เพราะวิธีการจัดการของเสนาบดีฝ่ายซ้ายเช่นนี้ ราชสำนักในปัจจุบันจึงกลายเป็นกระถางสามขา อำนาจถูกแบ่งออกเป็นสามขั้วมหาราชครูไม่ได้เข้าพบกับจิ่งโม่เยี่ย สีหน้าของเขาจึงดูไม่สู้ดีนัก และเลือกจะเดินทางไปหาเสนาบดีฝ่ายซ้ายแทนแต่ครั้งนี้เสนาบดีฝ่ายซ้ายก็ไม่ยอมออกมาพบเขาเช่นกัน เพราะก่อนหน้านี้ จิ่งโม่เยี่ยได้ส่งคนนำหลักฐานความผิดของรองผู้ว่าราชการตู้ไปให้เสนาบดีฝ่ายซ้ายเสนาบดีฝ่ายซ้ายเป็นคนทำงานอย่างยุติธรรม เมื่อมีหลักฐานความผิดของรองผู้ว่าราชการตู้แล้ว ก็พอจะเดาจุดประสงค์ที่มหาราชครูมาเยือนได้เพราะรู้จุดประสงค์ของมหาราชครู เสนาบดีฝ่ายซ้ายจึงเลือกที่จะไม่พบมหาราชครูถูกปฏิเสธไม่ให้เข้าพบถึงสองครั้งติดๆ กัน สีหน้าของเขาจึงไม่สู้ดีนักนี่เป็นครั้งแรกในรอบหลายปีที่เขาต้องพบเจอเรื่องแบบนี้และเพราะท่าทีของเสนาบดีฝ่ายซ้าย มหาราชครูจึงรู้ว่าครั้งนี้คงยากที่จะช่วยรองผู้ว่าราชการตู้ออกมาได้แต่รองผู้ว่าราชการตู้เป็นลูกชายที่เขารักที่สุด แม้สถานการณ์จะเป็นเช่นนี้ เขาก็พยายามหาทางช่วยอย่างไม่ลดละเดิมทีเขามีแผนการจัดการจิ่งโม่เยี่ยอยู่แล้ว แต่ตอนนี้คงต้องเริ่มลงมือเร็วขึ้นกว่าเดิมหากเฟิ่งช
เพราะหลินอีฉุนตายยังไม่ถึงเจ็ดวัน เขาไม่มีทางลงนรกได้ในตอนนี้ ถือเป็นช่วงเวลาทองในการเรียกวิญญาณทว่าแบบนี้แล้วก็ยังเรียกวิญญาณหลินอีฉุนมาไม่ได้ มีความเป็นไปได้สองอย่าง อย่างแรกคือวิญญาณของเขาถูกควบคุม อีกอย่างคือวิญญาณของเขาสูญสลายไปหมดแล้วถ้าวิญญาณของเขาถูกควบคุม ด้วยความสามารถของเหมยตงยวนจะต้องสัมผัสได้เขาไม่รู้สึกอะไรเลย แสดงว่าหลินอีฉุนวิญญาณสูญสลายไปแล้วในโลกนี้ คนที่จะลงมือทำอะไรกับวิญญาณของหลินอีฉุนได้ เหมยตงยวนแทบไม่ต้องใช้ความคิดก็รู้แล้วว่าเป็นฝีมือใครเขาพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า "เป็นฝีมือของเทียนซือ"จิ่งโม่เยี่ยหันไปมองเขา เขาจึงเอ่ยเสริมว่า "เทียนซือทำให้วิญญาณของหลินอีฉุนสูญสลายไปแล้ว"จิ่งโม่เยี่ยถามว่า "แล้วตอนนี้จะทำอย่างไรกันดี?"ดวงตาของเหมยตงยวนเย็นเยียบ "เจ้าไปหาหลักฐานมา ข้าจะไปหาเทียนซือเอง"ถึงเฟิ่งชูอิ่งจะได้เล่นสนุกอยู่ในคุก แต่สถานที่แบบนั้นสกปรกเกินไป นางเข้าไปเล่นได้แต่ไม่ควรอยู่นานๆเรื่องที่ไม่ควรจะซับซ้อน กลับกลายเป็นเรื่องยุ่งยากหลังจากที่วิญญาณของหลินอีฉุนสูญสลายเขากับเทียนซือถือว่าเป็นศัตรูกันอย่างแท้จริง ตอนมีชีวิตอยู่ทั้งสองก็เป็นศั
เขาคิดจากใจจริงว่าท่านอ๋องของเขาพยายามทุกวิถีทางเพื่อตามง้อภรรยา แถมยังฉวยโอกาสทุกครั้งที่มีจิ่งโม่เยี่ยหาข้ออ้างไปพบเฟิ่งชูอิ่งได้แล้ว เขาจึงจัดการงานราชการในมืออย่างรวดเร็ว แล้วก็ออกเดินทางไปที่จวนผู้ว่าราชการอีกครั้งตอนที่เขาออกมาจากจวน ก็บังเอิญเจอกับปู๋เยี่ยโหวระหว่างทางพอดีเรื่องนี้เกิดขึ้นกะทันหันเกินไป ปู๋เยี่ยโหวเพิ่งจะได้รับข่าวเมื่อไม่นานมานี้เขาถามจิ่งโม่เยี่ยว่า “ชูชูถูกขังอยู่ในจวนผู้ว่าราชการได้อย่างไร?”จิ่งโม่เยี่ยไม่อยากสนใจเขาจึงทำเป็นเมินเฉยปู๋เยี่ยโหวได้ชื่อว่าเป็นคนหน้าด้านหน้าทนที่สุดในเมืองหลวง เขาจึงไม่สนใจท่าทีของจิ่งโม่เยี่ยเขาถามต่อว่า “ตอนนี้เจ้าจะไปเยี่ยมชูชูใช่ไหม?”จิ่งโม่เยี่ยก็ยังไม่สนใจเขาเหมือนเดิมเขากล่าวต่อว่า “ถ้าเจ้าจะไปเยี่ยมชูชู ข้าจะไปกับเจ้าด้วย”จิ่งโม่เยี่ยหยุดเดินแล้วมองไปที่เขา “ว่างมากรึไง?”ปู๋เยี่ยโหวยิ้ม “ไม่งานยุ่งเท่าเจ้าหรอก”จิ่งโม่เยี่ย “......”เขาอยากจะฆ่าปู๋เยี่ยโหวให้ตายเสียจริงเขาจ้องมองปู๋เยี่ยโหว แล้วสาวเท้าเดินต่อไปปู๋เยี่ยโหวรีบตามไปแบบติดๆ พูดพล่ามข้างๆ เขาต่อไป “ชูชูเกิดเรื่อง เจ้าก็ไม่ยอมบอกข้า
ตอนที่เขาทำตัวหน้าด้านแสร้งจะเนียนตามเข้าไปข้างใน ก็ถูกเจ้าหน้าที่ขวางไว้อีกครั้งครั้งนี้จิ่งโม่เยี่ยไม่แม้แต่จะชายตามองเขา เดินตัวปลิวเข้าไปด้านในเลยปู๋เยี่ยโหวต้องการจะบุกเข้าไป จิ่งโม่เยี่ยจึงให้หลางซานอยู่เฝ้า ปู๋เยี่ยโหวจึงไม่สามารถผ่านหลางซานเข้าไปได้หลางซานพูดเสียงเรียบว่า “ท่านโหว เชิญกลับเถอะ! หลังจากพระชายาเข้าไปในจวนผู้ว่าราชการ ท่านอ๋องก็มีรับสั่งห้ามท่านมาเยี่ยม”ปู๋เยี่ยโหวบ่นพึมพำ “จิ่งโม่เยี่ยนี่ขี้เหนียวชะมัด!”“ตอนที่ชูชูพักอยู่ที่จวนตากอากาศของข้า ข้าก็ไม่ได้ห้ามเขาไม่ให้มาเยี่ยมนาง”หลางซานพูดด้วยสีหน้าเรียบเฉย “ท่านไม่ได้ห้ามท่านอ๋อง แต่ท่านปิดบังพระองค์ต่างหาก”ปู๋เยี่ยโหว “……”เขาแค่นเสียงในลำคอเบาๆ แล้วพูดว่า “ข้าเข้าใจแล้ว จิ่งโม่เยี่ยก็แค่ริษยาข้า!”หลางซานไม่แสดงความเห็นต่อความคิดเห็นนี้ ปล่อยให้เขาพูดพล่ามไปคนเดียวปู๋เยี่ยโหวเห็นว่าใช้วิธีแข็งกร้าวไม่ได้ผล จึงเปลี่ยนมาใช้วิธีอ่อนโยน “ข้ามีประสบการณ์ด้านการติดคุกมากมาย สามารถสอนชูชูให้รู้วิธีใช้ชีวิตในคุกอย่างมีความสุขได้”“ถ้าเจ้าไม่อยากให้นางลำบาก ก็ปล่อยข้าเข้าไปเถอะ”หลางซานพูดเสียงเรียบ “
“เมื่อท่านได้พบเจอกับนาง เข็มบนนี้จะหมุนเอง ท่านจะได้ไม่คลาดกับนางแล้วมาโทษข้าว่าหลอกลวง”พูดจบ นางก็ยื่นจานกลมให้เสนาบดีฝ่ายซ้าย “เห็นท่านน่าสงสาร แต่งตัวด้วยเสื้อผ้าขาดๆ วิ่นๆ ข้าจะไม่เก็บเงินท่านก่อนก็แล้วกัน”“รอจนกว่าท่านจะพบนางแล้ว ค่อยเอาเงินมาให้ข้าทีหลังก็ยังไม่สาย”เสนาบดีฝ่ายซ้าย “......”เขามองเสื้อผ้าของตัวเอง มันก็ไม่ได้ขาดวิ่นอะไร แค่เก่าไปหน่อย มีรอยปะชุนบ้างบางจุดเขาพอจะเข้าใจแล้วว่าทำไมนางถึงบอกว่าเขาจนเขาไม่ค่อยเชื่อในสิ่งที่นางพูดนัก แต่ถึงจะเป็นโอกาสเพียงหนึ่งในหมื่น เขาก็ไม่อยากพลาดเขาลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะรับจานกลมนั้นมาจากนางตอนที่เสนาบดีฝ่ายซ้ายหันหลังกลับไป เขาก็เห็นจิ่งโม่เยี่ย เขาพยักหน้าเล็กน้อยเป็นการทักทาย แล้วจึงเดินจากไปจิ่งโม่เยี่ยรู้จักนิสัยของเสนาบดีฝ่ายซ้ายอยู่แล้ว จึงไม่ได้ใส่ใจอะไรเขาเดินไปหาเฟิ่งชูอิ่ง “เจ้ามาทำนายดวงให้เขาท่าไหนล่ะ”ถึงแม้ว่านางจะมีวิชาอาคมสูงส่ง แต่เขาก็รู้ว่านางไม่ค่อยทำนายดวงให้ใคร และไม่ยุ่งเกี่ยวกับเวรกรรมของใครส่วนเสนาบดีฝ่ายซ้ายนั้นมีคนที่มีความสัมพันธ์พิเศษกับเขาถูกขังอยู่ในคุกใหญ่ ทุกเดือนเขาจะแวะเ
เขาพูดพลางมองมาที่นาง “ในคุกมันทั้งหนาวและอับชื้น หากอยู่เพียงช่วงสั้นๆ พอสนุกก็แล้วไปเถอะ แต่ถ้านานไปคงไม่ดีต่อสุขภาพ ต้องรีบสืบคดีนี้ให้กระจ่างโดยเร็ว”“ข้าให้คนไปตรวจสอบสถานที่ที่หลินอีฉุนตายแล้ว ไม่พบสิ่งผิดปกติใดๆ จึงสงสัยว่าเป็นฝีมือวิญญาณร้าย”“วันนี้จึงมาเพื่อถามเจ้า หากเป็นฝีมือวิญญาณร้ายจริง จะมีเบาะแสอะไรเหลืออยู่บ้าง?”ความจริงแล้วเฟิ่งชูอิ่งได้ทดลองเรียกวิญญาณหลินอีฉุนตั้งแต่ตอนที่เข้าคุกใหม่ๆ และนางก็พบความผิดปกติตั้งแต่ตอนนั้นแล้วเมื่อได้ยินคำพูดของจิ่งโม่เยี่ย นางก็ยิ้มบางๆ “ต่อให้สืบจนรู้ว่าเป็นฝีมือวิญญาณร้าย ก็ไม่อาจล้างมลทินให้ข้าได้”“เพราะเรื่องวิญญาณร้ายไม่มีใครรับรู้ ใช้เป็นหลักฐานไม่ได้”“ส่วนเรื่องล้างมลทิน ข้าเชื่อว่าความจริงก็คือความจริง ข้าไม่ได้ฆ่าคน อย่างไรก็ไม่มีความผิด”ถ้าเป็นคนอื่นพูดแบบนี้ จิ่งโม่เยี่ยคงคิดว่าคนนั้นไม่มีสมองและมั่นใจในตัวเองเกินไปแต่พอคำพูดนี้ออกมาจากปากเฟิ่งชูอิ่ง เขาก็มั่นใจว่านางต้องวางแผนอะไรไว้แล้วนางหาวพลางพูดว่า “หากท่านอ๋องไม่มีธุระอะไรแล้ว ข้าขอตัวไปพักผ่อนก่อนนะ”พูดจบนางก็หันหลังเตรียมจะเดินจากไป จิ่งโม่เยี่ยค
ปู๋เยี่ยโหวรู้สึกถึงจิตสังหารที่แผ่ออกมาจากรอบตัวของจิ่งโม่เยี่ย เขาจึงพูดด้วยท่าทีระวังตัวว่า “คิดจะทำอะไร? อยากฆ่าปิดปากข้ารึ?”จิ่งโม่เยี่ยมองปู๋เยี่ยโหวแวบหนึ่ง ตอนนี้เขาค่อนข้างอยากจะฆ่าปู๋เยี่ยโหวจริงๆ แต่ความคิดนี้วนเวียนอยู่ในใจเขาเพียงชั่วครู่แล้วก็หายไป เขากล่าวอย่างเย็นชาว่า “ฆ่าเจ้า มือข้าจะเปื้อนเสียเปล่า”“แต่ถ้าเจ้ากล้ามาพบชูชูแบบส่วนตัว ข้าก็ไม่รังเกียจที่จะมือสกปรกหรอก”ปู๋เยี่ยโหว “......”นี่เป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกถึงเจตนาฆ่าจากจิ่งโม่เยี่ยจริงๆ เขายิ้มเยาะเล็กน้อยจิ่งโม่เยี่ยไม่สนใจเขาอีก หันหลังเดินจากไปปู๋เยี่ยโหวคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก็ตัดสินใจว่าจะไม่หาเรื่องตายเขาแสยะยิ้มแล้วหันหลังออกจากจวนผู้ว่าราชการของเมืองหลวงคดีที่เฟิ่งชูอิ่งฆ่าหลินอีฉุนหลังจากผ่านมือของมหาราชครู ก็แพร่สะพัดไปทั่วเมืองหลวงอย่างรวดเร็วเนื่องจากสถานะพิเศษของเฟิ่งชูอิ่ง ในสายตาของขุนบัณฑิตในเมืองหลวง คดีนี้จึงเป็นการต่อสู้ระหว่างมหาราชครูและจิ่งโม่เยี่ยดังนั้น นี่จึงไม่ใช่คดีธรรมดาอีกต่อไป แต่เป็นการต่อสู้แย่งชิงอำนาจระหว่างสองฝ่ายหลังจากมหาราชครูจัดการเรื่องต่างๆ แล้ว เขาก็เ
เพราะการทำแบบนี้ จะช่วยให้มีโอกาสชนะมากขึ้นท้ายที่สุด คู่ต่อสู้ของพวกเขาคือจิ่งโม่เยี่ย จิ่งโม่เยี่ยที่ทำทุกอย่างด้วยความบ้าคลั่งและเด็ดขาด แถมยังฉลาดเป็นกรดอีกต่างหากหลังจากออกจากวังหลวง มหาราชครูก็ไปหาจิ่งสือเยี่ยนตอนที่เขาไปถึงจวนอ๋องจิ้น จิ่งสือเยี่ยนเพิ่งปรึกษาเรื่องบ้านเมืองกับซูโหย่วเหลียงเสร็จพอดีคนเฝ้าประตูแจ้งว่ามหาราชครูมา ซูโหย่วเหลียงจึงพูดขึ้นว่า “เจ้าจิ้งจอกเฒ่าตัวนี้ ช่วงนี้กำลังสู้กับจิ่งโม่เยี่ยอย่างดุเดือดเชียวล่ะ”“ตอนนี้เขาเดินทางมาหาองค์ชาย คงอยากจะลากองค์ชายไปร่วมการต่อสู้ด้วย”ดวงตาของจิ่งสือเยี่ยนดูลึกลับและเย็นชา “จิ่งสือเฟิงตายไปแล้ว พวกเขาก็เหมือนแมลงวันหัวขาด”“เรื่องครั้งนี้ รองผู้ว่าตู้ไม่สามารถจัดการกับเฟิ่งชูอิ่งได้ แถมตัวเองยังต้องมาเดือดร้อนอีก ช่างน่าขันจริงๆ ”ซูโหย่วเหลียงมองเขาแล้วพูดว่า “รองผู้ว่าตู้ครั้งนี้ทำอะไรไม่ค่อยฉลาดเท่าไหร่”จิ่งสือเยี่ยนถามว่า “ท่านอา ท่านว่าทำไมรองผู้ว่าตู้ถึงได้ไปยุ่งกับเฟิ่งชูอิ่ง”ดวงตาของซูโหย่วเหลียงเป็นประกายก่อนจะพูดว่า “คงเพราะคิดว่าจิ่งโม่เยี่ยหลงรักเฟิ่งชูอิ่งอย่างหัวปักหัวปำ ถ้าจัดการกับเฟิ่งชู