มู่เทียนซิงเกาหัวพร้อมกับยิ้มกล่าว : "พระพันปีหลวงทรงอย่าพิโรธเลยพะยะค่ะ ข้าน้อยบังอาจไปแล้ว โปรดพระพันปีหลวงทรงลงพระอาญา""เอาล่ะ โม่จุน เจ้าอธิบายเหตุการณ์อีกรอบ สรุปจะเดิมพันหรือไม่?" พระพันปีหลวงทรงหันมองไปที่โม่จุนมุมปากของโม่จุนก็กระตุกขึ้นมา เขาได้แต่ต้องเล่าอธิบายเหตุการณ์ให้ฟังอีกครั้ง หลังจากอธิบายเสร็จก็กล่าวเพิ่มมาอีกประโยคหนึ่ง : "คุณหนูใหญ่มู่เป็นฝ่ายที่ต้องการจะเดิมพัน""ท่านพ่อ เดิมพันเถอะ พวกเราชนะแน่นอน ท่านลองคิดดูสิว่าข้าลูกสาวของมู่เทียนซิงจะไปแพ้ได้อย่างไร?" เหตุผลของมู่จิ่วซีช่างฟังดูยิ่งใหญ่และน่าตกใจอย่างยิ่งใบหน้าวัยชราของมู่เทียนซิงถึงกับต้องตะลึงตาโตอ้าปากค้าง"ซีเอ๋อร์ เจ้าคิดว่าเจ้าสามารถเอาชนะคุณหนูสามตระกูลฉีได้งั้นรึ?" มู่เทียนซิงก็คิดในใจว่านางไม่ใช่มู่เจินจูลูกสาวคนรอง มู่เจินจูถูกลู่เวยหย่าฝึกฝนมาตั้งแต่เด็ก ทั้งทั้งฉิน หมาก อักษรและภาพวาดล้วนมีฝีมือไม่เลว แต่ตอนนี้มู่จิ่วซีกลับบอกว่าสามารถเอาชนะได้?"ใช่แล้ว ทำไมข้าถึงจะเอาชนะไม่ได้?" มู่จิ่วซีกล่าวอย่างใส่ซื่อบริสุทธิ์ "งั้นพวกเรามาแข่งวาดภาพกัน ข้าถนัดวาดเป็นที่สุด!""วาดภาพ!" โม่จุนอีกนิ
มู่จิ่วซีก็หันไปมองมู่เทียนซิง พอเห็นเส้นเลือดในแววตาที่อ่อนล้าคู่นั้นของเขา ในใจของนางก็ปวดร้าวในทันทีเขาเองรู้แก่ใจว่ามู่จิ่วซีที่เป็นเจ้าของร่างเดิมไม่มีทางชนะได้ แต่เขาก็ยังเป็นพ่อที่รักษาหน้าของลูกสาว อีกอย่างทั้งหมดนี้ก็เพื่อให้มู่จิ่วซีเจ้าของร่างเดิมได้เปลี่ยนนิสัย"ท่านพ่อ ข้าให้สัญญา ถ้าหากข้าแพ้ ข้าจะยอมไม่ออกจากจวนหนึ่งปีเต็ม ข้าจะอยู่บ้านร่ำเรียนฉิน หมาก อักษระและภาพวาดให้ชำนาญ ลูกสาคนนี้จะแต่งชุดแดงและหาคนที่ดีเหมาะสมแต่งออกเหย้าเรือน ลูกสาวคนนี้จะไม่ทำให้ท่านลำบากใจอีก" มู่จิ่วซีกุมไปที่มือท่านพ่อของนางและกล่าวอย่างตั้งใจ"จริงหรือ?" มู่เทียนซิงไม่คาดคิดว่ามู่จิ่วซีจะยอมสัญญาได้ง่ายขนาดนี้ ทันใดนั้นดวงตาอันแก่ชราของเขาก็ร้อนผ่าวขึ้นมาซีเอ๋อร์ของเขารู้เรื่องรู้ราวขึ้นจริงๆ แล้วสินะ"เอาล่ะ พวกเจ้าพ่อลูกเลิกเว้อวอนกันได้ล่ะ ทำอย่างกับจะแยกตายจากกันไปอย่างใดอย่างนั้น ก็แค่เดิมพันครั้งเดียวเองไม่ใช่รึ? พระพันปีหลวง ท่านผู้สำเร็จราชการแทน พวกท่านต้องตัดสินอย่างยุติธรรมด้วยล่ะ" ฉีหู่ซานขืนมองไม่ไหวอีกต่อไปพระพันปีหลวงก็ตรัสขึ้นมา : "ใต้เท้าฉี ข้าและท่านผู้สำเร็จราชการ
ตอนที่มู่จิ่วซีออกมาจากพระราชวัง นางก็มอบคลานอยู่ในรถม้า ทหารมหาดเล็กรักษาพระองค์ลงมือโบยไปห้าทีอย่างไม่ได้ยั้งมือ ก้นของนางตอนนี้ปวดแสบร้อนไปหมดส่วนแม่ทัพใหญ่มู่แถบเรียกได้ว่าทุกข์ใจ แต่ก็เหมือนกับเป็นการปลอบใจเช่นกัน"ท่านพ่อ ท่านไม่ต้องกังวล ข้าต้องชนะแน่นอน ลูกสาวคนนี้จะชนะและคว้าเอากระบี่หยกมังกรเขียวเล่มนั้นมาให้ท่านให้ได้ เดือนหน้าบังเอิญวันเกิดท่านพอดีเลยด้วย ถือซะว่าเป็นของขวัญวันเกิดของท่านพ่อก็แล้วกัน" มู่จิ่วซีมองไปยังใบหน้าท่านพ่อของนางที่กำลังกลุ้มใจขมขื่นอยู่ขณะนี้พร้อมกับยิ้มกล่าว"ยัยหนู เจ้ายังจะยิ้มออกอีก ต่อให้แพ้ก็ไม่เป็นไรหรอก เรื่องนี้ให้มันแล้วๆ ไปเถอะ พอพูดขึ้นมา พระพันปีหลวงและท่านผู้สำเร็จราชการแทนต่างก็ล้วนกำลังช่วยเจ้าอยู่ เพราะถึงอย่างไรคุณหญิงฉีก็เป็นถึงคุณหญิงตราตั้งระดับสอง นางถูกเจ้าตีจนแทบปางตาย เจ้านี่มันช่างกล้าดีจริงๆ" มู่เทียนซิงยังคงรู้สึกกลัวหวาดผวาอยู่ (คุณหญิงตราตั้ง เป็นพระยศที่จักรพรรดิได้พระราชทานให้คุณหญิงของขุนนาง)มู่จิ่วซียิ้มพร้อมกับกล่าว : "อันที่จริงคราวนี้โม่จุนได้ช่วยข้าไว้ เขาจงใจพูดถึงคุณหนูสามของตระกูลฉีเพื่อให้ข้าได้ท้าเดิ
พอดวงอาทิตย์ขึ้น แสงอาทิตย์สีแดงก็ได้สาดส่องไปยังพระราชวังอันวิจิตรและงดงาม จนสะท้อนเกิดเป็นแสงทองเหลืองอร่าม เผยให้เห็นถึงความงดงามของสิ่งปลูกสร้างภายในวังฉือลู่ ไป๋ชิงที่สวมใส่ชุดสีขาวเรียบๆ ก็ยืนอยู่ที่หน้าโถงพระโรงอย่างวิตกกังวล ส่วนมู่จิ่วซีซึ่งสวมชุดกระโปรงบานในแบบของพระราชวังก็นั่งอยู่ใต้ชายคา นางอาศัยช่วงที่พระพันปีหลวงยังไม่เสด็จมาถึงฝึกวรยุทธกระบวนท่าของเฟิงเหยียนหยูเฟยมู่จิ่วซีเมื่อวานได้รับเฟิงเหยียนหยูเฟยส่วนที่สองซึ่งฮั้วอวิ๋นเทียนได้ให้เถ้าแก่ร่างท้วมเอามาให้ โดยเงื่อนไขคือให้นางไปเยี่ยมเยียนพบคุณหนูอาจื่อเป็นระยะๆ ให้ที เพื่อให้แน่ใจว่านางยังไม่ตายมู่จิ่วซีก็เผยยิ้มมุมปาก นางรู้สึกว่าฮั้วอวิ๋นเทียนก็พอจะเข้ากับนางได้ดี คุ้มแล้วที่จะมีเพื่อนแบบนี้นางตอนนี้ฝึกฝนเฟิงเหยียนหยูเฟยถึงระดับสี่แล้ว หากนางฝึกฝนจนแตกฉากในส่วนแรก นางก็จะสามารถเปิดผนึกสองเส้นลมปราณด้วยตนเองได้ พอเรียนส่วนที่สองก็ยิ่งใช้เวลาได้น้อยกว่าแต่ได้ผลมากกว่าพอจนถึงช่วงฝึกฝนส่วนที่สามเมื่อไหร่ นางก็มั่นใจว่าพละกำลังของนางคงจะแพ้อย่างไม่น่าเวทนานักเมื่อต้องสู้กัลยอดฝีมืออย่างโม่จุนและฮั้วอวิ๋นเทียน
มู่จิ่วซีคิดถึงพิษเงาหอมนิโลบลขึ้นมา ถ้าหากคุณหญิงใหญ่ของอัครมหาเสนาบดีถูกจ้วงชิงเหมยวางยาพิษเงาหอมนิโลบล งั้นจ้วงชิงเหมยคนนี้ก็คือไส้ศึกของแคว้นเป่ยจิ้น งั้นจะปล่อยให้นางขึ้นเป็นคุณหญิงใหญ่ได้อย่างไร?หากไส้ศึกได้กลายเป็นคุณหญิงตราตั้งระดับหนึ่งขึ้นมา งั้นหลังจากนี้คงไม่ตบหน้าราชวงศ์อย่างเปิดเผยเลยหรอกเหรอ?พระพันปีหลวงก็ทรงแย้มสรวลให้กับท่าทีขึงขังของมู่จิ่วซี"เอาล่ะ เอาล่ะ เลิกคิดเรื่องของใต้เท้าอัครมหาเสนาบดีได้แล้ว เดี๋ยวข้าจะไปเตือนเขาเอง แม่หนูไป๋ ไม่มีใครจะแย่งฐานะคุณหนูใหญ่ของจวนตระกูลไป๋ของเจ้าไปได้ เจ้าวางใจเถอะ แต่ว่าท่านแม่ของเจ้าก็ไม่อยู่แล้ว งั้นหลังจากนี้เจ้าได้วางแผนไว้บางรึเปล่า?"ไป๋ชิงเมื่อได้ยินน้ำเสียงโอบอ้อมอารีย์ของพระพันปีหลวง นางก็รีบคุกเข่าและกล่าวขอร้องขึ้นมา : "หม่อมฉันหวังว่าพระพันปีหลวงจะทรงพระอนุญาตให้หม่อมฉันไว้ทุกข์ท่านแม่เป็นเวลาสามปีเจ้าคะ""สามีปี!" มู่จิ่วซีตกใจจนอุทานออกมาพร้อมกับรู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ถูก "ไป๋ชิง เกิดเรื่องอะไรขึ้นรึเปล่า?"ไป๋ชิงหันไปมองมู่จิ่วซีครู่หนึ่งพร้อมกับสีหน้าที่ซีดเผือด : "พ่อข้าและป้าสะใภ้รองต้องการให้ข้าแต่งกับ
มู่จิ่วซีถลึงตาเบิกกว้างและกล่าวอย่างตกใจ : "ข้า ข้าทำอะไร? ข้าไม่ได้ทำอะไรเลยต่างหาก?" นางหันไปมองแม่นมเฝิงและรู้สึกว่าตัวเองไม่ได้รับความเป็นธรรม"ไม่ได้ทำอะไรงั้นเหรอ แล้วทำไมท่านอ๋องหกถึงอยากสู่ขอเจ้าเป็นพระชายา? ถ้าไม่ใช่เพราะพระมเหสีเลี่ยวถูกขังอยู่ในจวน เกรงว่าก๋คงจะมาสู่สู่ขอแต่งงานกับพ่อของเจ้าแล้ว" พระพันปีหลวงทรงตบโต๊ะอย่างแรงด้วยความโกรธพระมเหสีเลี่ยวคือเสด็จแม่ของท่านอ๋องหกโม่หยวนชิง"อะไรนะ?" มู่จิ่วซีตกตะลึงในสายตา นางจำได้ว่าเจ้าของร่างเดิมได้อยู่ที่โรงสุราและดื่มเยอะเกินไป ซึ่งตอนนั้นท่านอ๋องหกก็อยู่ติดกับโรงเหล้าแห่งนั้นท่านอ๋องหกมีอายุน้อยกว่าโม่จุนแค่ 4 ปี ปีนี้อายุเพียง 19 ใบหน้าของเขาหล่อเหลาโดดเด่น นิสัยร่าเริงดั่งชายหนุ่มที่แฝงไปด้วยแสงตะวันมู่จิ่วซีตอนนั้นดื่มเยอะและก้ได้เข้าไปหยอกล้อท่านอ๋องหก อีกทั้งยังไปนั่งบนตัวของท่านอ๋องหก นางยังชิ้วจับคางเชิดหน้าของเขาขึ้นและบอกกับเขาว่าเขานั้นหล่อมาก จนในตอนท้ายท่านอ๋องหกก็เขินอย่างมากจนลุกหนีไปทำไมกับแค่เหตุการณ์นั้นเพียงครู่เดียว ท่านอ๋องหกถึงได้มาสู่ขอนางเสียได้?นี่คือเขาสมองกลับหรืออะไร?แม้แต่ท่านอ๋องผ
ภายในพระราชอุทยาน ไป๋ชิงก็กล่าวขึ้นมาอย่างร้อนรน : "จิ่วซี คุณหนูสามของตระกูลฉีนั้นวาดรูปเก่งมากนะ""ไม่ต้องกังวลเรื่องของข้า ข้าบอกแล้วว่าชนะได้ก็ต้องชนะได้ วันมะรืนเจ้าก็มาด้วยล่ะ มาเป็นกำลังใจให้ข้าด้วย" มู่จิ่วซีกุมไปที่มือของนางพร้อมกับยิ้มกล่าวสำหรับการที่ได้เป็นเพื่อนกับไป๋ชิง มู่จิ่วซีเองก็รู้สึกดีใจมาก ถึงแม้อาจไม่ถึงขั้นเปิดอกจริงใจพูดคุยกันได้ขนาดนั้น แต่มู่จิ่วซีก็ยอมที่จะให้โอกาสกับไป๋ชิง และก็เป็นการให้โอกาสตนเองเหมือนกัน ถึงอย่างไรสถานที่แบบนี้ นางเองก็ไม่มีเพื่อนแท้เลยสักคนจริงๆไป๋ชิงก็ดีใจขึ้นมาทันทีและก็กล่าว : "ได้ ถึงอย่างไรถ้าแพ้ขึ้นมาก็แค่เสียหน้า"มู่จิ่วซีรู้สึกเฉยชากับเรื่องที่คนอื่นรู้สึกว่านางจะต้องแข่งแพ้ แต่คราวนี้นางจะต้องกู้หน้าให้กับเจ้าของร่างเดิมให้ได้จริงๆ เพื่อระบายความโกรธแค้นของท่านพ่อด้วยแม้ว่านางจะไม่ได้สนใจชื่อเสียงจอมปลอมพวกนี้ แต่ในเมื่อท่านพ่อและพระพันปีหลวงล้วนชื่นชอบ งั้นนางก็จะยอมฝืนแสดงฝีมือที่แท้จริงสักตั้งเพื่อหลีกเลี่ยงไอพวกที่ชอบเอาแต่ชอบหาเรื่องมานาน จะได้เลิกคิดจริงๆ สักทีว่าตัวเองเป็นนางฟ้าที่สามารถดึงดูดใจผู้คนได้มู่จิ
พอโม่จุนพูดประโยคนี้ออกมา เขาก็อยากจะตีปากของตัวเอง ทำไมเขาถึงได้ปากร้ายเหมือนกับมู่จิ่วซีไปได้พอคนอยู่ด้วยกันไปนานๆ สนิทกัน ก็จะหลอมรวมเข้าหากันเองจริงๆ งั้นเหรอเหมือนกับสามีภรรยา?โม่จุนตะลึงตกใจ เขาไม่อยากจะเชื่อตัวเองเลยว่าในหัวจะกล้าคิดคำว่าสามีภรรยาสองคำนี้ขึ้นมาได้ อีกทั้งยังเป็นตอนที่อยู่ด้วยกันกับมู่จิ่วซีอีกในหัวของเขาพักนี้มีแต่มู่จิ่วซีเต็มหัวไปหมด เขาแทบจะเกือบถูกนางทำให้หลงจนโงหัวแทบไม่ขึ้นแล้ว"ทำผิดก็ยอมรับ ฮิฮิ แต่ว่านะโม่จุน วันนี้เจ้าหล่าเหลาดูดีมากจริงๆ" มู่จิ่วซียิ้มพร้อมกับยักไหล่ จนความเขินอายได้คลายลงในใจของโม่จุนถึงกับเต้นกระตุก เขาแหงนหน้าหันไปมองนาง แต่ก็กลับเห็นเพียงแค่ความจริงใจในสายตาของนาง ไม่เหมือนกับคนโกหก ในใจของเขาก็แอบมีความรู้สึกภูมิใจขึ้นมาเล็กๆ จากนั้นริมฝีปากของเขาก็อดที่จะปากร้ายขึ้นมาไม่ได้"เทียบกับฮั้วอวิ๋นเทียนล่ะ?" โม่จุนพอพูดจบก็อยากจะตบปากของตัวเองอีกครั้งมู่จิ่วซีก็ตะลึงค้างไป จากนั้นก็หัวเราะร่าขึ้นมาอย่างไพเราะจนทำให้โม่จุนถึงโกรธจนเลือดขึ้นหน้าและหูแดงไปหมด"เจ้ากับฮั้วอวิ๋นเทียนก็ล้วนดูดีทั้งคู่ ใบหน้าสมส่วน แต่พวกเจ้าท