เขาพูดพลางมองมาที่นาง “ในคุกมันทั้งหนาวและอับชื้น หากอยู่เพียงช่วงสั้นๆ พอสนุกก็แล้วไปเถอะ แต่ถ้านานไปคงไม่ดีต่อสุขภาพ ต้องรีบสืบคดีนี้ให้กระจ่างโดยเร็ว”“ข้าให้คนไปตรวจสอบสถานที่ที่หลินอีฉุนตายแล้ว ไม่พบสิ่งผิดปกติใดๆ จึงสงสัยว่าเป็นฝีมือวิญญาณร้าย”“วันนี้จึงมาเพื่อถามเจ้า หากเป็นฝีมือวิญญาณร้ายจริง จะมีเบาะแสอะไรเหลืออยู่บ้าง?”ความจริงแล้วเฟิ่งชูอิ่งได้ทดลองเรียกวิญญาณหลินอีฉุนตั้งแต่ตอนที่เข้าคุกใหม่ๆ และนางก็พบความผิดปกติตั้งแต่ตอนนั้นแล้วเมื่อได้ยินคำพูดของจิ่งโม่เยี่ย นางก็ยิ้มบางๆ “ต่อให้สืบจนรู้ว่าเป็นฝีมือวิญญาณร้าย ก็ไม่อาจล้างมลทินให้ข้าได้”“เพราะเรื่องวิญญาณร้ายไม่มีใครรับรู้ ใช้เป็นหลักฐานไม่ได้”“ส่วนเรื่องล้างมลทิน ข้าเชื่อว่าความจริงก็คือความจริง ข้าไม่ได้ฆ่าคน อย่างไรก็ไม่มีความผิด”ถ้าเป็นคนอื่นพูดแบบนี้ จิ่งโม่เยี่ยคงคิดว่าคนนั้นไม่มีสมองและมั่นใจในตัวเองเกินไปแต่พอคำพูดนี้ออกมาจากปากเฟิ่งชูอิ่ง เขาก็มั่นใจว่านางต้องวางแผนอะไรไว้แล้วนางหาวพลางพูดว่า “หากท่านอ๋องไม่มีธุระอะไรแล้ว ข้าขอตัวไปพักผ่อนก่อนนะ”พูดจบนางก็หันหลังเตรียมจะเดินจากไป จิ่งโม่เยี่ยค
ปู๋เยี่ยโหวรู้สึกถึงจิตสังหารที่แผ่ออกมาจากรอบตัวของจิ่งโม่เยี่ย เขาจึงพูดด้วยท่าทีระวังตัวว่า “คิดจะทำอะไร? อยากฆ่าปิดปากข้ารึ?”จิ่งโม่เยี่ยมองปู๋เยี่ยโหวแวบหนึ่ง ตอนนี้เขาค่อนข้างอยากจะฆ่าปู๋เยี่ยโหวจริงๆ แต่ความคิดนี้วนเวียนอยู่ในใจเขาเพียงชั่วครู่แล้วก็หายไป เขากล่าวอย่างเย็นชาว่า “ฆ่าเจ้า มือข้าจะเปื้อนเสียเปล่า”“แต่ถ้าเจ้ากล้ามาพบชูชูแบบส่วนตัว ข้าก็ไม่รังเกียจที่จะมือสกปรกหรอก”ปู๋เยี่ยโหว “......”นี่เป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกถึงเจตนาฆ่าจากจิ่งโม่เยี่ยจริงๆ เขายิ้มเยาะเล็กน้อยจิ่งโม่เยี่ยไม่สนใจเขาอีก หันหลังเดินจากไปปู๋เยี่ยโหวคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก็ตัดสินใจว่าจะไม่หาเรื่องตายเขาแสยะยิ้มแล้วหันหลังออกจากจวนผู้ว่าราชการของเมืองหลวงคดีที่เฟิ่งชูอิ่งฆ่าหลินอีฉุนหลังจากผ่านมือของมหาราชครู ก็แพร่สะพัดไปทั่วเมืองหลวงอย่างรวดเร็วเนื่องจากสถานะพิเศษของเฟิ่งชูอิ่ง ในสายตาของขุนบัณฑิตในเมืองหลวง คดีนี้จึงเป็นการต่อสู้ระหว่างมหาราชครูและจิ่งโม่เยี่ยดังนั้น นี่จึงไม่ใช่คดีธรรมดาอีกต่อไป แต่เป็นการต่อสู้แย่งชิงอำนาจระหว่างสองฝ่ายหลังจากมหาราชครูจัดการเรื่องต่างๆ แล้ว เขาก็เ
เพราะการทำแบบนี้ จะช่วยให้มีโอกาสชนะมากขึ้นท้ายที่สุด คู่ต่อสู้ของพวกเขาคือจิ่งโม่เยี่ย จิ่งโม่เยี่ยที่ทำทุกอย่างด้วยความบ้าคลั่งและเด็ดขาด แถมยังฉลาดเป็นกรดอีกต่างหากหลังจากออกจากวังหลวง มหาราชครูก็ไปหาจิ่งสือเยี่ยนตอนที่เขาไปถึงจวนอ๋องจิ้น จิ่งสือเยี่ยนเพิ่งปรึกษาเรื่องบ้านเมืองกับซูโหย่วเหลียงเสร็จพอดีคนเฝ้าประตูแจ้งว่ามหาราชครูมา ซูโหย่วเหลียงจึงพูดขึ้นว่า “เจ้าจิ้งจอกเฒ่าตัวนี้ ช่วงนี้กำลังสู้กับจิ่งโม่เยี่ยอย่างดุเดือดเชียวล่ะ”“ตอนนี้เขาเดินทางมาหาองค์ชาย คงอยากจะลากองค์ชายไปร่วมการต่อสู้ด้วย”ดวงตาของจิ่งสือเยี่ยนดูลึกลับและเย็นชา “จิ่งสือเฟิงตายไปแล้ว พวกเขาก็เหมือนแมลงวันหัวขาด”“เรื่องครั้งนี้ รองผู้ว่าตู้ไม่สามารถจัดการกับเฟิ่งชูอิ่งได้ แถมตัวเองยังต้องมาเดือดร้อนอีก ช่างน่าขันจริงๆ ”ซูโหย่วเหลียงมองเขาแล้วพูดว่า “รองผู้ว่าตู้ครั้งนี้ทำอะไรไม่ค่อยฉลาดเท่าไหร่”จิ่งสือเยี่ยนถามว่า “ท่านอา ท่านว่าทำไมรองผู้ว่าตู้ถึงได้ไปยุ่งกับเฟิ่งชูอิ่ง”ดวงตาของซูโหย่วเหลียงเป็นประกายก่อนจะพูดว่า “คงเพราะคิดว่าจิ่งโม่เยี่ยหลงรักเฟิ่งชูอิ่งอย่างหัวปักหัวปำ ถ้าจัดการกับเฟิ่งชู
เวลานี้หากจิ่งสือเยี่ยนได้รับความช่วยเหลือจากมหาราชครู ก็เท่ากับได้รับความช่วยเหลือจากกลุ่มบัณฑิตทั่วหล้า ซึ่งจะเป็นประโยชน์อย่างมากต่อตัวเขาเขารู้สึกว่าตัวเองต้องเหนื่อยยากอย่างมากเพื่อจิ่งสือเยี่ยน หวังว่าจิ่งสือเยี่ยนจะคว้าโอกาสครั้งนี้ไว้ได้เมื่อมหาราชครูพบกับจิ่งสือเยี่ยนก็พูดตรงประเด็นว่า “เรื่องคดีของเฟิ่งชูอิ่ง คาดว่าท่านอ๋องจิ้นคงได้ยินมาบ้างแล้ว”“เรื่องนี้ ท่านอ๋องจิ้นคิดเห็นว่าอย่างไร?”จิ่งสือเยี่ยนรู้ว่านี่คือการที่มหาราชครูต้องการให้เขาแสดงจุดยืนเขาพูดอย่างใจเย็นว่า “ข้ามิใช่ผู้ว่าราชการของเมืองหลวง ไม่ได้มีอำนาจในกระทรวงยุติธรรมทั้งสาม ความคิดเห็นของข้าไม่สำคัญ สิ่งสำคัญคือหลักฐาน”แววตาของมหาราชครูดูลึกล้ำขึ้น “ท่านอ๋องจิ้นพูดถูก แต่ว่านี่เป็นโอกาสอันดี”จิ่งสือเยี่ยนถามเขาว่า “โอกาสอะไร?”มหาราชครูจิบชาเล็กน้อยแล้วพูดช้าๆ ว่า “โอกาสที่จะกำจัดจิ่งโม่เยี่ย”จิ่งสือเยี่ยนยิ้ม “อย่างแรก ผู้ต้องสงสัยในคดีฆาตกรรมนี้คือเฟิ่งชูอิ่ง ไม่ใช่จิ่งโม่เยี่ย”“อย่างที่สอง แค่เรื่องเล็กน้อยแค่นี้ ไม่มีทางกำจัดจิ่งโม่เยี่ยได้หรอก”มหาราชครูพูดอย่างใจเย็นว่า “เขื่อนที่แข็ง
จิ่งสือเยี่ยนไม่ได้ไปพบนางในฐานะอ๋องจิ้น แต่ปลอมตัวเป็นเจ้าหน้าที่ของจวนผู้ว่าราชการแล้วแฝงตัวเข้าไปเขามีคนขอตนเองแฝงตัวอยู่ในจวนผู้ว่าราชการ ภายใต้การจัดการของคนของเขา ทุกอย่างดำเนินไปอย่างราบรื่นและเขาก็ได้พบกับเฟิ่งชูอิ่งเพียงแต่ภาพที่เขาเห็นนั้นแตกต่างจากที่เขาคาดไว้เล็กน้อยเขาคิดว่าหลังจากนางเข้าคุกของจวนผู้ว่าราชการ นางคงต้องลำบากมาก แต่สิ่งที่เขาเห็นคือนางกำลังเล่นไพ่กับนักโทษคนอื่นๆ นักโทษคนอื่นๆ มีบางคนถูกวาดรูปเต่าหรือติดใบหญ้าต่างๆ ไว้บนหน้า ในขณะที่ใบหน้าของนางสะอาดสะอ้านไม่มีอะไรเลยมีนักโทษคนหนึ่งแพ้แล้วทนไม่ไหวพูดขึ้นว่า “คุณหนูเฟิ่ง พวกเราแค่เล่นไพ่กัน ท่านไม่ต้องจริงจังขนาดนั้นก็ได้”“ทุกครั้งก่อนออกไพ่นางก็คำนวณหมด คำนวณได้ทุกอย่าง แบบนี้นางชนะตลอดมันก็ไม่สนุกสิ?”เฟิ่งชูอิ่งพูดอย่างมีเหตุผลว่า “การชนะจะไม่มีความหมายได้ยังไง? การชนะเป็นเรื่องที่น่ายินดีมาก!”“อีกอย่าง ข้าก็แค่ใช้ทักษะความเชี่ยวชาญของข้าอย่างเต็มที่ ไม่ได้โกง ไม่ได้เล่นตุกติก ชนะอย่างขาวสะอาดและบริสุทธิ์ใจ”นักโทษคนอื่นๆ “……”แบบนี้ยังเรียกไม่โกงอีกหรือ!เฟิ่งชูอิ่งพูดอย่างจริงจังว่า “อ
ความรู้สึกที่นางมีต่อจิ่งสือเยี่ยน ยากที่จะอธิบายเป็นคำพูดตอนแรกนางสนใจเขามากเป็นพิเศษเพราะเขาเป็นพระเอกในนิยายเขาก็ปิดบังตัวเองได้แนบเนียนมากทีเดียว ตอนแรกดูเหมือนเด็กหนุ่มที่ร่าเริงแจ่มใส แต่ภายหลังนางก็รู้ว่านางอ่านความคิดและนิสัยของเขาผิดไปสิ่งต่างๆ ที่เขาทำลงไป ทำให้นางรู้สึกว่าต่อไปนี้ควรอยู่ห่างๆ เขาจะดีกว่าจนกระทั่งปู๋เยี่ยโหวฆ่านางเอกในนิยาย นางก็เพิ่งตระหนักได้ว่าเนื้อเรื่องในตอนนี้มันออกทะเลไปไกลแล้วเมื่อนางรู้ว่าสาเหตุที่นางข้ามเวลามาเป็นเพราะเหมยตงยวนใช้วิชาต้องห้าม นางก็มองโลกใบนี้ด้วยความรู้สึกที่ต่างออกไปก่อนหน้านี้นางรู้สึกว่าตัวเองเป็นคนนอก ไม่อยากเข้าไปพัวพันกับเรื่องแย่งชิงอำนาจ ไม่อยากเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับแผนการร้ายต่างๆ แต่ตอนนี้นางกลับรู้สึกว่าตัวเองเป็นส่วนหนึ่งของโลกใบนี้แล้ว ความรู้สึกมันต่างไปจากเดิมโดยสิ้นเชิงจิ่งสือเยี่ยนมองมาที่นาง ทำท่ากวักมือเรียกให้นางเข้าไปคุยด้วยเฟิ่งชูอิ่งก็อยากรู้เหมือนกันว่าคราวนี้เขาจะเล่นแง่อะไรอีก จึงเดินไปที่ประตูคุกแต่โดยดีนักโทษคนอื่นๆ แสร้งทำเป็นไม่มองพวกเขา แต่ทุกคนต่างก็กลั้นหายใจและตั้งใจฟังส่วนเฉี่ยวห
จิ่งสือเยี่ยนพูดเบาๆ ว่า “หลังจากมหาราชครูลงมือแล้ว เกรงว่าเจ้าจะไม่มีวันเวลาสงบสุขอีกต่อไป”“หากเจ้าไม่ไป อาจจะเกิดเรื่องที่คาดไม่ถึงตามมาได้”เฟิ่งชูอิ่งหัวเราะเบาๆ “งั้นหรือ ช่วงนี้ข้าก็รู้สึกว่าชีวิตสงบสุขเกินไปจนน่าเบื่ออยู่เหมือนกัน”“เขามาสร้างความสนุกสนาน เพิ่มสีสันให้ชีวิตข้าบ้างก็ดีเหมือนกัน”จิ่งสือเยี่ยน “......”ไม่รู้ทำไม พอคำพูดแบบนี้ออกมาจากปากนาง เขากลับรู้สึกแปลกๆ เขาถอนหายใจเบาๆ แล้วพูดว่า “เรื่องออกจากเมืองหลวง เจ้าจะไม่คิดทบทวนอีกหน่อยหรือ”“ตราบใดที่เจ้ายังอยู่ในเมืองหลวง ก็ยังตัดความสัมพันธ์กับพี่สามไม่ขาด เรื่องแบบนี้ก็จะเกิดขึ้นอีก”เฟิ่งชูอิ่งยิ้ม “แล้วอย่างไรเล่า”จิ่งสือเยี่ยน “......”คำถามนี้จะให้เขาตอบอย่างไรดีเฟิ่งชูอิ่งพูดด้วยน้ำเสียงเรียบ “ที่นี่สกปรก ไม่เหมาะกับท่านอ๋องจิ้น ท่านอ๋องจิ้นควรออกไปจากที่นี่โดยเร็ว”“ดูเหมือนความสัมพันธ์ระหว่างท่านกับมหาราชครูจะไม่เลว คาดว่าครั้งนี้พวกท่านคงจะร่วมมือกันจัดการจิ่งโม่เยี่ย”“ตอนนี้ข้าอยู่ข้างเดียวกับจิ่งโม่เยี่ย ถ้ามหาราชครูรู้ว่าท่านมาหาข้า คงไม่ดีแน่”จิ่งสือเยี่ยน “......”ก่อนหน้านี้เขาค
เขาหันไปมองเฟิ่งชูอิ่ง นางกอดอกพร้อมกล่าวว่า “ท่านอ๋องจิ้นรู้อย่างไรว่านี่ไม่ใช่เรื่องทะเลาะส่วนตัวระหว่างสามีภรรยาของพวกเรา”คำพูดนี้ทำให้จิ่งสือเยี่ยนถึงกับพูดไม่ออก แต่ดวงตาของจิ่งโม่เยี่ยกลับเป็นประกายแววตาของจิ่งสือเยี่ยนดูอับอาย เขาเบือนหน้าหนี ไม่พูดอะไร หันหลังเดินจากไปหลังจากเขาจากไป เฟิ่งชูอิ่งก็พูดกับจิ่งโม่เยี่ยว่า “ข้าไม่อยากมีความเกี่ยวข้องกับท่านอ๋องจิ้นอีก เมื่อครู่ที่ดึงท่านมาเป็นโล่ ขอท่านอ๋องอย่าได้ถือสา”ดวงตาและคิ้วของจิ่งโม่เยี่ยเต็มไปด้วยรอยยิ้ม “ไม่เป็นไร โล่แบบนี้ข้ายินดีที่จะเป็น”เขาได้ยินว่าจิ่งสือเยี่ยนมาที่จวนผู้ว่าราชการ เขาจึงเดาได้ทันทีว่าจิ่งสือเยี่ยนมาหาเฟิ่งชูอิ่งในตอนนั้นเขารู้สึกกังวลมาก เพราะเขารู้ว่าก่อนหน้านี้เฟิ่งชูอิ่งปฏิบัติต่อจิ่งสือเยี่ยนแตกต่างจากคนอื่นระหว่างทางที่เขารีบเดินทางมา เขายังได้คาดเดาและคิดไปต่างๆ นาๆ รู้สึกจิตใจไม่สงบตลอดทางหลังจากเขามาถึง ได้ยินว่าจิ่งสือเยี่ยนจะพาเฟิ่งชูอิ่งหนีออกจากจวนผู้ว่าราชการ เขาก็รู้สึกหวั่นไหวหากนางต้องการไปกับจิ่งสือเยี่ยนจริงๆ แล้วเขาควรทำอย่างไร?ปล่อยให้นางไป หรือบังคับให้นางอยู่ต