เฟิ่งชูอิ่งเบิกตากว้างมองไปที่เหมยตงยวน ดวงตาของนางเต็มไปด้วยความไม่เชื่อว่าในโลกนี้จะมีเรื่องบ้า ๆ แบบนี้เกิดขึ้นจริง!ฆ่าภรรยาเพื่อพิสูจน์มรรคา?มันช่างบ้าบอเหลือเกิน!นางอดไม่ได้ที่จะถามว่า “แล้วพ่อทำอย่างไร?”เหมยตงยวนรู้สึกถึงความเยือกเย็นทั่วร่าง เขาพูดด้วยเสียงต่ำว่า “ฆ่าภรรยาเพื่อพิสูจน์มรรคานั้นย่อมเป็นไปไม่ได้”“เพียงแต่ข้ารู้ว่าอาจารย์ของข้าเป็นคนอย่างไร ยิ่งข้าแสดงออกว่าห่วงใยแม่ของเจ้ามากเท่าไร เขายิ่งต้องการฆ่าแม่ของเจ้ามากขึ้นเท่านั้น”“ตอนนั้นข้าใช้วิธีบางอย่างหลอกพวกเขาให้เชื่อว่าข้าไม่มีความรู้สึกต่อแม่ของเจ้า และยินดีที่จะฟังคำสอนของอาจารย์เพื่อสืบทอดตำแหน่งหัวหน้าสำนัก”“ข้ายังบอกอาจารย์ว่าที่ข้าแต่งงานกับนาง ก็เพราะว่านางเป็นสตรีศักดิ์สิทธิ์ของแคว้นซีฉู่ และข้างกายของนางมีปีศาจจิ้งจอกที่ฝึกฝนมานานถึงพันปี”“ข้าต้องการจับปีศาจจิ้งจอกตัวนั้นจึงใช้นางมาเป็นเหยื่อ เพื่อหลอกล่อปีศาจจิ้งจอกที่อยู่ข้างกายนางมาที่นี่ ตั้งกับดักเพื่อจับมันไปเพื่อทำการทดสอบ”เฟิ่งชูอิ่งเมื่อได้ยินตรงนี้ใจของนางก็รู้สึกบีบรัด รู้ว่าต้องมีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้นแน่เหมยตงยวนค่อยๆ หลับตาล
“นางไม่ยอมให้ข้าเลี้ยงดูเจ้าเลยส่งเจ้าขึ้นขบวนรถเดินทางไปยังเมืองหลวง เพื่อให้สหายเก่าของนางดูแลเจ้าแทน”เขาพูดถึงตรงนี้ น้ำเสียงก็สั่นเครือเล็กน้อยแม่ของเฟิ่งชูอิ่งไม่ยอมให้อภัยเขาจนกระทั่งตาย แม้แต่การส่งลูกสาวไปให้คนอื่นเลี้ยงก็ยังดีกว่าการให้เขาเลี้ยง เรื่องนี้ทำให้เขาได้รับผลกระทบทางจิตใจอย่างมากเฟิ่งชูอิ่งเรียกเขาว่า “ท่านพ่อ…”เหมยตงยวนพูดเบาๆ ว่า “ข้าไม่เป็นไร ข้าติดหนี้แม่ของเจ้ามากมายนัก นางเกลียดข้าก็เป็นเรื่องปกติ”“แค่คิดถึงเรื่องเหล่านี้ก็ทำให้ข้ารู้สึกเศร้าแล้ว”เฟิ่งชูอิ่งอยากจะปลอบเขา แต่เรื่องนี้กลับไม่รู้จะปลอบใจอย่างไรในสถานการณ์นั้น จากมุมมองของเหมยตงยวนมันคือการอดทน แต่จากมุมมองของแม่เฟิ่งชูอิ่งมันคือความเจ็บปวดอย่างสุดซึ้งไม่ว่าสถานการณ์จะเกิดจากความปรารถนาของเขาหรือไม่ เขาก็ยังทำร้ายนางอยู่ดีเฟิ่งชูอิ่งลองเอาตัวเองเข้าไปอยู่ในสถานการณ์ของแม่นางในตอนนั้น ก็สามารถเข้าใจการตัดสินใจของท่านแม่ได้ดีเรื่องเหล่านี้ตอนนี้พูดออกมาจากปากเหมยตงยวนแค่ไม่กี่ประโยค แต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในตอนนั้นคงจะเป็นหายนะอันยิ่งใหญ่นางนึกถึงสิ่งที่ได้จากหลินชูเจิ้ง ถามว่
นางอุทานออกมาว่า “ท่านพ่อ ท่านเจ๋งสุดยอดไปเลย!”เหมยตงยวนถอนหายใจเบาๆ “ข้าไม่ได้เก่งกาจอย่างที่เจ้าคิดหรอก”“ตอนนั้นข้าใช้วิชาต้องห้าม ก็ต้องจ่ายราคาที่สมน้ำสมเนื้อด้วยเหมือนกัน”“ตอนนั้นฮ่องเต้เจาหยวนกำลังชิงอำนาจ ต้องการฆ่าฮ่องเต้พระองค์ก่อน ข้าจึงใช้วิชาต้องห้ามทำให้พลังของข้าลดลงอย่างมาก และในเวลาสั้นๆ ก็ไม่สามารถทำนายได้อีก”“ฮ่องเต้เจาหยวนและเทียนซือร่วมมือกันวางกับดัก ทำลายสำนักลี้ลับ ฆ่าข้าและจับวิญญาณของข้าไปขังไว้ในพระราชวัง”เฟิ่งชูอิ่งฟังแล้วรู้สึกว่าเรื่องราวนี้ไม่ง่ายดายอย่างที่คิดตอนนั้นน่าจะอันตรายมาก สถานการณ์การต่อสู้ก็น่ากลัวมากนางเกิดความคิดหนึ่งขึ้นมาจึงถามว่า “ท่านพ่อ วิชาต้องห้ามที่ท่านใช้คือการแลกเปลี่ยนชีวิตใช่ไหม?”เหมยตงยวนมองไปที่นางด้วยความประหลาดใจ “เจ้าเดาออกแล้วหรือ?”เขาไม่ได้บอกนางเพราะไม่อยากให้นางคิดมาก แต่ไม่คิดว่านางจะฉลาดขนาดนี้ ถึงขั้นเดาออกได้ง่ายๆเฟิ่งชูอิ่งถอนหายใจ “ท่านพ่อก็อย่าดูถูกข้านักสิ ไม่ว่าจะอย่างไร ข้าก็เรียนวิชาสำนักลี้ลับได้ดีอยู่นะ”“เมื่อไม่นานมานี้ ข้าก็เพิ่งใช้วิชาต้องห้าม และเข้าใจมันได้ลึกซึ้งกว่าคนทั่วไป”วิชา
เฟิ่งชูอิ่งกำลังหลับสะลึมสะลือ แต่จู่ๆ ก็สัมผัสได้ว่ามีมือข้างหนึ่งล้วงเข้ามาในอกของนางนางคว้ามือของคนผู้นั้นเอาไว้แล้วจับบิดสุดแรง ทั้งที่ดวงตาทั้งสองข้างยังปิดสนิท“อ๊าก” เสียงร้องโหยหวนดังขึ้นมาพร้อมกับเสียงสบถด่า “เฟิ่งชูอิ่ง เจ้าเป็นบ้าไปแล้วหรือ?”เฟิ่งชูอิ่งพลันเบิกตาโพลง ก่อนจะมองเห็นใบหน้าซีดเซียวของใครคนหนึ่ง ที่แม้จะหล่อเหลา แต่กลับดูเจ้าชู้สำส่อนครู่ต่อมานางก็สังเกตเห็นลัคนาของเขา มันเป็นสีดำทมิฬไปทั้งแถบ มีเพียงคนที่ใกล้จะตายเท่านั้นถึงจะมีโหงวเฮ้งเช่นนี้ ความทรงจำช่วงหนึ่งพลันไหลบ่าเข้ามาในสมอง นางจึงทดลองเอ่ยเรียกออกไปว่า “เฉินเยี่ยนเซิง?”เฉินเยี่ยนเซิงกุมมือที่เกือบจะถูกบิดจนหักของตัวเอง ตอบกลับด้วยสีหน้าไม่สบอารมณ์ “เจ้าบ้าไปแล้วหรือ ถึงกล้าบิดมือข้าเช่นนี้?” “เจ้าอย่าลืมนะ อีกไม่กี่วันเจ้าจะต้องแต่งงานกับผีขี้โรคอย่างอ๋องฉู่ เจ้าเป็นคนขอร้องให้ข้าพาหนีเองนะ!”เฟิ่งชูอิ่ง : “......”คำพูดของเขาตรงกับความทรงจำที่ปรากฏขึ้นในสมองของนางพอดิบพอดี แล้วก็เหมือนกับบทในนิยายที่ญาติผู้น้องของนางอ่านเมื่อไม่กี่วันก่อนทุกกระเบียดนิ้วด้วย เพราะว่านางร้ายในนิยายเล่มน
หลังได้ยินเสียงดังกล่าว เสียงเซ็งแซ่วุ่นวายภายในห้องก็กลายเป็นความเงียบสงัดในพริบตา สายตาของคนทั้งหมดหันมองไปทางประตูบานนั้นเฟิ่งชูอิ่งก็สงสัยใคร่รู้มิใช่น้อย นางอยากจะเห็นด้วยตาตัวเองว่าจอมวายร้ายที่ปั่นหัวคู่พระนางจนแทบเป็นบ้า ซึ่งนักเขียนบรรยายเอาไว้ว่ารูปโฉมดุจเซียนผู้ร่วงหล่นสุราลัย ทว่านิสัยใจคอโหดเหี้ยมอำมหิตผู้นั้น แท้จริงแล้วมีรูปร่างหน้าตาเป็นเช่นไรทว่าเมื่อนางมองเห็นจิ่งโม่เยี่ยเจ้าของบรรดาศักดิ์ฉู่อ๋อง ก็ถึงกับตกตะลึงตาค้างไปเลยยามนี้เป็นช่วงปลายฤดูใบไม้ผลิแล้ว เขากลับสวมเสื้อคลุมขนจิ้งจอกสีขาว องคาพยพทั้งห้าถูกสรรสร้างมาอย่างพิถีพิถัน นัยน์ตาดอกท้อคู่นั้นเป็นสีดำขลับ งามจนแยกมิออกเลยว่าเป็นบุรุษหรืออิสตรีในมือของเขาถือคัมภีร์พระไตรปิฎก มุมปากประดับรอยยิ้มจางๆ ให้บรรยากาศงามสง่าหลุดพ้นจากโลกีย์ทั้งปวง เหมือนเทพเซียนที่พลัดหลงจากสวรรค์ลงมายังโลกมนุษย์โดยแท้ เพียงแต่สีหน้าของเขาออกจะซีดเซียวเล็กน้อย ท่าทางคล้ายคนป่วยไข้อยู่หลายส่วน ทว่าท่าทางอ่อนแอนั้นกลับทำให้คนรู้สึกอยากจะปกป้องทะนุถนอมอย่างบอกไม่ถูกเฟิ่งชูอิ่งสรุปได้ว่า นี่มันปีศาจ[footnoteRef:1]ชัดๆ! [1: ปีศา
เฟิ่งชูอิ่งตัวสั่นระริกอย่างไม่อาจควบคุม ก่อนจะเหลือบมองเฉินเยี่ยนเซิงที่ถูกแล่เนื้อเถือหนังจนแดงเถือกไปทั้งตัวนางไม่อยากโดนแล่ จะต้องหาทางเอาตัวรอดให้ได้นางกรอกตาไปมา ก่อนจะกล่าวด้วยดวงตาแดงระเรื่อ “วันนี้ข้ากับเฉินเยี่ยนเซิงปรึกษาเรื่องหนีตามกันในห้องนี้จริงๆ“แต่ตอนนั้นข้าทำไปเพราะถูกเขาบีบบังคับ ก็เลยต้องยอมตามน้ำคนหน้าซื่อใจคดอย่างเขาไปก่อน“ท่านอ๋องก็ทราบ หลังจากบิดามารดาของข้าตายไป ข้าก็ไม่รู้จะหันหน้าไปพึ่งใคร ต้องจำใจไปอยู่อาศัยที่จวนสกุลหลิน“แต่ผู้คนในจวนสกุลหลินกลับหวังฮุบสมบัติของบิดามารดาข้า คิดจะทำร้ายข้าให้ถึงแก่ความตาย“พวกเขากลัวว่าหากข้าแต่งออกไปแล้ว จะขนทรัพย์สินทั้งหมดไปเป็นสินเดิมเจ้าสาวด้วย ดังนั้นก็เลยไม่อยากให้ข้าแต่งเข้าจวนอ๋องของท่าน“ดังนั้นหลินหว่านถิงกับเฉินเยี่ยนเซิงก็เลยวางแผนร่วมกัน พยายามพูดจาใส่ร้ายท่านอ๋องให้ข้าฟังบ่อยๆ หว่านล้อมให้ข้าหนีตามเขาไปพร้อมทรัพย์สิน จะได้ฉวยโอกาสนั้นจัดการปลิดชีพข้า“โดยที่พวกเขาไม่รู้เลยว่าเมื่อสิบปีที่แล้ว ท่านอ๋องเคยช่วยชีวิตข้าครั้งหนึ่งตอนอยู่ในบ่อน้ำพุร้อนของจวนกลางหุบเขา ข้าจึงปักใจอยากแต่งงานกับท่านตั้งแต
เขาเอ่ยถึงตรงนั้นแล้วหยุดมองจิ่งโม่เยี่ยด้วยความเวทนา “ท่านก็จะประสบอุบัติเหตุตายได้ทุกรูปแบบเลยล่ะ ท่านอาจจะกินอาหารติดคอตาย ดื่มน้ำสำลักตาย เดินๆ อยู่ก็สะดุดล้มตาย...”“เงียบซะ!” จิ่งโม่เยี่ยเอ่ยเสียงเย็นชาเจ้าอาวาสถอนหายใจ “รู้ว่าเจ้าไม่อยากฟังอะไรแบบนี้ ทว่ามันคือความเป็นจริง”“แม้สวรรค์จะเป็นผู้กำหนดชะตากรรมของมนุษย์ แต่บางครั้งก็อาจจะถูกคนช่วงชิงไปได้เหมือนกัน”“เมื่อไหร่ที่คนถึงคราวดวงตก ความซวยทั้งหลายแหล่ก็จะประดังประเดเข้ามาหาพร้อมกัน”“ถึงตอนนั้นคนอื่นก็ไม่จำเป็นต้องลงมือให้เสียแรงเปล่า เพราะเดี๋ยวเจ้าก็ตายแบบไม่รู้ตัวเอง”“ดังนั้นเรื่องเร่งด่วนในยามนี้ คือการตามหาตัวผู้เชี่ยวชาญศาสตร์ลี้ลับให้พบ ปัญหาจะได้คลี่คลาย”เขาพูดมาถึงตรงนี้แล้วเอ่ยด้วยท่าทางเจ้าเล่ห์ “แต่สำนักศาสตร์ลี้ลับถูกปิดล้อมเมื่อสิบปีก่อน คนในสำนักล้มตายไปหมดแล้ว จะไปหาผู้เชี่ยวชาญจากที่ไหนกันล่ะ?“ข้ามองว่า ท่านก็ไปหลับนอนกับว่าที่พระชายาคนใหม่ให้มันจบๆ ไปเถิด เช่นนี้ท่านจะได้ทิ้งสายเลือดเอาไว้สืบสกุลต่อบนโลก...โอ๊ย ช่วยด้วย!”หลังจากจิ่งโม่เยี่ยถีบเจ้าอาวาสกระเด็น เขาก็ย่างกรายออกจากห้องวิปัสสนาอ
เฟิ่งชูอิ่งหนังตากระตุกเบาๆ หันมองผู้หญิงวัยกลางคนที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ประธาน แต่งกายด้วยอาภรณ์งดงามหรูหรา แววตาทอประกายเย็นชาผู้หญิงคนนี้คือฮว๋าซื่อ[footnoteRef:1] ผู้มีศักดิ์เป็นป้าของนาง แล้วก็เป็นหนึ่งในคนที่กลั่นแกล้งรังแกร่างเดิมจนแทบไม่มีชีวิตรอด [1: 氏 แปลว่าแซ่ คนจีนจะนิยมเรียกผู้หญิงที่แต่งงานแล้วด้วยนามสกุลเดิมตามด้วยคำว่าซื่อ(氏)] ฮว๋าซื่อเห็นนางยื่นนิ่งไม่ไหวติง จึงหันไปส่งสายตาให้สาวใช้มีอายุสองคนที่ยืนอยู่ข้างล่าง สาวใช้สองคนนั้นรีบปรี่เข้ามา คิดจะจับตัวเฟิ่งชูอิ่งกดให้คุกเข่าเฟิ่งชูอิ่งที่เห็นว่าพวกนางตรงดิ่งเข้ามาหาตนเอง ล้วงหยิบมีดที่เพิ่งจะซื้อออกมาด้วยความว่องไว ก่อนจะใช้มันฟันมือของสาวใช้อาวุโสสองคนที่หมายจะคว้าตัวนางมีดเล่มนี้คมกริบมาก มันจึงตัดข้อมือของสาวใช้อาวุโสคนหนึ่งจนขาดกระเด็นหลังจากเฟิ่งชูอิ่งตัดมือของสาวใช้อาวุโสคนแรกแล้ว นางก็ตวัดมีดแล้วแทงลงบนไหล่ของสาวใช้อีกคนหนึ่งเพียงพริบตาเดียว เสียงร้องโหยหวนก็ดังก้องไปทั่วห้อง เลือดแดงฉานสาดกระจายฮว๋าซื่อตกใจจนลุกพรวดขึ้นจากเก้าอี้ ตวาดอย่างเดือดดาล “เฟิ่งชูอิ่ง เจ้าทำบ้าอะไรเนี่ย?”เฟิ่งชูอิ่งรู้ว่