งานเข้าแล้ว ขายหน้าแบบสุดๆ!ถึงนางจะหน้าด้านแค่ไหน ก็ทนไม่ไหวจริงๆ !เฉี่ยวหลิงเห็นท่าทางของนางก็หัวเราะ “คุณหนูคออ่อนทนฤทธิ์สุราได้ไม่ค่อยดี พอเมาแล้วก็อาละวาด ต่อไปอย่าดื่มเลยจะดีกว่า”เฟิ่งชูอิ่ง “......”ครั้งนี้เมาจนสร้างเรื่องใหญ่โตขนาดนี้ ต่อไปนางจะกล้าดื่มอีกได้อย่างไร?ทันใดนั้นก็มีเสียงเคาะประตู เสียงของจิ่งโม่เยี่ยดังแว่วมา “ชูอิ่ง เจ้าตื่นหรือยัง?”เฟิ่งชูอิ่งตอนนี้ไม่อยากเจอจิ่งโม่เยี่ยเลยแม้แต่น้อย จึงพูดเบาๆ ว่า “เจ้าไล่เขาออกไป บอกว่าข้ายังไม่ตื่น”เฉี่ยวหลิงเห็นท่าทางของนางก็อดขำไม่ได้ เดินไปเปิดประตู “คุณหนูของข้าบอกว่ายังไม่ตื่น”เฟิ่งชูอิ่ง “......”ยัยทึ่มเอ๊ย!เฉี่ยวหลิงพูดจบก็รู้ตัวว่าเผลอหลุดปากไปแล้ว เลยทำเป็นทองไม่รู้ร้อน “ยังไงคุณหนูของข้าก็ไม่อยากเจอท่าน ท่านกลับไปเถอะ!”แววตาของจิ่งโม่เยี่ยหม่นแสงลงเล็กน้อย แต่ก็พูดว่า “ข้าให้พ่อครัวต้มโจ๊กมา ถ้าเจ้าตื่นแล้วก็กินรองท้องหน่อยนะ”พูดจบก็ยื่นโจ๊กให้เฉี่ยวหลิง แล้วหันหลังเดินจากไปเฉี่ยวหลิงยกโจ๊กเข้ามา “สำหรับคนที่มีฐานะอย่างจิ่งโม่เยี่ย นี่คงเป็นครั้งแรกที่เขาทำอะไรแบบนี้”เฟิ่งชูอิ่งนอนคว
เขาพูดจบก็ถามต่อว่า “โจ๊กอร่อยไหม?”เฟิ่งชูอิ่งพยักหน้า “อร่อยดี”สายตาของจิ่งโม่เยี่ยมีรอยยิ้มมากขึ้น “ข้าทำเองกับมือ”เฟิ่งชูอิ่งเบิกตากว้างด้วยความตกใจองค์ชายผู้สูงศักดิ์อย่างจิ่งโม่เยี่ยทำโจ๊กเป็นด้วย?จิ่งโม่เยี่ยอธิบาย “ตอนที่ข้านำทัพไปตีแคว้นหนานเยว่ ข้าก็ได้เรียนรู้วิธีการทำโจ๊ก”“แต่พอกลับมาเมืองหลวงแล้ว ก็ไม่ต้องลงมือทำเอง ฝีมือเลยเริ่มขึ้นสนิม”เฟิ่งชูอิ่ง “……”นางไม่รู้จะพูดอะไรดีทันใดนั้น ก็มีเสียงดุดังมาจากห้องครัว “ไอ้เด็กเวรคนไหนต้มโจ๊กหม้อเบ้อเริ่มตั้งแต่เช้า โจ๊กนี่มันไม่อร่อยเลย!”เฟิ่งชูอิ่งชะงักไป จิ่งโม่เยี่ยลูบจมูกเบาๆ แล้วพูดว่า “ฝีมือข้ายังไม่ค่อยดี ตอนแรกๆ ต้มเสียไปหลายหม้อ น้ำน้อยไปบ้าง น้ำมากไปบ้าง”“โจ๊กนี่ถ้าเติมน้ำทีหลัง รสชาติมันก็จะเสีย”เฟิ่งชูอิ่งมุมปากกระตุกนางนึกภาพจิ่งโม่เยี่ยที่ยุ่งวุ่นวายอยู่ในครัวไม่ออกในใจของนาง จิ่งโม่เยี่ยคือดอกไม้บนยอดเขาสูงดอกไม้บนยอดเขาสูงนี้ พอเข้าครัวก็เหมือนเซียนลงมาจุตินางถามว่า “ท่านต้มโจ๊กในครัวทั้งคืนเลยหรือ?”จิ่งโม่เยี่ยพยักหน้า “ใช่”เขารู้ว่านางเมา เมื่อตื่นขึ้นมาตอนเช้าจะต้องไม่สบายตัว
จิ่งโม่เยี่ย มองนางพลางกล่าวว่า “การที่ข้าชอบเจ้า เรื่องนี้โดยพื้นฐานแล้ว มันเป็นเรื่องของข้าเอง”“ข้าติดหนี้ชีวิตเจ้าไว้ ไม่ว่าข้าจะดีกับเจ้าอย่างไรก็ไม่เพียงพอ ดังนั้นเจ้าจะไม่ตอบสนอง หรือจะไม่สนใจก็ย่อมได้”เฟิ่งชูอิ่ง “……”นางรู้สึกว่าจิ่งโม่เยี่ยเจ้าเล่ห์ยิ่งกว่าเดิม การกระทำเช่นนี้ของเขา ทำให้นางลำบากใจจริงๆ เฟิ่งชูอิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วถามว่า “จิ่งโม่เยี่ย ท่านชอบข้าตรงไหน”จิ่งโม่เยี่ยตอบว่า “ชอบทุกอย่าง”เฟิ่งชูอิ่งหรี่ตามอง “ข้าคิดว่าท่านไม่ได้ชอบข้าจริงๆ แต่เป็นเพราะท่านไม่เคยได้ครอบครองข้ามาก่อน จึงไม่ยอมแพ้เสียที”“ท่านยังคงรู้สึกผิดกับ ‘ความตาย’ ของข้าในอดีต ท่านทั้งเสียใจและยังปล่อยวางไม่ได้”“ดังนั้นท่านจึงยึดติดเช่นนี้ และคิดถึงห่วงหาข้าอยู่ตลอดเวลา”จิ่งโม่เยี่ยกล่าวเบาๆ ว่า “ไม่ใช่อย่างนั้นหรอก ข้าเข้าใจความรู้สึกของตัวเองดี”เฟิ่งชูอิ่งเอียงศีรษะมองเขา “ท่านที่เป็นแบบนี้ ทำให้ข้าอยากจะต่อยท่านจริงๆ ”มุมปากของจิ่งโม่เยี่ยยกขึ้นเล็กน้อย “ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็ต่อยเลย”เฟิ่งชูอิ่ง “……”นางไม่รู้จริงๆ ว่าควรจะจัดการกับจิ่งโม่เยี่ยอย่างไรนางกำหมัดใส่เขา ท
เขาเกลียดจิ่งโม่เยี่ย!ขณะนี้จิ่งสือเยี่ยนนั่งสงบนิ่งอยู่ในห้องโถงใหญ่ แม้เมืองหลวงจะวุ่นวายไปหมด แต่ภายในจวนอ๋องจิ้นกลับเงียบสงบอย่างมากซูโหย่วเหลียงรีบร้อนเดินเข้ามา “ท่านอ๋อง นี่เป็นโอกาสดีที่เราจะลงมือ”จิ่งสือเยี่ยนมองเขาแล้วพูดว่า “พวกคนที่ก่อความวุ่นวายในเมืองหลวง เป็นฝีมือท่านที่ยุยงใช่หรือไม่?”ซูโหย่วเหลียงยิ้มแย้ม “โอกาสแบบนี้หาได้ยากยิ่ง เราต้องไม่ปล่อยให้หลุดมือไปสิ”“เพราะมหาราชครูมีเพียงคนเดียว อิทธิพลของเขาในเมืองหลวงก็มากมายมหาศาล”“ตราบใดที่เราคว้าโอกาสไว้ได้ ครั้งนี้อาจจะสามารถดึงจิ่งโม่เยี่ยลงจากตำแหน่งได้”จิ่งสือเยี่ยนพอได้ยินอีกฝ่ายพูดเช่นนี้ ก็รู้ว่าซูโหย่วเหลียงไม่ได้ใส่ใจคำพูดของเขาเลยสักนิดเขาจึงพูดว่า “ท่านลุง ข้าบอกท่านไปหลายครั้งแล้ว อย่าไปยุ่งกับเรื่องของมหาราชครูและจิ่งโม่เยี่ย ทำไมท่านถึงไม่ยอมฟัง?”ซูโหย่วเหลียงเมื่อถูกต่อว่าเช่นนี้ ดวงตาก็เต็มไปด้วยความไม่พอใจ “การร่วมมือกับมหาราชครู เป็นผลประโยชน์ที่ดีที่สุดสำหรับพวกเรา”“เรื่องที่ได้ประโยชน์เช่นนี้ เราต้องคว้าโอกาสเอาไว้สิ”“อีกอย่าง วันนั้นตอนที่มหาราชครูมาหาเจ้า เจ้าก็เห็นด้วยมิใช่หร
ถึงแม้ว่าจิ่งสือเยี่ยนจะไม่รู้ว่าในฎีกาของพระสนมสวี่เขียนอะไรไว้ แต่สิ่งที่เขียนในนั้น แม้แต่เสนาบดีฝ่ายซ้ายก็ยังไม่กล้าตรวจสอบเรื่องราวทั้งหมดที่ผูกโยงเข้าด้วยกันนี้ ชวนให้น่าขบคิดอย่างยิ่งเมื่อคืนหลังจากที่จิ่งสือเยี่ยนรู้เรื่องนี้ เขาก็ได้กำชับซูโหย่วเหลียงเป็นพิเศษว่าอย่าเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้เด็ดขาดแต่เห็นได้ชัดว่าซูโหย่วเหลียงไม่ได้ฟังสิ่งที่เขาพูดเลยสักนิดจิ่งสือเยี่ยนสังเกตเห็นตั้งแต่ก่อนหน้านี้แล้วว่า นับตั้งแต่ตอนที่เขาเปิดเผยตัวตน และมีอำนาจทัดเทียมกับจิ่งโม่เยี่ย ซูโหย่วเหลียงก็เริ่มหลงระเริงในอำนาจหรืออาจกล่าวได้ว่า อำนาจที่อยู่ตรงหน้าได้หล่อเลี้ยงความทะเยอทะยานของซูโหย่วเหลียงจิ่งสือเยี่ยนมีแนวทางการทำงานที่ค่อนข้างรอบคอบ ซูโหย่วเหลียงไม่ค่อยพอใจกับแนวทางการทำงานของเขาจนถึงตอนนี้ ซูโหย่วเหลียงก็มักจะทำในสิ่งที่ขัดคำสั่งของเขามากขึ้นเรื่อยๆ ยิ่งไปกว่านั้น ซูโหย่วเหลียงยังถือเอาความเป็นผู้อาวุโสของเขา คอยแต่จะสั่งสอนเขาอยู่บ่อยๆ ซูโหย่วเหลียงขมวดคิ้ว “มหาราชครูเป็นอาจารย์ของฮ่องเต้ มีลูกศิษย์อยู่ทั่วผืนแผ่นดิน ถึงแม้ว่าเขาจะประพฤติตัวไม่เหมาะสม แต่ก็
ผู้ดูแลที่ได้ยินคำสั่งก็รีบปิดประตูจวนอ๋องไม่ต้อนรับแขกทันทีแต่จิ่งสือเยี่ยนรู้ว่าแค่นี้ยังไม่พอ เขากลัวว่าจิ่งโม่เยี่ยจะฉวยโอกาสครั้งนี้กวาดล้างเมืองหลวงเขาจึงจุดดอกไม้ไฟในจวนเพื่อแจ้งกองทัพอวี๋ซานให้เตรียมพร้อมหากเกิดเหตุการณ์เปลี่ยนแปลงในเมืองหลวง ก็ให้รีบนำทัพเข้ามาช่วยเหลือในเมืองหลวงทันทีในเวลาเดียวกัน องครักษ์ทั้งหมดในจวนอ๋องจิ้นต่างเข้าประจำตำแหน่ง เตรียมพร้อมอย่างเข้มงวดองครักษ์เหล่านี้ล้วนเป็นยอดฝีมือที่คัดเลือกมาจากกองทัพอวี๋ซาน แต่ละคนสามารถต่อสู้กับศัตรูได้ถึงสิบคนองครักษ์ทุกคนมีหน้าไม้และอาวุธยุทโปกรณ์ครบมือ แม้ว่าจิ่งโม่เยี่ยจะพาคนบุกเข้ามา เขาก็ใช่ว่าจะไร้หนทางสู้สถานการณ์เช่นนี้ทำให้จิ่งสือเยี่ยนรู้สึกเศร้าใจขึ้นมาเขาไม่อยากเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับการแย่งชิงบัลลังก์จริงๆ เพราะเขานับถือจิ่งโม่เยี่ยมาก ความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิงเพราะสถานการณ์ที่วุ่นวายเช่นนี้เขายิ่งถูกคนในตระกูลฝั่งมารดาผลักดันให้แย่งชิงบัลลังก์เดิมทีเขาคิดว่าคู่แข่งของเขาคือพี่น้องของเขา แต่กลับไม่คิดว่าจะเป็นจิ่งโม่เยี่ยหากเป็นไปได้ เขาก็ไม่อยากเป็นศัตรูกับจิ่งโม่เยี
จิ่งโม่เยี่ยถามว่า “ถ้าเป็นชูอิ่งเจอเรื่องแบบนี้ เจ้าคิดว่านางจะจัดการอย่างไร”ปู๋เยี่ยโหวไม่รู้ว่าทำไมจิ่งโม่เยี่ยถึงถามแบบนี้ แต่เขาก็ลองนึกถึงวิธีการของเฟิ่งชูอิ่งดูหลังจากคิดอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็พูดว่า “ถ้าเป็นชูชูจัดการเรื่องนี้ คงจะทำให้พวกนี้รู้สึกเสียใจจนอยากจะหายไปจากโลกนี้เลยล่ะ!”เขาเคยเห็นวิธีการจัดการเรื่องต่างๆ ของนาง ถือว่าคำที่เขาใช้อธิบายนั้นเหมาะสมแล้วเพราะไม่ว่าจะเป็นจวนสกุลหลิน อารามเทียนอี้หรือแม้แต่คุกของจวนผู้ว่าราชการประจำเมืองหลวง ทุกหนแห่งที่มีนางปรากฏตัว ที่นั่นก็จะวุ่นวายโกลาหลไปหมดจะบอกว่าที่ที่นางผ่านไปนั้นราบคาบเป็นหน้ากลองก็คงไม่ผิดนักมุมปากของจิ่งโม่เยี่ยยกขึ้นเล็กน้อย “ถ้าเป็นนาง พวกหัวโบราณคร่ำครึเหล่านั้นคงจะหัวฟัดหัวเหวี่ยงกันตรงนั้นแน่”ปู๋เยี่ยโหวรู้สึกว่าเฟิ่งชูอิ่งมีความสามารถขนาดนั้นจริงๆ จิ่งโม่เยี่ยพูดต่อ “ในเมื่อคนพวกนี้น่ารำคาญนัก ก็ให้พวกเขาหัวฟัดหัวเหวี่ยงไปเถอะ”พอปู๋เยี่ยโหวได้ยินแบบนี้ก็รู้สึกว่ามีอะไรไม่ชอบมาพากล จึงถามว่า “เจ้าจะทำอะไร”จิ่งโม่เยี่ยพูดอย่างใจเย็น “ที่ผ่านมาข้ารู้สึกว่าคนที่อยู่ในเมืองหลวงพวกนี้น่ารำคาญมา
หลางซานพูดต่อว่า "จะว่าไปก็แปลกนะพ่ะย่ะค่ะ หลังจากเกิดเรื่องพวกนี้ขึ้น จวนอ๋องจิ้นก็ปิดประตูจวนไม่รับแขก""ดูจากท่าทางของเขาแล้ว คล้ายไม่อยากยุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้"จิ่งโม่เยี่ยมองด้วยสายตาเย็นชา "เขาปล่อยให้เรื่องนี้ดำเนินไปโดยไม่ขัดขวาง นั่นหมายความว่าเรื่องนี้เป็นความตั้งใจของเขา""อาจจะไม่ใช่เจตนาของเขาก็ได้ แต่เมื่อมาถึงจุดนี้แล้ว มันก็เป็นตัวแทนของเขาอยู่ดี"เขาพูดต่ออย่างช้าๆ "หรืออาจจะเป็นเพราะคนในตระกูลซูมีความทะเยอทะยานมากเกินไป เขาอาจจะต้องการยืมมือข้าจัดการพวกเขา"หลางซานไม่เข้าใจเหตุผลในเรื่องนี้ จึงถามว่า "แต่ตระกูลซูเป็นฐานอำนาจของเขา ทำไมเขาถึงต้องทำแบบนี้ด้วย?"จิ่งโม่เยี่ยพูดเสียงเรียบ "อาจจะเป็นเพราะเขาได้ควบคุมทุกอย่างของตระกูลซูแล้ว คนที่ไม่เชื่อฟังก็ไม่จำเป็นต้องเก็บไว้อีก"หลางซานได้ยินแล้วรู้สึกขนลุก เขารู้สึกว่าคนในราชวงศ์นี่น่ากลัวจริงๆ ถึงพวกเขาจะไม่ถึงขั้นไม่รู้จักคำว่าญาติพี่น้อง แต่ก็คงไม่ต่างกันเท่าไหร่เขาพูดเบาๆ "แต่ก่อนเห็นอ๋องจิ้นเป็นคนรักษาน้ำใจและเห็นค่าความสัมพันธ์ ไม่คิดว่าเมื่อเขาโหดขึ้นมาจะเหี้ยมยิ่งกว่าใครๆ "จิ่งโม่เยี่ยมองอย่างเย็น
จิ่งสือเยี่ยนคิดว่าการเดินทางผ่านหมู่บ้านอาจเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นอีก จึงเลือกที่จะเดินทางผ่านป่าแทนแต่แล้วม้าของเขาก็ติดกับดักอีกครั้ง ครั้งนี้ม้าเกิดอาการตื่นตระหนกม้าที่เขาเพิ่งเปลี่ยนมาจากองครักษ์นั้นดีดดิ้นเหมือนกำลังคุ้มคลั่ง จนเขากระเด็นตกจากหลังม้าครั้งนี้เขาไม่โชคดีเท่าไหร่ ตอนที่ถูกม้าเหวี่ยงออกไป ร่างของเขาฟาดเข้ากับต้นไม้อย่างแรงมีเสียงดัง “โครม!” ก่อนจิ่งสือเยี่ยนจะกลิ้งลงมาจากต้นไม้ครั้งนี้เขารู้สึกเหมือนเอวจะหัก ปวดจนทนแทบไม่ไหวองครักษ์ของเขาช่วยพยุงเขาขึ้นมาและดึงม้าที่ตื่นตระหนกกลับมาจิ่งสือเยี่ยนสูดหายใจเข้าลึกๆ ในใจรู้สึกหงุดหงิดยิ่งไปกว่านั้น ทุกคนก็ไม่ได้เป็นอะไร มีแค่ม้าของเขาเท่านั้นที่มีปัญหาเรื่องแบบนี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนเขารู้สึกว่าวันนี้ตัวเองค่อนข้างโชคร้ายคืนนี้การเดินทางไม่คืบหน้าไปไหน แล้วเขายังต้องตกม้าถึงสองครั้ง เจอเรื่องแบบนี้แม้แต่พระอิฐพระปูนก็ยังโมโห นับประสาอะไรกับจิ่งสือเยี่ยนที่เป็นคนอารมณ์ร้อนอยู่แล้วเขาสูดหายใจเข้าลึกๆ พยายามระงับความโกรธแต่การตกม้าครั้งนี้ค่อนข้างรุนแรง เขาเคล็ดเอวด้วยจึงไม่สามารถขี่ม้าได้อีกสักพักเ
“ข้าไม่ใช้วิชาชั่วร้ายแบบที่เทียนซือใช้กับเจ้าก่อนหน้านี้หรอก ข้าใช้แต่คาถาสายธรรมมะเท่านั้น”“วิธีนี้ไม่สร้างอันตรายถึงชีวิต แต่จะทำให้โชควาสนาของเขาน้อยลง”“จากนี้ไป เขาจะไม่ใช่จิ่งสือเยี่ยนที่ใช้ชีวิตได้อย่างราบรื่นอีกต่อไป แต่จะเป็นจิ่งสือเยี่ยนคนธรรมดา”จิ่งโม่เยี่ยรู้ว่าวิชาศาลตร์ลี้ลับของนางสูงส่งมาก นางแค่พูดแบบถ่อมตัวนั่นหมายความว่าจิ่งสือเยี่ยนอาจจะต้องประสบโชคร้ายสักหน่อยเขาถามว่า “วิชาของเจ้าจะอยู่ได้นานแค่ไหน?”เฟิ่งชูอิ่งตอบว่า “ประมาณเจ็ดวัน แต่ถ้าโชคชะตาของเขาแข็งแกร่งเกินไป เวลาก็จะสั้นลงอีกหน่อย”“ดังนั้น เจ้าต้องตามหาเขาให้เจอโดยเร็วที่สุด แล้วจัดการเขาให้เรียบร้อย”“เพราะเจ็ดวันหลังจากนี้ เท่าที่ดูจากกระดานคำนวณครั้งก่อน เขาอาจจะพากองทัพกลับมาเอาคืนได้”จิ่งโม่เยี่ยพยักหน้าแล้วเหวี่ยงตัวขึ้นไปบนอาชาเฟิ่งชูอิ่พูดกับแผ่นหลังของเขาว่า “ตอนที่เจ้าสู้กับเขา ต้องระวังตัวให้มากนะ”จิ่งโม่เยี่ยหันกลับมามองนาง นางกัดริมฝีปากก่อนจะพูดว่า “เจ้าต้องมีชีวิตรอดกลับมาให้ได้!”“เมื่อเจ้ากลับมาแล้ว พวกเราจะแต่งงานกัน”จิ่งโม่เยี่ยได้ยินคำพูดนี้ก็ตาเป็นประกาย ในขณะนั้
แต่เพื่อความสะดวกในการสะกดรอยตามจิ่งสือเยี่ยน เฟิ่งชูอิ่งจึงใช้ศาสตร์ลี้ลับกับเขาเล็กน้อยดังนั้นเขาจึงสามารถเก็บของบางอย่างไว้กับตัวได้ อย่างเช่นกางเกงในสองสามตัวก็ไม่ใช่เรื่องแปลกตอนนี้เขาถูกกระจกปราบปีศาจกดทับจนขยับไม่ได้ เฟิ่งชูอิ่งจึงร่ายคาถาช่วยเขาป้องกันการโจมตีของกระจกปราบปีศาจชั่วคราว ทันใดนั้นเขาก็หายวับไปอยู่ด้านหลัง ตรงจุดที่กระจกปราบปีศาจโจมตีไม่ถึงเมื่อจิ่งสือเฟิงเป็นอิสระ เขาก็เริ่มบิดตัวไปมา “เกือบจะถูกทับตายอยู่แล้วเชียว!”“ข้าไม่ได้ทำร้ายใครสักหน่อย ทำไมต้องโจมตีกันด้วย?”เฟิ่งชูอิ่งเห็นท่าทางของเขาก็ลอบกลอกตาไปมา พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “เอาของออกมา”จิ่งสือเฟิงกลัวจะถูกนางทุบตี จึงรีบหยิบกางเกงในออกมาให้นางจิ่งโม่เยี่ยพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “เจ้าไม่มีของอย่างอื่นให้หยิบมาหรือไง?”เขามองจิ่งสือเฟิงด้วยสายตาราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ เขาช่างกล้าหาญนัก กล้าให้เฟิ่งชูอิ่งดูกางเกงในของผู้ชายคนอื่นจิ่งสือเฟิงหดคอแล้วพูดว่า “ข้าก็ไม่ได้คิดอะไรมาก แค่หยิบติดมือมาส่งเดช”เฟิ่งชูอิ่งกล่าวด้วยท่าทางหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก “ช่างเถอะ ใช้งานได้ก็พอ ตอนนี้ไม่ใช่เ
นางจ้องเขม็งไปทางจิ่งสือเฟิงด้วยความขุ่นเคือง พับเก็บแผนการที่จะกระทืบเขาไว้ชั่วคราวจิ่งโม่เยี่ยรู้สึกประหลาดใจที่เห็นนางอยู่ที่นี่ “เจ้ามาทำอะไรที่นี่?”เขาพูดพลางถอดเสื้อคลุมของตัวเองมาห่มให้นางคืนนี้หิมะตก อากาศหนาวมาก เฟิ่งชูอิ่งรีบร้อนออกมาจนลืมหยิบเสื้อคลุมตอนนี้เสื้อคลุมของเขากำลังห่มคลุมร่างของนาง ความอบอุ่นและกลิ่นอายของเขากำลังโอบล้อมนาง ทำให้นางรู้สึกอบอุ่นอย่างมากนางตอบ “ข้ามาหาจิ่งสือเฟิง เขาติดตามจิ่งสือเยี่ยนมาที่นี่ แต่โดนกระจกปราบปีศาจที่หน้าประตูเมืองสะกดเอาไว้”จิ่งโม่เยี่ยมองจิ่งสือเฟิงด้วยสายตาเหยียดหยาม เจ้าบ้านี่มันไม่ได้เรื่องจริงๆ แค่ตามคนยังตามได้ไม่ดี ต้องเดือดร้อนให้เฟิ่งชูอิ่งมาช่วยเหลือกลางดึกจิ่งสือเฟิงรีบหดตัวเป็นก้อนเล็กๆ พยายามทำตัวให้โดดเด่นน้อยที่สุดเขารู้สึกว่าเรื่องนี้ก็ไม่ใช่ความผิดของเขาเสียทีเดียว ใครจะไปรู้ว่าที่นี่จะมีกระจกปราบปีศาจบานใหญ่ขนาดนี้อยู่ที่สำคัญคือเขาเพิ่งเป็นผีได้ไม่นาน ยังไม่ค่อยรู้เรื่องพวกนี้เท่าไหร่จิ่งโม่เยี่ยพูดกับเฟิ่งชูอิ่งว่า “อากาศหนาว เจ้ากลับไปพักผ่อนก่อนเถอะ ข้าจะไปตามจิ่งสือเยี่ยนเอง”เฟิ่งชูอิ่งถ
จิ่งสือเฟิงนอนกลัดกลุ้มอยู่บนพื้นแล้วจะทำอย่างไรต่อดี?ถึงแม้เขาจะหลุดพ้นจากกระจกปราบปีศาจที่ประตูเมืองได้ และย้อนกลับไปแจ้งข่าวเฟิ่งชูอิ่งก็ไม่ทันการณ์แล้วเพราะเขาเห็นจิ่งสือเยี่ยนคุยกับแม่ทัพผู้รักษาประตูเมืองเพียงไม่กี่คำ ก็สามารถเดินออกจากเมืองหลวงไปได้อย่างผ่าเผยจิ่งสือเฟิงเห็นท่าทางแบบนั้นของจิ่งสือเยี่ยนก็แอบสบถในใจและในขณะนี้เอง เขาก็รู้สึกถึงความแตกต่างระหว่างเขากับจิ่งสือเยี่ยนก่อนหน้านี้เขาคิดว่าเขารวบรวมผู้คนได้มากมาย เขาเก่งกาจมากแต่ไม่มีใครในกลุ่มคนเหล่านั้นสามารถพาเขาออกจากเมืองหลวงได้เลยเมื่อเทียบกับจิ่งสือเยี่ยน จิ่งสือเฟิงก็รู้สึกว่าตัวเองโง่จริงๆ เพราะคนที่เขาซื้อตัวมานั้นไม่สามารถทำงานเป็นระบบแบบแผนเหมือนคนของจิ่งสือเยี่ยนไม่ว่าจิ่งสือเยี่ยนจะทำอะไร ก็มีคนที่สามารถใช้งานได้ตลอดจิ่งสือเฟิงก็เป็นองค์ชาย รู้ว่ากว่าจะทำได้ถึงขั้นนี้มันยากขนาดไหนเพราะการซื้อตัวขุนนางที่มีอำนาจสูงต่ำต่างกัน ต้องใช้ความพยายามที่แตกต่างกันด้วยหากจะให้สรุปง่ายๆ คือเขาไม่มีปัญญาทำเฟิ่งชูอิ่งติดยันต์ไว้บนตัวจิ่งสือเฟิง ตอนที่เขาถูกกระจกปราบปีศาจสะกด นางก็รู้สึกได้ทันที
ต้องออกจากเมืองหลวงให้ได้ เขาถึงจะปลอดภัยอย่างแท้จริงกองกำลังของเขายังต้องใช้เวลาอีกหลายวันกว่าจะถึงเมืองหลวง ตอนนี้เขาต้องออกจากเมืองหลวงไปสมทบกับพวกเขาตราบใดที่พวกเขารวมตัวกันได้ เขาก็จะปลอดภัยเพียงแต่เรื่องนี้ พูดง่าย แต่ทำได้ยากเพราะอีกไม่นานจิ่งโม่เยี่ยก็จะรู้ตัวว่าเขาหนีออกมาแล้ว จากนั้นก็จะส่งทหารมาตามล่าเขาดังนั้นเขาต้องรีบออกจากเมืองหลวงให้เร็วที่สุด!วันนี้ตอนที่เขาเข้าวัง เขาได้เตรียมการมาอย่างรอบคอบ เขากลัวว่าจะมีปัญหาเกิดขึ้น ดังนั้นจึงให้ทหารองครักษ์ของเขารอเขาอยู่นอกวังตอนนี้ทหารองครักษ์ของเขาตามหาเขาพบแล้ว เขาจึงออกคำสั่งว่า "ออกจากเมืองหลวง"ทหารองครักษ์ทำท่าลำบากใจแล้วรายงานว่า "ตอนที่ท่านอ๋องเข้าวัง พวกข้าได้ทำตามคำสั่งของท่านอ๋อง สืบดูสถานการณ์ในเมืองหลวงแล้ว""เป็นอย่างที่ท่านอ๋องคาดการณ์ไว้ อ๋องผู้สำเร็จราชการได้สั่งปิดประตูเมืองแล้ว""ตอนนี้ประตูเมืองปิดหมดทุกบาน พวกเราออกไปไม่ได้แล้ว"จิ่งสือเยี่ยนพูดด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำว่า "ไม่เป็นไร ที่ประตูติ้งหวามีคนของข้าอยู่ พวกเราจะไปที่ประตูติ้งหวากัน"ทหารองครักษ์ตอบรับ แล้วรีบพาเขาไปทางนั้นพวกเขาไม่ท
จิ่งโม่เยี่ยเหลือบมองเขาแวบหนึ่ง “เจ้าเคยมุดนะ”ปู๋เยี่ยโหวนึกอยากจะเถียงว่าเขามุดรูหมาลอดตอนไหน แต่ก็นึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นตอนเด็กๆ ได้ จึงเงียบปากลงทันทีจิ่งโม่เยี่ยพูดต่อ “ได้ยินว่าวันนี้เจ้าไปก่อเรื่องใหญ่ในวังหลวงอีกแล้ว?”พอเขาเข้าวัง ก็มีทหารมาเล่าเรื่องที่ศพฮ่องเต้เจาหยวนถูกทำลายจนแหลกละเอียดให้ฟังคนอื่นอาจจะโดนปู๋เยี่ยโหวหลอกได้ แต่จิ่งโม่เยี่ยไม่มีทางโดนหลอกแน่นอนเขารู้ว่าปู๋เยี่ยโหวต้องเป็นคนทำลายศพฮ่องเต้แน่ๆปู๋เยี่ยโหวเลิกคิ้ว “เรื่องนั้นข้าไม่ได้ทำจริงๆ เสนาบดีฝ่ายซ้ายเป็นพยานให้ข้าได้”จิ่งโม่เยี่ยได้แต่หัวเราะในใจกับคำพูดนี้ ใครบ้างไม่รู้จักนิสัยของปู๋เยี่ยโหวปู๋เยี่ยโหวก็ไม่ได้คิดจะปิดบังเขา ตอนนี้ไม่มีใครอยู่รอบๆ ปู๋เยี่ยโหวจึงขยับเข้าไปใกล้เขาแล้วพูดว่า “ฮ่องเต้เจาหยวนยังไม่ตาย”จิ่งโม่เยี่ยเหลือบมองเขา ปู๋เยี่ยโหวจึงเล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟังตั้งแต่ต้นจนจบตอนแรกปู๋เยี่ยโหวคิดว่าฮ่องเต้เจาหยวนถูกผีสิง แต่เขาก็นึกถึงที่เฟิ่งชูอิ่งเคยบอกว่าวิญญาณร้ายเข้าวังหลวงไม่ได้ดังนั้น ตอนที่ฮ่องเต้เจาหยวนดีดตัวลุกขึ้นมานั่งในโลงศพ คงต้องมีแผนการบางอย่างแน่แต่ฮ่อ
เฟิ่งชูอิ่งมีความคิดเห็นที่แตกต่างออกไป “ไม่เห็นจะปัญญาอ่อนเลย ข้าว่าเขาเป็นแบบนี้น่ารักจะตาย”เหมยตงยวนกลอกตาไปมา เขามองไม่เห็นจริงๆ ว่าจิ่งโม่เยี่ยน่ารักตรงไหนเฟิ่งชูอิ่งเห็นสีหน้าของเขาจึงพูดขึ้นทันทีว่า “ข้าลองคิดดูดีๆ แล้ว ข้าว่าท่านพ่อพูดถูก เขาโง่จริงๆ นั่นแหละ”“ขนาดเดินยังไม่ถูกทางเลย ไม่โง่จะเรียกว่าอะไร?”มุมปากของเหมยตงยวนกระตุกเบาๆถึงแม้เขาจะรู้ว่าเฟิ่งชูอิ่งพูดแบบนี้เพื่อปลอบใจเขา แต่มันก็ปิดกั้นความรู้สึกดีของเขาไม่ได้ลูกสาวของเขายังคงเอาใจใส่เขา คอยดูแลความรู้สึกของเขาในฐานะพ่อเสมอถึงแม้ว่าเหมยตงยวนจะรู้สึกว่าจิ่งโม่เยี่ยไม่คู่ควรกับลูกสาวของเขา แต่เขาก็พอจะยอมรับจิ่งโม่เยี่ยได้อย่างมากที่สุดก็คือตอนที่จิ่งโม่เยี่ยทำไม่ดีกับเฟิ่งชูอิ่งในอนาคต เขาจะไปซ้อมจิ่งโม่เยี่ยให้หนักเองเขาพูดกับเฟิ่งชูอิ่งว่า “มืดแล้ว เจ้ากลับห้องไปพักผ่อนเถอะ”วันนี้นางใช้พลังทำนายมากเกินไป ร่างกายจึงอ่อนล้า ต้องพักผ่อนให้เพียงพอตอนนี้เฟิ่งชูอิ่งรู้สึกมึนหัวจริงๆ นางเดินโซเซกลับไปที่ห้องของตัวเองแต่เมื่อนางกลับมาที่ห้อง นางกลับพบว่าตัวเองนอนไม่หลับไม่ว่าอย่างไรก็ตาม เนื้อเรื่อ
แววตาของจิ่งโม่เยี่ยเยือกเย็นลงในทันที พร้อมกับจิตสังหารที่แผ่ออกมาจากตัวเขาเขาไม่ได้ยึดติดกับบัลลังก์ แต่ตอนนี้เขาต้องการมีชีวิตอยู่เขาต้องมีชีวิตรอดต่อไปเท่านั้น ถึงจะสามารถอยู่เคียงข้างเฟิ่งชูอิ่งได้เพื่อที่จะได้อยู่เคียงข้างนาง เขาสามารถทำทุกอย่างได้เดิมทีเขาไม่ได้มีเจตนาจะฆ่าจิ่งสือเยี่ยน แต่ในวินาทีนี้ เขากลับรู้สึกว่าจิ่งสือเยี่ยนสมควรตายได้แล้วเขาพูดกับเฟิ่งชูอิ่งว่า “ข้าจะกลับเข้าวังก่อน”กลับไปเพื่อฆ่าจิ่งสือเยี่ยนแต่เหมยตงยวนกลับรั้งเขาไว้ว่า “เจ้าช้าก่อน”จิ่งโม่เยี่ยหันไปมองเขา เหมยตงยวนจึงยื่นกระบี่ในมือให้เขา “ใช้สิ่งนี้ไปฆ่าจิ่งสือเยี่ยน”จิ่งโม่เยี่ยค่อนข้างงุนงง เหมยตงยวนอธิบายว่า “กระบี่เกล็ดน้ำค้างเหมันต์ของเจ้าถึงแม้จะคมกริบ แต่เจ้าหล่อเลี้ยงมันด้วยจิตสังหารมามากเกินไปในช่วงหลายปีมานี้”“จิตสังหารที่รุนแรงเช่นนี้ เมื่อชักกระบี่ออกมา แท้จริงแล้วคนที่ได้รับความเสียหายที่สุดคือตัวเจ้าเอง มันจะส่งผลต่อโชคชะตาของเจ้า”“สำหรับเจ้าในอดีต จิตสังหารเหล่านี้ไม่ได้ส่งผลเสียอะไร แต่ตอนนี้โชคชะตาของเจ้ากำลังเฟื่องฟู หากจิตสังหารหนักเกินไป มันจะส่งผลกระทบต่อโชคช