เขาคิดจากใจจริงว่าท่านอ๋องของเขาพยายามทุกวิถีทางเพื่อตามง้อภรรยา แถมยังฉวยโอกาสทุกครั้งที่มีจิ่งโม่เยี่ยหาข้ออ้างไปพบเฟิ่งชูอิ่งได้แล้ว เขาจึงจัดการงานราชการในมืออย่างรวดเร็ว แล้วก็ออกเดินทางไปที่จวนผู้ว่าราชการอีกครั้งตอนที่เขาออกมาจากจวน ก็บังเอิญเจอกับปู๋เยี่ยโหวระหว่างทางพอดีเรื่องนี้เกิดขึ้นกะทันหันเกินไป ปู๋เยี่ยโหวเพิ่งจะได้รับข่าวเมื่อไม่นานมานี้เขาถามจิ่งโม่เยี่ยว่า “ชูชูถูกขังอยู่ในจวนผู้ว่าราชการได้อย่างไร?”จิ่งโม่เยี่ยไม่อยากสนใจเขาจึงทำเป็นเมินเฉยปู๋เยี่ยโหวได้ชื่อว่าเป็นคนหน้าด้านหน้าทนที่สุดในเมืองหลวง เขาจึงไม่สนใจท่าทีของจิ่งโม่เยี่ยเขาถามต่อว่า “ตอนนี้เจ้าจะไปเยี่ยมชูชูใช่ไหม?”จิ่งโม่เยี่ยก็ยังไม่สนใจเขาเหมือนเดิมเขากล่าวต่อว่า “ถ้าเจ้าจะไปเยี่ยมชูชู ข้าจะไปกับเจ้าด้วย”จิ่งโม่เยี่ยหยุดเดินแล้วมองไปที่เขา “ว่างมากรึไง?”ปู๋เยี่ยโหวยิ้ม “ไม่งานยุ่งเท่าเจ้าหรอก”จิ่งโม่เยี่ย “......”เขาอยากจะฆ่าปู๋เยี่ยโหวให้ตายเสียจริงเขาจ้องมองปู๋เยี่ยโหว แล้วสาวเท้าเดินต่อไปปู๋เยี่ยโหวรีบตามไปแบบติดๆ พูดพล่ามข้างๆ เขาต่อไป “ชูชูเกิดเรื่อง เจ้าก็ไม่ยอมบอกข้า
ตอนที่เขาทำตัวหน้าด้านแสร้งจะเนียนตามเข้าไปข้างใน ก็ถูกเจ้าหน้าที่ขวางไว้อีกครั้งครั้งนี้จิ่งโม่เยี่ยไม่แม้แต่จะชายตามองเขา เดินตัวปลิวเข้าไปด้านในเลยปู๋เยี่ยโหวต้องการจะบุกเข้าไป จิ่งโม่เยี่ยจึงให้หลางซานอยู่เฝ้า ปู๋เยี่ยโหวจึงไม่สามารถผ่านหลางซานเข้าไปได้หลางซานพูดเสียงเรียบว่า “ท่านโหว เชิญกลับเถอะ! หลังจากพระชายาเข้าไปในจวนผู้ว่าราชการ ท่านอ๋องก็มีรับสั่งห้ามท่านมาเยี่ยม”ปู๋เยี่ยโหวบ่นพึมพำ “จิ่งโม่เยี่ยนี่ขี้เหนียวชะมัด!”“ตอนที่ชูชูพักอยู่ที่จวนตากอากาศของข้า ข้าก็ไม่ได้ห้ามเขาไม่ให้มาเยี่ยมนาง”หลางซานพูดด้วยสีหน้าเรียบเฉย “ท่านไม่ได้ห้ามท่านอ๋อง แต่ท่านปิดบังพระองค์ต่างหาก”ปู๋เยี่ยโหว “……”เขาแค่นเสียงในลำคอเบาๆ แล้วพูดว่า “ข้าเข้าใจแล้ว จิ่งโม่เยี่ยก็แค่ริษยาข้า!”หลางซานไม่แสดงความเห็นต่อความคิดเห็นนี้ ปล่อยให้เขาพูดพล่ามไปคนเดียวปู๋เยี่ยโหวเห็นว่าใช้วิธีแข็งกร้าวไม่ได้ผล จึงเปลี่ยนมาใช้วิธีอ่อนโยน “ข้ามีประสบการณ์ด้านการติดคุกมากมาย สามารถสอนชูชูให้รู้วิธีใช้ชีวิตในคุกอย่างมีความสุขได้”“ถ้าเจ้าไม่อยากให้นางลำบาก ก็ปล่อยข้าเข้าไปเถอะ”หลางซานพูดเสียงเรียบ “
“เมื่อท่านได้พบเจอกับนาง เข็มบนนี้จะหมุนเอง ท่านจะได้ไม่คลาดกับนางแล้วมาโทษข้าว่าหลอกลวง”พูดจบ นางก็ยื่นจานกลมให้เสนาบดีฝ่ายซ้าย “เห็นท่านน่าสงสาร แต่งตัวด้วยเสื้อผ้าขาดๆ วิ่นๆ ข้าจะไม่เก็บเงินท่านก่อนก็แล้วกัน”“รอจนกว่าท่านจะพบนางแล้ว ค่อยเอาเงินมาให้ข้าทีหลังก็ยังไม่สาย”เสนาบดีฝ่ายซ้าย “......”เขามองเสื้อผ้าของตัวเอง มันก็ไม่ได้ขาดวิ่นอะไร แค่เก่าไปหน่อย มีรอยปะชุนบ้างบางจุดเขาพอจะเข้าใจแล้วว่าทำไมนางถึงบอกว่าเขาจนเขาไม่ค่อยเชื่อในสิ่งที่นางพูดนัก แต่ถึงจะเป็นโอกาสเพียงหนึ่งในหมื่น เขาก็ไม่อยากพลาดเขาลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะรับจานกลมนั้นมาจากนางตอนที่เสนาบดีฝ่ายซ้ายหันหลังกลับไป เขาก็เห็นจิ่งโม่เยี่ย เขาพยักหน้าเล็กน้อยเป็นการทักทาย แล้วจึงเดินจากไปจิ่งโม่เยี่ยรู้จักนิสัยของเสนาบดีฝ่ายซ้ายอยู่แล้ว จึงไม่ได้ใส่ใจอะไรเขาเดินไปหาเฟิ่งชูอิ่ง “เจ้ามาทำนายดวงให้เขาท่าไหนล่ะ”ถึงแม้ว่านางจะมีวิชาอาคมสูงส่ง แต่เขาก็รู้ว่านางไม่ค่อยทำนายดวงให้ใคร และไม่ยุ่งเกี่ยวกับเวรกรรมของใครส่วนเสนาบดีฝ่ายซ้ายนั้นมีคนที่มีความสัมพันธ์พิเศษกับเขาถูกขังอยู่ในคุกใหญ่ ทุกเดือนเขาจะแวะเ
เขาพูดพลางมองมาที่นาง “ในคุกมันทั้งหนาวและอับชื้น หากอยู่เพียงช่วงสั้นๆ พอสนุกก็แล้วไปเถอะ แต่ถ้านานไปคงไม่ดีต่อสุขภาพ ต้องรีบสืบคดีนี้ให้กระจ่างโดยเร็ว”“ข้าให้คนไปตรวจสอบสถานที่ที่หลินอีฉุนตายแล้ว ไม่พบสิ่งผิดปกติใดๆ จึงสงสัยว่าเป็นฝีมือวิญญาณร้าย”“วันนี้จึงมาเพื่อถามเจ้า หากเป็นฝีมือวิญญาณร้ายจริง จะมีเบาะแสอะไรเหลืออยู่บ้าง?”ความจริงแล้วเฟิ่งชูอิ่งได้ทดลองเรียกวิญญาณหลินอีฉุนตั้งแต่ตอนที่เข้าคุกใหม่ๆ และนางก็พบความผิดปกติตั้งแต่ตอนนั้นแล้วเมื่อได้ยินคำพูดของจิ่งโม่เยี่ย นางก็ยิ้มบางๆ “ต่อให้สืบจนรู้ว่าเป็นฝีมือวิญญาณร้าย ก็ไม่อาจล้างมลทินให้ข้าได้”“เพราะเรื่องวิญญาณร้ายไม่มีใครรับรู้ ใช้เป็นหลักฐานไม่ได้”“ส่วนเรื่องล้างมลทิน ข้าเชื่อว่าความจริงก็คือความจริง ข้าไม่ได้ฆ่าคน อย่างไรก็ไม่มีความผิด”ถ้าเป็นคนอื่นพูดแบบนี้ จิ่งโม่เยี่ยคงคิดว่าคนนั้นไม่มีสมองและมั่นใจในตัวเองเกินไปแต่พอคำพูดนี้ออกมาจากปากเฟิ่งชูอิ่ง เขาก็มั่นใจว่านางต้องวางแผนอะไรไว้แล้วนางหาวพลางพูดว่า “หากท่านอ๋องไม่มีธุระอะไรแล้ว ข้าขอตัวไปพักผ่อนก่อนนะ”พูดจบนางก็หันหลังเตรียมจะเดินจากไป จิ่งโม่เยี่ยค
ปู๋เยี่ยโหวรู้สึกถึงจิตสังหารที่แผ่ออกมาจากรอบตัวของจิ่งโม่เยี่ย เขาจึงพูดด้วยท่าทีระวังตัวว่า “คิดจะทำอะไร? อยากฆ่าปิดปากข้ารึ?”จิ่งโม่เยี่ยมองปู๋เยี่ยโหวแวบหนึ่ง ตอนนี้เขาค่อนข้างอยากจะฆ่าปู๋เยี่ยโหวจริงๆ แต่ความคิดนี้วนเวียนอยู่ในใจเขาเพียงชั่วครู่แล้วก็หายไป เขากล่าวอย่างเย็นชาว่า “ฆ่าเจ้า มือข้าจะเปื้อนเสียเปล่า”“แต่ถ้าเจ้ากล้ามาพบชูชูแบบส่วนตัว ข้าก็ไม่รังเกียจที่จะมือสกปรกหรอก”ปู๋เยี่ยโหว “......”นี่เป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกถึงเจตนาฆ่าจากจิ่งโม่เยี่ยจริงๆ เขายิ้มเยาะเล็กน้อยจิ่งโม่เยี่ยไม่สนใจเขาอีก หันหลังเดินจากไปปู๋เยี่ยโหวคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก็ตัดสินใจว่าจะไม่หาเรื่องตายเขาแสยะยิ้มแล้วหันหลังออกจากจวนผู้ว่าราชการของเมืองหลวงคดีที่เฟิ่งชูอิ่งฆ่าหลินอีฉุนหลังจากผ่านมือของมหาราชครู ก็แพร่สะพัดไปทั่วเมืองหลวงอย่างรวดเร็วเนื่องจากสถานะพิเศษของเฟิ่งชูอิ่ง ในสายตาของขุนบัณฑิตในเมืองหลวง คดีนี้จึงเป็นการต่อสู้ระหว่างมหาราชครูและจิ่งโม่เยี่ยดังนั้น นี่จึงไม่ใช่คดีธรรมดาอีกต่อไป แต่เป็นการต่อสู้แย่งชิงอำนาจระหว่างสองฝ่ายหลังจากมหาราชครูจัดการเรื่องต่างๆ แล้ว เขาก็เ
เพราะการทำแบบนี้ จะช่วยให้มีโอกาสชนะมากขึ้นท้ายที่สุด คู่ต่อสู้ของพวกเขาคือจิ่งโม่เยี่ย จิ่งโม่เยี่ยที่ทำทุกอย่างด้วยความบ้าคลั่งและเด็ดขาด แถมยังฉลาดเป็นกรดอีกต่างหากหลังจากออกจากวังหลวง มหาราชครูก็ไปหาจิ่งสือเยี่ยนตอนที่เขาไปถึงจวนอ๋องจิ้น จิ่งสือเยี่ยนเพิ่งปรึกษาเรื่องบ้านเมืองกับซูโหย่วเหลียงเสร็จพอดีคนเฝ้าประตูแจ้งว่ามหาราชครูมา ซูโหย่วเหลียงจึงพูดขึ้นว่า “เจ้าจิ้งจอกเฒ่าตัวนี้ ช่วงนี้กำลังสู้กับจิ่งโม่เยี่ยอย่างดุเดือดเชียวล่ะ”“ตอนนี้เขาเดินทางมาหาองค์ชาย คงอยากจะลากองค์ชายไปร่วมการต่อสู้ด้วย”ดวงตาของจิ่งสือเยี่ยนดูลึกลับและเย็นชา “จิ่งสือเฟิงตายไปแล้ว พวกเขาก็เหมือนแมลงวันหัวขาด”“เรื่องครั้งนี้ รองผู้ว่าตู้ไม่สามารถจัดการกับเฟิ่งชูอิ่งได้ แถมตัวเองยังต้องมาเดือดร้อนอีก ช่างน่าขันจริงๆ ”ซูโหย่วเหลียงมองเขาแล้วพูดว่า “รองผู้ว่าตู้ครั้งนี้ทำอะไรไม่ค่อยฉลาดเท่าไหร่”จิ่งสือเยี่ยนถามว่า “ท่านอา ท่านว่าทำไมรองผู้ว่าตู้ถึงได้ไปยุ่งกับเฟิ่งชูอิ่ง”ดวงตาของซูโหย่วเหลียงเป็นประกายก่อนจะพูดว่า “คงเพราะคิดว่าจิ่งโม่เยี่ยหลงรักเฟิ่งชูอิ่งอย่างหัวปักหัวปำ ถ้าจัดการกับเฟิ่งชู
เวลานี้หากจิ่งสือเยี่ยนได้รับความช่วยเหลือจากมหาราชครู ก็เท่ากับได้รับความช่วยเหลือจากกลุ่มบัณฑิตทั่วหล้า ซึ่งจะเป็นประโยชน์อย่างมากต่อตัวเขาเขารู้สึกว่าตัวเองต้องเหนื่อยยากอย่างมากเพื่อจิ่งสือเยี่ยน หวังว่าจิ่งสือเยี่ยนจะคว้าโอกาสครั้งนี้ไว้ได้เมื่อมหาราชครูพบกับจิ่งสือเยี่ยนก็พูดตรงประเด็นว่า “เรื่องคดีของเฟิ่งชูอิ่ง คาดว่าท่านอ๋องจิ้นคงได้ยินมาบ้างแล้ว”“เรื่องนี้ ท่านอ๋องจิ้นคิดเห็นว่าอย่างไร?”จิ่งสือเยี่ยนรู้ว่านี่คือการที่มหาราชครูต้องการให้เขาแสดงจุดยืนเขาพูดอย่างใจเย็นว่า “ข้ามิใช่ผู้ว่าราชการของเมืองหลวง ไม่ได้มีอำนาจในกระทรวงยุติธรรมทั้งสาม ความคิดเห็นของข้าไม่สำคัญ สิ่งสำคัญคือหลักฐาน”แววตาของมหาราชครูดูลึกล้ำขึ้น “ท่านอ๋องจิ้นพูดถูก แต่ว่านี่เป็นโอกาสอันดี”จิ่งสือเยี่ยนถามเขาว่า “โอกาสอะไร?”มหาราชครูจิบชาเล็กน้อยแล้วพูดช้าๆ ว่า “โอกาสที่จะกำจัดจิ่งโม่เยี่ย”จิ่งสือเยี่ยนยิ้ม “อย่างแรก ผู้ต้องสงสัยในคดีฆาตกรรมนี้คือเฟิ่งชูอิ่ง ไม่ใช่จิ่งโม่เยี่ย”“อย่างที่สอง แค่เรื่องเล็กน้อยแค่นี้ ไม่มีทางกำจัดจิ่งโม่เยี่ยได้หรอก”มหาราชครูพูดอย่างใจเย็นว่า “เขื่อนที่แข็ง
จิ่งสือเยี่ยนไม่ได้ไปพบนางในฐานะอ๋องจิ้น แต่ปลอมตัวเป็นเจ้าหน้าที่ของจวนผู้ว่าราชการแล้วแฝงตัวเข้าไปเขามีคนขอตนเองแฝงตัวอยู่ในจวนผู้ว่าราชการ ภายใต้การจัดการของคนของเขา ทุกอย่างดำเนินไปอย่างราบรื่นและเขาก็ได้พบกับเฟิ่งชูอิ่งเพียงแต่ภาพที่เขาเห็นนั้นแตกต่างจากที่เขาคาดไว้เล็กน้อยเขาคิดว่าหลังจากนางเข้าคุกของจวนผู้ว่าราชการ นางคงต้องลำบากมาก แต่สิ่งที่เขาเห็นคือนางกำลังเล่นไพ่กับนักโทษคนอื่นๆ นักโทษคนอื่นๆ มีบางคนถูกวาดรูปเต่าหรือติดใบหญ้าต่างๆ ไว้บนหน้า ในขณะที่ใบหน้าของนางสะอาดสะอ้านไม่มีอะไรเลยมีนักโทษคนหนึ่งแพ้แล้วทนไม่ไหวพูดขึ้นว่า “คุณหนูเฟิ่ง พวกเราแค่เล่นไพ่กัน ท่านไม่ต้องจริงจังขนาดนั้นก็ได้”“ทุกครั้งก่อนออกไพ่นางก็คำนวณหมด คำนวณได้ทุกอย่าง แบบนี้นางชนะตลอดมันก็ไม่สนุกสิ?”เฟิ่งชูอิ่งพูดอย่างมีเหตุผลว่า “การชนะจะไม่มีความหมายได้ยังไง? การชนะเป็นเรื่องที่น่ายินดีมาก!”“อีกอย่าง ข้าก็แค่ใช้ทักษะความเชี่ยวชาญของข้าอย่างเต็มที่ ไม่ได้โกง ไม่ได้เล่นตุกติก ชนะอย่างขาวสะอาดและบริสุทธิ์ใจ”นักโทษคนอื่นๆ “……”แบบนี้ยังเรียกไม่โกงอีกหรือ!เฟิ่งชูอิ่งพูดอย่างจริงจังว่า “อ