จิ่งโม่เยี่ยกล่าวอย่างช้าๆ ว่า “ใช่ ข้ากำลังหาที่ตายอยู่ ชีวิตมันไม่มีความหมายอะไรแล้ว เจ้าฆ่าข้าเสียเถิด”เหมยตงยวน “…”เขาอยากจะฆ่าจิ่งโม่เยี่ยใจจะขาด แต่จิ่งโม่เยี่ยมีพลังมังกรคุ้มกาย เขาฆ่าอีกฝ่ายไม่ได้ยิ่งมองเห็นจิ่งโม่เยี่ยมีสภาพแบบนี้ เขาก็ยิ่งนึกถึงตัวเองในอดีตความสัมพันธ์ระหว่างเขากับมารดาของเฟิ่งชูอิ่งนั้นดูจะแย่กว่านี้อีกถึงเขาจะไม่ชอบจิ่งโม่เยี่ย แต่เขาก็รู้สึกเห็นใจและไม่สามารถเกลียดชังอีกฝ่ายได้ลงทว่าจิ่งโม่เยี่ยที่มีสภาพเป็นแบบนี้ ไล่ก็ไม่ไป ฆ่าก็ไม่ตาย ทำให้เขารู้สึกปวดหัวจริงๆ จิ่งโม่เยี่ยมาคืนนี้ก็ไม่ได้ตั้งใจจะกลับไปอยู่แล้วตราบใดที่เหมยตงยวนไม่ฆ่าเขา เขาก็จะอยู่ที่นี่ไม่ไปไหนทั้งนั้นเหมยตงยวนทำหน้าเย็นชา แค่นเสียงในลำคอเบาๆ แล้วไม่สนใจเขาอีกจิ่งโม่เยี่ยนั่งอยู่หน้าห้องของเฟิ่งชูอิ่ง ได้อยู่ใกล้ชิดกับนางแล้วเขาก็รู้สึกสบายใจไม่ว่าในเมืองหลวงจะวุ่นวายแค่ไหน ขณะนี้ใจของเขาก็สงบปู๋เยี่ยโหวเห็นจิ่งโม่เยี่ยนั่งอยู่ตรงนั้นก็เข้ามาถามว่า “อะไรกัน? เจ้าจะใช้ลูกไม้ตามตื๊อหน้าด้านๆ อย่างนั้นหรือ?”จิ่งโม่เยี่ยพูดอย่างแผ่วเบา “ถ้าหน้าด้านแล้วได้ผล ก็ไม่เส
เขาเหลือบมองปู๋เยี่ยโหวแล้วพูดว่า “อย่างนั้นหรือ ถ้างั้นข้าก็ขอบใจแล้วกัน”คำพูดนี้ฟังดูไม่จริงใจเอาเสียเลย ปู๋เยี่ยโหวจึงเบ้ปาก “ข้าไม่รู้สึกถึงความจริงใจในคำพูดของเจ้าเลยสักนิด”จิ่งโม่เยี่ยพูดด้วยน้ำเสียงเรียบๆ “บังเอิญ ข้าก็เหมือนกัน”ทั้งสองเป็นญาติกัน ตอนที่ร่วมมือกันจัดการกับฮ่องเต้เจาหยวน ทั้งคู่ก็เข้าขากันเป็นอย่างดีปกติเวลาทำงานราชการ ทั้งสองก็ร่วมมือกันเป็นอย่างดีเช่นกันแต่เรื่องที่เกี่ยวกับเฟิ่งชูอิ่ง ทั้งคู่ก็มักจะขุดหลุมพรางใส่กันโดยที่ไม่มีใครยอมใครเลยปู๋เยี่ยโหวหัวเราะออกมาเบาๆ เพราะกลัวจะรบกวนคนอื่นก่อนที่จิ่งโม่เยี่ยจะมา อารมณ์ของเขาย่ำแย่มาก แต่ตอนนี้เขารู้ว่าเฟิ่งชูอิ่งอยู่ในห้อง และนางปฏิเสธความรักจากปู๋เยี่ยโหว อารมณ์ของเขาก็ดีขึ้นมากตรรกะของเขาก็เรียบง่ายมาก ตราบใดที่เฟิ่งชูอิ่งยังไม่มีคนที่ชอบ เขาก็ยังมีโอกาสเขาเห็นปู๋เยี่ยโหวยิ้ม เขาก็ยิ้มออกมาเช่นกันเดิมทีเขาอยากจะทำลายโลกใบนี้ แต่เมื่อคิดว่านางยังอยู่ในโลกนี้ โลกนี้ก็ยังมีคุณค่าที่จะดำรงอยู่วันที่สองเฟิ่งชูอิ่งตื่นขึ้นมา รู้สึกปวดหัววิงเวียนไปหมดนางยกมือนวดขมับ รู้สึกไม่สบายตัวอย่างมากเ
งานเข้าแล้ว ขายหน้าแบบสุดๆ!ถึงนางจะหน้าด้านแค่ไหน ก็ทนไม่ไหวจริงๆ !เฉี่ยวหลิงเห็นท่าทางของนางก็หัวเราะ “คุณหนูคออ่อนทนฤทธิ์สุราได้ไม่ค่อยดี พอเมาแล้วก็อาละวาด ต่อไปอย่าดื่มเลยจะดีกว่า”เฟิ่งชูอิ่ง “......”ครั้งนี้เมาจนสร้างเรื่องใหญ่โตขนาดนี้ ต่อไปนางจะกล้าดื่มอีกได้อย่างไร?ทันใดนั้นก็มีเสียงเคาะประตู เสียงของจิ่งโม่เยี่ยดังแว่วมา “ชูอิ่ง เจ้าตื่นหรือยัง?”เฟิ่งชูอิ่งตอนนี้ไม่อยากเจอจิ่งโม่เยี่ยเลยแม้แต่น้อย จึงพูดเบาๆ ว่า “เจ้าไล่เขาออกไป บอกว่าข้ายังไม่ตื่น”เฉี่ยวหลิงเห็นท่าทางของนางก็อดขำไม่ได้ เดินไปเปิดประตู “คุณหนูของข้าบอกว่ายังไม่ตื่น”เฟิ่งชูอิ่ง “......”ยัยทึ่มเอ๊ย!เฉี่ยวหลิงพูดจบก็รู้ตัวว่าเผลอหลุดปากไปแล้ว เลยทำเป็นทองไม่รู้ร้อน “ยังไงคุณหนูของข้าก็ไม่อยากเจอท่าน ท่านกลับไปเถอะ!”แววตาของจิ่งโม่เยี่ยหม่นแสงลงเล็กน้อย แต่ก็พูดว่า “ข้าให้พ่อครัวต้มโจ๊กมา ถ้าเจ้าตื่นแล้วก็กินรองท้องหน่อยนะ”พูดจบก็ยื่นโจ๊กให้เฉี่ยวหลิง แล้วหันหลังเดินจากไปเฉี่ยวหลิงยกโจ๊กเข้ามา “สำหรับคนที่มีฐานะอย่างจิ่งโม่เยี่ย นี่คงเป็นครั้งแรกที่เขาทำอะไรแบบนี้”เฟิ่งชูอิ่งนอนคว
เฟิ่งชูอิ่งกำลังหลับสะลึมสะลือ แต่จู่ๆ ก็สัมผัสได้ว่ามีมือข้างหนึ่งล้วงเข้ามาในอกของนางนางคว้ามือของคนผู้นั้นเอาไว้แล้วจับบิดสุดแรง ทั้งที่ดวงตาทั้งสองข้างยังปิดสนิท“อ๊าก” เสียงร้องโหยหวนดังขึ้นมาพร้อมกับเสียงสบถด่า “เฟิ่งชูอิ่ง เจ้าเป็นบ้าไปแล้วหรือ?”เฟิ่งชูอิ่งพลันเบิกตาโพลง ก่อนจะมองเห็นใบหน้าซีดเซียวของใครคนหนึ่ง ที่แม้จะหล่อเหลา แต่กลับดูเจ้าชู้สำส่อนครู่ต่อมานางก็สังเกตเห็นลัคนาของเขา มันเป็นสีดำทมิฬไปทั้งแถบ มีเพียงคนที่ใกล้จะตายเท่านั้นถึงจะมีโหงวเฮ้งเช่นนี้ ความทรงจำช่วงหนึ่งพลันไหลบ่าเข้ามาในสมอง นางจึงทดลองเอ่ยเรียกออกไปว่า “เฉินเยี่ยนเซิง?”เฉินเยี่ยนเซิงกุมมือที่เกือบจะถูกบิดจนหักของตัวเอง ตอบกลับด้วยสีหน้าไม่สบอารมณ์ “เจ้าบ้าไปแล้วหรือ ถึงกล้าบิดมือข้าเช่นนี้?” “เจ้าอย่าลืมนะ อีกไม่กี่วันเจ้าจะต้องแต่งงานกับผีขี้โรคอย่างอ๋องฉู่ เจ้าเป็นคนขอร้องให้ข้าพาหนีเองนะ!”เฟิ่งชูอิ่ง : “......”คำพูดของเขาตรงกับความทรงจำที่ปรากฏขึ้นในสมองของนางพอดิบพอดี แล้วก็เหมือนกับบทในนิยายที่ญาติผู้น้องของนางอ่านเมื่อไม่กี่วันก่อนทุกกระเบียดนิ้วด้วย เพราะว่านางร้ายในนิยายเล่มน
หลังได้ยินเสียงดังกล่าว เสียงเซ็งแซ่วุ่นวายภายในห้องก็กลายเป็นความเงียบสงัดในพริบตา สายตาของคนทั้งหมดหันมองไปทางประตูบานนั้นเฟิ่งชูอิ่งก็สงสัยใคร่รู้มิใช่น้อย นางอยากจะเห็นด้วยตาตัวเองว่าจอมวายร้ายที่ปั่นหัวคู่พระนางจนแทบเป็นบ้า ซึ่งนักเขียนบรรยายเอาไว้ว่ารูปโฉมดุจเซียนผู้ร่วงหล่นสุราลัย ทว่านิสัยใจคอโหดเหี้ยมอำมหิตผู้นั้น แท้จริงแล้วมีรูปร่างหน้าตาเป็นเช่นไรทว่าเมื่อนางมองเห็นจิ่งโม่เยี่ยเจ้าของบรรดาศักดิ์ฉู่อ๋อง ก็ถึงกับตกตะลึงตาค้างไปเลยยามนี้เป็นช่วงปลายฤดูใบไม้ผลิแล้ว เขากลับสวมเสื้อคลุมขนจิ้งจอกสีขาว องคาพยพทั้งห้าถูกสรรสร้างมาอย่างพิถีพิถัน นัยน์ตาดอกท้อคู่นั้นเป็นสีดำขลับ งามจนแยกมิออกเลยว่าเป็นบุรุษหรืออิสตรีในมือของเขาถือคัมภีร์พระไตรปิฎก มุมปากประดับรอยยิ้มจางๆ ให้บรรยากาศงามสง่าหลุดพ้นจากโลกีย์ทั้งปวง เหมือนเทพเซียนที่พลัดหลงจากสวรรค์ลงมายังโลกมนุษย์โดยแท้ เพียงแต่สีหน้าของเขาออกจะซีดเซียวเล็กน้อย ท่าทางคล้ายคนป่วยไข้อยู่หลายส่วน ทว่าท่าทางอ่อนแอนั้นกลับทำให้คนรู้สึกอยากจะปกป้องทะนุถนอมอย่างบอกไม่ถูกเฟิ่งชูอิ่งสรุปได้ว่า นี่มันปีศาจ[footnoteRef:1]ชัดๆ! [1: ปีศา
เฟิ่งชูอิ่งตัวสั่นระริกอย่างไม่อาจควบคุม ก่อนจะเหลือบมองเฉินเยี่ยนเซิงที่ถูกแล่เนื้อเถือหนังจนแดงเถือกไปทั้งตัวนางไม่อยากโดนแล่ จะต้องหาทางเอาตัวรอดให้ได้นางกรอกตาไปมา ก่อนจะกล่าวด้วยดวงตาแดงระเรื่อ “วันนี้ข้ากับเฉินเยี่ยนเซิงปรึกษาเรื่องหนีตามกันในห้องนี้จริงๆ“แต่ตอนนั้นข้าทำไปเพราะถูกเขาบีบบังคับ ก็เลยต้องยอมตามน้ำคนหน้าซื่อใจคดอย่างเขาไปก่อน“ท่านอ๋องก็ทราบ หลังจากบิดามารดาของข้าตายไป ข้าก็ไม่รู้จะหันหน้าไปพึ่งใคร ต้องจำใจไปอยู่อาศัยที่จวนสกุลหลิน“แต่ผู้คนในจวนสกุลหลินกลับหวังฮุบสมบัติของบิดามารดาข้า คิดจะทำร้ายข้าให้ถึงแก่ความตาย“พวกเขากลัวว่าหากข้าแต่งออกไปแล้ว จะขนทรัพย์สินทั้งหมดไปเป็นสินเดิมเจ้าสาวด้วย ดังนั้นก็เลยไม่อยากให้ข้าแต่งเข้าจวนอ๋องของท่าน“ดังนั้นหลินหว่านถิงกับเฉินเยี่ยนเซิงก็เลยวางแผนร่วมกัน พยายามพูดจาใส่ร้ายท่านอ๋องให้ข้าฟังบ่อยๆ หว่านล้อมให้ข้าหนีตามเขาไปพร้อมทรัพย์สิน จะได้ฉวยโอกาสนั้นจัดการปลิดชีพข้า“โดยที่พวกเขาไม่รู้เลยว่าเมื่อสิบปีที่แล้ว ท่านอ๋องเคยช่วยชีวิตข้าครั้งหนึ่งตอนอยู่ในบ่อน้ำพุร้อนของจวนกลางหุบเขา ข้าจึงปักใจอยากแต่งงานกับท่านตั้งแต
เขาเอ่ยถึงตรงนั้นแล้วหยุดมองจิ่งโม่เยี่ยด้วยความเวทนา “ท่านก็จะประสบอุบัติเหตุตายได้ทุกรูปแบบเลยล่ะ ท่านอาจจะกินอาหารติดคอตาย ดื่มน้ำสำลักตาย เดินๆ อยู่ก็สะดุดล้มตาย...”“เงียบซะ!” จิ่งโม่เยี่ยเอ่ยเสียงเย็นชาเจ้าอาวาสถอนหายใจ “รู้ว่าเจ้าไม่อยากฟังอะไรแบบนี้ ทว่ามันคือความเป็นจริง”“แม้สวรรค์จะเป็นผู้กำหนดชะตากรรมของมนุษย์ แต่บางครั้งก็อาจจะถูกคนช่วงชิงไปได้เหมือนกัน”“เมื่อไหร่ที่คนถึงคราวดวงตก ความซวยทั้งหลายแหล่ก็จะประดังประเดเข้ามาหาพร้อมกัน”“ถึงตอนนั้นคนอื่นก็ไม่จำเป็นต้องลงมือให้เสียแรงเปล่า เพราะเดี๋ยวเจ้าก็ตายแบบไม่รู้ตัวเอง”“ดังนั้นเรื่องเร่งด่วนในยามนี้ คือการตามหาตัวผู้เชี่ยวชาญศาสตร์ลี้ลับให้พบ ปัญหาจะได้คลี่คลาย”เขาพูดมาถึงตรงนี้แล้วเอ่ยด้วยท่าทางเจ้าเล่ห์ “แต่สำนักศาสตร์ลี้ลับถูกปิดล้อมเมื่อสิบปีก่อน คนในสำนักล้มตายไปหมดแล้ว จะไปหาผู้เชี่ยวชาญจากที่ไหนกันล่ะ?“ข้ามองว่า ท่านก็ไปหลับนอนกับว่าที่พระชายาคนใหม่ให้มันจบๆ ไปเถิด เช่นนี้ท่านจะได้ทิ้งสายเลือดเอาไว้สืบสกุลต่อบนโลก...โอ๊ย ช่วยด้วย!”หลังจากจิ่งโม่เยี่ยถีบเจ้าอาวาสกระเด็น เขาก็ย่างกรายออกจากห้องวิปัสสนาอ
เฟิ่งชูอิ่งหนังตากระตุกเบาๆ หันมองผู้หญิงวัยกลางคนที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ประธาน แต่งกายด้วยอาภรณ์งดงามหรูหรา แววตาทอประกายเย็นชาผู้หญิงคนนี้คือฮว๋าซื่อ[footnoteRef:1] ผู้มีศักดิ์เป็นป้าของนาง แล้วก็เป็นหนึ่งในคนที่กลั่นแกล้งรังแกร่างเดิมจนแทบไม่มีชีวิตรอด [1: 氏 แปลว่าแซ่ คนจีนจะนิยมเรียกผู้หญิงที่แต่งงานแล้วด้วยนามสกุลเดิมตามด้วยคำว่าซื่อ(氏)] ฮว๋าซื่อเห็นนางยื่นนิ่งไม่ไหวติง จึงหันไปส่งสายตาให้สาวใช้มีอายุสองคนที่ยืนอยู่ข้างล่าง สาวใช้สองคนนั้นรีบปรี่เข้ามา คิดจะจับตัวเฟิ่งชูอิ่งกดให้คุกเข่าเฟิ่งชูอิ่งที่เห็นว่าพวกนางตรงดิ่งเข้ามาหาตนเอง ล้วงหยิบมีดที่เพิ่งจะซื้อออกมาด้วยความว่องไว ก่อนจะใช้มันฟันมือของสาวใช้อาวุโสสองคนที่หมายจะคว้าตัวนางมีดเล่มนี้คมกริบมาก มันจึงตัดข้อมือของสาวใช้อาวุโสคนหนึ่งจนขาดกระเด็นหลังจากเฟิ่งชูอิ่งตัดมือของสาวใช้อาวุโสคนแรกแล้ว นางก็ตวัดมีดแล้วแทงลงบนไหล่ของสาวใช้อีกคนหนึ่งเพียงพริบตาเดียว เสียงร้องโหยหวนก็ดังก้องไปทั่วห้อง เลือดแดงฉานสาดกระจายฮว๋าซื่อตกใจจนลุกพรวดขึ้นจากเก้าอี้ ตวาดอย่างเดือดดาล “เฟิ่งชูอิ่ง เจ้าทำบ้าอะไรเนี่ย?”เฟิ่งชูอิ่งรู้ว่