้วยท่าทางเจ้าเล่ห์ “แต่สำนักศาสตร์ลี้ลับถูกปิดล้อมเมื่อสิบปีก่อน คนในสำนักล้มตายไปหมดแล้ว จะไปหาผู้เชี่ยวชาญจากที่ไหนกันล่ะ?“ข้ามองว่า ท่านก็ไปหลับนอนกับว่าที่พระชายาคนใหม่ให้มันจบๆ ไปเถิด เช่นนี้ท่านจะได้ทิ้งสายเลือดเอาไว้สืบสกุลต่อบนโลก...โอ๊ย ช่วยด้วย!”หลังจากจิ่งโม่เยี่ยถีบเจ้าอาวาสกระเด็น เขาก็ย่างกรายออกจากห้องวิปัสสนาอ