เฉี่ยวหลิงตายในคุกของกรมราชทัณฑ์ ก่อนตายนางถูกทรมานอย่างโหดเหี้ยม เรื่องราวตอนที่ยังมีชีวิตอยู่ นางจึงแทบจำไม่ได้เลยดวงตาของเฟิ่งชูอิ่งฉายแววครุ่นคิด การตายของเฉี่ยวหลิง น่าสงสัยว่าจะเกี่ยวข้องกับมหาราชครูหรือเปล่า?ดวงตาของนางกวาดมองไปรอบๆ เห็นนักโทษมองมาที่พวกตนเองด้วยความหวาดกลัวอย่างสุดขีดนางถามว่า “พวกเจ้ามองอะไร?”นักโทษคนหนึ่งพูดด้วยเสียงสั่นๆ ชี้ไปที่เฉี่ยวหลิง “เมื่อครู่นี้นางบอกว่าตอนที่ยังมีชีวิตอยู่… งั้นตอนนี้นางตายแล้วหรือ?”เฟิ่งชูอิ่งยิ้ม “พวกเจ้าลองเดาดูสิ!”เหล่านักโทษไม่อยากเดาสักนิด พวกเขาขดตัวเป็นก้อนกลมเมื่อรู้ว่าเฉี่ยวหลิงเป็นวิญญาณร้าย เรื่องที่ไม่สามารถอธิบายได้ก่อนหน้านี้ ตอนนี้ก็สามารถอธิบายได้แล้วเช่นเรื่องที่ว่า ทำไมนางถึงเดินทะลุกำแพงได้อีกอย่างคือทำไมนางถึงดุร้ายขนาดนั้น แล้วยังทุบตีคนได้เร็วและแรงมากเฉี่ยวหลิงหันมองไปที่เหล่านักโทษ จากนั้นก็แสดงลูกตาถลนออกจากเบ้าและคางหลุดต่อหน้าทุกคน ทันใดนั้นคุกที่เงียบสงบก็เต็มไปด้วยเสียงกรีดร้องราวกับคุกกำลังจะถล่มเหล่านักโทษที่แต่เดิมขดตัวอยู่ ตอนนี้ต่างกอดกันเป็นก้อนในห้องขังเดียวกันน่ากลัว!น่
เพราะวิธีการจัดการของเสนาบดีฝ่ายซ้ายเช่นนี้ ราชสำนักในปัจจุบันจึงกลายเป็นกระถางสามขา อำนาจถูกแบ่งออกเป็นสามขั้วมหาราชครูไม่ได้เข้าพบกับจิ่งโม่เยี่ย สีหน้าของเขาจึงดูไม่สู้ดีนัก และเลือกจะเดินทางไปหาเสนาบดีฝ่ายซ้ายแทนแต่ครั้งนี้เสนาบดีฝ่ายซ้ายก็ไม่ยอมออกมาพบเขาเช่นกัน เพราะก่อนหน้านี้ จิ่งโม่เยี่ยได้ส่งคนนำหลักฐานความผิดของรองผู้ว่าราชการตู้ไปให้เสนาบดีฝ่ายซ้ายเสนาบดีฝ่ายซ้ายเป็นคนทำงานอย่างยุติธรรม เมื่อมีหลักฐานความผิดของรองผู้ว่าราชการตู้แล้ว ก็พอจะเดาจุดประสงค์ที่มหาราชครูมาเยือนได้เพราะรู้จุดประสงค์ของมหาราชครู เสนาบดีฝ่ายซ้ายจึงเลือกที่จะไม่พบมหาราชครูถูกปฏิเสธไม่ให้เข้าพบถึงสองครั้งติดๆ กัน สีหน้าของเขาจึงไม่สู้ดีนักนี่เป็นครั้งแรกในรอบหลายปีที่เขาต้องพบเจอเรื่องแบบนี้และเพราะท่าทีของเสนาบดีฝ่ายซ้าย มหาราชครูจึงรู้ว่าครั้งนี้คงยากที่จะช่วยรองผู้ว่าราชการตู้ออกมาได้แต่รองผู้ว่าราชการตู้เป็นลูกชายที่เขารักที่สุด แม้สถานการณ์จะเป็นเช่นนี้ เขาก็พยายามหาทางช่วยอย่างไม่ลดละเดิมทีเขามีแผนการจัดการจิ่งโม่เยี่ยอยู่แล้ว แต่ตอนนี้คงต้องเริ่มลงมือเร็วขึ้นกว่าเดิมหากเฟิ่งช
เพราะหลินอีฉุนตายยังไม่ถึงเจ็ดวัน เขาไม่มีทางลงนรกได้ในตอนนี้ ถือเป็นช่วงเวลาทองในการเรียกวิญญาณทว่าแบบนี้แล้วก็ยังเรียกวิญญาณหลินอีฉุนมาไม่ได้ มีความเป็นไปได้สองอย่าง อย่างแรกคือวิญญาณของเขาถูกควบคุม อีกอย่างคือวิญญาณของเขาสูญสลายไปหมดแล้วถ้าวิญญาณของเขาถูกควบคุม ด้วยความสามารถของเหมยตงยวนจะต้องสัมผัสได้เขาไม่รู้สึกอะไรเลย แสดงว่าหลินอีฉุนวิญญาณสูญสลายไปแล้วในโลกนี้ คนที่จะลงมือทำอะไรกับวิญญาณของหลินอีฉุนได้ เหมยตงยวนแทบไม่ต้องใช้ความคิดก็รู้แล้วว่าเป็นฝีมือใครเขาพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า "เป็นฝีมือของเทียนซือ"จิ่งโม่เยี่ยหันไปมองเขา เขาจึงเอ่ยเสริมว่า "เทียนซือทำให้วิญญาณของหลินอีฉุนสูญสลายไปแล้ว"จิ่งโม่เยี่ยถามว่า "แล้วตอนนี้จะทำอย่างไรกันดี?"ดวงตาของเหมยตงยวนเย็นเยียบ "เจ้าไปหาหลักฐานมา ข้าจะไปหาเทียนซือเอง"ถึงเฟิ่งชูอิ่งจะได้เล่นสนุกอยู่ในคุก แต่สถานที่แบบนั้นสกปรกเกินไป นางเข้าไปเล่นได้แต่ไม่ควรอยู่นานๆเรื่องที่ไม่ควรจะซับซ้อน กลับกลายเป็นเรื่องยุ่งยากหลังจากที่วิญญาณของหลินอีฉุนสูญสลายเขากับเทียนซือถือว่าเป็นศัตรูกันอย่างแท้จริง ตอนมีชีวิตอยู่ทั้งสองก็เป็นศั
เขาคิดจากใจจริงว่าท่านอ๋องของเขาพยายามทุกวิถีทางเพื่อตามง้อภรรยา แถมยังฉวยโอกาสทุกครั้งที่มีจิ่งโม่เยี่ยหาข้ออ้างไปพบเฟิ่งชูอิ่งได้แล้ว เขาจึงจัดการงานราชการในมืออย่างรวดเร็ว แล้วก็ออกเดินทางไปที่จวนผู้ว่าราชการอีกครั้งตอนที่เขาออกมาจากจวน ก็บังเอิญเจอกับปู๋เยี่ยโหวระหว่างทางพอดีเรื่องนี้เกิดขึ้นกะทันหันเกินไป ปู๋เยี่ยโหวเพิ่งจะได้รับข่าวเมื่อไม่นานมานี้เขาถามจิ่งโม่เยี่ยว่า “ชูชูถูกขังอยู่ในจวนผู้ว่าราชการได้อย่างไร?”จิ่งโม่เยี่ยไม่อยากสนใจเขาจึงทำเป็นเมินเฉยปู๋เยี่ยโหวได้ชื่อว่าเป็นคนหน้าด้านหน้าทนที่สุดในเมืองหลวง เขาจึงไม่สนใจท่าทีของจิ่งโม่เยี่ยเขาถามต่อว่า “ตอนนี้เจ้าจะไปเยี่ยมชูชูใช่ไหม?”จิ่งโม่เยี่ยก็ยังไม่สนใจเขาเหมือนเดิมเขากล่าวต่อว่า “ถ้าเจ้าจะไปเยี่ยมชูชู ข้าจะไปกับเจ้าด้วย”จิ่งโม่เยี่ยหยุดเดินแล้วมองไปที่เขา “ว่างมากรึไง?”ปู๋เยี่ยโหวยิ้ม “ไม่งานยุ่งเท่าเจ้าหรอก”จิ่งโม่เยี่ย “......”เขาอยากจะฆ่าปู๋เยี่ยโหวให้ตายเสียจริงเขาจ้องมองปู๋เยี่ยโหว แล้วสาวเท้าเดินต่อไปปู๋เยี่ยโหวรีบตามไปแบบติดๆ พูดพล่ามข้างๆ เขาต่อไป “ชูชูเกิดเรื่อง เจ้าก็ไม่ยอมบอกข้า
ตอนที่เขาทำตัวหน้าด้านแสร้งจะเนียนตามเข้าไปข้างใน ก็ถูกเจ้าหน้าที่ขวางไว้อีกครั้งครั้งนี้จิ่งโม่เยี่ยไม่แม้แต่จะชายตามองเขา เดินตัวปลิวเข้าไปด้านในเลยปู๋เยี่ยโหวต้องการจะบุกเข้าไป จิ่งโม่เยี่ยจึงให้หลางซานอยู่เฝ้า ปู๋เยี่ยโหวจึงไม่สามารถผ่านหลางซานเข้าไปได้หลางซานพูดเสียงเรียบว่า “ท่านโหว เชิญกลับเถอะ! หลังจากพระชายาเข้าไปในจวนผู้ว่าราชการ ท่านอ๋องก็มีรับสั่งห้ามท่านมาเยี่ยม”ปู๋เยี่ยโหวบ่นพึมพำ “จิ่งโม่เยี่ยนี่ขี้เหนียวชะมัด!”“ตอนที่ชูชูพักอยู่ที่จวนตากอากาศของข้า ข้าก็ไม่ได้ห้ามเขาไม่ให้มาเยี่ยมนาง”หลางซานพูดด้วยสีหน้าเรียบเฉย “ท่านไม่ได้ห้ามท่านอ๋อง แต่ท่านปิดบังพระองค์ต่างหาก”ปู๋เยี่ยโหว “……”เขาแค่นเสียงในลำคอเบาๆ แล้วพูดว่า “ข้าเข้าใจแล้ว จิ่งโม่เยี่ยก็แค่ริษยาข้า!”หลางซานไม่แสดงความเห็นต่อความคิดเห็นนี้ ปล่อยให้เขาพูดพล่ามไปคนเดียวปู๋เยี่ยโหวเห็นว่าใช้วิธีแข็งกร้าวไม่ได้ผล จึงเปลี่ยนมาใช้วิธีอ่อนโยน “ข้ามีประสบการณ์ด้านการติดคุกมากมาย สามารถสอนชูชูให้รู้วิธีใช้ชีวิตในคุกอย่างมีความสุขได้”“ถ้าเจ้าไม่อยากให้นางลำบาก ก็ปล่อยข้าเข้าไปเถอะ”หลางซานพูดเสียงเรียบ “
“เมื่อท่านได้พบเจอกับนาง เข็มบนนี้จะหมุนเอง ท่านจะได้ไม่คลาดกับนางแล้วมาโทษข้าว่าหลอกลวง”พูดจบ นางก็ยื่นจานกลมให้เสนาบดีฝ่ายซ้าย “เห็นท่านน่าสงสาร แต่งตัวด้วยเสื้อผ้าขาดๆ วิ่นๆ ข้าจะไม่เก็บเงินท่านก่อนก็แล้วกัน”“รอจนกว่าท่านจะพบนางแล้ว ค่อยเอาเงินมาให้ข้าทีหลังก็ยังไม่สาย”เสนาบดีฝ่ายซ้าย “......”เขามองเสื้อผ้าของตัวเอง มันก็ไม่ได้ขาดวิ่นอะไร แค่เก่าไปหน่อย มีรอยปะชุนบ้างบางจุดเขาพอจะเข้าใจแล้วว่าทำไมนางถึงบอกว่าเขาจนเขาไม่ค่อยเชื่อในสิ่งที่นางพูดนัก แต่ถึงจะเป็นโอกาสเพียงหนึ่งในหมื่น เขาก็ไม่อยากพลาดเขาลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะรับจานกลมนั้นมาจากนางตอนที่เสนาบดีฝ่ายซ้ายหันหลังกลับไป เขาก็เห็นจิ่งโม่เยี่ย เขาพยักหน้าเล็กน้อยเป็นการทักทาย แล้วจึงเดินจากไปจิ่งโม่เยี่ยรู้จักนิสัยของเสนาบดีฝ่ายซ้ายอยู่แล้ว จึงไม่ได้ใส่ใจอะไรเขาเดินไปหาเฟิ่งชูอิ่ง “เจ้ามาทำนายดวงให้เขาท่าไหนล่ะ”ถึงแม้ว่านางจะมีวิชาอาคมสูงส่ง แต่เขาก็รู้ว่านางไม่ค่อยทำนายดวงให้ใคร และไม่ยุ่งเกี่ยวกับเวรกรรมของใครส่วนเสนาบดีฝ่ายซ้ายนั้นมีคนที่มีความสัมพันธ์พิเศษกับเขาถูกขังอยู่ในคุกใหญ่ ทุกเดือนเขาจะแวะเ
เขาพูดพลางมองมาที่นาง “ในคุกมันทั้งหนาวและอับชื้น หากอยู่เพียงช่วงสั้นๆ พอสนุกก็แล้วไปเถอะ แต่ถ้านานไปคงไม่ดีต่อสุขภาพ ต้องรีบสืบคดีนี้ให้กระจ่างโดยเร็ว”“ข้าให้คนไปตรวจสอบสถานที่ที่หลินอีฉุนตายแล้ว ไม่พบสิ่งผิดปกติใดๆ จึงสงสัยว่าเป็นฝีมือวิญญาณร้าย”“วันนี้จึงมาเพื่อถามเจ้า หากเป็นฝีมือวิญญาณร้ายจริง จะมีเบาะแสอะไรเหลืออยู่บ้าง?”ความจริงแล้วเฟิ่งชูอิ่งได้ทดลองเรียกวิญญาณหลินอีฉุนตั้งแต่ตอนที่เข้าคุกใหม่ๆ และนางก็พบความผิดปกติตั้งแต่ตอนนั้นแล้วเมื่อได้ยินคำพูดของจิ่งโม่เยี่ย นางก็ยิ้มบางๆ “ต่อให้สืบจนรู้ว่าเป็นฝีมือวิญญาณร้าย ก็ไม่อาจล้างมลทินให้ข้าได้”“เพราะเรื่องวิญญาณร้ายไม่มีใครรับรู้ ใช้เป็นหลักฐานไม่ได้”“ส่วนเรื่องล้างมลทิน ข้าเชื่อว่าความจริงก็คือความจริง ข้าไม่ได้ฆ่าคน อย่างไรก็ไม่มีความผิด”ถ้าเป็นคนอื่นพูดแบบนี้ จิ่งโม่เยี่ยคงคิดว่าคนนั้นไม่มีสมองและมั่นใจในตัวเองเกินไปแต่พอคำพูดนี้ออกมาจากปากเฟิ่งชูอิ่ง เขาก็มั่นใจว่านางต้องวางแผนอะไรไว้แล้วนางหาวพลางพูดว่า “หากท่านอ๋องไม่มีธุระอะไรแล้ว ข้าขอตัวไปพักผ่อนก่อนนะ”พูดจบนางก็หันหลังเตรียมจะเดินจากไป จิ่งโม่เยี่ยค
ปู๋เยี่ยโหวรู้สึกถึงจิตสังหารที่แผ่ออกมาจากรอบตัวของจิ่งโม่เยี่ย เขาจึงพูดด้วยท่าทีระวังตัวว่า “คิดจะทำอะไร? อยากฆ่าปิดปากข้ารึ?”จิ่งโม่เยี่ยมองปู๋เยี่ยโหวแวบหนึ่ง ตอนนี้เขาค่อนข้างอยากจะฆ่าปู๋เยี่ยโหวจริงๆ แต่ความคิดนี้วนเวียนอยู่ในใจเขาเพียงชั่วครู่แล้วก็หายไป เขากล่าวอย่างเย็นชาว่า “ฆ่าเจ้า มือข้าจะเปื้อนเสียเปล่า”“แต่ถ้าเจ้ากล้ามาพบชูชูแบบส่วนตัว ข้าก็ไม่รังเกียจที่จะมือสกปรกหรอก”ปู๋เยี่ยโหว “......”นี่เป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกถึงเจตนาฆ่าจากจิ่งโม่เยี่ยจริงๆ เขายิ้มเยาะเล็กน้อยจิ่งโม่เยี่ยไม่สนใจเขาอีก หันหลังเดินจากไปปู๋เยี่ยโหวคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก็ตัดสินใจว่าจะไม่หาเรื่องตายเขาแสยะยิ้มแล้วหันหลังออกจากจวนผู้ว่าราชการของเมืองหลวงคดีที่เฟิ่งชูอิ่งฆ่าหลินอีฉุนหลังจากผ่านมือของมหาราชครู ก็แพร่สะพัดไปทั่วเมืองหลวงอย่างรวดเร็วเนื่องจากสถานะพิเศษของเฟิ่งชูอิ่ง ในสายตาของขุนบัณฑิตในเมืองหลวง คดีนี้จึงเป็นการต่อสู้ระหว่างมหาราชครูและจิ่งโม่เยี่ยดังนั้น นี่จึงไม่ใช่คดีธรรมดาอีกต่อไป แต่เป็นการต่อสู้แย่งชิงอำนาจระหว่างสองฝ่ายหลังจากมหาราชครูจัดการเรื่องต่างๆ แล้ว เขาก็เ
เฟิ่งชูอิ่งพูดต่อว่า “แต่ตอนนี้ข้าไม่เหลือทั้งบิดามารดาแล้ว เจ้าห้ามรังแกข้าเชียวนะ!”จิ่งโม่เยี่ยยกมือสาบานต่อฟ้าทันที “หากข้าทำไม่ดีกับเจ้าในภายภาคหน้า ขอให้สวรรค์ลงทัณฑ์ส่งฟ้ามาผ่าให้ตาย!”เฟิ่งชูอิ่งหัวเราะ “เรื่องฟ้าผ่าไม่ต้องถึงมือสวรรค์หรอก ข้าก็ทำได้”จิ่งโม่เยี่ย “......”เขาเกือบลืมไปแล้วว่านางวาดยันต์ได้เก่งมาก ตราบใดที่นางต้องการ ใช้ฟ้าผ่าเขาก็ไม่ใช่เรื่องยากเฟิ่งชูอิ่งเห็นท่าทางของเขาก็แอบหัวเราะเบาๆ เอื้อมมือไปกอดแล้วซุกศีรษะพิงอกเขา กล่าวว่า “ข้าเชื่อใจท่าน”“ตอนนี้เราทั้งสองล้วนไม่มีพ่อแม่แล้ว ชีวิตที่เหลืออยู่ก็มีเพียงกันและกัน”“ต่อไปข้าจะดูแลเจ้าอย่างเต็มที่ จะไม่ระแวงเจ้าอีก ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ข้าจะเชื่อใจเจ้า”หัวใจที่ตึงเครียดของจิ่งโม่เยี่ยก็ผ่อนคลายลงในทันทีเขากอดนางตอบ “กาลเวลาจะเป็นเครื่องพิสูจน์ว่าการตัดสินใจของเจ้าถูกต้อง”เขาโน้มตัวลงจูบหน้าผากนางเบาๆ เอ่ยอย่างอ่อนโยนว่า “ข้าจะทุ่มเททุกอย่างเพื่อรักเจ้า”เมื่อเฟิ่งชูอิ่งได้ยินคำพูดนี้ หัวใจก็สั่นไหว นางช้อนตามองขึ้นไปที่เขา ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความอ่อนโยนนางรู้ว่าคำพูดของเขาในตอนนี้ล้วนมาจ
ก่อนหน้านี้เขาไม่รู้ฐานะของจิ้งจอกสือซานเหนียง แต่ตอนนี้เขาพอจะเข้าใจได้หลังจากได้ยินบทสนทนาระหว่างจิ้งจอกสือซานเหนียงและเฟิ่งชูอิ่งจิ้งจอกสือซานเหนียงเห็นสีหน้าเคร่งขรึมของเขาก็หัวเราะเบาๆ ก่อนจะหันหลังเดินจากไปเฟิ่งชูอิ่งถามว่า “เจ้าจะไปไหน? ข้ายังมีเรื่องอยากจะถามเจ้าอีกมาก”จิ้งจอกสือซานเหนียงตอบว่า “ข้าจะไปหาที่ขับไล่พลังชั่วร้ายออกจากร่างกาย พอขับไล่เสร็จแล้วข้าจะกลับมาหาเจ้า”ตลอดหลายปีที่ผ่านมา นางฝึกฝนวิชาสายชั่วร้ายมากมาย ทำให้พลังชั่วร้ายในร่างกายมีมากเกินไป หากอยู่ใกล้ใครนานๆ จะมีผลกระทบต่อคนรอบข้างเฟิ่งชูอิ่งจึงเตือนนางว่า “เจ้าอย่าผิดคำพูดล่ะ ข้าจะรอเจ้ากลับมา!”จิ้งจอกสือซานเหนียงโบกมือแล้วบอกว่า “วางใจเถอะ ข้าจะกลับมาแน่นอน”หลังจากนางเดินออกไปไกลแล้ว เฟิ่งชูอิ่งก็ถอนหายใจยาวๆ และเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากแยกทางกันให้จิ่งโม่เยี่ยฟังหลังจากที่จิ่งโม่เยี่ยได้ยินเรื่องของเหมยตงยวน เขาก็เงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะพูดว่า “เพราะรักถลำลึกจึงไม่ยืนยาว เรื่องระหว่างท่านพ่อกับท่านแม่ช่างน่าเศร้า”เฟิ่งชูอิ่งกล่าวอย่างแผ่วเบาว่า “ดังนั้นการสื่อสารจึงสำคัญ ต่อไปไม่ว่าจะมี
สิ้นเสียงของนาง สายฟ้าก็ฟาดลงมาอีกครั้ง ทำให้พลังที่พุ่งพล่านของเขาสลายไปจิ่งสือเยี่ยน “!!!!!!!!”หลังจากถูกอสนีบาตฟาดใส่อย่างต่อเนื่องห้าครั้ง ร่างวิญญาณของเขาก็จางลงอย่างมากแต่ถึงอย่างนั้น เขาก็ยังไม่ตายเฟิ่งชูอิ่งถึงกับตกใจ ชีวิตของจิ่งสือเยี่ยนช่างแข็งแกร่งเสียจริง!นางอดสงสัยไม่ได้ว่าเขาจะกลายเป็นเทียนซือคนที่สอง และจะกลายเป็นภัยพิบัติในอนาคตนางกำลังจะม้วนแขนเสื้อขึ้นเพื่อเสกยันต์ใส่จิ่งสือเยี่ยนอีกครั้ง แต่กลับมีเงาร่างหนึ่งพุ่งเข้ามาแล้วกลืนเขาเข้าไปทั้งตัวเฟิ่งชูอิ่ง “!!!!!!”จิ้งจอกสือซานเหนียงเรอออกมาคำโตแล้วบอกว่า “เขาเป็นอาหารที่ข้าหมายตาไว้แต่แรก”“การปล่อยให้อาหารหลุดมือไป เป็นเรื่องที่ไม่อาจให้อภัยได้”เฟิ่งชูอิ่ง “......”นางเคยจินตนาการถึงความตายของจิ่งสือเยี่ยนไว้หลายแบบ แต่ไม่มีฉากจบแบบนี้อยู่เลยนางได้คงบอกได้แค่ว่าจิ้งจอกสือซานเหนียงเจ๋งสุดยอด!ขณะเดียวกันนั้นจิ่งโม่เยี่ยก็เดินเข้ามา เขาจ้องมองจิ้งจอกสือซานเหนียงด้วยความระแวดระวัง มือจับกระบี่เอาไว้ เตรียมพร้อมที่จะฟันจิ้งจอกสือซานเหนียงได้ทุกเมื่อเฟิ่งชูอิ่งบีบมือเขาเบาๆ ให้เขาผ่อนคลายจิ้งจอก
แต่ทว่าคันธนูของจิ่งสือเยี่ยนเพิ่งจะยกขึ้นมา ก็มีลูกธนูที่เร็วกว่าพุ่งทะลุหัวใจของเขาในทันทีจิ่งสือเยี่ยนมองลูกธนูที่ปักอยู่บนอกด้วยความไม่อยากเชื่อ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองและเห็นดวงตาที่เย็นชาของจิ่งโม่เยี่ยเมื่อครู่นี้พวกเขาทั้งสองยังมีระยะห่างต่อกันอยู่แท้ๆ และตำแหน่งที่เขาหลบอยู่ก็เป็นมุมอับที่จิ่งโม่เยี่ยยิงมาไม่ถึงทว่าเพียงแค่อึดใจเดียว จิ่งโม่เยี่ยก็ปรับตำแหน่งได้อย่างรวดเร็วและยิงธนูทะลุหัวใจเขาได้ในนัดเดียวในตอนนี้จิ่งสือเยี่ยนกับจิ่งโม่เยี่ยไม่ได้อยู่ห่างกันมากนัก แต่ถ้าพูดคุยกันตามปกติก็คงไม่ได้ยินทว่าในเวลาเช่นนี้ จิ่งสือเยี่ยนกลับได้ยินเสียงของจิ่งโม่เยี่ย “คนที่กล้าทำร้ายชูอิ่งต้องตาย!”ก่อนหน้านี้จิ่งสือเยี่ยนคิดแค่ว่าจิ่งโม่เยี่ยดีต่อเฟิ่งชูอิ่งมาก ทว่าตอนนี้เขาเพิ่งได้รู้ซึ้งเรื่องบางอย่างเฟิ่งชูอิ่งไม่ใช่แค่จุดอ่อนของจิ่งโม่เยี่ย แต่เป็นทั้งชีวิตของเขาแต่มาเข้าใจเอาป่านนี้ก็สายไปแล้วในตอนนี้เฟิ่งชูอิ่งยังคงนอนคว่ำอยู่บนพื้นหิมะ นางได้ยินเสียงวัตถุแหวกอากาศจึงหันไปมอง และเห็นภาพของจิ่งสือเยี่ยนล้มลงกับพื้นในเวลานี้ เฟิ่งชูอิ่งก็เข้าใจใด้ทันทีว่าในโลกน
ในเมื่อเขาไม่ได้ราชบัลลังก์และเฟิ่งชูอิ่งมาครอบครอง ราชบัลลังก์เขาอาจจะทำลายไม่ได้ แต่เฟิ่งชูอิ่งแค่คนเดียวเขาทำลายได้แน่นอนองครักษ์สองคนของเขารีบเปลี่ยนมาง้างคันธนูเล็งไปที่เฟิ่งชูอิ่ง ทว่าลูกธนูยังไม่ทันได้ยิงออกไป ก็ถูกบางสิ่งบางอย่างปัดออกไปอีกครั้งในตอนนี้จิ่งสือเยี่ยนก็พลันเข้าใจบางอย่างขึ้นมาทันทีตลอดทางที่ผ่านมา วิญญาณร้ายของเฟิ่งชูอิ่งถึงจะมาแล้ว แต่ก็ไม่ได้ลงมือ นั่นก็น่าจะมีเหตุผลที่ลงมือไม่ได้วิญญาณร้ายโจมตีองครักษ์ของเขา แต่กลับไม่โจมตีเขา นั่นก็หมายความว่าวิญญาณร้ายเหล่านั้นโจมตีเขาไม่ได้เขานึกถึงข่าวลือที่เคยได้ยินมาว่า พลังมังกรของผู้เป็นฮ่องเต้เป็นสิ่งที่ปราบภูตผีปีศาจได้วิญญาณร้ายไม่โจมตีเขา นั่นแสดงว่าวิญญาณร้ายทำอะไรเขาไม่ได้ แปลว่าเขามีพลังมังกรอยู่ในตัว?ความคิดนี้ทำให้จิตใจเขาฮึกเหิมขึ้นมาทันที เขารีบหยิบธนูของตัวเองขึ้นมา อดทนต่อความเจ็บปวดจากบาดแผลแล้วยิงธนูไปที่หลังของเฟิ่งชูอิ่งเฉี่ยวหลิงเห็นภาพนี้ก็ตกใจ รีบยื่นมือออกไปเพื่อจะรับลูกธนูนั้นทว่าลูกธนูนั้นเปื้อนเลือดของจิ่งสือเยี่ยน เลือดนั้นเป็นอันตรายต่อวิญญาณร้ายอย่างมาก มือของนางแค่เพียงสัมผ
หิมะยังคงโปรยปรายลงมา โลกนี้เงียบสงัด มีเพียงเสียงฝีเท้ากระทบกับพื้นหิมะดังฟุ่บฟั่บช่วงใกล้รุ่งสาง ชวีเหลียงอวี่ก็มาปรากฏตัวและเอ่ยขึ้นทันทีว่า "ท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการรออยู่ข้างนอกแล้ว"เมื่อได้ยินดังนั้น เฟิ่งชูอิ่งก็เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยนางหันไปบอกกับจิ่งสือเยี่ยนว่า "เมื่อครู่ข้าลองคิดดูดีๆ แล้ว รู้สึกว่าที่เจ้าพูดก็มีเหตุผลอยู่บ้าง การมีชีวิตอยู่ก็ไม่เลว"จิ่งสือเยี่ยน “......”หลังจากผ่านมาทั้งคืน นางกลับปลงตกในเรื่องเช่นนี้ได้ ทำให้เขารู้สึกประหลาดใจอยู่เล็กน้อยแต่การที่นางคิดได้ในตอนนี้ก็เป็นเรื่องดีเขาจึงพูดว่า "หลายสิ่งหลายอย่างทำได้ตอนมีชีวิตอยู่เท่านั้น ตายไปแล้วทำไม่ได้""ตราบใดที่เจ้าพาข้าออกจากค่ายกลแห่งนี้ ข้าจะไม่สร้างความลำบากให้เจ้าอีก”เฟิ่งชูอิ่งพยักหน้า "ก็ได้ งั้นตอนนี้ข้าจะพาเจ้าไปทำลายค่ายกล"พูดจบนางก็ควบม้านำหน้าไป จิ่งสือเยี่ยนรีบนำทหารตามไปทันทีเพียงแต่พวกเขาเดินวนเวียนอยู่ที่นี่ทั้งคืน ทั้งเหนื่อยทั้งหิว พลังจึงลดลงไปมากเฟิ่งชูอิ่งมียันต์ป้องกันความหนาวติดตัวอยู่จึงไม่รู้สึกหนาว ก่อนหน้านี้ก็นอนหลับมาตลอดทาง ทำให้รักษาพลังงานไว้ได้มากที่สุ
เขาไม่เคยเจอใครดื้อด้านเท่านางมาก่อน!เขาสูดหายใจเข้าลึกๆ เพื่อระงับโทสะ เพราะตอนนี้เขาไม่สามารถตบตีหรือด่าทอนางได้ทั้งนั้นเขาพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “เจ้าอยากไปเจียงหนานไม่ใช่หรือ? พอออกจากที่นี่ได้ ข้าจะไม่ขัดขวางเจ้า เจ้าก็จะได้ไปชมวิวทิวทัศน์เจียงหนานที่เจ้าอยากเห็น”“เจียงหนานในฤดูหนาวที่มีหิมะปกคลุมทั้งงดงามและน่าหลงใหล ถ้าเจ้ายังไม่เคยเห็น ต้องไปดูด้วยตาตัวเองให้ได้เลย”เฟิ่งชูอิ่งยังคงนอนอยู่บนพื้นไม่ยอมลุกขึ้น “ไม่ไป อากาศหนาวเกินไป เดินทางเหนื่อยเกินไป”จิ่งสือเยี่ยน “…...”ตั้งแต่วินาทีที่เขาติดกับอยู่ที่นี่ สถานะระหว่างเขากับเฟิ่งชูอิ่งก็สลับกันโดยสิ้นเชิงเพราะเขามีความทะเยอทะยาน อยากใช้ชีวิตอย่างสุขสบายยิ่งเฟิ่งชูอิ่งแสดงออกว่าอยากตายมากเท่าไหร่ จิ่งสือเยี่ยนก็ยิ่งไม่ยอมให้นางตายมากขึ้นเท่านั้นดังนั้นตอนนี้นางจึงควบคุมเขาได้อย่างเบ็ดเสร็จการที่นางแสดงท่าทีไม่ยอมทำตามไม่ว่าเขาจะใช้ไม้แข็งหรือไม้อ่อนเช่นนี้ ทำให้เขาแทบเป็นบ้าจิ่งสือเยี่ยนไม่เคยคิดฝันมาก่อนว่าการจับตัวประกันจะน่าอึดอัดขนาดนี้เฟิ่งชูอิ่งนอนเอกเขนกอยู่ตรงนั้นอย่างสบายใจ เหตุผลก็ง่ายๆ นางใช้
เฟิ่งชูอิ่งยิ้มแล้วถามว่า “ทางที่ข้าชี้นำ เจ้ากล้าเดินตามหรือ?”เมื่อมาถึงตอนนี้แล้ว นางก็คร้านจะเสแสร้งต่อไปสีหน้าของจิ่งสือเยี่ยนแข็งค้างไปครู่หนึ่ง นางพูดอย่างเฉื่อยชาว่า “เพราะพวกเจ้าติดอยู่ที่นี่ คงรู้สึกหนาวเหน็บและหวาดกลัว”“เจ้าบาดเจ็บ ในสภาพอากาศหนาวเย็นเช่นนี้ แผลของเจ้าจะยิ่งทรุดหนัก”“เจ้ารีบร้อนมารวบรวมกำลังพลของกองกำลังอวี๋ซาน เจ้าคงไม่ได้พกอาหารมาด้วยมากนัก ดังนั้นตอนนี้พวกเจ้าคงหิวมากแล้ว”“ในสถานการณ์เช่นนี้ แค่ข้ากักขังพวกเจ้าไว้ที่นี่ ต่อให้ไม่หนาวตาย พวกเจ้าก็คงอดตายอยู่ดี”ขณะนี้หิมะขาวโพลนโปรยปรายไปทั่ว อากาศหนาวเหน็บ สภาพอากาศเช่นนี้คงจะดำเนินต่อไปเป็นเวลาอย่างน้อยครึ่งเดือนเป็นอย่างที่เฟิ่งชูอิ่งบอก พวกเขาเดินทางมาที่นี่โดยไม่ได้พกเสบียงอาหารแห้งหรืออะไรทำนองนั้นมาด้วยเลยด้วยเหตุนี้ตอนที่พวกเขาเดินวนจนครบรอบที่สาม เสบียงอาหารก็หมดลงตอนนี้ฟ้าเริ่มมืดแล้ว หลังจากตกกลางคืน อากาศจะยิ่งหนาวเย็นลง พวกเขาจะยิ่งลำบากมากขึ้นจิ่งสือเยี่ยนชักกระบี่ยาวออกมา “เจ้าเชื่อหรือไม่ว่าข้าสามารถบั่นคอเจ้าด้วยกระบี่เล่มนี้ได้!”เฟิ่งชูอิ่งยิ้มหวานแล้วเอ่ยว่า “เอาเลย ฆ
เขาคลี่ยิ้มมุมปากเล็กน้อย “ได้”หลังจากฆ่าจิ่งโม่เยี่ยแล้ว จะปล่อยนางไปหรือไม่ เรื่องนี้เขาจะเป็นคนตัดสินใจนางเป็นผู้หญิงคนแรกที่เขารู้สึกชอบจริงๆ และนางก็เป็นผู้หญิงคนแรกที่ทำให้เขารู้จักกับความล้มเหลวเขารู้ว่านางมีวิธีการบางอย่างที่คนทั่วไปไม่มี ดังนั้นเขาจึงไม่กล้าประมาท เขาจะป้อนยาที่ทำให้กล้ามเนื้ออ่อนแรงให้นางกินทุกวันเฟิ่งชูอิ่งรู้ทันความคิดของเขา และยอมให้ความร่วมมือแต่โดยดีขณะที่ในใจของนางกำลังครุ่นคิด ครั้งที่แล้วโดนไปขนาดนั้นยังรอดมาได้ ถ้าอย่างนั้นก็ต้องหาโอกาสฆ่าเขาให้ตายสนิทแบบไม่มีสิทธิ์ฟื้นขึ้นมาอีกนางพลันนึกถึงเรื่องที่เหมยตงยวนวิญญาณแหลกสลายหลังจากรู้ข่าวการตายของเฟิ่งชิงหลิง จิตใจนางจึงหม่นหมองตามไปด้วยนางรู้ว่าเหมยตงยวนรักเฟิ่งชิงหลิงอย่างสุดซึ้ง แต่ไม่คิดว่านั่นจะเป็นรากฐานที่ทำให้เขามีชีวิตอยู่ในโลกใบนี้เพราะนางเห็นความรักของพวกเขา นางจึงยิ่งรู้ชัดว่าตัวเองมีความรู้สึกแบบไหนต่อจิ่งโม่เยี่ยในเมื่อรักแล้ว ก็ต้องรักให้สุดหัวใจอย่าได้ทำเรื่องที่ทำให้ตัวเองเสียใจและทำให้ฝ่ายตรงข้ามเข้าใจผิดอีกจิ่งสือเยี่ยนไม่ได้ไปตามล่าจิ่งโม่เยี่ยโดยตรง เขาวางแผนท